หลังแต่งงานมานานหกเดือน ความรักของนลินยังคงหวานชื่นในสายตาของเธอเอง
พีระดีกับเธออย่างเสมอต้นเสมอปลาย เขาเอาใจเธอเสมอ โทรมาทุกเช้า ส่งข้อความหวานทุกบ่าย และกลับบ้านตรงเวลาทุกเย็น
กลับเป็นนลินเองเสียด้วยซ้ำที่กลับบ้านช้าเพราะติดงานหรือประชุม ซึ่งก็เป็นพีระที่คอยทำความสะอาดบ้านให้ และเตรียมอาหารเย็นไว้รอเธอ
ในสายตาของคนอื่น นลินคือเจ้าสาวผู้โชคดีที่ได้สามีแสนดี
และในหัวใจของเธอเอง เธอรู้สึกราวกับว่าตนเองเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลก
✤
แต่ไม่เคยมีสิ่งใดที่คงอยู่ตลอดไป ความสุขเองก็เช่นกัน
มันเป็นสิ่งเล็กๆ ที่นลินสังเกตเห็นตอนซักเสื้อให้สามี กลิ่นน้ำหอมที่เธอไม่เคยใช้มาก่อน
เธอขมวดคิ้ว ดึงเสื้อขึ้นแนบจมูก สูดลึกอีกนิดเพื่อให้แน่ใจ
มันไม่ใช่น้ำหอมกลิ่นไม้หอมที่เขาใช้ประจำ และไม่ใช่กลิ่นเปลือกส้มที่เธอชอบใช้ แต่เป็นกลิ่นหวานเจือกลิ่นดอกไม้จางๆ
เป็นกลิ่นน้ำหอมของผู้หญิง และไม่ได้อ่อนจางเหมือนแค่เดินผ่านกัน
มันติดเสื้อเขาอย่างชัดเจนจนเธอรู้สึกถึงแรงกระเพื่อมบางอย่างในใจ
หัวใจของนลินเต้นแรงอย่างไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน มือที่ถือเสื้อแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ความสงสัยแล่นวูบในอก ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกไม่มั่นคงแผ่วๆ
✤
หลังจากนั้น พีระเริ่มกลับบ้านดึกบ่อยครั้ง
“คุณพีระกำลังประชุมค่ะ” เสียงเลขาสาวของสามีที่ปลายสายพูดกับนลินอย่างสุภาพ เมื่อเธอโทรไปที่บริษัท
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมากนะมีนา” นลินตอบกลับก่อนจะวางสายไป
ในฐานะรองประธาน เธอสามารถตรวจสอบได้ว่ามีการประชุมจริงหรือไม่ และหญิงสาวโล่งใจทุกครั้งที่พบว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหก
หญิงสาวเผยรอยยิ้มโล่งใจออกมาจางๆ รู้สึกราวกับว่าก้อนหินที่กดทับในอกสลายไปในที่สุด
เธอรู้อยู่แล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะทรยศเธอ
แต่เธอไม่รู้ว่าสาเหตุที่การประชุมจัดขึ้นหลังเลิกงาน นั่นเป็นเพราะพีระมัวแต่เอาเวลางานมาขลุกอยู่กับเลขาคนสวยของเขานั่นเอง
มีนา เลขาที่แสนเรียบร้อยอ่อนหวานภายในสาย แต่สีหน้ากลับไม่อาจปิดบังความเย้ยหยัน
ทุกอย่างมันเป็นเกม เกมที่คนแพ้ไม่มีโอกาสรู้ว่าตัวเองแพ้
นลินยังคงคิดว่าเธอกำลังใช้ชีวิตแต่งงานที่เรียบง่ายและอบอุ่น เธอพยายามเป็นภรรยาที่ดี ทำอาหารให้สามี กินข้าวพร้อมกันทุกมื้อ และพูดคุยถึงอนาคตของครอบครัวในทุกค่ำคืน
แต่สำหรับพีระ ทุกอย่างล้วนน่าเบื่อ
เขาเริ่มกลับบ้านช้าขึ้น เริ่มอ้างงาน และเริ่มพูดน้อยลงเวลานลินถามเรื่องงาน
