คำถามของจ้าวลู่ฉือ ทำให้ตู้เหลียนใบหน้าหมองเศร้าลง นางยังไม่ได้บอกเรื่องที่เกิดขึ้นให้บิดาได้รู้ นับตั้งแต่ออกเรือนก็ไม่เคยได้รับข่าวจากผู้เป็นบิดามารดาอีกเลย แม้จะส่งจดหมายไปขอขมาหลายครั้งแล้วก็ตาม
“ยังเจ้าค่ะ ท่านพ่อไม่ตอบจดหมายข้าเลยสักครั้ง” นางเอ่ยเสียงเบาราวกับยุงบินผ่านออกมา
“เจ้าอย่าได้กังวล ท่านอาจารย์ตู้มิได้โกรธเคืองเจ้าแล้ว”
“ท่านรู้ได้อย่างไรเจ้าคะ” ตู้เหลียนเงยหน้าขึ้นมองจ้าวลู่ฉืออย่างสงสัย
“ข้าหาเวลาแวะไปดูพวกท่านเสมอ เจ้าควรจะเขียนจดหมายส่งม้าเร็วไปแจ้งข่าวพวกท่านเสียหน่อย”
“ขอบคุณท่านเจ้าค่ะ” นางมองเขาอย่างซาบซึ้งใจ
หรูอวี้ที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักล้วนได้ยินทุกสิ่งที่ทั้งสองพูดคุยกัน หากมารดานางจะเปิดใจให้ท่านแม่ทัพจ้าวอีกครั้ง นางก็ไม่ขัดข้องด้วยเขาดูจะปักใจกับมารดาของนางไม่น้อย ถึงขั้นยังมิได้แต่งฮูหยินเข้าจวน
“เอ่อ...ข้าเสียมารยาทแล้ว นี่บุตรสาวของข้าหรูอวี้ ส่วนนั้นบุตรชายข้าอาหยวนเจ้าค่ะ” ตู้เหลียนเห็นสายตาของจ้าวลู่ฉือที่มองไปทางหรูอวี้หลายหนจึงได้เอ่ยแนะนำนางขึ้นมา
“คารวะท่านแม่ทัพจ้าวเจ้าค่ะ” นางย่อกายเล็กน้อย
“อืม ไม่ต้องมากพิธี ข้าก็เหมือนกับพี่ชายของแม่เจ้า เรียกข้าท่านลุงเถิด”
หรูอวี้ช้อนตาขึ้นมองเขาอย่างข้องใจ ไม่ใช่อยากจะมาเป็นบิดาของนางหรอกรึ จ้าวลู่ฉือเหมือนจะเข้าใจในแววตาของนาง เขาถลึงตามองนางเล็กน้อย ก่อนจะขอตัวไปดูว่าเจ้าหน้าที่ตรวจค้นรถม้าเรียบร้อยแล้วหรือยัง
“ท่านแม่ หากท่านแม่ทัพมาสู่ขอท่าน ท่านจะแต่งให้เขาหรือไม่เจ้าคะ” หรูอวี้กระซิบถามผู้เป็นมารดา
“อวี้เออร์!!! อย่าได้พูดเช่นนี้อีก แม่กับท่านแม่ทัพเจ้าเปรียบเสมือนพี่น้องกัน หากผู้ใดได้ยินในสิ่งที่เจ้าพูด แม่คงไม่พ้นคำครหาไปได้” นางตำหนิบุตรสาวอย่างจริงจัง
“เจ้าค่ะ ต่อไปข้าไม่พูดแล้ว” นางยู่ปากเล็กน้อย จากสายตาก็เห็นอยู่ว่าเขาห่วงใยมารดาของนางไม่น้อย มารดาของนางจะมองไม่เห็นเลยหรืออย่างไร
ตู้หยวน (หรูอวี้กับพี่ชายได้เปลี่ยนแซ่เรียบร้อยแล้ว) มาแจ้งให้ผู้เป็นมารดาและน้องสาวกลับขึ้นรถม้าได้แล้ว หลังจากที่การตรวจค้นเสร็จสิ้นลง
