ชาวบ้านที่เห็นต่างมองดูด้วยความสงสาร หรูอวี้เห็นเช่นนั้น นางก็ร้องไห้เสียงดังยิ่งกว่าเดิม
“ทะ ท่านดู สินเดิมของท่านแม่เหลือติดตัวไปเพียงน้อยนิด ที่ผ่านมาข้ากับท่านพี่ล้มป่วยก็เป็นท่านแม่ที่นำสินเดิมออกมาใช้จ่าย เงินเดือนที่สมควรได้ก็มิได้เช่นผู้อื่น แล้วพวกข้าจะขโมยของท่านได้อย่างไร”
“ท่านตรองดูสักนิดเถิด ข้าถูกสั่งให้อยู่แต่ภายในจวน เหตุใดเรื่องความร้ายกาจของข้าและท่านแม่ถึงได้ถูกชาวเมืองเอาไปนินทากันจนสนุกปาก ข้ากับท่านแม่เคยร้องขอความเป็นธรรมหรือไม่”
“วันนี้ที่ต้องออกจากจวนตระกูลเซี่ย กลับเข้าตระกูลตู้ ก็ด้วยข้าถูกรังแกจนเกือบจะรักษาชีวิตไม่ได้ ท่านแม่เห็นใจข้า กลัวว่าหากมีครั้งหน้าข้าคงต้องกลายเป็นวิญญาณจึงได้ขอร้องท่านให้ปล่อยพวกเราสามแม่ลูกไป” หรูอวี้ยังเล่นงิ้วของนางไม่เลิก ยิ่งมีคนเพิ่มขึ้น นางก็ยิ่งพูดสิ่งที่อยู่ในใจของเซี่ยหรูอวี้คนเดิมออกมาทั้งหมด
ภายในของหรูอวี้กำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง นางไม่เคยแสดงด้านนี้ออกมาให้ผู้ใดได้เห็น เมื่อลองทำแล้วจึงรู้สึกแปลกใหม่และสนุกไม่น้อย
เซี่ยหยวนแทบจะไปดึงน้องสาวกลับขึ้นรถม้า แม้รู้ดีว่านางกำลังเรียกร้องความเป็นธรรม พร้อมทั้งทิ้งปัญหาก้อนใหญ่ให้ตระกูลเซี่ยเก็บกวาด แต่เห็นนางร้องไห้เช่นนี้เขาก็ปวดใจไม่น้อย (ไม่รู้เหรอ ว่าน้องสาวเจ้าเล่นงิ้วอยู่)
“ท่านผู้ตรวจการ อย่าหาว่าข้าน้อยปากมากเลย ท่านดูเถิดรถม้าเพียงสองคัน หนึ่งคนไว้นั่ง อีกหนึ่งคันบรรทุกสิ่งของ ท่านว่าสมบัติครึ่งจวนของท่านจะอยู่ภายในได้อย่างไร แล้วอีกอย่างแม่นางตู้จะทำร้ายฮูหยินเอกของท่าน โดยที่บ่าวไพร่ในจวนไม่รู้เรื่องเลยงั้นรึ”
ชาวบ้านที่ได้ยิน ต่างก็ตะโกนเห็นด้วยกันยกใหญ่ ทั้งยังต่อว่าตระกูลเซี่ยที่รังแกอนุจนต้องหอบลูกหนีกลับบ้านเดิม
“หยุด!!! ไม่ต้องค้นแล้ว” เขารู้ดีว่าตู้เหลียนกับบุตรทั้งสองไม่อาจจะนำของในคลังสมบัติเขาไปด้วยได้ แต่ไม่คิดว่าสินเดิมที่มากมายของนางจะเหลือเพียงไม่กี่หีบเท่านั้น
“...” เซี่ยถงวู่อับอายต่อคำพูดของหรูอวี้ไม่น้อย แต่เพราะมีคนอยู่ที่หน้าจวนจำนวนมาก ทั้งยังมีพานกงกงอยู่ด้วยเขาจึงไม่อาจทำสิ่งใดได้
ได้แต่เดินกลับเข้าจวนเพื่อไปจัดการเรื่องราวที่วุ่นวายให้แล้วเสร็จ เรื่องที่ถูกลือออกไปหลังจากนี้คงต้องหาทางจัดการที่หลัง
“ขอบคุณท่านกงกงมากเจ้าค่ะ ที่ช่วยพูดให้ข้าสามคนแม่ลูก” ตู้เหลียนจำต้องลงจากรถม้ามาขอบคุณพานกงกงอีกครั้ง
“หามิได้ นี่เป็นสิ่งที่ข้าน้อยสมควรทำ” ฮ่องเต้รับรู้เรื่องภายในจวนเซี่ยมาโดยตลอด แต่เพราะตู้เหลียนนางไม่เอ่ยขอร้องให้ช่วยเหลือ พระองค์จึงมิอาจยุ่งเรื่องในเรือนหลังของขุนนางได้
“ขอบคุณเจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
“เดินทางปลอดภัยขอรับ”
ตู้เหลียนจับแขนบุตรสาวที่ยังนั่งตัวสั่นอยู่ที่พื้นกลับขึ้นไปบนรถม้า
“เช็ดหน้าตาเสีย ดูไม่ได้เอาเสียเลย” นางยื่นผ้าเช็ดหน้าให้พร้อมทั้งถลึงตามองตำหนิบุตรสาว
หรูอวี้ได้แต่ยิ้มแห้งออกมา เมื่อรู้ว่าผู้เป็นมารดารู้ทันตัวนาง
“เจ้าลงมือหนักเกินไปแล้ว” ตู้เหลียนดึงผ้าเช็ดหน้ามาช่วยนางเช็ด ทั้งยังตำหนิหรูอวี้ออกมา
เซี่ยถงวู่เป็นถึงผู้ตรวจการ หากเขาเห็นหลักฐานที่หรูอวี้ทิ้งไว้ ย่อมต้องรู้ได้ทันทีว่าเป็นฝีมือของนาง
“ข้าอยากจะทำมากกว่านี้เสียด้วย...โอ๊ยย” ตู้เหลียนหยิกเอวของหรูอวี้จนนางออกมาเบาๆ
“หากพ่อเจ้าจับได้ขึ้นมาเล่า จะทำเช่นไร”
“ท่านอย่าได้กังวล ข้าไม่มีทางทิ้งหลักฐานให้ถูกจับได้อย่างแน่นอน” นางหยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะเดินไปล้มตัวนอนที่เตียงตั่งภายในรถม้า
ตู้เหลียนมองบุตรสาวอย่างเป็นกังวล นิสัยของนางเปลี่ยนไปไม่น้อย หลังจากที่นางฟื้นขึ้นมาจากการล้มป่วย นางได้แต่คิดว่าอาจเป็นเพราะวิญญาณของนางได้หลุดออกจากร่างไปหรือแค้นใจที่ถูกเซี่ยหรันเซียนทำให้เกือบตาย
เซี่ยถงวู่ที่รีบร้อนไปดูสวีเหมยลี่ที่เรือนของนาง ก็ต้องชะงักเท้ากับเสียงร้องเรียกอย่างร้อนใจของสาวใช้เซี่ยหรันเซียน
“นายท่าน แย่แล้วเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่ไม่รู้ว่าถูกผู้ใดลอบทำร้าย ใบหน้าเปื้อนไปด้วยเลือด ฟันหน้าของนางก็หายไปเจ้าค่ะ” สาวใช้ตัวสั่นเทาไปด้วยความหวาดกลัว
นางหลับเป็นตายไม่รู้เรื่องได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่ก็นอนเฝ้าหน้าห้องอยู่ตลอด หากมีคนร้ายเข้ามาภายในห้อง นางต้องรู้ได้อย่างแน่นอน
“เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น!!! องครักษ์ไสหัวไปอยู่ที่ใดกันหมด” เซี่ยถงวู่กุมขมับด้วยความเครียด เขาไม่เชื่อว่าจะมีคนกล้าบุกเข้ามาถึงจวนผู้ตรวจการ เพื่อขโมยทรัพย์สิน ทั้งยังทำร้ายภรรยาและบุตรสาวอีกด้วย
องครักษ์ถูกตามตัวมาพบทันที เพื่อสอบถามเรื่องราวเมื่อคืนว่าพบคนน่าสงสัยเข้ามาภายในจวนหรือไม่ ทั้งยังส่งบ่าวไปตามเจ้าหน้าที่มาตรวจหาหลักฐานเพิ่มเติมอีกด้วย
เจ้าหน้าที่กระจายกำลังเปิดล้อมทางเข้าออกภายในเมืองหลวงทั้งหมด เพื่อตรวจสอบรถม้าที่เคลื่อนตัวออกจากเมืองหลวง ด้วยหีบสมบัติจำนวนไม่น้อย คงไม่อาจค้นออกไปได้โดยไม่มีผู้ใดพบเห็น
