เมื่อมาถึงตรอกที่ลับตาผู้คนก็โยนตั๋วเงินเข้ามิติ สวีไค่เฉิงคนนั้นเกลียดขี้หน้านางชัดเจน ดูแล้วคงหึงหวงคนรักหนานกงเยี่ย ครั้งหน้ามาส่งแบบเครื่องประดับต้องระวังอยู่ห่างจากสองคนนี้ถึงจะปลอมเป็นท่านป้าแต่แววตาหลอกกันไม่ได้ ทางที่ดีเจอแค่หลงจู้ก็พอ มาถึงโรงพิมพ์หลินผู่เย่วก็ลุกขึ้นเอ่ยลา
"ข้าไปก่อนนะ ต้องไปเตรียมของอีกไม่กี่วันถึงวันครบรอบวันตายท่านแม่ข้าแล้วต้องไปไหว้หลุมศพนางที่นอกเมืองนะ"
หลินผู่เย่วน้ำตาคลอ ฟางซือหมิงลูบหลังปลอบใจนาง เจียงฟางซินเป็นเพื่อนกับหลินผู่เย่วมาแต่เด็กแต่ไม่ได้สนิทกับสกุลฟาง จึงไม่คุ้นเคยกันเท่าไหร่ตระกูลหลินเป็นนักรบมีเพียงหลินต้งบิดาของหลินผู่เย่วที่เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น
ตั้งแต่แต่งตั้งอนุหลิวคนนั้นขึ้นเป็นเมียเอกเด็กคนนี้ก็ต่อต้านบิดามาโดยตลอด นางพอมีวรยุทธใครพูดไม่ถูกหูก็ชักแส้ตี เพราะเป็นหลานหลินปู้อันจึงไม่มีใครกล้าลงโทษ หลินต้งทำได้เพียงเนรเทศบุตรสาวไปอยู่ท้ายเมืองหลวงเท่านั้น เพราะบิดาเดินทางไปทำธุระให้ฮ่องเต้เขาจึงสามารถกำราบบุตรสาวได้
บ้านหลังนั้นไม่เล็ก มีถึงสามเรือนแต่นางอยู่กับสาวใช้หนึ่งคนและองครักษ์อีกสองคนเท่านั้น
"พี่ผู่เย่ว ท่านเตรียมกระดาษเงินกระดาษทองก็พอ ที่เหลือข้าจะลงมือทำเองถึงวันครบรอบข้าจะไปดักรอท่าน"
"ขอบใจนะ อาหารที่เจ้าทำอร่อยจริงๆฉีเอ๋อร์ พี่ฟางซินข้าไปก่อนนะเจ้าคะหมิงหมิงไว้เจอกันใหม่นะ"
จางซูฉีบอกลาฟางซือหมิงก่อนจะพาเจียงฟางซินเดินลัดเลาะตรอกนั้นตรอกนี้จนถึงหลังร้านขายผ้า เข้าเขาชายป่าเดินตามทางกลับบ้านเชิงเขา
หลินผู่เย่วกำลังจะไปร้านขายเครื่องเซ่นไหวก็ได้ยินเสียงทักทายดังมา
"อุ๊ย ซวงซวงนั่นมิใช่พี่สาวชื่อเสียงฉาวโฉ่ของเจ้าหรอกหรือ"
จางซิ่วเอ๋อร์เป็นเพื่อนกับหลินซวงน้องสาวต่างมารดาของหลินผู่เย่วเอ่ยเสียงดังมาแต่ไกล คนที่ผ่านไปมาจึงหยุดมอง
หนานกงเยี่ยที่เสร็จธุระแล้วกำลังจะเข้าวังก็หยุดยืนดู จางซิ่วเอ๋อร์คนนี้คือคนที่ต้องแต่งงานกับเขา อยู่ๆก็ป่วยส่งน้องสาวสติไม่ดีมาแต่งแทน
สกุลจางเป็นสกุลแม่ทัพหากไม่ใช่เพราะเกรงใจจางป๋อคุณที่รั้งอยู่ชายแดนเขาคงกวาดล้างจวนจางให้เหลือแต่ชื่อไปแล้ว
"จางซิ่วเอ๋อร์ ข้าหลินผู่เย่วป็นลูกคนเดียวตาข้างไหนของเจ้าถึงเห็นว่าข้ามีน้องสาว"