“อาอวี้” เสียงบุรุษตะโกนเรียกหรูอวี้มาแต่ไกล จนนางต้องชะงักฝ่าเท้าที่กำลังจะก้าวขึ้นรถม้าแล้วหันไปมอง
“ผู้ใด” นางเอ่ยถามพี่ชายที่อยู่ใกล้นางที่สุด
“อวี้เออร์ เจ้าจำคุณชายกงมิได้รึ” ตู้หยวนร้องถามนางอย่างไม่อยากเชื่อ
“อ้อ...ข้าจำไม่ได้เจ้าค่ะ” หรูอวี้หันไปมองอีกครั้ง นางอยากจะรู้ว่าเขามาพบนางด้วยเรื่องอันใด
กงจวิ้นเพิ่งเดินทางกลับมาจากนอกเมือง เขาเห็นหรูอวี้กำลังขึ้นรถม้าออกจากเมืองจึงร้องเรียกนางไว้
“เจ้าจะไปที่ใด” เขาเอ่ยถามอย่างสงสัย แม้แต่ออกมาเที่ยวเล่นนอกจวน น้อยครั้งนักที่เขาจะได้พบนาง
“เรื่องของข้า” นางเอ่ยเสียงเย็นออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ คิดว่าจะพูดเรื่องอันใดกับนางเสียอีก
“เอ่อ...” เขาตกตะลึงถึงกับพูดไม่ออก
ด้วยนางไม่เคยพูดจาแข็งกร้าวเช่นนี้กับเขา แม้นางจะหลีกเลี่ยงเขาอยู่บ่อยครั้ง
“มีเรื่องอันใดอีกหรือไม่” นางปรายตามองเขาอย่างดูแคลน
“เหตุใดถึงเอ่ยตัดรอนข้าเช่นนี้เล่า” เขาเอ่ยออกมาอย่างเศร้าใจ
“ไร้สาระ” นางพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนจะขึ้นรถม้าไปโดยไม่สนใจกงจวิ้นอีกเลย
กงจวิ้นได้แต่ยืนตัวแข็งทื่ออย่างไม่รู้จะทำเช่นไร เขาเสียหน้าไม่น้อยที่นางมิสนใจเขาเช่นนี้ จ้าวลู่ฉือที่ได้ยินประโยคสนทนาของทั้งสองคนได้แต่ขมวดคิ้วของมึนงง คำว่าไร้สาระของนาง หมายความเช่นใดกันแน่
“คุณชายกง ข้าขอตัวก่อน” ตู้หยวนเอ่ยลาเพื่อให้เขาหลีกทางให้รถม้าเคลื่อนตัวเสียที
“คุณชายเซี่ย ไม่ทราบว่าพวกท่านจะไปที่ใด” เขาเห็นรถม้าอีกคันบรรจุข้าวของไม่น้อยจึงได้เอ่ยถาม
“ตอนนี้ข้ามิใช่คนตระกูลแซ่แล้ว” พูดเพียงเท่านี้หวังว่าเขาจะเข้าใจ
จ้าวลู่ฉือร้องสั่งให้ขบวนเดินทางออกเดินทางทันที กงจวิ้นยังไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น ตัวเขาไม่อยู่ในเมืองหลวงเพียงไม่กี่วัน ไม่รู้ว่าเกิดเหตุการณ์ใดบ้าง
ขบวนเดินทางเริ่มเคลื่อนออกจากเมืองหลวง จ้าวลู่ฉือก็ขี่ม้าเข้ามาใกล้รถม้าของตู้เหลียน
“อาเหลียน ข้าจะหยุดพักที่โรงเตี๊ยมนอกเมืองเสียก่อน เพื่อเจ้าจะได้เขียนจดหมายส่งไปให้ท่านอาจารย์ได้รู้ข่าว”
หรูอวี้มองมารดาอย่างหยอกล้อ ถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะบอกว่าแม่ทัพจ้าวคิดกับมารดานางเพียงแค่น้องสาวอีกรึ
