ชาวบ้านที่เห็นต่างมองดูด้วยความสงสาร หรูอวี้เห็นเช่นนั้น นางก็ร้องไห้เสียงดังยิ่งกว่าเดิม
“ทะ ท่านดู สินเดิมของท่านแม่เหลือติดตัวไปเพียงน้อยนิด ที่ผ่านมาข้ากับท่านพี่ล้มป่วยก็เป็นท่านแม่ที่นำสินเดิมออกมาใช้จ่าย เงินเดือนที่สมควรได้ก็มิได้เช่นผู้อื่น แล้วพวกข้าจะขโมยของท่านได้อย่างไร”
“ท่านตรองดูสักนิดเถิด ข้าถูกสั่งให้อยู่แต่ภายในจวน เหตุใดเรื่องความร้ายกาจของข้าและท่านแม่ถึงได้ถูกชาวเมืองเอาไปนินทากันจนสนุกปาก ข้ากับท่านแม่เคยร้องขอความเป็นธรรมหรือไม่”
“วันนี้ที่ต้องออกจากจวนตระกูลเซี่ย กลับเข้าตระกูลตู้ ก็ด้วยข้าถูกรังแกจนเกือบจะรักษาชีวิตไม่ได้ ท่านแม่เห็นใจข้า กลัวว่าหากมีครั้งหน้าข้าคงต้องกลายเป็นวิญญาณจึงได้ขอร้องท่านให้ปล่อยพวกเราสามแม่ลูกไป” หรูอวี้ยังเล่นงิ้วของนางไม่เลิก ยิ่งมีคนเพิ่มขึ้น นางก็ยิ่งพูดสิ่งที่อยู่ในใจของเซี่ยหรูอวี้คนเดิมออกมาทั้งหมด
ภายในของหรูอวี้กำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง นางไม่เคยแสดงด้านนี้ออกมาให้ผู้ใดได้เห็น เมื่อลองทำแล้วจึงรู้สึกแปลกใหม่และสนุกไม่น้อย
เซี่ยหยวนแทบจะไปดึงน้องสาวกลับขึ้นรถม้า แม้รู้ดีว่านางกำลังเรียกร้องความเป็นธรรม พร้อมทั้งทิ้งปัญหาก้อนใหญ่ให้ตระกูลเซี่ยเก็บกวาด แต่เห็นนางร้องไห้เช่นนี้เขาก็ปวดใจไม่น้อย (ไม่รู้เหรอ ว่าน้องสาวเจ้าเล่นงิ้วอยู่)
“ท่านผู้ตรวจการ อย่าหาว่าข้าน้อยปากมากเลย ท่านดูเถิดรถม้าเพียงสองคัน หนึ่งคนไว้นั่ง อีกหนึ่งคันบรรทุกสิ่งของ ท่านว่าสมบัติครึ่งจวนของท่านจะอยู่ภายในได้อย่างไร แล้วอีกอย่างแม่นางตู้จะทำร้ายฮูหยินเอกของท่าน โดยที่บ่าวไพร่ในจวนไม่รู้เรื่องเลยงั้นรึ”
ชาวบ้านที่ได้ยิน ต่างก็ตะโกนเห็นด้วยกันยกใหญ่ ทั้งยังต่อว่าตระกูลเซี่ยที่รังแกอนุจนต้องหอบลูกหนีกลับบ้านเดิม
“หยุด!!! ไม่ต้องค้นแล้ว” เขารู้ดีว่าตู้เหลียนกับบุตรทั้งสองไม่อาจจะนำของในคลังสมบัติเขาไปด้วยได้ แต่ไม่คิดว่าสินเดิมที่มากมายของนางจะเหลือเพียงไม่กี่หีบเท่านั้น
“...” เซี่ยถงวู่อับอายต่อคำพูดของหรูอวี้ไม่น้อย แต่เพราะมีคนอยู่ที่หน้าจวนจำนวนมาก ทั้งยังมีพานกงกงอยู่ด้วยเขาจึงไม่อาจทำสิ่งใดได้
