ในเมื่อมารดาของนางยังไม่อาจตัดสินใจได้ ก็ต้องปล่อยให้นางพบก็ความซอกซ้ำจนถึงที่สุดไปเสียเลย เซี่ยหยวนก็มองที่มารดาอย่างกังวล มิใช่เขาไม่รู้ว่ามารดารักผู้เป็นบิดามากเพียงใด แต่ความรักที่ผู้เป็นบิดามอบให้พวกเขาสองพี่น้องก็ไม่ได้น้อยกว่าที่มอบให้เซี่ยหรันเซียนเลย
จะต่างกันก็ตรงที่ไม่ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกับเขาและน้องสาว ผู้เป็นบิดามิอาจจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือได้สักครั้ง ทั้งที่ตนเองเป็นถึงผู้ตรวจการใหญ่ของเมืองหลวง
“มิใช่ว่าแม่ไม่เชื่อเจ้า แต่ว่า...” ตู้เหลียนบีบมือแน่น นางจะพูดเช่นไรดี นางยังไม่อาจจะทิ้งเซี่ยถงวู่ไปได้ เพราะนางรักเขามากเหลือเกิน และทั้งชีวิตของนางที่เห็นสามีเป็นท้องฟ้า นางจะอยู่ได้เช่นใดหากไม่มีเขา
“ท่านแม่ ข้ากับน้องสาวไม่อาจโทษท่านได้ หากท่านต้องการจะอยู่เคียงข้างท่านพ่อ แต่ข้าก็ไม่อาจทนเห็นน้องสาวของข้าตายได้อีกครั้ง ไม่รู้ว่าหากเกิดเรื่องอีกครั้ง นางจะมีโอกาสได้กลับมาเช่นนี้หรือไม่” เซี่ยหยวนเอ่ยขึ้นอย่างปวดใจ
เขาไม่เสียดายหากจะต้องละทิ้งแซ่เซี่ยที่มีอำนาจในเมืองหลวงไป หากมันจะช่วยให้น้องสาวของเขามีชีวิตรอดต่อไปได้ เขาพร้อมที่จะเริ่มใหม่โดยไม่ต้องมีตระกูลหนุนหลัง
“แม่เข้าใจแล้ว” เมื่อได้ยินคำพูดของบุตรชาย ที่ไม่อาจสูญเสียน้องสาวไปได้อีกครั้ง ตู้เหลียนก็เหมือนจะเริ่มคิดได้ วันนี้นางจะลองเอ่ยเรื่องนี้กับผู้เป็นสามีดู
ไม่ว่าคำตอบของเขาเป็นเช่นใด นางก็พร้อมที่จะให้คำตอบบุตรทั้งสองคนเรื่องที่นางจะไปพร้อมบุตรหรือเลือกที่จะอยู่ต่อ
หากเซี่ยหรูอวี้ได้ยินความคิดของผู้เป็นมารดา นางคงได้แต่กลอกตามองบนกับความรักสามีหลงสามีของผู้เป็นมารดาอย่างแน่นอน
เซี่ยหรูอวี้ยังไม่เข้าใจความรักนัก นางไม่คิดว่าคนเราจะต้องยกทั้งชีวิตไว้ที่คนอื่นได้ ในเมื่อตัวนางก่อนหน้านี้ล้วนแต่ต้องพึ่งตนเองเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดให้ได้
“ออกไปด้านนอกกันเถิด” เซี่ยหยวนแม้อยากจะอยู่สำรวจภายในห้วงมิติของเซี่ยหรูอวี้ต่อ แต่ก็จำต้องออกไป ด้วยกลัวว่าคนด้านนอกจะสงสัยเรื่องที่ทั้งสามหายตัวไปจากห้องของหรูอวี้
“ประเดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ” หรูอวี้หายเข้าไปในห้องด้านใน เพื่อหายาลดไข้มากินกันไว้ก่อน “ไปกันเจ้าค่ะ” นางกลืนยาลงท้องโดยไม่สนใจหาน้ำมาดื่ม ก่อนจะพาทั้งสองออกจากมิติไปด้านนอก
“อวี้เออร์ เจ้านอนพักต่ออีกสักหน่อย แม่จะไปรอพบพ่อของเจ้า” ตู้เหลียนห่มผ้าให้นางอย่างใส่ใจ