“ขอบคุณท่านเจ้าค่ะ” ตู้เหลียนถลึงตามองบุตรสาว ทั้งกล่าวขอบคุณจ้าวลู่ฉือไปด้วย
หรูอวี้นางยกยิ้มอย่างพอใจ นางคิดจะหาหนทางกลับเข้าเมืองเพื่อไปจัดการเรื่องที่นางยังไม่ได้ทำไว้อีกสักเล็กน้อย ด้วยมีแม่ทัพจ้าวร่วมขบวนมาด้วย ในตอนแรกนางก็กังวลว่าจะหาทางปลีกตัวออกมาไม่ได้
เมื่อได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ ย่อมเป็นเรื่องดีสำหรับนาง
ขบวนเดินทางมาได้เพียงแค่หนึ่งชั่วยามก็มาหยุดที่โรงพักม้าที่นอกเมือง ทหารที่ติดตามมาด้วยงุนงงไม่น้อย ความจริงแล้วทุกครั้งที่เดินทางกลับชายแดนเหนือพวกเขาแทบจะไม่ได้หยุดพักเลย คงเป็นเพราะมีสตรีร่วมเดินทางมาด้วย ท่านแม่ทัพถึงได้เมตตาเช่นนี้
“เจ้ากับบุตรเข้าไปพักด้านในเถิด” จ้าวลู่ฉือให้คนไปจัดการเรื่องห้องพักให้สามคนแม่ลูกเรียบร้อยแล้ว
“ขอบคุณท่านเจ้าค่ะ” ตู้เหลียนยิ้มขอบคุณ ก่อนจะถูกสาวใช้กับแม่นมประคองเข้าไปด้านใน
หรูอวี้แยกตัวไปหากลุ่มนายทหารที่กำลังจะจูงม้าไปไว้ที่โรงม้าที่อยู่ด้านหลัง
“พี่ชาย ข้าขอถามหน่อย จากที่นี่เดินทางย้อนกลับไปเมืองหลวงไกลเพียงใดเจ้าคะ” นายทหารที่ถูกเรียกว่าพี่ชายก็สะดุ้งตกใจไม่น้อย
เขาไม่เคยเจอคุณหนูจวนใดที่ทำท่าทางสนิทสนมกับบุรุษร่างใหญ่ ใบหน้าดุร้ายเช่นสาวน้อยตรงหน้ามาก่อนเลย
“เอ่อ...หากเดินทางด้วยม้าก็ใช้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูปเท่านั้นขอรับ”
“อืม...ข้าขอยืมม้าท่านได้หรือไม่” นางเอ่ยขออย่างหน้าตาเฉย
“เจ้าจะไปที่ใด” เสียงเหยียบเย็นเอ่ยถามมาจากด้านหลังของนาง
หรูอวี้มิได้สะดุ้งตกใจเช่นนายทหารที่หยุดคุยกับนางทั้งสามคน นางหันกลับไปมองทางด้านหลังช้าๆ แล้วเลิกคิ้วขึ้นอย่างยียวน เมื่อเห็นใบหน้าดำคล้ำของแม่ทัพจ้าว
“ข้าลืมของไว้”
“ลืมสิ่งใดถึงต้องกลับไปเอา”
“ท่านแม่ทัพ เรื่องนี้ข้าก็ต้องแจ้งท่านด้วยรึ” เขายังไม่ได้เป็นบิดาของนางเสียหน่อย คิดจะข่มขู่นางยังเร็วเกินไป
“ข้าต้องคุ้มครองพวกเจ้าสามคนแม่ลูกไปให้ถึงเป่ยหาน เรื่องทั้งหมดข้าสมควรต้องรู้”
“เช่นนั้น ข้าหาหนทางอื่นก็ได้” นางเอ่ยออกมาเบาๆ แล้วเดินกลับเข้าไปในโรงเตี๊ยม