ได้แต่เดินกลับเข้าจวนเพื่อไปจัดการเรื่องราวที่วุ่นวายให้แล้วเสร็จ เรื่องที่ถูกลือออกไปหลังจากนี้คงต้องหาทางจัดการที่หลัง
“ขอบคุณท่านกงกงมากเจ้าค่ะ ที่ช่วยพูดให้ข้าสามคนแม่ลูก” ตู้เหลียนจำต้องลงจากรถม้ามาขอบคุณพานกงกงอีกครั้ง
“หามิได้ นี่เป็นสิ่งที่ข้าน้อยสมควรทำ” ฮ่องเต้รับรู้เรื่องภายในจวนเซี่ยมาโดยตลอด แต่เพราะตู้เหลียนนางไม่เอ่ยขอร้องให้ช่วยเหลือ พระองค์จึงมิอาจยุ่งเรื่องในเรือนหลังของขุนนางได้
“ขอบคุณเจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
“เดินทางปลอดภัยขอรับ”
ตู้เหลียนจับแขนบุตรสาวที่ยังนั่งตัวสั่นอยู่ที่พื้นกลับขึ้นไปบนรถม้า
“เช็ดหน้าตาเสีย ดูไม่ได้เอาเสียเลย” นางยื่นผ้าเช็ดหน้าให้พร้อมทั้งถลึงตามองตำหนิบุตรสาว
หรูอวี้ได้แต่ยิ้มแห้งออกมา เมื่อรู้ว่าผู้เป็นมารดารู้ทันตัวนาง
“เจ้าลงมือหนักเกินไปแล้ว” ตู้เหลียนดึงผ้าเช็ดหน้ามาช่วยนางเช็ด ทั้งยังตำหนิหรูอวี้ออกมา
เซี่ยถงวู่เป็นถึงผู้ตรวจการ หากเขาเห็นหลักฐานที่หรูอวี้ทิ้งไว้ ย่อมต้องรู้ได้ทันทีว่าเป็นฝีมือของนาง
“ข้าอยากจะทำมากกว่านี้เสียด้วย...โอ๊ยย” ตู้เหลียนหยิกเอวของหรูอวี้จนนางออกมาเบาๆ
“หากพ่อเจ้าจับได้ขึ้นมาเล่า จะทำเช่นไร”
“ท่านอย่าได้กังวล ข้าไม่มีทางทิ้งหลักฐานให้ถูกจับได้อย่างแน่นอน” นางหยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะเดินไปล้มตัวนอนที่เตียงตั่งภายในรถม้า
ตู้เหลียนมองบุตรสาวอย่างเป็นกังวล นิสัยของนางเปลี่ยนไปไม่น้อย หลังจากที่นางฟื้นขึ้นมาจากการล้มป่วย นางได้แต่คิดว่าอาจเป็นเพราะวิญญาณของนางได้หลุดออกจากร่างไปหรือแค้นใจที่ถูกเซี่ยหรันเซียนทำให้เกือบตาย
เซี่ยถงวู่ที่รีบร้อนไปดูสวีเหมยลี่ที่เรือนของนาง ก็ต้องชะงักเท้ากับเสียงร้องเรียกอย่างร้อนใจของสาวใช้เซี่ยหรันเซียน
“นายท่าน แย่แล้วเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่ไม่รู้ว่าถูกผู้ใดลอบทำร้าย ใบหน้าเปื้อนไปด้วยเลือด ฟันหน้าของนางก็หายไปเจ้าค่ะ” สาวใช้ตัวสั่นเทาไปด้วยความหวาดกลัว
นางหลับเป็นตายไม่รู้เรื่องได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่ก็นอนเฝ้าหน้าห้องอยู่ตลอด หากมีคนร้ายเข้ามาภายในห้อง นางต้องรู้ได้อย่างแน่นอน
“เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น!!! องครักษ์ไสหัวไปอยู่ที่ใดกันหมด” เซี่ยถงวู่กุมขมับด้วยความเครียด เขาไม่เชื่อว่าจะมีคนกล้าบุกเข้ามาถึงจวนผู้ตรวจการ เพื่อขโมยทรัพย์สิน ทั้งยังทำร้ายภรรยาและบุตรสาวอีกด้วย
องครักษ์ถูกตามตัวมาพบทันที เพื่อสอบถามเรื่องราวเมื่อคืนว่าพบคนน่าสงสัยเข้ามาภายในจวนหรือไม่ ทั้งยังส่งบ่าวไปตามเจ้าหน้าที่มาตรวจหาหลักฐานเพิ่มเติมอีกด้วย
เจ้าหน้าที่กระจายกำลังเปิดล้อมทางเข้าออกภายในเมืองหลวงทั้งหมด เพื่อตรวจสอบรถม้าที่เคลื่อนตัวออกจากเมืองหลวง ด้วยหีบสมบัติจำนวนไม่น้อย คงไม่อาจค้นออกไปได้โดยไม่มีผู้ใดพบเห็น
“ทำงานรวดเร็วดี” หรูอวี้เปิดผ้าม่านรถม้าขึ้นดู เพียงแค่รถม้าของนางเคลื่อนตัวออกมาได้ไม่นาน กลุ่มเจ้าหน้าที่ก็ทำการตรวจค้นภายในเมืองหลวงแล้ว
“เจ้าแน่ใจนะ ว่าไม่ทิ้งหลักฐานสิ่งใดไว้” ตู้เหลียนยังกังวลว่าเรื่องจะมาถึงตัวหรูอวี้
“โถ่ ท่านแม่ ท่านไม่เชื่อใจลูกหรืออย่างไร” นางกะพริบตาปริบๆ อย่างใสซื่อ
“อวี้เออร์ เจ้าเปลี่ยนไปมากรู้ตัวหรือไม่” ตู้เหลียนมองบุตรสาวอย่างปวดใจ เป็นนางที่ปล่อยให้บุตรสาวถูกรังแกมานานหลายปี จนจากเด็กสาวที่น่าเอ็นดูกลายเป็นแข็งกร้าวจนน่าตกใจ
“ถ้าข้าเปลี่ยนไปมาก ท่านยังจะรักข้าหรือไม่ ท่านแม่ พวกเราโดนรังแกมานานเพียงใดแล้ว หากข้ายังยอมเช่นเดิม ครั้งหน้าก็คงเป็นชีวิตของข้าแล้วที่คนพวกนั้นจะได้ไป” แววตาของหรูอวี้แข็งกร้าวของน่าหวาดกลัว เมื่อนึกถึงสวีเหมยลี่กับเซี่ยหรันเซียน
“เจ้าเป็นบุตรของแม่ เหตุใดแม่ถึงจะไม่รักเจ้า อย่าได้พูดเช่นนี้ออกมาอีกเล่า” นางละอายใจมากพอแล้ว ที่ปล่อยปละละเลยบุตรทั้งสองมานาน
“ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ” นางตอบรับเสียงเบา ภายในอกของนางรู้สึกพองโต เมื่อได้ยินคำว่ารักจากผู้เป็นมารดา
ขบวนรถม้าหยุดลงที่หน้าประตูเมือง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทำการตรวจค้นข้าวของภายในรถ ทุกคนจำต้องลงจากรถม้า
หรูอวี้นางจึงลงไปด้านล่างก่อน เพื่อรอรับมารดาของนาง พอเปิดผ้าม่านรถม้าขึ้นจะก้าวออกไป บุรุษที่นางคิดว่าเป็นพี่ชายแต่ว่ามิใช่
