“เหล่ากง..” หญิงสาวยกมือปิดหน้าอก ชันเข่าขึ้นซ่อนสิ่งที่บ่งบอกความเป็นสตรี ตะแคงตัวหนีสายตาหยาดเยิ้มของเขา “สายตาของท่านทำซินเอ๋อร์ขัดเขินแทบขาดใจแล้ว” “เช่นนั้นเหล่ากงให้มองคืนบ้าง” เขาดึงนางมาสู้สายตา “ซินเอ๋อร์ไม่กล้าหรอก” นางเผลอมองไปแล้ว แม้จะเห็นความใหญ่โตของมันแค่ครึ่งลมหายใจ แต่ก็ทำให้นางตกใจจนทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว
View Moreเมืองหลวง แคว้นเทียนฝู่
“ท่านพ่อได้โปรด อย่าให้ข้าแต่งงานกับอาหูเลย” หญิงสาววัยสิบเจ็ดโขกศีรษะอ้อนวอนบิดาทั้งน้ำตา
“ทำไมเจ้าถึงไม่อยากแต่ง เขาไม่ดีตรงไหนเสี่ยวอิน” พยายามถามอย่างใจเย็น
“เขา..ข้าคิดว่าเขาไม่ได้รักข้า”
บิดาถอนหายใจอย่างแรง คำตอบของนางเขารู้ดีว่าหมายถึงนางมีบุรุษอื่นอยู่ในใจแล้ว
“มีใครบ้างที่แต่งงานเพราะรักกัน ทุกคนล้วนแต่งงานตามความเห็นควรของพ่อแม่ทั้งนั้น”
“แต่ข้าอยากแต่งงานกับคนที่ข้ารัก”
“...ยังไงเจ้าก็ต้องแต่งงานกับอาหู” แม้จะเห็นใจแต่เขาก็ต้องเด็ดขาด
“ข้าไม่แต่ง ถ้าท่านพ่อยังบังคับข้า ข้าจะหนีตามคนที่ข้ารักไป” สตรีใบหน้างดงามข่มขู่บิดา
“ถ้าเจ้าอยากให้ข้ากับแม่ของเจ้า ต้องแบกรับความอัปยศก็ตามใจเจ้าเถิด นอกจากอับอายขายขี้หน้าชาวบ้าน ข้ากับแม่ที่ป่วยออด ๆ แอด ๆ ของเจ้า ก็คงต้องขายตัวไปเป็นทาสให้บ้านอาหู เพื่อชดใช้หนี้ที่หยิบยืมมารักษาแม่ของเจ้า”
“ท่านพ่อ!” เสี่ยวอินได้แต่มองบิดาที่หุนหันเดินจากไปผ่านม่านน้ำตา
หลายวันผ่านไป
“อย่าเสียใจไปเลยอาอิน ข้าดีใจด้วยซ้ำที่เจ้าจะได้แต่งงานกับอาหู เพราะอาหูเขาเป็นคนดีมาก จิตใจโอบอ้อมอารี คอยช่วยเหลือเพื่อนอย่างข้าเสมอ” ชายหนุ่มหน้าตาดีบอกกับหญิงคนรัก ยิ้มให้นาง ไม่แสดงความเสียใจออกไปให้เห็น
“เจ้าไม่รักข้าแล้วหรืออาเกอ”
“รักสิ..แต่เจ้าก็ควรกตัญญูต่อบิดามารดามากกว่าไม่ใช่หรือ”
“แต่ข้ารักเจ้า”
“เจ้าควรลืมข้าเสีย คนอย่างข้ามันไร้อนาคต เป็นแค่ลูกจ้างในโรงเตี๊ยม แต่อาหูเป็นทหารในวังหลวง มีหน้าที่การงานที่ดี เขาจะต้องมีตำแหน่งที่สูงขึ้นในอนาคต เจ้าก็จะสุขสบายมากขึ้น ไม่ต้องลำบากเหมือนตอนนี้”
“ข้ายอมลำบากถ้าได้อยู่กับเจ้า”
“แต่ข้าอยากให้เจ้าอยู่อย่างสุขสบายกับอาหูมากกว่า..เจ้ากับข้าจบสัมพันธ์กันแค่นี้ดีกว่า” จูเกอตัดใจลูกขึ้นแล้วหันหลังให้หญิงสาวผู้เป็นที่รัก “ลาก่อน”