หรูอวี้เคยได้รับการดูแลเช่นนี้เสียที่ไหน แม้แต่ตอนที่นางล้มป่วยเมื่อชีวิตก่อน ก็มีเพียงเสี่ยวซานที่แวะมาดูนางเป็นครั้งคราว ด้วยภารกิจของเสี่ยวซานที่เป็นงานเล็กน้อยย่อมมีมากกว่านาง นางจึงต้องดูแลตัวเอง
แต่ตอนนี้มีทั้งมารดาและผู้เป็นพี่ชายที่ห่วงใยนางเพิ่ม นางจะไม่ยอมให้ชะตาชีวิตของทั้งสองต้องมีจุดจบเช่นในความฝันของนางอีกแล้ว นางจะพาทั้งสองออกไปใช้ชีวิตใหม่ด้านนอก
“เจ้าค่ะ” นางยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะหลับตาลงเพื่อพักผ่อน
เซี่ยหยวนเมื่อเดินออกมาจากเรือนน้องสาวจึงได้รู้ว่า เวลาที่เขาเข้าไปอยู่ภายในมิติเดินช้ากว่าด้านนอกมากนัก ด้านในผ่านไปถึงสองชั่วยาม (1 ชั่วยาม = 2 ชั่วโมง) แล้ว แต่ด้านนอกเพิ่งจะผ่านไปเพียงหนึ่งก้านธูป (30นาที) เท่านั้น
“ท่านแม่ ลูกอยากให้ท่านนึกถึงเรื่องที่น้องสาวพูดในวันนี้ให้มากขอรับ” เซี่ยหยวนเอ่ยเตือนมารดา ไม่ให้ใจอ่อนกับผู้เป็นบิดาอีก
“แม่เข้าใจแล้ว” ตู้เหลียนก้มหน้าลงเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบบุตรชายเสียงเบา
เซี่ยหยวนเดินกลับไปที่เรือนพกของเขา โดยที่ไม่ได้ไปโวยวายที่เรือนหลักเช่นทุกครั้งที่น้องสาวถูกกลั่นแกล้ง ส่วนตู้เหลียนกลับไปรอเซี่ยถงวู่ที่เรือนของนาง
นางเดินเข้าไปภายในห้อง ก่อนจะนั่งลงค้นหาสิ่งของที่อยู่ภายในหีบสินเดิม นางจำได้ว่านางเก็บไว้ใต้ก้นหีบอย่างดี ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตนี้จะได้หยิบของสิ่งนี้ออกมาใช้
“คุณหนู!!!” แม่นมตู้เอ่ยเรียกนางเสียงเบา เมื่อเห็นกระดาษในมือของตู้เหลียน ยามที่อยู่เพียงลำพังนางไม่อยากจะเรียกคุณหนูของนางว่าอนุ จึงได้เอ่ยเรียกว่าคุณหนูมาโดยตลอด
“แม่นม ข้าคิดดีแล้ว ข้าควรจะทำสิ่งใดเพื่อบุตรของข้าทั้งสองคนบ้าง” นางมองเนื้อหาที่เขียนในกระดาษด้วยแววตาที่สั่นไหว
มันเป็นหนังสือยินยอมจากเซี่ยถงวู่ ที่บิดาของนางบังคับให้เขาทำไว้ ก่อนที่จะรับนางเข้าตระกูลเซี่ย หากวันใดที่นางต้องการจะออกจากตระกูลเซี่ยไปเริ่มชีวิตใหม่ พร้อมกับบุตร เขาไม่อาจจะเหนี่ยวรั้งนางได้
ยิ่งในสัญญามีตราประทับของฮ่องเต้ด้วยแล้ว เซี่ยถงวู่ยิ่งไม่อาจจะฝ่าฝืนไม่ทำตามได้ ที่ฮ่องเต้เมตตานางมากถึงเพียงนี้ ด้วยนางและพระองค์เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน นางเคยจะถูกรับตัวเข้าเป็นพระสนมในวังหลวงมาก่อน แต่ด้วยนางปักใจรักมั่นกับเซี่ยถงวู่จึงได้ยินยอมแต่งเป็นอนุให้กับเขา