รอยร้าวที่เริ่มขึ้นจากกลิ่นน้ำหอมไร้ที่มาเริ่มแผ่ขยายออกช้าๆ
ห้องนั่งเล่นที่เคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและบทสนทนา กลับเงียบงันจนได้ยินเสียงเข็มวินาทีของนาฬิกาแขวนผนังดังชัดเจน
เขานั่งอยู่ฝั่งหนึ่งของโซฟา
เธอนั่งอีกฝั่ง
มีเพียงโต๊ะเล็กๆ คั่นกลาง แต่กลับให้ความรู้สึกว่ามันหนายิ่งกว่ากำแพงใด ๆ
เขาก้มหน้ามองโทรศัพท์ เลื่อนหน้าจอไปเรื่อยๆ โดยไม่พูดอะไร ในบางครั้งยังพิมพ์อะไรบางอย่าง ราวกับกำลังคุยอยู่กับใครอีกคน
หญิงสาวทำได้เพียงจ้องมองเขาเงียบๆ สายตาเต็มไปด้วยคำถาม
แม้แสงไฟสีอุ่นจะยังเปิดอยู่ แต่บรรยากาศกลับมืดมิดอึมครึม ความเย็นชาอย่างบอกไม่ถูกทำให้ใจเธอเริ่มสั่น แต่นลินยังไม่กล้าคิดไปไกล
หญิงสาวได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าเธอไม่ควรคิดมาก แต่ไม่รู้ว่าเพราะกลิ่นน้ำหอมเมื่อคราวนั้น หรือเพราะแค่การกระทำที่เปลี่ยนไปของเขาในช่วงนี้
มันทำให้หัวใจของเธอ... เริ่มมีคำถามที่ไม่น่าถามผุดขึ้นมาเงียบ ๆ
เธอบอกตัวเองว่า มันเป็นแค่ช่วงเวลาที่เขาเหนื่อย เดี๋ยวทุกอย่างก็กลับมาเหมือนเดิม
แต่เธอไม่รู้เลยว่า สำหรับพีระ ทุกอย่างแค่กลับไปเป็น “เหมือนเดิม”
✤
“เดี๋ยวแม่นั่นก็สงสัยหรอก”
เป็นมีนาที่เอ่ยเตือนเมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันน่าอึดอัดระหว่างทั้งสองคน พีระถอนหายใจ การเล่นละครมานานหลายเดือนกินพลังงานเกินกว่าใครจะคาด แต่เขาก็รู้ดีว่าเพื่อแผนการแล้วเขายังต้องอดทน
“ต้องให้รางวัลฉันหน่อยแล้วนะ” เขาว่าอย่างออดอ้อน ราวกับสุนัขที่ขอรางวัลหลังจากทำงานได้ดี
เวลานี้ทั้งคู่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงานตัวเดียวกันด้วยท่วงท่าสุดล่อแหลม เลขาสาวหัวเราะคิกคัก เอื้อมมือปลดกระดุมเสื้อของชายหนุ่มอย่างยั่วเย้า ร่างพลันถูกกระชากเข้ามาให้แนบชิดขึ้นไปอีก
พีระสลัดคราบหัวหน้างานผู้สุขุมทิ้งไปไม่เหลือชิ้นดี ฟอนเฟ้นร่างกายขาวผุดผาดตรงหน้าอย่างอดใจรอแทบไม่ไหว เสื้อผ้าของทั้งสองหลุดลุ่ย กระโปรงทำงานตัวสั้นของมีนาถูกเลิกขึ้นจนสุดโดยไม่ถอดออกจากตัวเสียด้วยซ้ำ ชายกระโปรงคลุมทับลงบนหน้าขาของเขา เช่นเดียวกับส่วนเร้นลึกอันอ่อนนุ่มที่บดทับลงมา
เสียงครางครวญดังขึ้นแผ่วๆ หญิงสาวไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่าแม้แต่วินาทีเดียว เริ่มต้นบรรเลงบทรักที่ตนถนัดที่สุดอย่างอดใจไม่ไหวเช่นเดียวกัน
มีนารู้จักร่างกายของคนตรงหน้าเป็นอย่างดี ดีพอที่เธอจะรู้ว่าต้องทำอย่างไรให้พีระอารมณ์ดี หญิงสาวขยับสะโพกเป็นจังหวะเนิบนาบ โน้มใบหน้าเข้าไปแนบชิดริมใบหูของชายคนรัก ปลอบโยนด้วยเสียงกระซิบที่แฝงไว้ด้วยปริศนา
“ทนอีกไม่นานแล้วน่า”