“ประเดี๋ยว ไม่ว่าของสิ่งนั้นคืออันใด เจ้าก็ไม่อาจจะกลับไปเมืองหลวงได้แล้ว”
“หื้ม...ท่านยังไม่ได้เป็นบิดาของข้าเลย จะห้ามข้าเสียแล้วรึ” นางเอ่ยถามอย่างใสซื่อ
“เพ้ย ผู้ใดอยากเป็นบิดาของเจ้ากัน” เขาถลึงตามองนางอย่างไม่พอใจ
เด็กสาวรุ่นเดียวกับนาง เมื่อเห็นเขาต่างพากันถอยหนี ไม่ใช่ว่าใบหน้าของเขาดูน่าหวาดกลัว แต่ด้วยรังสีสังหารที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเขา ทำให้แม้แต่ขุนนางในเมืองหลวงยังต้องกลัว แล้วเหตุใดนางถึงได้กล้าต่อปากต่อคำกับเขาอย่างไม่รู้จบเช่นนี้
“ข้าก็คิดว่าท่านต้องการจะทำหน้าที่บิดาแล้วเสียอีก หากมิใช่...เรื่องนี้ท่านอย่าได้เข้ามายุ่งจะดีกว่า” นางมองเขาด้วยแววตาที่แข็งกร้าว เป็นการเอ่ยเตือน ก่อนจะเดินกลับเข้าที่พักไปไม่สนใจใบหน้าเขียวคล้ำที่น่ากลัวของเขาเลยสักนิด
ผิดกับทหารทั้งสามนายที่ได้ยินทุกคำพูดที่ทั้งสองโต้ตอบกัน พวกเขาล้วนแต่ตัวสั่นจนก้าวขาไม่ออก ด้วยรู้ว่าโทสะของผู้เป็นนายโหดเหี้ยมมากเพียงใด
“ข้าขอสั่งพวกเจ้า อย่าได้ให้การช่วยเหลือสิ่งใดกับนาง มิเช่นนั้น...กลับถึงค่ายชายแดนเมื่อใด พวกเจ้าคงรู้ตัวว่ามีสิ่งใดรอพวกเจ้าอยู่” เขาปรายตามองอย่างคาดโทษทั้งสามคน ก่อนจะเดินเข้าไปที่พักอย่างหัวเสีย
อันอ๋อง ยอมเข้าไปอยู่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจ้าวลู่ฉือตั้งแต่วัยสิบสองหนาว แม้เขาจะมิได้แสดงออกว่าพึงใจในตัวของซูซินมากนัก แต่ก็ลอบหาทางพบนางอยู่เสมอ“หึ อันอ๋องร้ายนัก ข้ารึก็มัวแต่ระวังเจ้าลูกเต่าจวนอื่น” จ้าวลู่ฉือสบถออกอย่างหัวเสียเมื่อเขารู้เรื่องจากหรูอวี้ว่า ทั้งสองเหมือนจะมีใจให้กัน“ท่านพี่ ซินซินนางถึงวัยออกเรือนแล้ว อันอ๋องเองก็อยู่ในสายตาของท่านมาตลอด ท่านยังมิวางใจอีกรึ”“พี่ยังอยากให้ซินซินอยู่กับพี่และเจ้าไปอีกหลายปี”“เหอะ ท่านจะให้นางแก่ตายคาจวนหรืออย่างไร ข้าตัดสินใจแล้ว หากซินซินนางเลือกอันอ๋องข้าก็ไม่ขัดขวาง ท่านก็ปล่อยวางได้แล้ว” หรูอวี้มองสามีที่ผมเริ่มจะขาว ของนางอย่างมีโทสะนางอยากจะถามเขาเสียเหลือเกินว่าจะต้องรอให้เขาลงหลุมก่อนรึ ถึงจะยอมให้บุตรสาวออกเรือนได้เมื่อคำเด็ดขาดหลุดออกมาจากปากของหรูอวี้ จ้าวลู่ฉือก็ไม่อาจเอ่ยแย้งได้ พออันอ๋องมาเอ่ยเรื่องทาบทามที่จวน จ้าวลู่ฉือจึงบังคับให้เขาสาบานต่อฟ้าดินว่าจะมีเพียงบุตรสาวของตนเพียงหนึ่งเดียวในตำหนัก“เปิ่นหวางสาบานต่อหน้าฟ้าดิน ชั่วชีวิตนี้จะมีเพียงซินซินหนึ่งเดียว และจะไม่ทำให้นางต้องช้ำใจเป็นอันขาด”สามเดือนต