บุรุษวัยกลางคน ยืนอยู่หน้าทางลงรถม้าของนาง ทั้งสองมองสบกัน เป็นบุรุษผู้นั้นที่ตกตะลึงไม่น้อยเมื่อเห็นใบหน้าของหรูอวี้
“อาเหลียน” เขาเอ่ยเรียกนางออกมาเสียงเบา
“ท่านแม่ข้าอยู่ด้านในรถม้า” หรูอวี้มองเขาอย่างเย็นชา ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้าง เพื่อรอรับมารดาลงจากรถม้า
จ้าวลู่ฉือ เกาจมูกอย่างแก้เก้อ ผู้ใดจะคิดว่าบุตรสาวของตู้เหลียนจะคล้ายนางในวัยปักปิ่นมากเพียงนี้
“ท่านแม่ทัพ” ตู้เหลียนที่กำลังจะลงจากรถม้า ก็เอ่ยเรียกเขาเสียงเบาอย่างยินดี นานเพียงใดแล้วที่ไม่ได้พบเขาที่เปรียบเสมือนพี่ชายคนหนึ่งของนาง
“อาเหลียน ข้าได้ยินเรื่องของเจ้าแล้ว เจ้าเป็นเช่นใดบ้าง” เขาเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง ด้วยรู้ว่าสตรีที่หย่าร้างจะต้องใช้ชีวิตอย่างลำบาก
“หึหึ ดียิ่งเจ้าค่ะ หนนี้เป็นข้าที่เลือกถูก” นางยิ้มกว้างเพื่อให้เขาสบายใจ ตัวนางในตอนนี้ไม่เสียใจสิ่งใดแล้ว
"ดีแล้ว”
เขาเหลือบไปมองทางหรูอวี้วูบหนึ่ง ก่อนจะร้องสั่งให้เจ้าหน้าที่เร่งตรวจสอบรถม้าของตู้เหลียน
“เจ้าได้แจ้งข่าวให้ท่านอาจารย์กับอาจารย์หญิงรู้แล้วหรือยัง” จ้าวลู่ฉือเอ่ยถามตู้เหลียน
อันอ๋อง ยอมเข้าไปอยู่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจ้าวลู่ฉือตั้งแต่วัยสิบสองหนาว แม้เขาจะมิได้แสดงออกว่าพึงใจในตัวของซูซินมากนัก แต่ก็ลอบหาทางพบนางอยู่เสมอ“หึ อันอ๋องร้ายนัก ข้ารึก็มัวแต่ระวังเจ้าลูกเต่าจวนอื่น” จ้าวลู่ฉือสบถออกอย่างหัวเสียเมื่อเขารู้เรื่องจากหรูอวี้ว่า ทั้งสองเหมือนจะมีใจให้กัน“ท่านพี่ ซินซินนางถึงวัยออกเรือนแล้ว อันอ๋องเองก็อยู่ในสายตาของท่านมาตลอด ท่านยังมิวางใจอีกรึ”“พี่ยังอยากให้ซินซินอยู่กับพี่และเจ้าไปอีกหลายปี”“เหอะ ท่านจะให้นางแก่ตายคาจวนหรืออย่างไร ข้าตัดสินใจแล้ว หากซินซินนางเลือกอันอ๋องข้าก็ไม่ขัดขวาง ท่านก็ปล่อยวางได้แล้ว” หรูอวี้มองสามีที่ผมเริ่มจะขาว ของนางอย่างมีโทสะนางอยากจะถามเขาเสียเหลือเกินว่าจะต้องรอให้เขาลงหลุมก่อนรึ ถึงจะยอมให้บุตรสาวออกเรือนได้เมื่อคำเด็ดขาดหลุดออกมาจากปากของหรูอวี้ จ้าวลู่ฉือก็ไม่อาจเอ่ยแย้งได้ พออันอ๋องมาเอ่ยเรื่องทาบทามที่จวน จ้าวลู่ฉือจึงบังคับให้เขาสาบานต่อฟ้าดินว่าจะมีเพียงบุตรสาวของตนเพียงหนึ่งเดียวในตำหนัก“เปิ่นหวางสาบานต่อหน้าฟ้าดิน ชั่วชีวิตนี้จะมีเพียงซินซินหนึ่งเดียว และจะไม่ทำให้นางต้องช้ำใจเป็นอันขาด”สามเดือนต