“อาเกอ” เสี่ยวอินร้องไห้น้ำตานองหน้า เมื่อชายคนรักเดินจากไปทันทีที่พูดจบ
ทำไมทุกคนที่นางรักถึงไม่รักนาง ทำไมทั้งบิดาและทั้งเขาถึงหันหลังให้นางอย่างง่ายดาย
หนึ่งเดือนผ่านไป
เสี่ยวอินมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของเจ้าบ่าว ที่เปิดผ้าคลุมหน้าของนางด้วยสายตาเย็นชา ไม่สนใจรอยยิ้มอ่อนโยนที่เขามอบให้สักนิด แต่ก็ยอมทำตามประเพณีโดยดี ยอมแม้กระทั่งร่วมหัวจมท้ายเป็นสามีภรรยา
ก๊อก ๆ ๆ
ยามโฉ่วของคืนแต่งงาน ขณะที่บ่าวสาวกำลังนอนหลับอยู่นั้น ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นหลายครั้ง
“อาหู”
ไป๋ซินหูรีบลุกจากที่นอนแล้วรีบเดินไปเปิดประตู
“มีเรื่องด่วนอันใดท่านพ่อ”
“มีคำสั่งให้หน่วยของเจ้าออกเดินทางนำเสบียงอาหารและยาไปที่เมืองไฮ่ เพราะที่นั่นฝนตกหนัก หินจากภูเขาถล่มปิดเส้นทางสัญจร ทำให้ชาวบ้านถูกตัดขาดจากเมืองอื่น ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก แล้วตอนนี้ก็เริ่มเกิดการระบาดของโรคซางหานในเด็กอีกด้วย”
“ตอนนี้เลยหรือท่านพ่อ”
“ภายในยามโฉ่วพวกเจ้าต้องไปรวมตัวกันที่หน้าประตูทิศเหนือของวังหลวง”
“เช่นนั้นข้าจะรีบไปเตรียมตัว ท่านพ่อไปพักผ่อนเถิด”
เจ็ดเดือนผ่านไป
เสี่ยวอินเก็บจดหมายที่ได้รับจากสามีหลังจากที่อ่านจบ นางไม่ได้รู้สึกยินดียินร้ายกับข้อความที่บอกว่าเขาเสร็จงานแล้ว และกำลังจะเดินทางกลับ ซึ่งป่านนี้ก็คงกำลังอยู่ในระหว่างเดินทาง และคงใช้เวลาอีกแรมเดือนกว่าจะมาถึงเมืองหลวง
นางลูบหน้าท้องที่นูนออกมาพอสมควร ทารกในท้องเริ่มดิ้นให้รู้สึกแล้ว แต่นางก็ไม่ได้ตื่นเต้นยินดีสักนิด
“เสี่ยวอิน”
“พี่สะใภ้” หญิงสาวรีบลุกขึ้นเดินไปหาพี่สะใภ้ของสามี
“เป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกปวดหลังปวดเอวบ้างไหม”
“ไม่ ข้าปกติดีมาก ไม่ได้รู้สึกอะไรเลย”
“โชคดีนัก เด็กคนนี้ช่างเจียมตัวดีเหลือเกิน รู้ว่าพ่อไม่อยู่ก็ไม่กล้าทำให้แม่เหนื่อยเพราะตัวเอง”
เสี่ยวอินได้แต่ยิ้มกับคำพูดของพี่สะใภ้ เพราะไม่รู้จะพูดอะไร
“วันนี้เจ้าพอจะมีเวลาว่างไหม”
“พี่สะใภ้จะไปไหนหรือ”
“อีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันเกิดของสามีข้าแล้ว ข้าอยากไปไหว้พระขอพรให้เขาสักหน่อย ข้าก็เลยอยากชวนเจ้าไปด้วย เจ้าจะได้ไหว้พระขอพรให้ลูกในท้องกับสามีของเจ้าบ้าง”