“สวัสดีค่ะท่านรอง”เช้าวันใหม่ของลินดาเริ่มต้นด้วยเสียงทักทายของพนักงานสาวในบริษัท ที่ทำเอาเธอถึงกับยิ้มแห้ง“โถ่ อย่าล้อฉันสิคะ” หญิงสาวตอบกลับเสียงอ่อย สีหน้าเต็มไปด้วยความเขินอายอย่างที่ไม่ต้องแสร้งทำเลยสักนิด ท่ามกลางเสียงหัวเราะสดใสของเพื่อนร่วมงานที่ยามนี้กลายมาเป็นลูกน้องใต้บังคับบัญชาของเธอเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้วที่ลินดาเข้ามาดำรงตำแหน่งรองประธานให้กับจิราธิวัฒน์กรุ๊ปใช่แล้ว... จิราธิวัฒน์กรุ๊ปหลังจากที่เธอทบทวนความรู้สึกของตนเอง ในที่สุดหญิงสาวก็ตระหนักได้ว่าที่แท้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นนลินหรือลินดา พวกเธอล้วนเป็นคนคนเดียวกันไปแล้ว และอาจจะเป็นเช่นนั้นมาตั้งแต่แรกหญิงสาวจึงตัดสินใจทำตามหัวใจตัวเองอีกสักครั้ง ด้วยการตอบรับคำขอของประเสริฐ จิราธิวัฒน์ ผู้เป็นทั้งประธานบริษัท และเป็นบิดาของนลิน... บิดาของเธอ“บริษัทนี้มีที่ว่างให้เธอเสมอนะลินดา”นั่นคือคำพูดที่เขากล่าวกับเธอในวันที่เธอยื่นใบลาออก ถึงอย่างนั้น หญิงสาวก็ไม่คิดสักนิดว่าที่ว่างนั่น... จะหมายถึงตำแหน่งรองประธานบริษัทเช่นนี้คิดแล้วเธอก็ถอนหายใจออกมาแผ่วเบา ในใจทั้งรู้สึกซาบซึ้งปนกับความจนใจซาบซึ้งที่ท้ายที่สุดแล้ว
ลินดาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆ ออกมา รอยยิ้มที่ทั้งเศร้าและอ่อนโยนจนทำให้หัวใจของกฤษณ์สั่นไหว“คุณพูดถูกค่ะ…” เธอเอ่ยเสียงเบา สายตาเลื่อนลอยราวกับทอดมองผ่านกาลเวลาไปไกลแสนไกล“ครั้งหนึ่งฉันเคยเป็นนลินคนนั้นจริงๆ”กฤษณ์เบิกตากว้างเล็กน้อย ราวกับถูกแรงกระแทกบางอย่างซัดเข้ามาเต็มอกถ้อยคำที่ลินดายอมรับออกมาตรงๆ ว่าเธอเคยเป็นนลินจริงๆ นั้น ทำให้เขานิ่งค้างไปชั่วขณะ หัวใจที่เมื่อครู่ยังเต้นแรงด้วยความมั่นใจกลับพลันปั่นป่วนทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาเชื่ออย่างแน่วแน่ ยิ่งมองก็ยิ่งมั่นใจว่าผู้หญิงตรงหน้าคือคนเดียวกับคนที่เขารัก แต่พอได้ยินคำยอมรับออกมาง่ายๆ แบบนั้น ความรู้สึกกลับกลายเป็นความไม่อยากเชื่ออย่างประหลาดมันยิ่งตอกย้ำว่า แท้จริงแล้ว ตัวเขาเองก็รู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้คนที่ตายไปแล้วคนหนึ่ง จะกลับมาอยู่ตรงหน้าเขาได้อย่างไรริมฝีปากของเขาขยับ แต่ไม่มีถ้อยคำใดเล็ดลอดออกมา ความตกใจผสมความไม่เชื่อถาโถมเข้าใส่ จนทำให้หัวใจของกฤษณ์หวั่นไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนภาพความทรงจำวัยเด็กซ้อนทับกับใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มบางของลินดา มันเหมือนจริงเกินไป แต่ในขณะเดียวกันก็ดูแทบเป็นไปไม่ได้เลย