หรูอวี้นางคิดว่า มีเพียงฝาแฝดทั้งสองเป็นบุตรก็เพียงพอแล้ว เพียงเลี้ยงเขาน้องก็ไม่มีเวลาปลีกตัวไปทำอันใดได้ จึงมิได้คิดเรื่องที่จะมีบุตรอีกเลย“ท่านแม่จะมีน้องสาวให้ข้ารึขอรับ” จ้าวหลิงฮุ่ยเอ่ยถามออกมาด้วยใบหน้าที่ใสซื่อจ้าวหลิงเทียนก็มองมาทางหรูอวี้ด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย แม้ไม่ได้พูดออกมา ก็รู้ว่าเขาอยากจะมีน้องสาวตัวน้อยเช่นเดียวกัน“ใช่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย” นางลูบหัวบุตรทั้งสองอย่างรักใคร่“มีน้องชายก็ได้ขอรับ ข้าชอบทั้งหมดที่เป็นน้องของข้า” จ้าวหลิงฮุ่ยฉีกยิ้มกว้างอย่างน่าเอ็นดู“ยินดีด้วยขอรับท่านแม่ทัพ” ตลอดทางนับตั้งแต่เดินเข้าจวนมา เขาอดจะสงสัยไม่น้อยที่บ่าวไพร่ ต่างเข้ามาแสดงความยินดี ราวกับว่าเขาได้เลื่อนตำแหน่งเสียอย่างงั้นแต่จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อยามนี้เขาเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ ที่ไม่อาจจะมีตำแหน่งใดสูงได้มากกว่านี้อีกแล้ว“เกิดเรื่องใดขึ้น” เขาเอ่ยถามบ่าวแล้ว แต่ก็ไม่ได้คำตอบ ได้แต่บอกให้เขากลับไปฟังเรื่องราวที่เรือนของฮูหยินเองเสียงพูดคุยหัวเราะของคนในเรือนของหรูอวี้ ทำให้จ้าวลู่ฉือที่เดินทางกลับมาจากค่ายทหารนอกเมืองยืนยิ้มตามไปด้วยรอยยิ้มเช่นนี้ของเขา ม
เรื่องนี้ทำให้ตู้เหลี่ยงพอใจอยู่ไม่น้อย ด้วยตัวเขาเองก็เตรียมชื่อไว้ให้เหลนชายทั้งสองเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าจ้าวลู่ฉืออยากจะตั้งเองหรือไม่“จ้าวหลิงเทียน จ้าวหลิงฮุ่ย ชอบหรือไม่เล่า” เขาเอ่ยเรียกเหลนชายทั้งสอง พร้อมทั้งมองอย่างรักใคร่จ้าวหลิงเทียนผู้พี่ จ้าวหลิงฮุ่ยผู้น้อง หัวเราะจนเห็นเหงือกของตน สร้างความอิ่มเอมใจให้กับทุกคนในห้องโถงจนมีรอยยิ้มไปตามๆ กันแต่แล้วความครื้นเครงก็หยุดลง เมื่อพ่อบ้านจ้าว เข้ามาแจ้งเรื่องที่เซี่ยถงวู่มาขอพบตู้เหลี่ยงและตู้เหลียนที่หน้าจวนตู้เหลี่ยงส่งฝาแฝดให้แม่นมพาออกไปด้านนอกทันที ก่อนจะตบโต๊ะเสียงดังอย่างมีโทสะ“เดรัจฉาน!!! ยังมีหน้ามาขอพบข้าอีกรึ”“ท่านตา อย่าได้มีโทสะเจ้าค่ะ หากท่านไม่ต้องการพบหน้าก็เพียงแค่ให้บ่าวหน้าจวนไล่ไปก็เท่านั้น ไยจะต้องทำให้ตนเองขุ่นใจด้วย” หรูอวี้เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย นางเหลือบมองมารดาก่อนจะพูด ก็เห็นว่านางไม่ได้แสดงอาการตื่นเต้นดีใจที่เซี่ยถงวู่มาขอพบ จึงได้เบาใจลง“เป็นเช่นที่อวี้เออร์นางว่า หากท่านอาจารย์ไม่ต้องการจะพบ ข้าจะออกไปจัดการให้ท่านเองขอรับ”“อืม...ลำบากเจ้าแล้ว” เพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่าตู้เหลี่
“สวรรค์” บ่าวไพร่และเสี่ยวฟ่านที่ได้พบเห็นคุณชายน้อยของตนก็ได้แต่อุทานออกมาอย่างแปลกใจนี่มันเด็กเพียงคลอดเสียที่ไหน ทั้งสองราวกับเด็กครบเดือนแล้ว ดวงตาที่กวาดมองไปทั่ว ราวกับรู้เรื่องราวและรับรู้สิ่งที่พวกเขาเอ่ยพูดกัน“พาไปให้อวี้เออร์นางดูก่อนเถิด” จ้าวลู่ฉือเขี่ยแก้มบุตรชายทั้งสอง ก่อนจะเดินนำเข้าไปด้านในห้อง ที่สาวใช้ทำความสะอาดร่างกายของหรูอวี้เรียบร้อยแล้ว“ฮูหยินช่างมีบุญนัก แม้แต่กลิ่นน้ำคลอดของนางก็ไม่เหม็นเช่นที่ข้าเคยพบเจอ ดูเหมือนว่าจะคลายกลิ่นดอกบัวเสียด้วยซ้ำ” หมอตำแยเอ่ยพูดคุยถึงเรื่องความน่าอัศจรรย์นี้กันจ้าวลู่ฉือ เห็นหรูอวี้นั่งพิงหัวเตียงชะเง้อคอมองมาทางประตูก็อมยิ้มมองนาง“เจ้าอยากเห็นลูกใช่หรือไม่” เขารับเด็กทั้งสองคนมาจากป้าจิ้นและเสี่ยวซี ก่อนจะเดินเข้าไปหาหรูอวี้ที่เตียงหรูอวี้เม้มปากแน่น มองเด็กน้อยที่อยู่ในห่อผ้าที่แขนของจ้าวลู่ฉือ“ลูกข้า...ช่างตัวเล็กนัก” นางไม่รู้ว่าจะเอ่ยเช่นไรไม่คิดด้วยว่าในชีวิตนางจะให้กำเนิดเด็กน้อยออกมาได้ หรูอวี้มองเด็กทั้งสองด้วยดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำ ความรู้สึกแปลกใหม่เกิดขึ้นกับนาง จนนางไม่อาจจะอธิบายได้ความรัก ความหวงแหน ห
