มีเสียงเรียกหาทั้งสามคนจึงรีบไป ไม่มีใครมาหาพวกนานมาหลายเดือนแล้ว
"เสียงนั่นไม่ใช่ผู่เย่วหรอกหรือ นางมาทำไมเดี๋ยวก็ถูกทำโทษหรอก"
เจียงฟางซินรีบไปหาเด็กสาว นางมักจนเอาขนมและอาหารมาฝาก เพราะเด็กคนนี้ไม่ฟังใคร บิดายกย่องเมียรองเป็นฮูหยินจึงทำให้หลินผู่เย่วต่อต้านหนักกว่าเดิม ฮูหยินคนใหม่จับนางแต่งงานกับบัณฑิต ใครจะรู้นางทำเป็นยอมเข้าพิธียังไม่ทันกราบไหวฟ้าดินนางก็พังงานแต่งใช้แส้ฟาดเสียบัณฑิตคนนั้นเกือบพิการ ตั้งแต่นั้นก็ไม่มีใครกล้าส่งแม่สื่อมาอีกเลย
"เย่วเย่ว พี่อยู่นี่เจ้ามาได้อย่างไรที่นี่ไกลจากในเมืองมากนักนะ"
"ข้าเดินเล่นมา แล้วก็มาหาท่านไงเสด็จพี่ฮองเฮา เอ๋นางเป็นใครกันเพคะ"
"พี่ผู่เย่วข้าเอง ซูฉี จางซูฉีที่ท่านชอบมีขนมมาฝากเสมอไงเจ้าคะ" จางซูฉีจำได้สตรีคนนี้แม้จะมุทะลุ แต่เป็นคนจิตใจดียิ่งนัก
"เจ้าหายปัญญาอ่อนแล้วหรือ เอ่อขอโทษไม่ตั้งใจน่ะ แล้วนี่เหตใดเข้ามาอยู่ที่นี่กัน มิใช่ว่าแต่งงานกับเยี่ยอ๋องหรอกหรือ"
"เรื่องมันยาวน่ะ ข้าหิวแล้วไปทำกับข้าวกันเถอะวันนี้ข้าซื้อของมาเยอะถือว่าฉลองมิตรภาพของเราสามคน"
ทั้งสามคนกินข้าวกันไปพูดคุยจนไปถึงรู้ว่าหลินผู่เย่วไม่ได้อยู่ที่จวนแล้วนางถูกบิดาไล่ออกมาให้อยู่เรือนหลังเล็กที่อยู่ท้ายเมือง นั่นคือสิ่งที่นางใฝ่ฝันเลยล่ะอิสระที่นางต้องการ
"พวกพี่รู้จักโรงพิมพ์หรือร้านหนังสือไหม ข้าไม่มีเงินเลยอยากคัดหนังสือขายน่ะ"
"คัดหนังสือได้เงินน้อยนะน้องฉีเอ๋อร์ วาดภาพวาบหวิวสิเงินดีฮ่าๆๆๆ" หลินผู่เย่วหัวเราะ
"เย่วเย่ว สอนอะไรน้องกันฉีเอ๋อร์อย่าไปฟังเด็กบ้านี่เลย แต่ว่าคัดอักษรเงินน้อยไม่คุ้มสายตา แล้วพวกเราจะทำอะไรกันดี อยู่เฉยๆอดตายแน่ วันนี้ถ้าไม่ได้เจ้าช่วยเด็กสองคนนั้นคงทนไม่ไหว" เจียงฟางซินจิ้มจมูกสาวน้อยผู่เย่ว
"พี่แล้วถ้าเขียนนิยายล่ะ ได้ไหมจะมีคนอ่านหรือไม่"
"มีนะแต่ว่าเจ้าเขียนเป็นหรือ ถ้านิยายต้องห้าม เล่มละสามร้อยถึงสี่ร้อยอีแปะเลยนะ ถ้าแบบว่ามีบทเร่าร้อนบางเล่มสามตำลึงก็มี"
หลินผู่เย่วกระซิบเสียงค่อยๆ
"พี่รอข้าแป๊บนะ"จางซูฉีเข้าไปในห้องก่อนจะเข้าไปในมิติแล้วลองขอ
"ขอนิยายเรื่องแม่ทัพไร้พ่ายที่ข้าเคยเขียนมาสักสามเล่มได้หรือไม่"