“ทำงานรวดเร็วดี” หรูอวี้เปิดผ้าม่านรถม้าขึ้นดู เพียงแค่รถม้าของนางเคลื่อนตัวออกมาได้ไม่นาน กลุ่มเจ้าหน้าที่ก็ทำการตรวจค้นภายในเมืองหลวงแล้ว
“เจ้าแน่ใจนะ ว่าไม่ทิ้งหลักฐานสิ่งใดไว้” ตู้เหลียนยังกังวลว่าเรื่องจะมาถึงตัวหรูอวี้
“โถ่ ท่านแม่ ท่านไม่เชื่อใจลูกหรืออย่างไร” นางกะพริบตาปริบๆ อย่างใสซื่อ
“อวี้เออร์ เจ้าเปลี่ยนไปมากรู้ตัวหรือไม่” ตู้เหลียนมองบุตรสาวอย่างปวดใจ เป็นนางที่ปล่อยให้บุตรสาวถูกรังแกมานานหลายปี จนจากเด็กสาวที่น่าเอ็นดูกลายเป็นแข็งกร้าวจนน่าตกใจ
“ถ้าข้าเปลี่ยนไปมาก ท่านยังจะรักข้าหรือไม่ ท่านแม่ พวกเราโดนรังแกมานานเพียงใดแล้ว หากข้ายังยอมเช่นเดิม ครั้งหน้าก็คงเป็นชีวิตของข้าแล้วที่คนพวกนั้นจะได้ไป” แววตาของหรูอวี้แข็งกร้าวของน่าหวาดกลัว เมื่อนึกถึงสวีเหมยลี่กับเซี่ยหรันเซียน
“เจ้าเป็นบุตรของแม่ เหตุใดแม่ถึงจะไม่รักเจ้า อย่าได้พูดเช่นนี้ออกมาอีกเล่า” นางละอายใจมากพอแล้ว ที่ปล่อยปละละเลยบุตรทั้งสองมานาน
“ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ” นางตอบรับเสียงเบา ภายในอกของนางรู้สึกพองโต เมื่อได้ยินคำว่ารักจากผู้เป็นมารดา
ขบวนรถม้าหยุดลงที่หน้าประตูเมือง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทำการตรวจค้นข้าวของภายในรถ ทุกคนจำต้องลงจากรถม้า
หรูอวี้นางจึงลงไปด้านล่างก่อน เพื่อรอรับมารดาของนาง พอเปิดผ้าม่านรถม้าขึ้นจะก้าวออกไป บุรุษที่นางคิดว่าเป็นพี่ชายแต่ว่ามิใช่
บุรุษวัยกลางคน ยืนอยู่หน้าทางลงรถม้าของนาง ทั้งสองมองสบกัน เป็นบุรุษผู้นั้นที่ตกตะลึงไม่น้อยเมื่อเห็นใบหน้าของหรูอวี้
“อาเหลียน” เขาเอ่ยเรียกนางออกมาเสียงเบา
“ท่านแม่ข้าอยู่ด้านในรถม้า” หรูอวี้มองเขาอย่างเย็นชา ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้าง เพื่อรอรับมารดาลงจากรถม้า
จ้าวลู่ฉือ เกาจมูกอย่างแก้เก้อ ผู้ใดจะคิดว่าบุตรสาวของตู้เหลียนจะคล้ายนางในวัยปักปิ่นมากเพียงนี้
“ท่านแม่ทัพ” ตู้เหลียนที่กำลังจะลงจากรถม้า ก็เอ่ยเรียกเขาเสียงเบาอย่างยินดี นานเพียงใดแล้วที่ไม่ได้พบเขาที่เปรียบเสมือนพี่ชายคนหนึ่งของนาง
“อาเหลียน ข้าได้ยินเรื่องของเจ้าแล้ว เจ้าเป็นเช่นใดบ้าง” เขาเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง ด้วยรู้ว่าสตรีที่หย่าร้างจะต้องใช้ชีวิตอย่างลำบาก
“หึหึ ดียิ่งเจ้าค่ะ หนนี้เป็นข้าที่เลือกถูก” นางยิ้มกว้างเพื่อให้เขาสบายใจ ตัวนางในตอนนี้ไม่เสียใจสิ่งใดแล้ว
"ดีแล้ว”
เขาเหลือบไปมองทางหรูอวี้วูบหนึ่ง ก่อนจะร้องสั่งให้เจ้าหน้าที่เร่งตรวจสอบรถม้าของตู้เหลียน
“เจ้าได้แจ้งข่าวให้ท่านอาจารย์กับอาจารย์หญิงรู้แล้วหรือยัง” จ้าวลู่ฉือเอ่ยถามตู้เหลียน