ไม่คิดเลยว่าการเลือกครั้งนั้นของนาง จะกลายเป็นสร้างความชอกช้ำให้กับบุตรทั้งสองและตัวนางมาจนทุกวันนี้
แม้ฮ่องเต้จะเคยตรัสกับนางว่าหากมีเรื่องใดที่ต้องการขอความช่วยเหลือ นางสามารถร้องขอจากพระองค์ได้ทุกเมื่อ แต่นางก็ไม่คิดจะทำ แต่ไม่ใช่กับครั้งนี้ หากเซี่ยถงวู่ยังเพิกเฉยต่อความเป็นความตายของบุตรสาวนาง นางจะเลือกหนทางนี้มาใช้กับเขาเสีย เรื่องนี้นางไม่เคยเอ่ยเล่าให้บุตรทั้งสองฟังมาก่อน ได้แต่เก็บไว้กับตัวเอง
เซี่ยถงวู่เมื่อเดินทางกลับมาจากที่ตรวจการ ก็ตรงมาที่เรือนของตู้เหลียนทันที เขารู้เรื่องจากพ่อบ้านเซี่ยแล้วว่าวันนี้เกิดเรื่องใดขึ้น
“อาเหลียน เหตุใดเจ้าถึงไม่ปล่อยให้อวี้เออร์ไปแย่งของจากเซียนเออร์ได้เล่า” เขาเอ่ยถามอย่างไม่พอใจ
ยิ่งคำพูดใส่ร้ายจากปากของพ่อบ้านเซี่ยที่เป็นคนของสวีเหมยลี่ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เขามีโทสะไม่น้อย ด้วยมีคุณหนูจากจวนต่างๆ อยู่เห็นเหตุการณ์ไม่น้อย ทำให้เขาต้องเสียหน้า
ตู้เหลียนเงยหน้ามองผู้เป็นสามีอย่างตัดพ้อ เขาเดินเข้ามายังมิได้เอ่ยถามอาการของบุตรสาวสักคำก็ต่อว่านางในเรื่องที่ไม่ได้สอบสวนเสียแล้ว
“ท่านคิดว่า เพียงปิ่นด้ามเดียว ข้าไม่อาจจะหามาให้อวี้เออร์ได้รึ” นางจ้องมองเขาอย่างเย็นชา ด้วยรู้แก่ใจแล้วว่าสุดท้ายเขาก็ต้องเลือกออกหน้าแทนสวีเหมยลี่และเซี่ยหรันเซียนอยู่ดี
“...” เซี่ยถงวู่เม้มปากแน่น ด้วยรู้ว่าสินเดิมของนางมีไม่น้อย ทั้งยังได้พระราชทานมาจากฮ่องเต้ก่อนที่จะแต่งเข้าจวนของเขาอีกมากมายหลายหีบ
“ท่านคิดจะถามหรือไม่ว่าอวี้เออร์ตกน้ำ อาการนางเป็นเช่นใดบ้าง ท่านจะสอบสวนเรื่องนี้ให้ข้าอย่างกระจ่างหรือไม่” นางเอ่ยถามเขาโดยไม่เว้นให้เขาหยุดคิด
“เอ่อ...อวี้เออร์นางเป็นเช่นใดบ้าง”
“นางฟื้นแล้ว ข้าเพิ่งจะกลับมาจากเรือนของนาง”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว เรื่องในวันนี้ก็ถือเสียว่าให้ผ่านไปเถิด”
“หึ ท่านเคยคิดจะปกป้องข้ากับลูกบ้างหรือไม่ ท่านลืมเรื่องที่รับปากบิดาข้าไปแล้วหรืออย่างไร” นางมองเขาอย่างผิดหวัง
“มิใช่เช่นนั้น แต่จะให้เรียกคุณหนูจวนอื่นมาถามความก็ดูจะวุ่นวายเกินไป ดีไม่ดีอาจจะกลายเป็นเรื่องนินทาสนุกปากไปเสียอีก”
“อืม...ข้าเข้าใจแล้ว” ตู้เหลียนหมุนตัวไปที่โต๊ะเครื่องแป้งของนาง ที่วางกระดาษในที่เพิ่งค้นออกมาไว้
“ท่านจำหนังสือสัญญาแผ่นนี้ได้หรือไม่” นางชูกระดาษที่อยู่ในมือขึ้น
“จะ เจ้า หมายความเช่นไร” เซี่ยถงวู่ตกตะลึงไม่น้อย ที่เห็นนางหยิบกระดาษแผ่นนี้ขึ้นมา