“ได้สิ” แต่นางไม่ได้อยากไปไหว้พระขอพรหรอกนะ นางแค่รู้สึกเบื่อ อยากออกไปเที่ยวเล่นบ้างก็เท่านั้น
วัดไท่หลินจง
“พี่สะใภ้ ข้าอยากเข้าห้องน้ำ”
“ห้องน้ำต้องเดินลงบันไดไปทางด้านหลัง ไกลหน่อยนะ ให้ข้าไปเป็นเพื่อนไหม”
“ไม่ต้องหรอก ที่วัดนี้ร่มรื่นนัก เข้าห้องน้ำแล้วข้าอยากจะเดินเล่นสักหน่อย”
“ตามใจ ข้าจะนั่งสมาธิรออยู่ที่นี่นะ”
“อือ”
เสี่ยวอินเข้าห้องน้ำเสร็จแล้วก็เดินชมสวนที่แสนร่มรื่นของวัด เดินไปเรื่อย ๆ จนถึงสระน้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ภายในสวน มองดูปลาหลีฮื้อสีสันหลายสิบตัวแหวกว่ายอยู่ในสระ
แล้วหูของนางก็บังเอิญได้ยินเสียงหัวเราะของสตรีนางหนึ่ง.. จึงเหลือบไปมองด้วยความใคร่รู้..เห็นบุรุษสตรีคู่หนึ่ง.. แต่เพียงแค่เห็นแผ่นหลังผึ่งผายของฝ่ายชาย ก็จำได้ทันทีว่าเขาคือหูเกอ อดีตชายคนรักของตน
ความหึงหวงบังเกิดขึ้นทันที เมื่อเห็นพวกเขาส่งยิ้มให้กันและกันอย่างหวานซึ้ง
เท้าที่ยืนนิ่งอยู่ริมสระเปลี่ยนเป็นเดินตรงไปยังที่พวกเขานั่งอยู่
“เสี่ยวอิน!” หูเกอเห็นหญิงสาวที่เดินเข้ามาก็ตกใจ “เจ้ามาได้อย่างไร เป็นอย่างไร สบายดีไหม” แต่ก็รีบทักทายอย่างเป็นมิตร
เสี่ยวอินมองหญิงสาวที่มากับเขาด้วยสีหน้าชิงชังอย่างเปิดเผย
“เจ้ามากับใครหรืออาเกอ”
“นางคือแม่นางสี นางกับข้ากำลัง”
“ไม่ต้องบอก ข้าไม่อยากรู้ ข้าแค่อยากมาทักเจ้าเท่านั้น ข้าไปแล้ว” พูดจบก็สะบัดหน้าเดินจากไปทันที
ถ้าไม่ใช่เพราะไป๋ซินหู คนที่ได้ยืนอยู่ข้างอาเกอก็ต้องเป็นนาง เพราะเขาคนเดียวทำให้นางต้องเสียคนรัก ทำให้นางต้องเจ็บปวดใจถึงเพียงนี้
ไป๋ซินหู ข้าเกลียดเจ้ายิ่งนัก!!!
เสี่ยวอินเดินหน้าบึ้งกลับไปที่ศาลาใหญ่ เห็นพี่สะใภ้กำลังนั่งสมาธิอยู่ก็ไม่อยากเสียมารยาท จึงนั่งสงบสติอารมณ์ของตัวเองเงียบ ๆ แต่ภาพของอาเกอกับสตรีนางนั้นก็ยังรบกวนจิตใจไม่เลิก
เขากับนางกำลังจะแต่งงานกันงั้นหรือ..
ริมฝีปากบางเม้มเข้ากันหา ปาดน้ำตาที่ยังไม่ทันไหลออกจากดวงตาทิ้ง
“ขอให้สามีและลูกของข้าเดินทางกลับมาถึงบ้านอย่างปลอดภัยด้วยเถิดพระคุณเจ้า”
เสียงขอพรที่ไม่ดังนักของสตรีวัยกลางคนนางหนึ่ง ทำให้เสี่ยวอินหันไปมอง.. มองสตรีนางนั้นตั้งใจไหว้พระขอพร มองรูปปั้นพระพุทธรูปที่นางกราบไหว้ แล้วมองไปที่รูปปั้นองค์อื่น ๆ ภายในศาลา..