หลินซวงที่เห็นสวีไค่เฉิงยืนอยู่ตรงนั้นก็แสร้งอ่อนแอทันที น้ำตาค่อยๆไหลสะอื้นเล็กน้อยเหมือนถูกคนรังแก
"พี่หญิง เหตุใดท่านต้องรังเกียจข้าด้วยเจ้าค่ะ ท่านพ่อรักเอ็นดูข้าแล้วเป็นความผิดของข้าหรือ ท่านแม่ข้าไม่เคยหวังสูงแต่เพราะท่านพ่อเห็นใจที่นางยอมอดทนถูกรังแกมาตลอดเมื่อถึงเวลาจึงชดเชยเท่านั้น"
ชาวบ้านเริ่มฮือฮาถูกรังแกมาตลอด หรือว่าคุณหนูคนนี้จะรังแกแม่เลี้ยงกับน้องสาวจริงๆหลินผู่เย่วคนนี้โหดร้ายนัก หลินผู่เย่วไม่สนใจเรื่องน้องสาวที่นางไม่ยอมรับแต่การที่เอ่ยว่าแม่ของนางถูกรังแกนั่นเท่ากับว่ากล่าวหามารดาของตนมิใช่หรือ
"หลินซวง ข้าให้เจ้าพูดอีกทีแม่ข้ารังแกเจ้ากับแม่หรือไม่ หากไม่ชัดเจนวันนี้ต่อให้ใต้เท้าหลินอยู่ตรงนี้ข้าก็จะกระชากเนื้อเจ้าออกมา"
หลินผู่เย่วไม่เรียกหลินต้งว่าบิดากลับเรียกว่าใต้เท้าแทน หลินซวงจึงร้องไห้หนักกว่าเดิมบอกนางกลัวแล้วจากนี้ไปจะเคารพหลินผู่เย่วและไม่กล้าพูดถึงอดีตฮูหยินอีก ยิ่งทำให้ชาวบ้านสงสารและซุบซิบถึงอดีตฮูหยิน หลินผู่เย่วมือสั่นกล่าวหามารดานางหรือ
"ข้าไม่เคยรังแกเจ้าแม่ลูก แต่ในเมื่อเจ้ายืนยันว่าข้าทำคนก็ตัดสินไปแล้วว่าข้าโหดเหี้ยมเช่นนั้น ไม่ทำตามคำพูดของเจ้าข้าก็คงทำให้เจ้าเสียความตั้งใจแล้ว"
สิ้นคำของนางแส้แรกก็กระชากเอาเสื้อหลินซวงขาดจนเห็นเนื้อด้านใน เนื้อแตกทันที แส้สองกระชากแขนเสื้อจนขาดเลือดติดแส้มาน่ากลัวนัก หลินซวงล้มลงทันทีหลินผู่เย่วฝึกใช้แส้แต่เด็กทุกครั้งที่ฟาดจะติดหนังมาด้วยเจ็บปวดยิ่งนัก
แม้ว่าจะน่าเวทนาแต่ใครจะกล้าช่วยนาง คนที่ห้ำหั่นนางอยู่คือหลานสาวหลินปู้อันหัวหน้าองครักษ์หลวงเชียวนะ หลินผู่เย่วกำลังจะฟาดครั้งที่สามก็มีคนมาจับปลายแส้ยึดแส้ของนางไว้หลินผู่เย่วตาแดงนางกำลังโกรธ
"เจ้าไม่ป่าเถื่อนไปหน่อยหรือ นางเป็นน้องสาวเจ้านะ"
"สวีไค่เฉิง เรื่องบ้านหลินข้าต้องให้ท่านยื่นมือแต่เมื่อไร น้องข้าหรือไม่ข้ารับก็ใช่หากข้าไม่รับนางก็ไม่ใช่ปล่อยมือไม่เช่นนั้นข้าจะลงแส้เจ้าอีกคน"
"ฮือๆๆพี่ไค่เฉิงหลินซวงเจ็บเหลือเกินเจ้าค่ะ พี่หญิงโหดร้ายนัก"
สวีไค่เฉิงกระชากปลายแส้จนหลินผู่เย่วทรงตัวไม่อยู่ถลามาหาเขา สวีไค่เฉิงบีบข้อมือนางจนแดง มีเสียงดังมาเขาจึงหยุดมือ
"นั่นเจ้าทำอะไร ปล่อยน้องนะเฉิงเอ๋อร์ เย่วเย่วมาหาป้านี่ใครกล้ารังแกเจ้าก็เท่ากับว่าไม่เห็นหัวข้า"
สวีไค่เฉิงปล่อยข้อมือนางทันที สวีฮูหยินคว้าร่างบางมากอดพอเห็นข้อมือที่แดงก็ส่งสายตาพิฆาตไปยังบุตรชายทันที