อันอ๋อง ยอมเข้าไปอยู่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจ้าวลู่ฉือตั้งแต่วัยสิบสองหนาว แม้เขาจะมิได้แสดงออกว่าพึงใจในตัวของซูซินมากนัก แต่ก็ลอบหาทางพบนางอยู่เสมอ“หึ อันอ๋องร้ายนัก ข้ารึก็มัวแต่ระวังเจ้าลูกเต่าจวนอื่น” จ้าวลู่ฉือสบถออกอย่างหัวเสียเมื่อเขารู้เรื่องจากหรูอวี้ว่า ทั้งสองเหมือนจะมีใจให้กัน“ท่านพี่ ซินซินนางถึงวัยออกเรือนแล้ว อันอ๋องเองก็อยู่ในสายตาของท่านมาตลอด ท่านยังมิวางใจอีกรึ”“พี่ยังอยากให้ซินซินอยู่กับพี่และเจ้าไปอีกหลายปี”“เหอะ ท่านจะให้นางแก่ตายคาจวนหรืออย่างไร ข้าตัดสินใจแล้ว หากซินซินนางเลือกอันอ๋องข้าก็ไม่ขัดขวาง ท่านก็ปล่อยวางได้แล้ว” หรูอวี้มองสามีที่ผมเริ่มจะขาว ของนางอย่างมีโทสะนางอยากจะถามเขาเสียเหลือเกินว่าจะต้องรอให้เขาลงหลุมก่อนรึ ถึงจะยอมให้บุตรสาวออกเรือนได้เมื่อคำเด็ดขาดหลุดออกมาจากปากของหรูอวี้ จ้าวลู่ฉือก็ไม่อาจเอ่ยแย้งได้ พออันอ๋องมาเอ่ยเรื่องทาบทามที่จวน จ้าวลู่ฉือจึงบังคับให้เขาสาบานต่อฟ้าดินว่าจะมีเพียงบุตรสาวของตนเพียงหนึ่งเดียวในตำหนัก“เปิ่นหวางสาบานต่อหน้าฟ้าดิน ชั่วชีวิตนี้จะมีเพียงซินซินหนึ่งเดียว และจะไม่ทำให้นางต้องช้ำใจเป็นอันขาด”สามเดือนต
หรูอวี้นางคิดว่า มีเพียงฝาแฝดทั้งสองเป็นบุตรก็เพียงพอแล้ว เพียงเลี้ยงเขาน้องก็ไม่มีเวลาปลีกตัวไปทำอันใดได้ จึงมิได้คิดเรื่องที่จะมีบุตรอีกเลย“ท่านแม่จะมีน้องสาวให้ข้ารึขอรับ” จ้าวหลิงฮุ่ยเอ่ยถามออกมาด้วยใบหน้าที่ใสซื่อจ้าวหลิงเทียนก็มองมาทางหรูอวี้ด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย แม้ไม่ได้พูดออกมา ก็รู้ว่าเขาอยากจะมีน้องสาวตัวน้อยเช่นเดียวกัน“ใช่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย” นางลูบหัวบุตรทั้งสองอย่างรักใคร่“มีน้องชายก็ได้ขอรับ ข้าชอบทั้งหมดที่เป็นน้องของข้า” จ้าวหลิงฮุ่ยฉีกยิ้มกว้างอย่างน่าเอ็นดู“ยินดีด้วยขอรับท่านแม่ทัพ” ตลอดทางนับตั้งแต่เดินเข้าจวนมา เขาอดจะสงสัยไม่น้อยที่บ่าวไพร่ ต่างเข้ามาแสดงความยินดี ราวกับว่าเขาได้เลื่อนตำแหน่งเสียอย่างงั้นแต่จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อยามนี้เขาเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ ที่ไม่อาจจะมีตำแหน่งใดสูงได้มากกว่านี้อีกแล้ว“เกิดเรื่องใดขึ้น” เขาเอ่ยถามบ่าวแล้ว แต่ก็ไม่ได้คำตอบ ได้แต่บอกให้เขากลับไปฟังเรื่องราวที่เรือนของฮูหยินเองเสียงพูดคุยหัวเราะของคนในเรือนของหรูอวี้ ทำให้จ้าวลู่ฉือที่เดินทางกลับมาจากค่ายทหารนอกเมืองยืนยิ้มตามไปด้วยรอยยิ้มเช่นนี้ของเขา ม