ตู้หยวนที่ยืนรอน้องสาวอยู่ภายในโรงพักม้า พอเห็นนางเดินเข้ามาจึงได้เอ่ยถามนางเรื่องที่เหตุใดถึงไม่ยอมเข้ามาเสียที“เจ้าทำสิ่งใดอยู่”“ข้าเอ่ยถามทหารเรื่องจะกลับเข้าเมืองเจ้าค่ะ”“เจ้าจะเข้าเมืองไปเพื่ออันใดอวี้เออร์!!!” เขาเอ่ยถามออกมาด้วยความตกใจด้วยเรื่องภายในจวนตระกูลเซี่ยที่เกิดขึ้น หากพิจารณาดีๆ แล้ว คงไม่แคล้วน้องสาวตัวดีของตนเป็นแน่ที่สร้างเรื่องวุ่นวายไว้"ข้าจะกลับไปเอาของอย่างไรเล่าท่านพี่”“เจ้าลืมสิ่งใด” ตู้หยวนมองน้องสาวอย่างระแวง“ข้าลืมของไว้ที่จวนตระกูลสวี” นางกระซิบบอกที่ข้างหูของตู้หยวน ก่อนจะยกยิ้มที่มุมปาก แล้วเดินขึ้นที่พักไปจ้าวลู่ฉือที่เดินมาทันเห็นแผ่นหลังของหรูอวี้เพิ่งจากไป พอเห็นใบหน้าที่ยังตกตะลึงของตู้หยวน เขาก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา“น้องสาวเจ้าจะกลับเข้าเมืองหลวงเพื่ออันใด”“เอ่อ...นางลืมของขอรับ” เขาจะบอกได้อย่างไรว่าของที่นางลืมไว้ อยู่ที่จวนตระกูลสวี“เตือนนางด้วย ว่าอย่าได้กลับไป มิเช่นนั้นจะเกิดเรื่องยุ่งยากได้” ในยามนี้ภายในเมืองหลวงวุ่นวายไม่น้อยจ้าวลู่ฉือรู้มาจากเจ้าหน้าที่ทางการ จวนตระกูลเซี่ยโดนโจรเข้าปล้นคลังเก็บสมบัติ ทั้งฮูหยินและบุตรสา
คำถามของจ้าวลู่ฉือ ทำให้ตู้เหลียนใบหน้าหมองเศร้าลง นางยังไม่ได้บอกเรื่องที่เกิดขึ้นให้บิดาได้รู้ นับตั้งแต่ออกเรือนก็ไม่เคยได้รับข่าวจากผู้เป็นบิดามารดาอีกเลย แม้จะส่งจดหมายไปขอขมาหลายครั้งแล้วก็ตาม“ยังเจ้าค่ะ ท่านพ่อไม่ตอบจดหมายข้าเลยสักครั้ง” นางเอ่ยเสียงเบาราวกับยุงบินผ่านออกมา“เจ้าอย่าได้กังวล ท่านอาจารย์ตู้มิได้โกรธเคืองเจ้าแล้ว”“ท่านรู้ได้อย่างไรเจ้าคะ” ตู้เหลียนเงยหน้าขึ้นมองจ้าวลู่ฉืออย่างสงสัย“ข้าหาเวลาแวะไปดูพวกท่านเสมอ เจ้าควรจะเขียนจดหมายส่งม้าเร็วไปแจ้งข่าวพวกท่านเสียหน่อย”“ขอบคุณท่านเจ้าค่ะ” นางมองเขาอย่างซาบซึ้งใจหรูอวี้ที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักล้วนได้ยินทุกสิ่งที่ทั้งสองพูดคุยกัน หากมารดานางจะเปิดใจให้ท่านแม่ทัพจ้าวอีกครั้ง นางก็ไม่ขัดข้องด้วยเขาดูจะปักใจกับมารดาของนางไม่น้อย ถึงขั้นยังมิได้แต่งฮูหยินเข้าจวน“เอ่อ...ข้าเสียมารยาทแล้ว นี่บุตรสาวของข้าหรูอวี้ ส่วนนั้นบุตรชายข้าอาหยวนเจ้าค่ะ” ตู้เหลียนเห็นสายตาของจ้าวลู่ฉือที่มองไปทางหรูอวี้หลายหนจึงได้เอ่ยแนะนำนางขึ้นมา“คารวะท่านแม่ทัพจ้าวเจ้าค่ะ” นางย่อกายเล็กน้อย“อืม ไม่ต้องมากพิธี ข้าก็เหมือนกับพี่ชายของแม่เจ้า เรีย