หรูอวี้นางคิดว่า มีเพียงฝาแฝดทั้งสองเป็นบุตรก็เพียงพอแล้ว เพียงเลี้ยงเขาน้องก็ไม่มีเวลาปลีกตัวไปทำอันใดได้ จึงมิได้คิดเรื่องที่จะมีบุตรอีกเลย“ท่านแม่จะมีน้องสาวให้ข้ารึขอรับ” จ้าวหลิงฮุ่ยเอ่ยถามออกมาด้วยใบหน้าที่ใสซื่อจ้าวหลิงเทียนก็มองมาทางหรูอวี้ด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย แม้ไม่ได้พูดออกมา ก็รู้ว่าเขาอยากจะมีน้องสาวตัวน้อยเช่นเดียวกัน“ใช่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย” นางลูบหัวบุตรทั้งสองอย่างรักใคร่“มีน้องชายก็ได้ขอรับ ข้าชอบทั้งหมดที่เป็นน้องของข้า” จ้าวหลิงฮุ่ยฉีกยิ้มกว้างอย่างน่าเอ็นดู“ยินดีด้วยขอรับท่านแม่ทัพ” ตลอดทางนับตั้งแต่เดินเข้าจวนมา เขาอดจะสงสัยไม่น้อยที่บ่าวไพร่ ต่างเข้ามาแสดงความยินดี ราวกับว่าเขาได้เลื่อนตำแหน่งเสียอย่างงั้นแต่จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อยามนี้เขาเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ ที่ไม่อาจจะมีตำแหน่งใดสูงได้มากกว่านี้อีกแล้ว“เกิดเรื่องใดขึ้น” เขาเอ่ยถามบ่าวแล้ว แต่ก็ไม่ได้คำตอบ ได้แต่บอกให้เขากลับไปฟังเรื่องราวที่เรือนของฮูหยินเองเสียงพูดคุยหัวเราะของคนในเรือนของหรูอวี้ ทำให้จ้าวลู่ฉือที่เดินทางกลับมาจากค่ายทหารนอกเมืองยืนยิ้มตามไปด้วยรอยยิ้มเช่นนี้ของเขา ม
เรื่องนี้ทำให้ตู้เหลี่ยงพอใจอยู่ไม่น้อย ด้วยตัวเขาเองก็เตรียมชื่อไว้ให้เหลนชายทั้งสองเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าจ้าวลู่ฉืออยากจะตั้งเองหรือไม่“จ้าวหลิงเทียน จ้าวหลิงฮุ่ย ชอบหรือไม่เล่า” เขาเอ่ยเรียกเหลนชายทั้งสอง พร้อมทั้งมองอย่างรักใคร่จ้าวหลิงเทียนผู้พี่ จ้าวหลิงฮุ่ยผู้น้อง หัวเราะจนเห็นเหงือกของตน สร้างความอิ่มเอมใจให้กับทุกคนในห้องโถงจนมีรอยยิ้มไปตามๆ กันแต่แล้วความครื้นเครงก็หยุดลง เมื่อพ่อบ้านจ้าว