เรื่องนี้ทำให้ตู้เหลี่ยงพอใจอยู่ไม่น้อย ด้วยตัวเขาเองก็เตรียมชื่อไว้ให้เหลนชายทั้งสองเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าจ้าวลู่ฉืออยากจะตั้งเองหรือไม่“จ้าวหลิงเทียน จ้าวหลิงฮุ่ย ชอบหรือไม่เล่า” เขาเอ่ยเรียกเหลนชายทั้งสอง พร้อมทั้งมองอย่างรักใคร่จ้าวหลิงเทียนผู้พี่ จ้าวหลิงฮุ่ยผู้น้อง หัวเราะจนเห็นเหงือกของตน สร้างความอิ่มเอมใจให้กับทุกคนในห้องโถงจนมีรอยยิ้มไปตามๆ กันแต่แล้วความครื้นเครงก็หยุดลง เมื่อพ่อบ้านจ้าว เข้ามาแจ้งเรื่องที่เซี่ยถงวู่มาขอพบตู้เหลี่ยงและตู้เหลียนที่หน้าจวนตู้เหลี่ยงส่งฝาแฝดให้แม่นมพาออกไปด้านนอกทันที ก่อนจะตบโต๊ะเสียงดังอย่างมีโทสะ“เดรัจฉาน!!! ยังมีหน้ามาขอพบข้าอีกรึ”“ท่านตา อย่าได้มีโทสะเจ้าค่ะ หากท่านไม่ต้องการพบหน้าก็เพียงแค่ให้บ่าวหน้าจวนไล่ไปก็เท่านั้น ไยจะต้องทำให้ตนเองขุ่นใจด้วย” หรูอวี้เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย นางเหลือบมองมารดาก่อนจะพูด ก็เห็นว่านางไม่ได้แสดงอาการตื่นเต้นดีใจที่เซี่ยถงวู่มาขอพบ จึงได้เบาใจลง“เป็นเช่นที่อวี้เออร์นางว่า หากท่านอาจารย์ไม่ต้องการจะพบ ข้าจะออกไปจัดการให้ท่านเองขอรับ”“อืม...ลำบากเจ้าแล้ว” เพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่าตู้เหลี่
“สวรรค์” บ่าวไพร่และเสี่ยวฟ่านที่ได้พบเห็นคุณชายน้อยของตนก็ได้แต่อุทานออกมาอย่างแปลกใจนี่มันเด็กเพียงคลอดเสียที่ไหน ทั้งสองราวกับเด็กครบเดือนแล้ว ดวงตาที่กวาดมองไปทั่ว ราวกับรู้เรื่องราวและรับรู้สิ่งที่พวกเขาเอ่ยพูดกัน“พาไปให้อวี้เออร์นางดูก่อนเถิด” จ้าวลู่ฉือเขี่ยแก้มบุตรชายทั้งสอง ก่อนจะเดินนำเข้าไปด้านในห้อง ที่สาวใช้ทำความสะอาดร่างกายของหรูอวี้เรียบร้อยแล้ว“ฮูหยินช่างมีบุญนัก แม้แต่กลิ่นน้ำคลอดของนางก็ไม่เหม็นเช่นที่ข้าเคยพบเจอ ดูเหมือนว่าจะคลายกลิ่นดอกบัวเสียด้วยซ้ำ” หมอตำแยเอ่ยพูดคุยถึงเรื่องความน่าอัศจรรย์นี้กันจ้าวลู่ฉือ เห็นหรูอวี้นั่งพิงหัวเตียงชะเง้อคอมองมาทางประตูก็อมยิ้มมองนาง“เจ้าอยากเห็นลูกใช่หรือไม่” เขารับเด็กทั้งสองคนมาจากป้าจิ้นและเสี่ยวซี ก่อนจะเดินเข้าไปหาหรูอวี้ที่เตียงหรูอวี้เม้มปากแน่น มองเด็กน้อยที่อยู่ในห่อผ้าที่แขนของจ้าวลู่ฉือ“ลูกข้า...ช่างตัวเล็กนัก” นางไม่รู้ว่าจะเอ่ยเช่นไรไม่คิดด้วยว่าในชีวิตนางจะให้กำเนิดเด็กน้อยออกมาได้ หรูอวี้มองเด็กทั้งสองด้วยดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำ ความรู้สึกแปลกใหม่เกิดขึ้นกับนาง จนนางไม่อาจจะอธิบายได้ความรัก ความหวงแหน ห