"เจ้าแยกแยะเป็นหรือไม่ เย่วเย่วไม่เคยหาเรื่องใครก่อน หากไม่มีใครยั่วยุนางจะขาดสติหรือ"
จางซิ่วเอ๋อร์ไม่กล้าเอ่ยปาก เพราะตรงนี้มีหนานกงเยี่ยยืนอยู่ ถ้าไม่เพราะท่านปู่บ้านใหญ่ของนางคงสาบสูญไปแล้ว
"หลินซวงคารวะท่านป้าเจ้าค่ะ"
"จงเรียกข้าฮูหยิน ดูท่ามารดาเจ้าคงไม่สั่งสอนสินะ แค่ถูกยกขึ้นมาเป็นเมียเอกนึกว่าสูงส่งมากนักหรือ กลับไปบอกนางด้วยหัดทำตัวให้สมกับคนชั้นสูงหน่อยหากทำไม่ได้ก็กลับไปอยู่ที่เดิม"
สวีฮูหยินไม่มองหน้าหลินซวงด้วยซ้ำ จูงมือหลินผู่เย่วเจ้าไปในร้านน้ำชา ร่างบางร้องไห้กอดคนตรงหน้าแน่นก่อนจะเรียกท่านป้า
"เด็กดีไม่ร้องแล้วป้าอยู่ตรงนี้ เฉิงเอ๋อร์เรื่องวันนี้แม่ไม่อยากให้เกิดซ้ำเป็นครั้งที่สองจำไว้ ไปเถอะเห็นหน้าเจ้าแล้วข้าโมโหยิ่งนัก เป็นถึงผู้ว่าการศาลต้าหลี่แต่สายตาโง่งม ไม่รู้จักแยกแยะ"
สวีไค่เฉิงมองหลินผู่เย่วที่ร้องไห้ซุกอกมารดาเขาอยู่ หึเสแสร้งเก่งนักก่อนจะสะบัดแขนเสื้อเดินออกไปหาหนานกงเยี่ยกับหลี่หมิงหลงที่รออยู่เพื่อเข้าวัง
"เด็กดีอีกเจ็ดวันจะเป็นวันเกิดท่านแม่ลุงสวีของเจ้าแล้วเหล่าไท่ไท่คิดถึงเจ้าป้าจะให้คนไปรับ หรือว่าย้ายมาอยู่จวนสวีดีที่นั่นไกลจากในเมืองอันตรายไม่น้อย"
"ข้ามีวรยุทธ ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ ก่อนจะไปทำงานให้ฝ่าบาท ท่านปู่ทิ้งคนให้ใช้สอยพอสมควร ท่านป้าแต่งานวันเกิดข้าเกรงว่าหากเจอหน้าเขาจะทำให้งานของท่านไม่สนุก"
"ช่างปะไร ข้าให้เจ้าไปเพราะแม่สามีข้าคิดถึงเจ้าข้าเองก็ด้วยบิดาเจ้าเป็นสามีข้าที่เชิญมาเกี่ยวอะไรกัน หากสองแม่ลูกนั่นกล้าหาเรื่องที่จวนข้าคอยดูเถอะข้าจะจัดการพวกนางอย่างไร"
หลินผู่เย่วกอดสวีฮูหยินแน่น ตั้งแต่ท่านแม่จากไปมีเพียงสวีฮูหยินกับฮูหยินผู้เฒ่าสวีที่เมตตานาง ส่วนท่านย่าของนางไปถือศีลมาสามปีแล้วยังไม่กลับท่านพ่อถึงกล้ายกย่องหลิวอี้เหนียงคนนั้นขึ้นเป็นเมียเอก
แดนเซียนควันสวีทองลอยขึ้นมายังด้านบนก่อนจะลอยเข้าสู่หว่างคิ้วของหนานกงเยี่ยเทพสงครามที่นั่งรอพระชายาตนอยู่ปากถ้ำ ทันทีที่ดวงจิตเข้าสู่ร่างเขาก็รู้ทันทีว่ามหาเทพถือกำเนิดในแดนมนุษย์แล้วชายาของเขานางกำลังจะออกมาจากการกักตนเพื่อหนีหน้าเขาแล้ว ประตูหินค่อยเลื่อนออกควันสีทองลอยเข้าไปยังด้านในเข้าสู่กลางหว่างคิ้วของเทพบุปผา