เข้ามาแจ้งเรื่องที่เซี่ยถงวู่มาขอพบตู้เหลี่ยงและตู้เหลียนที่หน้าจวนตู้เหลี่ยงส่งฝาแฝดให้แม่นมพาออกไปด้านนอกทันที ก่อนจะตบโต๊ะเสียงดังอย่างมีโทสะ“เดรัจฉาน!!! ยังมีหน้ามาขอพบข้าอีกรึ”“ท่านตา อย่าได้มีโทสะเจ้าค่ะ หากท่านไม่ต้องการพบหน้าก็เพียงแค่ให้บ่าวหน้าจวนไล่ไปก็เท่านั้น ไยจะต้องทำให้ตนเองขุ่นใจด้วย” หรูอวี้เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย นางเหลือบมองมารดาก่อนจะพูด ก็เห็นว่านางไม่ได้แสดงอาการตื่นเต้นดีใจที่เซี่ยถงวู่มาขอพบ จึงได้เบาใจลง“เป็นเช่นที่อวี้เออร์นางว่า หากท่านอาจารย์ไม่ต้องการจะพบ ข้าจะออกไปจัดการให้ท่านเองขอรับ”“อืม...ลำบากเจ้าแล้ว” เพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่าตู้เหลี่
“สวรรค์” บ่าวไพร่และเสี่ยวฟ่านที่ได้พบเห็นคุณชายน้อยของตนก็ได้แต่อุทานออกมาอย่างแปลกใจนี่มันเด็กเพียงคลอดเสียที่ไหน ทั้งสองราวกับเด็กครบเดือนแล้ว ดวงตาที่กวาดมองไปทั่ว ราวกับรู้เรื่องราวและรับรู้สิ่งที่พวกเขาเอ่ยพูดกัน“พาไปให้อวี้เออร์นางดูก่อนเถิด” จ้าวลู่ฉือเขี่ยแก้มบุตรชายทั้งสอง ก่อนจะเดินนำเข้าไปด้านในห้อง ที่สาวใช้ทำความสะอาดร่างกายของหรูอวี้เรียบร้อยแล้ว“ฮูหยินช่างมีบุญนัก แม้แต่กลิ่นน้ำคลอดของนางก็ไม่เหม็นเช่นที่ข้าเคยพบเจอ ดูเหมือนว่าจะคลายกลิ่นดอกบัวเสียด้วยซ้ำ” หมอตำแยเอ่ยพูดคุยถึงเรื่องความน่าอัศจรรย์นี้กันจ้าวลู่ฉือ เห็นหรูอวี้นั่งพิงหัวเตียงชะเง้อคอมองมาทางประตูก็อมยิ้มมองนาง“เจ้าอยากเห็นลูกใช่หรือไม่” เขารับเด็กทั้งสองคนมาจากป้าจิ้นและเสี่ยวซี ก่อนจะเดินเข้าไปหาหรูอวี้ที่เตียงหรูอวี้เม้มปากแน่น มองเด็กน้อยที่อยู่ในห่อผ้าที่แขนของจ้าวลู่ฉือ“ลูกข้า...ช่างตัวเล็กนัก” นางไม่รู้ว่าจะเอ่ยเช่นไรไม่คิดด้วยว่าในชีวิตนางจะให้กำเนิดเด็กน้อยออกมาได้ หรูอวี้มองเด็กทั้งสองด้วยดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำ ความรู้สึกแปลกใหม่เกิดขึ้นกับนาง จนนางไม่อาจจะอธิบายได้ความรัก ความหวงแหน ห