เสียงทุ้มที่เอ่ยชวนนั้นเรียบง่าย แต่หนักแน่นพอจะทำให้หัวใจที่กำลังสั่นไหวของหญิงสาวสงบลงลินดานิ่งไปชั่วขณะ ดวงตาฉายความลังเลวูบหนึ่ง แต่เมื่อสบตากับเขา ความอุ่นที่ส่งมาจากแววตานั้นกลับทำให้หัวใจที่บอบช้ำเหมือนได้ที่พึ่งพิงในวินาทีนั้นเองหญิงสาวพยักหน้าช้าๆ ลุกขึ้นหยิบกล่องของใช้ กฤษณ์รีบลงจากรถเข้ามาช่วย รับกล่องใบนั้นมาไว้ในอ้อมแขนแทน จากนั้นก็เปิดประตูรถให้เธอขึ้นไปอย่างสุภาพ ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติราวกับเป็นเรื่องที่เขาตั้งใจจะทำมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วเสียงเครื่องยนต์ดังแผ่วเบา รถแล่นไปบนถนนสายยาวอย่างช้าๆ กฤษณ์เหลือบมองหญิงสาวข้างกายเป็นระยะ ราวกับสายตาถูกดึงดูดโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ทุกท่วงท่าของเธอช่างคุ้นตาเหลือเกิน... คุ้นจนหัวใจสั่นไหวอย่างประหลาดตั้งแต่วันที่เขาเริ่มได้ร่วมมือกับลินดา ความสงสัยนี้ก็ผุดขึ้นในใจโดยที่เขาเองไม่ทันรู้ตัวตอนแรกมันเป็นเพียงความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ ทั้งท่าทางเธอเวลานิ่งคิดอะไรสักอย่าง รอยยิ้มจากใจจริงที่ซ่อนอยู่ใต้รอยยิ้มบางที่ประดับบนริมฝีปากของเธอเสมอ หรือแม้กระทั่งน้ำเสียงที่แฝงความหนักแน่น แต่กลับมีความอ่อนโยนซ่อนอยู่ยิ่งใก
“นี่คือจดหมายลาออกของฉันค่ะ”สิ้นประโยคนั้น ทั่วทั้งห้องก็เงียบงันไปถนัดตาน้ำเสียงของลินดาเรียบง่าย ไม่มีแววความลังเลแม้แต่น้อย ราวกับหญิงสาวได้ตัดสินใจมาแล้วนับร้อยนับพันครั้งบรรยากาศในห้องเงียบกริบ เสียงเข็มนาฬิกาเดินดังก้องสะท้อนอย่างชัดเจน ประธานบริษัทเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยราวกับไม่อยากเชื่อสิ่งที่เห็น“ลาออก? ทำไมกัน คุณมีอนาคตที่สดใสในบริษัทนี้นะ”“ที่นี่มอบความทรงจำที่ล้ำค่าให้ฉันมากเกินไปค่ะ” ลินดาตอบกลับด้วยยิ้มบาง เป็นรอยยิ้มที่แฝงทั้งความเหนื่อยล้าและความโล่งใจ เธอเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง หายใจเข้าลึก แล้วเอ่ยต่อเสียงเบา“ฉันไม่เคยต้องการตำแหน่ง หรือผลประโยชน์ใดๆ ค่ะ อันที่จริงฉันตั้งใจจะลาออกนานแล้ว สาเหตุที่ยังอยู่แค่เพื่อต้องการจะเปิดเผยเบื้องหลังของพีระเท่านั้นเองค่ะ ขอโทษที่ทำให้ท่านผิดหวังนะคะท่านประธาน”คำพูดนั้นเหมือนสายลมพัดผ่านห้อง เงียบสงัดจนทุกประโยคดังก้องชัดถ้อยชัดคำ ดวงตาของลินดาหลุบต่ำ ราวกับไม่อยากให้ใครเห็นความรู้สึกซึ่งซ่อนอยู่เบื้องหลังพูดให้ถูกคือเธอไม่คิดจะกลับมาที่นี่เลยด้วยซ้ำ ความทรงจำของเธอกับบริษัทแห่งนี้มีมากเกินไป แต่หากไม่กลับมา แล้วปล่อยให้บร