นางลุกขึ้นแล้วเดินไปหยิบธูปมาจุด แล้วมองจ้องไปที่ดวงตาของพระพุทธรูป
‘ถ้าท่านศักดิ์สิทธิ์จริง ขอให้ไป๋ซินหูสามีของข้าจากข้าไปชั่วชีวิต อย่าได้กลับมาที่เมืองหลวงแห่งนี้อีก ส่วนลูกของเขาคนนี้’ นางก้มมองท้องของตัวเอง ‘ถ้าข้าสมหวังข้าจะยอมให้เด็กคนนี้ได้เกิดมา เพื่อชดเชยกับชีวิตของพ่อเขา’
คำตอบที่ได้ยินทำให้คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ใบหน้าถมึงทึงด้วยความโมโหในการกระทำของภรรยา โมโหจนจุกอกจนต้องใช้มือช่วยขยี้“หรือเจ้าไม่รู้เรื่องนี้”“นางเคยพูดถึงผู้เฒ่าเสิ่นหลังจากที่ข้าบอกเรื่องที่ท่านจะแต่งอาซินเข้าบ้าน เราสองคนมีความเห็นที่ไม่ตรงกันเรื่องนี้ นางอยากให้อาซินแต่งเข้าสกุลเสิ่น แต่ข้าก็ปฏิเสธชัดเจน ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะให้อาซินแต่งงานกับท่าน นางก็รับปากข้าดิบดี ขอมาคุยเรื่องนี้กับพ่อบ้านโปเอง ดังนั้นที่ข้าเห็นอาซินร้องไห้วันนี้ ข้าจึงเข้าใจว่านางไม่อยากแต่งงานกับท่าน”“เหตุใดฮูหยินจูถึงอยากให้นางแต่งกับผู้เฒ่าเสิ่นมากกว่าข้า” แม้จะรู้เหตุผลแต่ก็อยากจะถามลองเชิงให้แน่ชัด เพราะอยากรู้ว่าคนผู้นี้มีความหวังดีและจริงใจ ให้หญิงสาวที่เป็นเพียงลูกเลี้ยงเพียงใด“ตามที่เราคุยกัน นางอยากให้อาซินได้แต่งกับผู้เฒ่าเสิ่น เพราะเขารับปากนางว่าจะแต่งอาซินเป็นเมียเอก ทำให้นางมั่นใจว่าอาซินจะมีอนาคตที่มั่นคงกว่าแต่งกับท่าน”“แล้วแต่งกับข้าไม่มั่นคงอย่างไร เจ้าก็เห็นว่าข้ามั่งคั่งเพียงใด”“.....”“พูดมาเถิด ผิดพลาดตรงไหนข้าจะได้แก้ต่างกับท่านวันนี้เลย ข้าสู้ผู้เฒ่าเสิ่นไม่ได้ตรงไหน”“ไม่ใช่เรื่อ
ทันทีที่พ้นออกมาจากประตูคฤหาสน์สกุลเติ้ง ไป๋ซินซินก็รีบจับแขนของมารดา แต่ก็ถูกสะบัดออกอย่างแรง จึงได้แต่จับมือตัวเองอย่างหวาดหวั่นกระวนกระวาย“ท่านแม่ ท่านจะให้ข้าแต่งงานกับผู้เฒ่าเสิ่นจริงหรือ”จูอินคลี่ยิ้มอ่อนโยนให้ลูกสาว “ดีใจจนร้องไห้เลยหรืออาซิน”“ข้าไม่ได้ดีใจนะท่านแม่”“ไม่ต้องห่วง แม่คนนี้จะรีบไปเจรจาให้เจ้าเดี๋ยวนี้แหละ เจ้ากับน้องกลับบ้านไปก่อนนะ รอฟังข่าวดีจากแม่ได้เลย”หญิงสาวรีบคุกเข่ากับพื้นถนน “ท่านแม่ได้โปรด อย่าให้ข้าแต่งงานกับท่านผู้เฒ่าเลยนะ”“ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้!” จูอินรีบหันซ้ายแลขวาแล้วกระชากร่างเล็กขึ้นมา “หยุดร้องเดี๋ยวนี้!”“เจ้าทำให้แม่โกรธอีกแล้วนะอาซิน!” จูอ้ายเหม่ยตะคอกเสียงเบา แล้วบิดเนื้อตรงต้นแขนของนางด้วยความเกลียดชังเป็นทุน “แต่งงานกับท่านผู้เฒ่าไม่ดีตรงไหน ฐานะท่านก็ดี เจ้าจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาช่วยท่านพ่อทำงานอีก”“ใช่ พอเจ้าแต่งงานไปแล้วข้าก็ต้องมาเหนื่อยแทนเจ้าอีก ข้าเสียสละเพื่อเจ้าแค่ไหนคิดบ้างสิ”“ข้ายอมเหนื่อย ยอมตื่นเช้านอนดึกกว่าเดิมก็ได้ ท่านแม่อย่าให้ข้าแต่งงานกับผู้เฒ่าเสิ่นเลยนะ”“ไม่ได้ ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว อ้ายเหม่ยพานางกลับบ้านไปเดี๋ย