ชาวบ้านที่เห็นต่างมองดูด้วยความสงสาร หรูอวี้เห็นเช่นนั้น นางก็ร้องไห้เสียงดังยิ่งกว่าเดิม“ทะ ท่านดู สินเดิมของท่านแม่เหลือติดตัวไปเพียงน้อยนิด ที่ผ่านมาข้ากับท่านพี่ล้มป่วยก็เป็นท่านแม่ที่นำสินเดิมออกมาใช้จ่าย เงินเดือนที่สมควรได้ก็มิได้เช่นผู้อื่น แล้วพวกข้าจะขโมยของท่านได้อย่างไร”“ท่านตรองดูสักนิดเถิด ข้าถูกสั่งให้อยู่แต่ภายในจวน เหตุใดเรื่องความร้ายกาจของข้าและท่านแม่ถึงได้ถูกชาวเมืองเอาไปนินทากันจนสนุกปาก ข้ากับท่านแม่เคยร้องขอความเป็นธรรมหรือไม่”“วันนี้ที่ต้องออกจากจวนตระกูลเซี่ย กลับเข้าตระกูลตู้ ก็ด้วยข้าถูกรังแกจนเกือบจะรักษาชีวิตไม่ได้ ท่านแม่เห็นใจข้า กลัวว่าหากมีครั้งหน้าข้าคงต้องกลายเป็นวิญญาณจึงได้ขอร้องท่านให้ปล่อยพวกเราสามแม่ลูกไป” หรูอวี้ยังเล่นงิ้วของนางไม่เลิก ยิ่งมีคนเพิ่มขึ้น นางก็ยิ่งพูดสิ่งที่อยู่ในใจของเซี่ยหรูอวี้คนเดิมออกมาทั้งหมดภายในของหรูอวี้กำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง นางไม่เคยแสดงด้านนี้ออกมาให้ผู้ใดได้เห็น เมื่อลองทำแล้วจึงรู้สึกแปลกใหม่และสนุกไม่น้อยเซี่ยหยวนแทบจะไปดึงน้องสาวกลับขึ้นรถม้า แม้รู้ดีว่านางกำลังเรียกร้องความเป็นธรรม พร้อมทั้งทิ้งปัญหาก้อ
หลังจากที่กลับมาจากเรือนของเซี่ยหรันเซียนแล้ว นางก็มิได้กลับเข้าเรือนในทันที หรูอวี้กระโดดออกจากกำแพงจวน มุ่งหน้าไปยังจวนของบรรดาคุณหนูที่มาร่วมงานกันในวันนั้นตามความทรงจำเดิมของนาง มีเพียงสามคนเท่านั้นที่เข้ามาช่วยเซี่ยหรันเซียนผลักเซี่ยหรูอวี้ตกน้ำ นางเพียงแค่คิดจะไปเอาคืนให้เซี่ยหรันเซียนเล็กๆ น้อยๆ พอให้หายแค้นใจบ้างจวนทั้งสามแม้มีองครักษ์เช่นจวนตระกูลเซี่ยแต่ก็มิได้มีมากมายเท่า ทำให้นางเข้าไปด้านในได้อย่างสะดวก แต่กว่าจะหาเรือนของคุณหนูแต่ละคนพบก็เล่นเอาเวลาของหรูอวี้ไปไม่น้อยภายในห้องพักล้วนมีสาวใช้เข้ามานอนเฝ้าคุณหนูด้วย หรูอวี้กลัวว่าพวกนางจะตื่นขึ้นมาพบเสียก่อน จึงได้ทำเพียงใส่ยาเสียโฉม ที่นางมีในห้องเก็บของของนาง โรยไปที่ใบหน้าเท่านั้นยาตัวนี้มิได้รุนแรงมากนัก เพียงจะทำให้เกิดสิวหนองบนใบหน้า นางขอให้ห้องทดลองทำขึ้น เพื่อไว้เปลี่ยนรูปลักษณ์ยามที่ออกไปด้านนอก แต่ก็ยังไม่เคยได้ทดลองใช้จึงไม่รู้ว่าจะเกิดสิวหนองเพิ่มมากเพียงใดกว่าจะจัดการคุณหนูทั้งสามเสร็จ หรูอวี้ก็ไม่อาจไปที่จวนตระกูลสวีได้ แต่ละจวนมิได้อยู่ใกล้กัน ร่างกายของนางในร่างนี้ก็เพิ่งจะฟื้นตัว นางยังหมดเรี่ยวแรงที