“อันใดกัน มีเรื่องที่เจ้าจัดการไม่ได้ด้วยรึ” ฮ่องเต้ไม่อยากจะเชื่อ ว่าสหายรักจะจัดการเรื่องหยุมหยิมเช่นนี้ไม่ได้“มีเพียงเรื่องของนางที่ไม่อาจจัดการได้” เขาไม่เคยเอาชนะนางได้เลย นับตั้งแต่ที่พบเจอนางในครั้งแรก“เพ้ย สตรี อย่างไรก็ต้องอยู่ภายใต้คำสั่งของสามี เจ้าตามใจนางเกินไปแล้ว”“พูดไป พระองค์ก็ไม่เข้าพระทัย กระหม่อมกลับจวนก่อนพ่ะย่ะค่ะ” จ้าวลู่ฉือลุกขึ้นจะเดินออกจากวังหลวง“ให้เจิ้นช่วยพูดดีหรือไม่” สตรีในวังนับร้อย เขายังจัดการได้“นางไม่ได้อยู่ให้พระองค์พูด พระองค์จะช่วยได้อย่างไร”“ห๊ะ!!! ถึงกลับหนีไปเลยรึ”จ้าวลู่ฉือส่ายหัวอย่างปลงตก แล้วเดินออกจากห้องตำราของฮ่องเต้กลับจวน หากนางหนีไปเช่นผู้อื่น เขายังตามกลับมาได้ แต่นี่ นางเล่นหายไปในมิติ เขาจะตามนางได้อย่างไรหรูอวี้ที่เก็บน้ำหวานจากดอกบัวจนเบื่อแล้ว นางจึงได้ออกมาด้านนอก พอออกมาถึงก็ถูกจ้าวลู่ฉือที่นั่งรอนางอยู่รวบตัวกอดรัดไว้แน่น“อวี้เออร์ อย่าได้ทำกับข้าเช่นนี้อีก อย่าได้หายไปโดยไม่บอกข้า เรื่องคุณหนูที่มากวนใจเจ้าวันนั้นข้าจัดการให้ตระกูลของพวกนางจับนางแต่งออกไปแล้ว ยามนี้ไม่มีผู้ใดกล้ามากวนใจเจ้าอีกแล้ว” เขาซุกใบหน้าลงก
หรูอวี้ตบไปที่ใบหน้าของคุณหนูหั่วเต็มแรง มีดสั้นถูกวางจ่ออยู่ที่คอของคุณหนูหั่ว หากนางขยับตัวเล็กน้อยคงได้เห็นเลือดอย่างแน่นอน“ข้าไม่ถือ หากเจ้าจะใช้มารยาเพื่อได้เข้าตระกูลจ้าว แต่ในเมื่อเจ้าปากกล้ากับข้าเช่นนี้ ข้าคงต้องทำให้เจ้ารู้เสียแล้วว่าข้าเป็นเช่นไร” หรูอวี้ขยับข้อมือเพียงเล็กน้อย คมมีดก็บาดเข้าคอของนางจนเลือดซึมออกมา“ขะ ข้ากลัวแล้ว ข้าไม่ได้ตั้งใจเจ้าค่ะ” นางเอ่ยขอร้องอย่างลนลาน“อวี้เออร์ ข้าจัดการเอง” จ้าวลู่ฉือเดินเข้ามาจับข้อมือของนางไว้“หึ” นางสะบัดมือของเขาออก ก่อนจะปามีดสั้นไปตรงกลางโต๊ะที่พวกคุณหนูคนอื่นนั่งอยู่ แล้วเดินออกจากห้องโถงไปอย่างไม่สบอารมณ์จะเรียกว่านางหึงหวงเขาเสียจนหน้ามืดก็ได้ที่ลงมือเช่นนั้น แต่คุณหนูหั่วก็ปากดีเสียจนนางควบคุมอารมณ์ไม่อยู่หรูอวี้ไล่ป้าจิ้นกับเสี่ยวซีที่ตามนางมาที่เรือนอย่างเป็นห่วงออกไป ก่อนจะเข้าไปสงบอารมณ์ในมิติของนางจ้าวลู่ฉือยืนมองคุณหนูที่รอพบเขาที่ละคน ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมา“เป็นบิดาของพวกเจ้า หรือตัวพวกเจ้าที่ใจกล้าทาเยือนจวนของข้ากัน” เขาเอ่ยถามออกมาด้วยเสียงเหยียบเย็นบางคนที่หวาดกลัวจนตัวสั่นก็โยนเรื่องราวทั้งหมดไปให้ผู้เป