ไม่นานเกินรอก็ปรากฏหนังสือสามเล่มเป็นหนังสือโบราณ จางซูฉีหยิบมาดูก็พอใจลายมือเป็นการเขียนโดยพู่กัน อ่านง่ายก่อนจะออกมาหาคนที่รออยู่
"พี่ลองอ่านดูแล้วบอกข้าทีว่าขายได้ไหม"
หลินผู่เย่วกับจางฟางซินอ่านไปก็หน้าแดงไป นี่มันอร๊ายโอ๊ยเขินตัวบิดแล้ว
"นี่ๆทำไมข้ารู้สึกว่าแม่ทัพนี่คล้ายเยี่ยอ๋องจังส่วนกุนซือนี่เหมือนไอ้โรคจิตสวีไค่เฉิง" หลินผู่เย่วร้องทักทันทีที่จบเล่มสาม
"ส่วนอ๋องฉู่คนนี้คล้ายกับหนานกงอินกับหลี่หมิงหลงราชครูคนสนิทของเขาเลย"เจียงฟางซินเอ่ยขึ้นพร้อมกับหัวเราะ
"พี่ว่าขายได้ไหม หากว่าได้เราวางเล่มหนึ่งก่อน นิยายเรื่องนี้มีทั้งหมดสิบห้าเล่มขายเล่มละหนึ่งตำลึงได้ไหมหรือถูกไป"
"ฉีเอ๋อร์ขายเล่มละสองตำลึง ครั้งแรกขายสักร้อยเล่มก่อนพอคนอ่านติดค่อยพิมพ์เพิ่ม ว่าแต่ข้ารู้จักโรงพิมพ์ที่สนิทกัน เรื่องนี้จัดการเอง นิยายเจ้าสนุกมาก มิน่าเจ้าบ้าสวีไค่เฉิงนั้นถึงตามเยี่ยอ๋องติดแจที่แท้ก็แบบนี้"
สามสาวหัวเราะกันไปนอนคุยกันไป เด็กสี่คนยิ้มทั้งน้ำตาไม่ได้เห็นเจ้านายหัวเราะแบบนี้มานานแล้ว สองคนตัดสินใจค้างกับจางซูฉีถูกส่งมาเฝ้าตำหนักร้างเกือบปีแล้วไม่เคยมีใครมาหา แค่คืนเดียวคงไม่เป็นไรหรอก จากนั้นก็วาดวิมานถึงเงินที่กำลังจะมา พวกนางจะไปใช้ชีวิตกันในโลกกว้าง ตัดขาดเมืองหลวงจอมปลอมแห่งนี้
แดนเซียนควันสวีทองลอยขึ้นมายังด้านบนก่อนจะลอยเข้าสู่หว่างคิ้วของหนานกงเยี่ยเทพสงครามที่นั่งรอพระชายาตนอยู่ปากถ้ำ ทันทีที่ดวงจิตเข้าสู่ร่างเขาก็รู้ทันทีว่ามหาเทพถือกำเนิดในแดนมนุษย์แล้วชายาของเขานางกำลังจะออกมาจากการกักตนเพื่อหนีหน้าเขาแล้ว ประตูหินค่อยเลื่อนออกควันสีทองลอยเข้าไปยังด้านในเข้าสู่กลางหว่างคิ้วของเทพบุปผา ไม่นานชิงเหลียนที่หน้าตาเหมือนกันกับจางซูฉีที่แดนมนุษย์ก็เดินออกมาจากด้านใน นางเห็นสวามียืนรอก็เดินตรงมาหา เทพสงครางกางแขาออกให้ชายารักเดินเข้ามาสู่อ้อมกอดเทพบุปผาซบหน้ากับอกกว้าของเขาพร้อมเอ่ยเบาๆ"ฝ่าบาท หม่อมฉันผิดไปแล้ว ที่ผ่านมาหนีหน้าพระองค์ ไร้เหตผลต่อจากนี้จะไม่ทำอีกแล้วเพคะ ตอนอยู่แดนมนุษย์เคยเกือบเสียพระองค์ไปหม่อมฉันรู้แล้วว่าความเจ็บปวดนั้นเป็นเช่นไร""ข้าไม่โกรธเจ้า