หรูอวี้นางไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่เรือนของมารดา เพราะนางหลับสนิทด้วยฤทธิ์ยา เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งฟ้าด้านนอกก็มืดสนิทเสียแล้ว“คุณหนูท่านตื่นแล้ว รับอาหารเลยดีหรือไม่เจ้าคะ” หรูอวี้มองสาวใช้ที่ดวงตาบวมเบ่ง เหมือนผ่านการร้องไห้อย่างหนักมาอย่างสงสัยแต่เมื่อนางเห็นหีบของที่อยู่ภายในห้องนอนของนาง จึงได้รู้ทันทีว่ามารดาตัดสินใจเช่นใด“ท่านแม่ จะออกเดินทางเมื่อใด” นางยังไม่ได้จัดการเรื่องของนางเลย“พรุ่งนี้เจ้าค่ะ คุณหนูท่านพาข้าไปด้วยได้หรือไม่” เสี่ยวซีเอ่ยถามอย่างคาดหวัง แต่นางเป็นบ่าวของตระกูลเซี่ยจึงไม่รู้ว่าจะติดตามเซี่ยหรูอวี้ไปได้หรือไม่“เจ้าอยากไปกับข้ารึ รู้หรือไม่ข้าอาจจะพาเจ้าไปลำบากก็ได้” นางเอ่ยถามอย่างเรียบเฉย“บ่าวไม่กลัวเจ้าค่ะ บ่าวยินดีติดตามคุณหนู ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะลำบากเพียงใด” เสี่ยวซีคุกเข่าลงอย่างอ้อนวอน“ได้ เจ้าพูดเอง ต่อไปหากลำบากเจ้าจะกล่าวโทษข้าไม่ได้เล่า” จากความทรงจำเดิมเสี่ยวซีซื่อสัตย์กับเซี่ยหรูอวี้ไม่น้อย มีเพียงนางที่ออกรับหน้าแทนแทบจะทุกเรื่อง แม้จะถูกเฆี่ยนตีนางก็ไม่ปริปากตำหนิเซี่ยหรูอวี้เลยสักครั้ง“ขอบคุณเจ้าค่ะคุณหนู” ที่นางร้องไห้จนตาปูดบวม
“ตามที่ท่านเขียนไว้ ข้าขอชีวิตข้าคืน ในเมื่อท่านมิอาจปกป้องข้ากับลูกตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมาได้” เซี่ยถงวู่สะดุ้งตกใจกับแววตาของตู้เหลียนไม่น้อย ครั้งนี้ดูนางมิได้พูดเล่นเสียแล้ว ด้วยนางไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้มาก่อนเลยสักครั้ง“อาเหลียน เจ้าใจเย็นก่อนดีหรือไม่” เขาเดินเข้ามาจะจับแขนของนางไว้ แต่ก็ถูกนางเบี่ยงตัวหนี“ไม่ ข้าเกือบเสียอวี้เออร์ไปแล้ว!!! ผู้ใดจะบอกได้ว่าครั้งหน้านางจะยังอยู่เป็นบุตรของข้าได้อีกหรือไม่” นางกรีดร้องออกมาสุดเสียง พร้อมทั้งร่ำไห้ออกมาอย่างปวดใจแม้จะรักผู้เป็นสามีมากเพียงใด แต่ก็ไม่อาจเท่ากับความรักที่มีให้กับบุตรไปได้ หากนางต้องเลือกเสียใครไป ขอเลือกเสียผู้เป็นสามีเสียยังจะดีกว่า“แต่อวี้เออร์ก็ปลอดภัยแล้วมิใช่รึ” เขาขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ทุกครั้งนางจะยอมอยู่เงียบๆ แต่เหตุใดครั้งนี้ถึงได้คิดจะพาบุตรออกจากตระกูลเขาไปได้“ท่านยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน” นางเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา แล้วยิ้มเยาะความโง่เขลาของตนที่เลือกบุรุษเช่นเซี่ยถงวู่“เกิดสิ่งใดขึ้นเจ้าคะ” เสียงหวานใสดังขึ้นที่หน้าประตูห้องโถงเรือนของตู้เหลียน เป็นสวีเหมยลี่ที่รู้เรื่องว่าทั้งสองคนมีปากเสียงกันจากบ่าวก