ไม่นานชิงเหลียนที่หน้าตาเหมือนกันกับจางซูฉีที่แดนมนุษย์ก็เดินออกมาจากด้านใน นางเห็นสวามียืนรอก็เดินตรงมาหา เทพสงครางกางแขาออกให้ชายารักเดินเข้ามาสู่อ้อมกอดเทพบุปผาซบหน้ากับอกกว้าของเขาพร้อมเอ่ยเบาๆ"ฝ่าบาท หม่อมฉันผิดไปแล้ว ที่ผ่านมาหนีหน้าพระองค์ ไร้เหตผลต่อจากนี้จะไม่ทำอีกแล้วเพคะ ตอนอยู่แดนมนุษย์เคยเกือบเสียพระองค์ไปหม่อมฉันรู้แล้วว่าความเจ็บปวดนั้นเป็นเช่นไร""ข้าไม่โกรธเจ้า คนงามของข้าๆเตรียมเรือเรียบร้อยแล้ว รอเจ้าออกมาจากด่านเราจะไปล่องเรือกัน เราจะล่องจากตำหนักเหลียนฮวาาจนไปถึงดินแดนประจิม แล้วจากนั้นข้าจะพาเจ้าไปทะเลตะวันออกดีหรือไม่ หืม""เพคะ หม่อมฉันตามใจพระองค์ ฝ่าบาทชิงเหลียนรักพระองค์เพคะ""คนงามข้าก็รักเจ้า ชิงเหลียนคนดีของข้า"ทั้งคู่ล่องเรือไปตามสระบั
ท้องฟ้าเหนือแคว้นอู๋มีสายรุ้งปรากฎถึงเก้าสาย อีกยังมีเหล่านกน้อยบินวนรอบตำหนักเหมยฮวา ท้องฟ้าเป้นสีทองก้อนเมฆสีรุ้งงามตานัก จากนั้นด้านในจางซูฉีก็คลอดเด็กกออกมา อุแว้ๆๆๆๆ ไม่นานก็มีเสียงทารกดังออกมา"ท่านอ๋อง ไท่จื่อเป็นซื่อจื่อน้อยเพคะ หน้าตาละม้ายท่านอ๋องยิ่งนักเพียงแต่ว่า" แม่นมพูดค้างไว้จนทุกคนมองหน้ากัน หนานกงเยี่ยร้อนใจจึงเอ่ยถาม"แต่ว่าอะไรแม่นมเฟิ่ง ท่านพูดออกมาให้หมด""แต่ว่าเส้นผมของซื่อจื่อน้อยไม่ได้ดกดำเพคะ แต่เป็นสีเงินยวงราวกับหิมะเลยเพคะ เสียงร้องดังมากแปลว่าแข็งแรงดี""ทันทีที่แม่นมเอ่ยจบหนานกงเยี่ยก็รู้ทันทีว่าหน้าที่ของพวกเขาในแดนมนุษย์นั้นสมบูรณ์แล้ว รอเวลาจิตวิญญาณเขาและนางกลับแดนเซียนเท่านั้นหนึ่งชั่วยามต่อมาทุกคนจึงได้รับอนุญาตให้เข้าไปดูจางซูฉีกับบุตรชายได้ หนานกงเยี่ยเห็นหน้าบุตรชายก็ถอนหายใจ เขาต้องเป็นบิดาของคนที่เอาแต่ใจที่สุดในแดนสวรรค์จริงๆหรือ จากนั้นก็ก้มลงไปจุมพิตหน้าผากน้อยๆเบาก่อนจะกระซิบ"ฝ่าบาท อย่างไรก็เป็นบุตรกระหม่อม ดื้อรั้นให้น้อยลงหน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันมีสิทธิ์ตีก้นพระองค์ได้นะพ่ะย่ะค่ะ"ก่อนที่ทารกน้อยจะลืมตาทันทีจ้องหน้าคนที่เพิ่งข่มขู่เ