อี้เทียนมองหญิงสาวเล็กน้อย “ข้าต้องกินข้าวตรงเวลาเพราะต้องกินยา กินข้าวด้วยกันนะ”ซินซินยังไม่ทันตอบอะไร อ้ายเหม่ยก็รีบเดินไปยืนใกล้รถเข็นของเขา“ให้อ้ายเหม่ยช่วยนะเจ้าคะ”“ให้เป็นหน้าที่ของบ่าวดีกว่าคุณหนู” ซูฮวาพูดอย่างนอบน้อม แล้วเบียดอีกฝ่ายให้หลุดไปจากตำแหน่งคนเข็นรถ“เชิญ” เติ้งอี้เทียนทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นความไม่พอใจของแม่ลูกกับสาวใช้ แต่แอบสนใจความสงบเสงี่ยมเจียมตัวของหญิงสาวที่ตัวเองหมายตาที่โต๊ะอาหารจูอ้ายเหม่ยตื่นเต้นกับอาหารหลากชนิดที่วางอยู่บนโต๊ะขนาดใหญ่ หลายอย่างล้วนเป็นอาหารที่ไม่เคยกิน ส่วนที่เคยกินก็ดูพิถีพิถันกว่ามาก“ท่านแม่ โต๊ะนี่หมุนได้ด้วย ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”“สำรวมกิริยาหน่อยอ้ายเหม่ย” จูอินรู้สึกเสียหน้าอย่างมาก แต่ก็ต้องฝืนยิ้มอ่อนหวานมองไปทางเจ้าของคฤหาสน์ “ท่านเติ้งอย่าถือสานางเลยนะ ต้องโทษข้าที่เลี้ยงดูนางอย่างเคร่งครัดเกินไป แทบไม่เคยให้ออกจากบ้านไปไหน พอเจออะไรแปลกตาจึงมักจะตื่นเต้นเกินงาม”“กินข้าวกันเถิด ถ้าไม่ถูกปากหรืออยากได้อะไรเพิ่มก็บอกได้นะ ข้าจะให้ห้องครัวทำมาให้” พูดเสร็จเขาก็หมุนฐานไม้บนโต๊ะอาหาร “ตรงหน้าเจ้าคือเนื้อตุ๋นลิ้นจี่ ลองตักกินส
นางรีบยกมือห้าม “ฟังเหตุผลของข้าก่อนแล้วค่อยแย้ง”“พูดมา”“ท่านเติ้งแต่งเมียมาสามคนแล้ว แต่ทุกคนล้วนได้รับหนังสือหย่าเพราะไม่สามารถมีลูกให้เขาได้ ข้ายังรู้อีกว่าเขามีอนุอยู่ในบ้านอีกหลายคน พวกนางล้วนชิงดีชิงเด่น ใส่ร้ายป้ายสีกันไปมาเพื่อแย่งชิงความโปรดปราน”“ข้าไม่เคยได้ยิน”“เจ้าจะไปรู้อะไร วัน ๆ เอาแต่นวดแป้ง ถ้าไม่เชื่อก็ไปถามชาวบ้านดูก็ได้”“เจ้าก็เชื่อข่าวลือไม่มีมูลพวกนั้น”“ลูกของข้ากำลังจะแต่งงานกับเขานะ จะไม่ให้ข้าพูดได้อย่างไร หรือเพราะนางไม่ใช่ลูกของเจ้า แต่งไปแล้วจะเป็นอย่างไรก็ช่าง”“ข้าไม่เคยคิดแบบนั้นเลยอาอิน..เอาเป็นว่ารอให้พ่อบ้านโปกลับมาก่อนก็แล้วกัน ข้าจะคุยกับเขาอีกที”“ท่านต้องถามเขาว่าที่ชาวบ้านพูดกันเป็นความจริงไหม” เรื่องที่นางพูดไปใช่ว่าจะเป็นจริงทั้งหมด แต่ถ้านางไม่ยอมรับว่าแต่งขึ้นมาเองใครจะรู้“บุรุษมีอนุมันก็ไม่ผิด แต่งกับท่านเติ้งนางคงไม่ลำบาก”“นั่นลูกข้าทั้งคนนะ โง่ ๆ เซื่อง ๆ อย่างนางไม่กลายเป็นที่ระบายอารมณ์ของพวกอนุหรือ”“แล้วเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร”“ต้องให้เขาแต่งอาซินเป็นเมียเอก”“เจ้าอย่าเพ้อฝันไปหน่อยเลย แค่ได้แต่เข้าสกุลเติ้งก็โชคดีของลูกเราแล้ว”