“อันใดกัน มีเรื่องที่เจ้าจัดการไม่ได้ด้วยรึ” ฮ่องเต้ไม่อยากจะเชื่อ ว่าสหายรักจะจัดการเรื่องหยุมหยิมเช่นนี้ไม่ได้“มีเพียงเรื่องของนางที่ไม่อาจจัดการได้” เขาไม่เคยเอาชนะนางได้เลย นับตั้งแต่ที่พบเจอนางในครั้งแรก“เพ้ย สตรี อย่างไรก็ต้องอยู่ภายใต้คำสั่งของสามี เจ้าตามใจนางเกินไปแล้ว”“พูดไป พระองค์ก็ไม่เข้าพระทัย กระหม่อมกลับจวนก่อนพ่ะย่ะค่ะ” จ้าวลู่ฉือลุกขึ้นจะเดินออกจากวังหลวง“ให้เจิ้นช่วยพูดดีหรือไม่” สตรีในวังนับร้อย เขายังจัดการได้“นางไม่ได้อยู่ให้พระองค์พูด พระองค์จะช่วยได้อย่างไร”“ห๊ะ!!! ถึงกลับหนีไปเลยรึ”จ้าวลู่ฉือส่ายหัวอย่างปลงตก แล้วเดินออกจากห้องตำราของฮ่องเต้กลับจวน หากนางหนีไปเช่นผู้อื่น เขายังตามกลับมาได้ แต่นี่ นางเล่นหายไปในมิติ เขาจะตามนางได้อย่างไรหรูอวี้ที่เก็บน้ำหวานจากดอกบัวจนเบื่อแล้ว นางจึงได้ออกมาด้านนอก พอออกมาถึงก็ถูกจ้าวลู่ฉือที่นั่งรอนางอยู่รวบตัวกอดรัดไว้แน่น“อวี้เออร์ อย่าได้ทำกับข้าเช่นนี้อีก อย่าได้หายไปโดยไม่บอกข้า เรื่องคุณหนูที่มากวนใจเจ้าวันนั้นข้าจัดการให้ตระกูลของพวกนางจับนางแต่งออกไปแล้ว ยามนี้ไม่มีผู้ใดกล้ามากวนใจเจ้าอีกแล้ว” เขาซุกใบหน้าลงก
หรูอวี้ตบไปที่ใบหน้าของคุณหนูหั่วเต็มแรง มีดสั้นถูกวางจ่ออยู่ที่คอของคุณหนูหั่ว หากนางขยับตัวเล็กน้อยคงได้เห็นเลือดอย่างแน่นอน“ข้าไม่ถือ หากเจ้าจะใช้มารยาเพื่อได้เข้าตระกูลจ้าว แต่ในเมื่อเจ้าปากกล้ากับข้าเช่นนี้ ข้าคงต้องทำให้เจ้ารู้เสียแล้วว่าข้าเป็นเช่นไร” หรูอวี้ขยับข้อมือเพียงเล็กน้อย คมมีดก็บาดเข้าคอของนางจนเลือดซึมออกมา“ขะ ข้ากลัวแล้ว ข้าไม่ได้ตั้งใจเจ้าค่ะ” นางเอ่ยขอร้องอย่างลนลาน“อวี้เออร์ ข้าจัดการเอง” จ้าวลู่ฉือเดินเข้ามาจับข้อมือของนางไว้“หึ” นางสะบัดมือของเขาออก ก่อนจะปามีดสั้นไปตรงกลางโต๊ะที่พวกคุณหนูคนอื่นนั่งอยู่ แล้วเดินออกจากห้องโถงไปอย่างไม่สบอารมณ์จะเรียกว่านางหึงหวงเขาเสียจนหน้ามืดก็ได้ที่ลงมือเช่นนั้น แต่คุณหนูหั่วก็ปากดีเสียจนนางควบคุมอารมณ์ไม่อยู่หรูอวี้ไล่ป้าจิ้นกับเสี่ยวซีที่ตามนางมาที่เรือนอย่างเป็นห่วงออกไป ก่อนจะเข้าไปสงบอารมณ์ในมิติของนางจ้าวลู่ฉือยืนมองคุณหนูที่รอพบเขาที่ละคน ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมา“เป็นบิดาของพวกเจ้า หรือตัวพวกเจ้าที่ใจกล้าทาเยือนจวนของข้ากัน” เขาเอ่ยถามออกมาด้วยเสียงเหยียบเย็นบางคนที่หวาดกลัวจนตัวสั่นก็โยนเรื่องราวทั้งหมดไปให้ผู้เป