หนานกงเช่อไปแล้วบรรดาสาวนั่งจับกลุ่มคุยกันไม่หยุด แต่ละคนอุ้ยอ้ายจนดูน่ารักไปหมด เฉินลี่จูที่ถูกเยี่ยผิงอันอุ้มลงจากรถม้าเดินมาส่งที่ด้านในตำหนักก็อายหน้าแดง"ท่านอาปล่อยข้าลงเดินเองก็ได้นะเจ้าคะ ไม่ได้ไกลสักนิด""เมียจ๋า ดูพื้นสิขรุขระขนาดนี้ หากไม่ระวังอาจหกล้มได้ ไม่รู้ว่าเยี่ยอ๋องทรงคิดเช่นไรถึงได้ปูหินให้มีร่องห่างกัน พื้นไม่เสมอพระชายาก็กำลังตั้งครรภ์ไม่รู้จักระวังเลย"จางซูฉีขำกับความห่วงเมียคลั่งรักเมียของเยี่ยผิงอันหากบอกว่าท่านอาลู่จงได้เมียเด็กก็ไม่ถูกนัก อาลู่อายุสี่สิบ จูชุ่ยชุ่ยอายุย่างสิบแปด แต่เยี่ยผิงอันสี่สิบห้าย่างสี่สิบหก ส่วนเฉินลี่จูอายุสิบหก นางเด็กที่สุดในบรรดาเมียๆของเหล่าบุรุษแห่งวังหลวงเลยล่ะ"ใต้เท้าเยี่ย หากพื้นปูติดๆกันไม่มีร่อง ยามหิมะตก หรือฝนตกพื้นจะลื่น ร่องช่วยให้เวลาเดินไม่ลื่นน่ะ ลี่จูมานั่งกับพี่ก่อน เสี่ยวหรันกับชิงชิงน่าจะกำลังมา""เพคะพระชายา อ้อพี่ผู่เย่วท่านตั้งครรภ์อีกแล้วหรือเจ้าคะ ใต้เท้าสวีจะขยันเกินไปหรือไม่ คนโตยังไม่ได้ขวบเลย คิกๆๆ"ในบรรดาเด็กรุ่นน้องสามสาวแห่งสกุลจิน สกุลเฉินและสกุลว่านนี่คือแสบที่สุด ต่อยตีกับบุรุษไม่เว้นแต่ละวัน"พ
เมืองหลวงที่ไม่เคยหลับไหล โคมไฟเรียงรายห้อยเต็มหน้าร้านหน้าบ้านที่ปลูกติดกันยามลมพัดแกว่งไกวไปมาบรรยากาศในเมืองหลวงมีแต่ความสุข ฮ่องเต้กำเนิดพระธิดาสองพระองค์ อีกทั้งตอนนี้ฮองเฮาก็กำลังทรงพระครรภ์ได้สามเดือนแล้วตั้งแต่มาถึงเมืองหลวง ตระกูลหลักหลายตระกูล ตระกูลหลี่ ตระกูลว่าน ตระกูลสวี ตระกูลจิน และตำหนักอ๋องทั้งสอง รวมถึงตำหนักบูรพาขององค์รัชทายาท ต่างจัดเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ เพราะพระชายาไท่จื่อ พระชายาเยี่ยอ๋อง และชินอ๋องรวมถึงบรรดาฮูหยินของใต้เท้าทั้งหลายนั้นตั้งครรภ์พร้อมกันตำหนักบูรพารัชทายาทหนานกงอินกำลังรักเมียสาวอยู่อย่างนุ่มนวลอ่อนโยน เสียวครางแสนหวานของเจียงฟางซินทำให้เขายิ่งรักนางยิ่งขึ้น"ไท่จื่อ เมียไม่ไหวแล้วเพคะพอเถอะ อื้อ ลูกดิ้นอีกแล้วพระองค์ก็ไม่ยอมเลิกสักที ลูกในท้องงอแงแล้วนะเพคะ อร๊าย หนานกงอินเสียวนะ อย่างัดแบบนี้สิคนบ้าข้าตั้งครรภ์อยู่นะ""บอกมาก่อนว่ารักพี่เด็กดีพูดเร็ว ตั้งแต่เข้าหอมาจนถึงวันนี้ยังไม่บอกว่ารักพี่เลย พูดมาคนดี อืม เสียวจริงๆเมียจ๋า อยากให้ผัวเลิกต้องบอกรักผัวก่อน อ่าา""อื้อ รักเพคะ หม่อมฉันเจียงฟางซินรักหนานกงอิน อร๊าย หม่อมฉันเสร็จอีกแล้ว