บ้านสกุลจูไป๋ซินซินกลับเข้ามาในบ้าน เห็นทุกคนกำลังกินข้าวพร้อมหน้า ทุกสายตาหันมาจับจ้องก่อนจะเมินกลับอย่างไม่ใส่ใจ ทำให้นางรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินแต่นางจะรู้สึกให้เปลืองความรู้สึกไปทำไม เพราะถึงอย่างไรนางก็ไม่เคยได้กินข้าวร่วมโต๊ะกับพวกเขาอยู่แล้ว“มานั่งกินข้าวด้วยกันสิ”“ท่านพ่อ!”“หุบปาก” เอ่ยเสียงเย็นพอ ๆ กับสายตาอ้ายเหม่ยเม้มปากด้วยความขัดใจ ถลึงตามองพี่สาวต่างบิดาอย่างเกลียดชัง มองไปทางมารดาก็เห็นท่านปรามด้วยสายตา จึงได้แต่ข่มกลั้นความโมโหเอาไว้“ผู้ใหญ่เรียกไม่ได้ยินหรือ” จูอินมองลูกสาวคนโตด้วยสายตาที่ว่างเปล่า“เจ้าค่ะ” ซินซินจำใจเดินไปนั่งร่วมโต๊ะจูก่านต้งลุกไปตักข้าวและหยิบตะเกียบส่งให้หญิงสาว แล้วนั่งลงกินต่อโดยไม่พูดอะไร“ขอบใจ” บอกน้องชายแล้วมองกับข้าวบนโต๊ะ แต่ไม่กล้าเอื้อมตะเกียบออกไปคีบ จึงคีบข้าวเปล่าใส่ปาก“แม่ของเจ้าได้บอกอะไรกับเจ้าหรือยัง”“ข้ายังไม่ได้บอกนาง” จูอินไม่คาดคิดว่าสามีจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมา “ท่านพ่อบ้านไม่อยู่ เห็นว่ารีบกลับบ้านเกิดไปดูใจน้องชาย ต้องรอให้เขากลับมาก่อน ข้าจึงยังไม่ได้พูดอะไรกับนาง”“แล้วเขาจะกลับมาเมื่อไหร่”“อีกประมาณครึ่งเดื
ความโอหังของจูอ้ายเหม่ยหายไปเกินครึ่งเมื่อถูกเอ่ยถึงบิดา ใบหน้าที่เชิดขึ้นอย่างท้าทายไม่เกรงกลัวใคร เริ่มมีความกังวลอย่างเห็นได้ชัด“ข้านึกออกแล้ว” เฟิงเมี่ยนชี้หน้าอ้ายเหม่ยพร้อมทำตาโต “เจ้าคือลูกสาวคนรองของร้านซาลาเปาสกุลจู” เขาปรบมือรัว ๆ ทำท่าภูมิใจกับความฉลาดของตัวเอง “ในเมื่อถูกตราหน้าว่าเป็นขอทานแล้ว ข้าไปเล่าให้เขาฟังว่าโดนอะไรบ้าง แล้วขอค่ายาจากเขาสักหน่อยดีกว่า”จูอ้ายเหม่ยหน้าซีดด้วยความกลัว รู้สึกเหมือนจะเป็นลมเมื่อนึกถึงบิดา.. แม้ท่านจะดูใจดี แต่เมื่อใดที่ท่านโกรธขึ้นมา มารดาก็ยังไม่กล้าต่อกร แล้วนางเป็นแค่ลูกจะรอดได้อย่างไร“จะไปไหน” เฟิงเมี่ยนสะใจเมื่อเห็นนางสะดุ้งสุดตัว “จะจากไปง่าย ๆ แบบนี้ไม่ได้นะ เจ้ายังไม่ได้ขอโทษพวกเราเลย”“ทำไมข้าต้องขอโทษ” แม้จะขัดขืนแต่เสียงก็อ่อนลงเกินครึ่ง ความมั่นอกมั่นใจลดเหลือแค่หนึ่งส่วนจากสามส่วน“เช่นนั้นก็รีบกลับไปเถิด ข้าไปคุยกับเถ้าแก่จู พ่อของเจ้าง่ายกว่า”“ข้าขอโทษ! ขอโทษ ๆ ๆ ข้าขอโทษ!” ตะคอกใส่หน้าบุรุษทั้งสอง ถลึงตาใส่เฟิงเมี่ยนอย่างอาฆาตแค้น “พอใจหรือยัง”“ถ้าขอโทษไม่เต็มใจแบบนี้ก็จ่ายเจ็บหน้าข้ามาด้วยก็แล้วกัน”“ข้าไม่มี”“ไม่เ
Comments