“อันใดกัน มีเรื่องที่เจ้าจัดการไม่ได้ด้วยรึ” ฮ่องเต้ไม่อยากจะเชื่อ ว่าสหายรักจะจัดการเรื่องหยุมหยิมเช่นนี้ไม่ได้“มีเพียงเรื่องของนางที่ไม่อาจจัดการได้” เขาไม่เคยเอาชนะนางได้เลย นับตั้งแต่ที่พบเจอนางในครั้งแรก“เพ้ย สตรี อย่างไรก็ต้องอยู่ภายใต้คำสั่งของสามี เจ้าตามใจนางเกินไปแล้ว”“พูดไป พระองค์ก็ไม่เข้าพระทัย กระหม่อมกลับจวนก่อนพ่ะย่ะค่ะ” จ้าวลู่ฉือลุกขึ้นจะเดินออกจากวังหลวง“ให้เจิ้นช่วยพูดดีหรือไม่” สตรีในวังนับร้อย เขายังจัดการได้“นางไม่ได้อยู่ให้พระองค์พูด พระองค์จะช่วยได้อย่างไร”“ห๊ะ!!! ถึงกลับหนีไปเลยรึ”จ้าวลู่ฉือส่ายหัวอย่างปลงตก แล้วเดินออกจากห้องตำราของฮ่องเต้กลับจวน หากนางหนีไปเช่นผู้อื่น เขายังตามกลับมาได้ แต่นี่ นางเล่นหายไปในมิติ เขาจะตามนางได้อย่างไรหรูอวี้ที่เก็บน้ำหวานจากดอกบัวจนเบื่อแล้ว นางจึงได้ออกมาด้านนอก พอออกมาถึงก็ถูกจ้าวลู่ฉือที่นั่งรอนางอยู่รวบตัวกอดรัดไว้แน่น“อวี้เออร์ อย่าได้ทำกับข้าเช่นนี้อีก อย่าได้หายไปโดยไม่บอกข้า เรื่องคุณหนูที่มากวนใจเจ้าวันนั้นข้าจัดการให้ตระกูลของพวกนางจับนางแต่งออกไปแล้ว ยามนี้ไม่มีผู้ใดกล้ามากวนใจเจ้าอีกแล้ว” เขาซุกใบหน้าลงก
หรูอวี้ตบไปที่ใบหน้าของคุณหนูหั่วเต็มแรง มีดสั้นถูกวางจ่ออยู่ที่คอของคุณหนูหั่ว หากนางขยับตัวเล็กน้อยคงได้เห็นเลือดอย่างแน่นอน“ข้าไม่ถือ หากเจ้าจะใช้มารยาเพื่อได้เข้าตระกูลจ้าว แต่ในเมื่อเจ้าปากกล้ากับข้าเช่นนี้ ข้าคงต้องทำให้เจ้ารู้เสียแล้วว่าข้าเป็นเช่นไร” หรูอวี้ขยับข้อมือเพียงเล็กน้อย คมมีดก็บาดเข้าคอของนางจนเลือดซึมออกมา“ขะ ข้ากลัวแล้ว ข้าไม่ได้ตั้งใจเจ้าค่ะ” นางเอ่ยขอร้องอย่างลนลาน“อวี้เออร์ ข้าจัดการเอง” จ้าวลู่ฉือเดินเข้ามาจับข้อมือของนางไว้“หึ” นางสะบัดมือของเขาออก ก่อนจะปามีดสั้นไปตรงกลางโต๊ะที่พวกคุณหนูคนอื่นนั่งอยู่ แล้วเดินออกจากห้องโถงไปอย่างไม่สบอารมณ์จะเรียกว่านางหึงหวงเขาเสียจนหน้ามืดก็ได้ที่ลงมือเช่นนั้น แต่คุณหนูหั่วก็ปากดีเสียจนนางควบคุมอารมณ์ไม่อยู่หรูอวี้ไล่ป้าจิ้นกับเสี่ยวซีที่ตามนางมาที่เรือนอย่างเป็นห่วงออกไป ก่อนจะเข้าไปสงบอารมณ์ในมิติของนางจ้าวลู่ฉือยืนมองคุณหนูที่รอพบเขาที่ละคน ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมา“เป็นบิดาของพวกเจ้า หรือตัวพวกเจ้าที่ใจกล้าทาเยือนจวนของข้ากัน” เขาเอ่ยถามออกมาด้วยเสียงเหยียบเย็นบางคนที่หวาดกลัวจนตัวสั่นก็โยนเรื่องราวทั้งหมดไปให้ผู้เป