หลังจากคดีที่สั่นสะเทือนวงการธุรกิจและการเมืองสิ้นสุดลง มีนากับผู้มีอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังเธอถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ทุกอย่างดำเนินไปอย่างที่ลินดาวางหมากไว้แทบทุกกระเบียดนิ้วเธอไม่ได้ใช้วิธีอื่นหรือกลอุบายรุนแรงใดๆ ที่เกินเลยกว่ากฎหมาย หญิงสาวเพียงรวบรวมข้อเท็จจริงและหลักฐานอย่างรอบคอบ แล้วส่งต่อให้เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องดำเนินการ ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมที่โปร่งใสเมื่อศาลตัดสิน มีนาถูกลงโทษตามความผิดของตน และนักการเมืองผู้คอยหนุนหลังก็ติดร่างแหเพราะมีหลักฐานโยงชัด ลินดาไม่ได้รู้สึกสะใจหรือย่ำยีอีกฝ่าย เธอแค่พอใจที่ความจริงถูกเปิดเผยและความยุติธรรมได้ทำหน้าที่ของมันทว่าบรรยากาศในห้องทำงานของประธานบริษัทกลับเงียบกว่าทุกครั้งท่านประธานนั่งนิ่งอยู่หลังโต๊ะไม้สักสีเข้ม ดวงตาคมลึกจับจ้องเธอด้วยแววที่ผสมระหว่างความสงสัยและความปวดร้าวที่ยังคงอยู่ในใจ“ลินดา…” เสียงทุ้มห้าวเอ่ยเรียบ แต่แฝงความหนักแน่น “ทำไมเธอถึงไม่พูดความจริงเรื่องนลินออกมา”คำถามนั้นทั้งตรงไปตรงมาและหนักอึ้ง เป็นคำถามที่เธอรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายต้องถามในฐานะพ่อคนหนึ่ง เจ้าสัวประเสริฐย่อมปรารถนาจะทวงความยุติธร
มีนาเก็บข้าวของย้ายออกจากเพนท์เฮาส์ของกฤษณ์ในคืนนั้นเอง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคงย้ายไปอยู่กับชายเจ้าของสายโทรศัพท์คนนั้นลินดารับรู้การเคลื่อนไหวของเธอทุกอย่างผ่านทางกฤษณ์ หญิงสาวเพียงแสยะยิ้มเย็นอย่างคนที่คาดไว้แล้วเธอรู้ดีว่ามีนาจะต้องดึงผู้มีอำนาจสักคนเข้ามาเป็นเกราะกำบัง ถึงอย่างไรหญิงสาวคนนั้นก็ไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้อะไรง่ายๆส่วนสาเหตุที่นักการเมืองคนนั้นช่วยมีนาน่ะหรือ อาจเป็นความสิเน่หาจากใจจริง หรืออาจเป็นเพราะมีนากุมความลับของนักการเมืองคนนั้นอยู่ก็เป็นได้แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ก็ไม่มีใครหน้าไหนสามารถช่วยอีกฝ่ายได้หรอก✤หลายเดือนต่อมา เกมที่ลินดาวางไว้ก็ถึงบทสรุปข่าวการตรวจสอบคดีทุจริตที่เชื่อมโยงถึงนักการเมืองใหญ่ชื่อดังแผ่กระจายไปทั่วสื่อราวกับไฟลามทุ่งไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าใครเป็นคนปล่อยเอกสารลับออกมา แต่ทุกหลักฐานกลับมุ่งตรงไปยังทุกคนที่เคยมีส่วนร่วมกับมีนาราวกับจงใจนักการเมืองใหญ่ผู้เคยถือเป็นเกราะกำบังที่แข็งแกร่งที่สุดของเธอถูกลากชื่อเข้าไปพัวพันในคดีอื้อฉาวอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง และเมื่อเขาเริ่มถูกสอบสวน ลำดับต่อมาที่ถูกจับจ้องก็คือหญิงสาวที่ใกล้ชิดกับเขามากที่สุดอย่างมีนา