ขบวนเดินทางมาได้ครึ่งเดือนแล้ว แวะพักบางจุดเนื่องจากทำผักดองแบะเนื้อรมควันไว้มากมาย อาหารการกินจึงไม่ลำบากมมากนักจางซูฉีไม่ต้องการให้หนานกงเยี่ยไปล่าสัตว์บนเขา ซึ่งอาจเกิดอันตรายได้คืนนี้พวกเขาแวะพักตรงริมน้ำใกล้เชิงเขา แต่จางซูฉีสั่งเดินทางต่อ หนานกงเช่อจึงไม่เข้าใจเหตุผลของนาง"ฉีเอ๋อร์ พ่อไม่เข้าใจที่เจ้าให้พวกเราเดินทางต่อ นี่ยามเซินแล้วกว่าจะสร้างกระโจมอีก ตรงนี้มีลำธารด้วยสะดวกสบายกว่าไม่ใช่หรือ""เสด็จพ่อ หากเป็นแม่น้ำลำธารที่ไม่อยู่ใกล้เชิงเขาลูกคงไม่ขัดหรอกเพคะ แต่ว่าลำธารนี้ทรงทอดพระเนตรสิเพคะ มีรอยเท้าสัตว์เต็มไปหมด แปลว่านี่เป็นแหล่งน้ำของพวกมัน อีกทั้งยังมีคราบเลือดเป็นจุดๆทั้งรอยเก่ารอยใหม่ แปลว่ามีสัตว์นักล่าด้วย ในขบวนมีคนท้องถึงเจ็ดคน แม้ว่าเหล่าบุรุษจะมีวรยุทธ แล้วนางกำนัลเหล่านั้นเล่าเพคะพวกนางอ่อนแอ เราเสียเวบาเดินทางอีกหน่อยก็ไม่ต้องเสี่ยง ลูกแค่ห่วงความปลอดภัยของทุกคน"เมื่อจางซูฉีชี้แจงเหตุผลจบ ทุกคนก็ยิ่งรีบเดินให้พ้นลำธารไวขึ้น ไม่นานก็เลยเชิวเขามาห้าลี้และเจอเข้ากับแม่น้ำเล็กๆสายหนึ่ง แม่น้ำสายนี้เรือเล็กสามารถสัญจรได้ จึงพากันหยุดพักที่ตรงนั้น"ฉีเอ๋อร์เหนื
ผ่านไปเดือนกว่ารถม้าที่สั่งทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนี้กำลังฝึกม้าที่จะนำมาใช้กับรถม้าอยู่ ใช้เวลาฝึกนานประมาณเกือบเดือน เพราะบรรดาคนที่นั่งในรถม้าคือเหล่าสตรีที่กำลังตั้งครรภ์จินเสี่ยวหรันที่ตอนนี้ไม่ต้องดูแลสวีไค่ไหยุนแล้ว เพราะเขาเริ่มไม่มีอาการแพ้ท้องแบบที่อาเจียนไม่หยุดแล้ว เหลือเพียงแค่ความอยากอาหารเท่านั้นส่วนว่านชิงชิงทุกวันนี้นางกลุ้มใจมาก ว่านอันสุ่ยไม่ยอมห่างนางเลยไม่ยอมให้เดิน ไปไหนก็อุ้มตลอดเวลา บางครั้งเขาก็งอแงเป็นเด็กน้อยห่างนางไม่ถึงชั่วยามก็ตามหาอีกแล้ว จนถูกฮ่องเต้เรียกไปต่อว่าหลายครั้งเพราะเสียงานเสียการ"ใต้เท้าว่าน เราว่าท่านรักเมียเกินไปหรือไม่ งานการมีไม่สนใจทำงานอยู่ดีๆหาเมียไม่เจอก็ทิ้งงาน เจ้ามันตาแก่หลงเมียเด็กจริงๆ""ฝ่าบาท กระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ต่อไปจะไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้อีกพ่ะย่ะค่ะ"ว่านอันสุ่ยเสียงอ่อย แต่ฮ่องเต้ตรัสถูกต้องเขาหลงเมียจริงๆแต่แค่ไม่อยากยอมรับ"ใต้เท้าว่าน ข้าเองก็รักเมียไม่แพ้ท่าน แต่งานส่วนงานท่านต้องแยกแยะสักหน่อยนะ"หนานกงอินเยาะว่านอันสุ่ย เขาเถียงไม่ได้เพราะหนานกงอินเป็นถึงรัชทายาท ได้แต่บ่นอุบอิบๆเท่านั้น"ไท่จื่อ ทรงหลงพระ