คนงามของข้าๆเตรียมเรือเรียบร้อยแล้ว รอเจ้าออกมาจากด่านเราจะไปล่องเรือกัน เราจะล่องจากตำหนักเหลียนฮวาาจนไปถึงดินแดนประจิม แล้วจากนั้นข้าจะพาเจ้าไปทะเลตะวันออกดีหรือไม่ หืม""เพคะ หม่อมฉันตามใจพระองค์ ฝ่าบาทชิงเหลียนรักพระองค์เพคะ""คนงามข้าก็รักเจ้า ชิงเหลียนคนดีของข้า"ทั้งคู่ล่องเรือไปตามสระบั
ท้องฟ้าเหนือแคว้นอู๋มีสายรุ้งปรากฎถึงเก้าสาย อีกยังมีเหล่านกน้อยบินวนรอบตำหนักเหมยฮวา ท้องฟ้าเป้นสีทองก้อนเมฆสีรุ้งงามตานัก จากนั้นด้านในจางซูฉีก็คลอดเด็กกออกมา อุแว้ๆๆๆๆ ไม่นานก็มีเสียงทารกดังออกมา"ท่านอ๋อง ไท่จื่อเป็นซื่อจื่อน้อยเพคะ หน้าตาละม้ายท่านอ๋องยิ่งนักเพียงแต่ว่า" แม่นมพูดค้างไว้จนทุกคนมองหน้ากัน หนานกงเยี่ยร้อนใจจึงเอ่ยถาม"แต่ว่าอะไรแม่นมเฟิ่ง ท่านพูดออกมาให้หมด""แต่ว่าเส้นผมของซื่อจื่อน้อยไม่ได้ดกดำเพคะ แต่เป็นสีเงินยวงราวกับหิมะเลยเพคะ เสียงร้องดังมากแปลว่าแข็งแรงดี""ทันทีที่แม่นมเอ่ยจบหนานกงเยี่ยก็รู้ทันทีว่าหน้าที่ของพวกเขาในแดนมนุษย์นั้นสมบูรณ์แล้ว รอเวลาจิตวิญญาณเขาและนางกลับแดนเซียนเท่านั้นหนึ่งชั่วยามต่อมาทุกคนจึงได้รับอนุญาตให้เข้าไปดูจางซูฉีกับบุตรชายได้ หนานกงเยี่ยเห็นหน้าบุตรชายก็ถอนหายใจ เขาต้องเป็นบิดาของคนที่เอาแต่ใจที่สุดในแดนสวรรค์จริงๆหรือ จากนั้นก็ก้มลงไปจุมพิตหน้าผากน้อยๆเบาก่อนจะกระซิบ"ฝ่าบาท อย่างไรก็เป็นบุตรกระหม่อม ดื้อรั้นให้น้อยลงหน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันมีสิทธิ์ตีก้นพระองค์ได้นะพ่ะย่ะค่ะ"ก่อนที่ทารกน้อยจะลืมตาทันทีจ้องหน้าคนที่เพิ่งข่มขู่เ
หนานกงเช่อไปแล้วบรรดาสาวนั่งจับกลุ่มคุยกันไม่หยุด แต่ละคนอุ้ยอ้ายจนดูน่ารักไปหมด เฉินลี่จูที่ถูกเยี่ยผิงอันอุ้มลงจากรถม้าเดินมาส่งที่ด้านในตำหนักก็อายหน้าแดง"ท่านอาปล่อยข้าลงเดินเองก็ได้นะเจ้าคะ ไม่ได้ไกลสักนิด""เมียจ๋า ดูพื้นสิขรุขระขนาดนี้ หากไม่ระวังอาจหกล้มได้ ไม่รู้ว่าเยี่ยอ๋องทรงคิดเช่นไรถึงได้ปูหินให้มีร่องห่างกัน พื้นไม่เสมอพระชายาก็กำลังตั้งครรภ์ไม่รู้จักระวังเลย"จางซูฉีขำกับความห่วงเมียคลั่งรักเมียของเยี่ยผิงอันหากบอกว่าท่านอาลู่จงได้เมียเด็กก็ไม่ถูกนัก อาลู่อายุสี่สิบ จูชุ่ยชุ่ยอายุย่างสิบแปด แต่เยี่ยผิงอันสี่สิบห้าย่างสี่สิบหก ส่วนเฉินลี่จูอายุสิบหก นางเด็กที่สุดในบรรดาเมียๆของเหล่าบุรุษแห่งวังหลวงเลยล่ะ"ใต้เท้าเยี่ย หากพื้นปูติดๆกันไม่มีร่อง ยามหิมะตก หรือฝนตกพื้นจะลื่น ร่องช่วยให้เวลาเดินไม่ลื่นน่ะ ลี่จูมานั่งกับพี่ก่อน เสี่ยวหรันกับชิงชิงน่าจะกำลังมา""เพคะพระชายา อ้อพี่ผู่เย่วท่านตั้งครรภ์อีกแล้วหรือเจ้าคะ ใต้เท้าสวีจะขยันเกินไปหรือไม่ คนโตยังไม่ได้ขวบเลย คิกๆๆ"ในบรรดาเด็กรุ่นน้องสามสาวแห่งสกุลจิน สกุลเฉินและสกุลว่านนี่คือแสบที่สุด ต่อยตีกับบุรุษไม่เว้นแต่ละวัน"พ
เมืองหลวงที่ไม่เคยหลับไหล โคมไฟเรียงรายห้อยเต็มหน้าร้านหน้าบ้านที่ปลูกติดกันยามลมพัดแกว่งไกวไปมาบรรยากาศในเมืองหลวงมีแต่ความสุข ฮ่องเต้กำเนิดพระธิดาสองพระองค์ อีกทั้งตอนนี้ฮองเฮาก็กำลังทรงพระครรภ์ได้สามเดือนแล้วตั้งแต่มาถึงเมืองหลวง ตระกูลหลักหลายตระกูล ตระกูลหลี่ ตระกูลว่าน ตระกูลสวี ตระกูลจิน และตำหนักอ๋องทั้งสอง รวมถึงตำหนักบูรพาขององค์รัชทายาท ต่างจัดเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ เพราะพระชายาไท่จื่อ พระชายาเยี่ยอ๋อง และชินอ๋องรวมถึงบรรดาฮูหยินของใต้เท้าทั้งหลายนั้นตั้งครรภ์พร้อมกันตำหนักบูรพารัชทายาทหนานกงอินกำลังรักเมียสาวอยู่อย่างนุ่มนวลอ่อนโยน เสียวครางแสนหวานของเจียงฟางซินทำให้เขายิ่งรักนางยิ่งขึ้น"ไท่จื่อ เมียไม่ไหวแล้วเพคะพอเถอะ อื้อ ลูกดิ้นอีกแล้วพระองค์ก็ไม่ยอมเลิกสักที ลูกในท้องงอแงแล้วนะเพคะ อร๊าย หนานกงอินเสียวนะ อย่างัดแบบนี้สิคนบ้าข้าตั้งครรภ์อยู่นะ""บอกมาก่อนว่ารักพี่เด็กดีพูดเร็ว ตั้งแต่เข้าหอมาจนถึงวันนี้ยังไม่บอกว่ารักพี่เลย พูดมาคนดี อืม เสียวจริงๆเมียจ๋า อยากให้ผัวเลิกต้องบอกรักผัวก่อน อ่าา""อื้อ รักเพคะ หม่อมฉันเจียงฟางซินรักหนานกงอิน อร๊าย หม่อมฉันเสร็จอีกแล้ว
ขบวนเดินทางมาได้ครึ่งเดือนแล้ว แวะพักบางจุดเนื่องจากทำผักดองแบะเนื้อรมควันไว้มากมาย อาหารการกินจึงไม่ลำบากมมากนักจางซูฉีไม่ต้องการให้หนานกงเยี่ยไปล่าสัตว์บนเขา ซึ่งอาจเกิดอันตรายได้คืนนี้พวกเขาแวะพักตรงริมน้ำใกล้เชิงเขา แต่จางซูฉีสั่งเดินทางต่อ หนานกงเช่อจึงไม่เข้าใจเหตุผลของนาง"ฉีเอ๋อร์ พ่อไม่เข้าใจที่เจ้าให้พวกเราเดินทางต่อ นี่ยามเซินแล้วกว่าจะสร้างกระโจมอีก ตรงนี้มีลำธารด้วยสะดวกสบายกว่าไม่ใช่หรือ""เสด็จพ่อ หากเป็นแม่น้ำลำธารที่ไม่อยู่ใกล้เชิงเขาลูกคงไม่ขัดหรอกเพคะ แต่ว่าลำธารนี้ทรงทอดพระเนตรสิเพคะ มีรอยเท้าสัตว์เต็มไปหมด แปลว่านี่เป็นแหล่งน้ำของพวกมัน อีกทั้งยังมีคราบเลือดเป็นจุดๆทั้งรอยเก่ารอยใหม่ แปลว่ามีสัตว์นักล่าด้วย ในขบวนมีคนท้องถึงเจ็ดคน แม้ว่าเหล่าบุรุษจะมีวรยุทธ แล้วนางกำนัลเหล่านั้นเล่าเพคะพวกนางอ่อนแอ เราเสียเวบาเดินทางอีกหน่อยก็ไม่ต้องเสี่ยง ลูกแค่ห่วงความปลอดภัยของทุกคน"เมื่อจางซูฉีชี้แจงเหตุผลจบ ทุกคนก็ยิ่งรีบเดินให้พ้นลำธารไวขึ้น ไม่นานก็เลยเชิวเขามาห้าลี้และเจอเข้ากับแม่น้ำเล็กๆสายหนึ่ง แม่น้ำสายนี้เรือเล็กสามารถสัญจรได้ จึงพากันหยุดพักที่ตรงนั้น"ฉีเอ๋อร์เหนื
ผ่านไปเดือนกว่ารถม้าที่สั่งทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนี้กำลังฝึกม้าที่จะนำมาใช้กับรถม้าอยู่ ใช้เวลาฝึกนานประมาณเกือบเดือน เพราะบรรดาคนที่นั่งในรถม้าคือเหล่าสตรีที่กำลังตั้งครรภ์จินเสี่ยวหรันที่ตอนนี้ไม่ต้องดูแลสวีไค่ไหยุนแล้ว เพราะเขาเริ่มไม่มีอาการแพ้ท้องแบบที่อาเจียนไม่หยุดแล้ว เหลือเพียงแค่ความอยากอาหารเท่านั้นส่วนว่านชิงชิงทุกวันนี้นางกลุ้มใจมาก ว่านอันสุ่ยไม่ยอมห่างนางเลยไม่ยอมให้เดิน ไปไหนก็อุ้มตลอดเวลา บางครั้งเขาก็งอแงเป็นเด็กน้อยห่างนางไม่ถึงชั่วยามก็ตามหาอีกแล้ว จนถูกฮ่องเต้เรียกไปต่อว่าหลายครั้งเพราะเสียงานเสียการ"ใต้เท้าว่าน เราว่าท่านรักเมียเกินไปหรือไม่ งานการมีไม่สนใจทำงานอยู่ดีๆหาเมียไม่เจอก็ทิ้งงาน เจ้ามันตาแก่หลงเมียเด็กจริงๆ""ฝ่าบาท กระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ต่อไปจะไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้อีกพ่ะย่ะค่ะ"ว่านอันสุ่ยเสียงอ่อย แต่ฮ่องเต้ตรัสถูกต้องเขาหลงเมียจริงๆแต่แค่ไม่อยากยอมรับ"ใต้เท้าว่าน ข้าเองก็รักเมียไม่แพ้ท่าน แต่งานส่วนงานท่านต้องแยกแยะสักหน่อยนะ"หนานกงอินเยาะว่านอันสุ่ย เขาเถียงไม่ได้เพราะหนานกงอินเป็นถึงรัชทายาท ได้แต่บ่นอุบอิบๆเท่านั้น"ไท่จื่อ ทรงหลงพระ