เย็นวันนั้นพีระกลับมาถึงบ้านพร้อมรอยยิ้มอารณ์ดี เขาถึงกับซื้อขนมของโปรดมาฝากภรรยาเสียด้วย
“ว๊าย”
หญิงสาวหวีดร้องเบาๆ เมื่อเขาดึงเธอมากอดทันทีที่เห็นหน้า นลินอดตกใจกับการเปลี่ยนแปลงกะทันหันไม่ได้ ชายหนุ่มจึงบอกว่าปัญหาทั้งหมดได้ถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว
“ขอโทษนะก่อนหน้านี้ ผมเครียดเกินไป”
นลินพยักหน้ารับ เธอเข้าใจดีว่าเขาเพิ่งเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าแผนก คงมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ยังจัดการไม่เรียบร้อย
คำยืนยันจากคนรักได้ขจัดความไม่มั่นคงก่อนหน้านี้ออกไป หญิงสาวพลันรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อยที่เธอระแวงสงสัยเขา
“มาๆ กินข้าวกันเถอะ” นลินเปลี่ยนเรื่อง ลากเขาเข้ามาที่โต๊ะอาหาร
แม้ก่อนหน้านี้พีระจะไม่กลับมากินข้าวที่บ้านสักเท่าไหร่ แต่นลินก็ทำอาหารเผื่อเขาไว้ทุกวัน ในอกของเธอพองฟูเมื่อเริ่มอวดว่าระหว่างนี้เธอพัฒนาฝีมือทำอาหารไปมากแค่ไหนแล้ว
“อร่อยกว่าเดิมอีกนะเนี่ย ภรรยาใครกันครับ”
พีระเอ่ยชมไม่ขาดปาก กินอาหารที่เธอทำจนเกลี้ยง
รอยยิ้มของเขา ความอ่อนโยนของเขา ทุกอย่างล้วนปกติ ปัดเป่าเมฆหมอกแห่งความกังวลออกไปจนหมด
เป็นอย่างที่เธอคิดจริงๆ แค่กลิ่นน้ำหอมจะบอกอะไรได้
แต่พอตกค่ำ พีระก็เริ่มเอาแต่ดูอะไรสักอย่างในโทรศัพท์โดยไม่สนใจเธอสักนิด บรรยากาศอึมครึมคล้ายจะกลับมาอีกครั้ง
นลินมองเขาจากมุมห้อง พลันรู้สึกถึงอะไรบางอย่างแปลกไป
เขายิ้ม...
ไม่ใช่ยิ้มธรรมดา แต่เป็นยิ้มที่ดูมีความสุขลึกๆ ในแบบที่เธอไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก
มือของเธอเริ่มสั่นน้อยๆ หญิงสาวไม่กล้าถามทันที แต่หัวใจกลับเริ่มตีความทุกอย่างไปไกล
เขาคุยกับใคร?
ใครทำให้เขายิ้มได้ขนาดนั้น?
ไม่นานนักเขาก็สังเกตเห็นสายตาของเธอ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตากับภรรยาด้วยแววตาเปล่งประกาย ยื่นมือถือให้เธอดูราวกับจะเป็นการถามความเห็น
“คุณชอบที่นี่ไหม”
มันคือภาพสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังในภาคเหนือ รวมถึงช่องทางการจองตั๋วเครื่องบินและที่พัก
นลินชะงักงัน พลันรู้สึกว่าขอบตาร้อนผ่าว
ทั้งที่เธอมัวแต่คิดว่าเขากำลังนอกใจ ทั้งที่เธอเคยพูดตัดพ้อเขาในใจซ้ำๆ
แท้ที่จริงแล้ว เธอล้วนคิดมากไปเองทั้งหมด
เธอเงยหน้าขึ้น น้ำตาไหลช้าๆ โดยไม่ทันรู้ตัว
พีระดูตกใจที่จู่ๆ ภรรยาก็ร้องไห้ รีบเข้ามาเช็ดน้ำตาให้หญิงสาวอย่างร้อนรน
“เป็นอะไรไป ไม่ชอบเหรอครับ” น้ำเสียงของเขาดูกังวลไม่น้อย สีหน้าที่แสดงความห่วงใยอย่างพอเหมาะพอเจาะยิ่งทำให้นลินน้ำตาไหลยิ่งกว่าเดิม
“ขอบคุณนะคะ ขอบคุณ” หญิงสาวเอ่ยขอบคุณซ้ำๆ ภายในอกหวานล้ำไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย
ทุกความอึดอัดก่อนหน้า เหมือนถูกคลายออกช้าๆ อย่างแผ่วเบา
ชายหนุ่มยิ้มรับอย่างอ่อนโยน ลูบศีรษะของนลินเบาๆ ก่อนจะเอ่ยคำพูดสุดท้ายที่ตรึงหัวใจของหญิงสาวไม่ให้จากไปไหนได้อีก
“สุขสันต์วันครบรอบหกเดือนนะครับที่รัก”
✤
แต่นลินกลับไม่มีโอกาสอยู่รอจนถึงวันนั้น
อุบัติเหตุทางรถยนต์ได้พรากชีวิตของเธอไปตลอดกาล
✤
“มันเป็นเพราะผม ผมดูแลเธอไม่ดี...”
เสียงร่ำไห้ของชายผู้เป็นสามีของผู้เสียชีวิตดังก้องไปทั่วบริเวณจัดพิธีศพ
พีระสะอึกสะอื้นอย่างไม่เหลือคราบความสุขุมมั่นใจก่อนหน้านี้ แต่ทุกคนกลับไม่ได้นึกตำหนิอะไร มันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่าเจ้าตัวเสียใจมากแค่ไหน
เมื่อภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกันมาได้แค่ครึ่งปี จู่ๆ จะเสียชีวิตไปกะทันหันแบบนี้
“พรุ่งนี้... พรุ่งนี้ก็เป็นวันครบรอบหกเดือนของเราแล้วแท้ๆ คุณบอกว่าจะไปเที่ยวกับผมไม่ใช่เหรอครับ”
ถ้อยคำที่อัดแน่นด้วยความเศร้าโสกทำให้แขกเหรื่อทั้งหลายแทบจะหลั่งน้ำตาตาม
แม้แต่เจ้าสัวประเสริฐก็ยังอดไม่ได้ที่จะตบบ่าของลูกเขยเบาๆ ทั้งที่ตัวเองก็กำลังร้องไห้อยู่เช่นกัน
“นลินของพ่อ โถ่ลูก...”
นลินเพียงยืนมองภาพตรงหน้าเงียบๆ ความเศร้าบาดลึกในแววตาราวกับไม่มีวันลบเลือน
ไม่มีใครเห็นเธอ แม้ว่าเธอกำลังยืนคู่กับภาพถ่ายขาวดำของตนเองก็ตาม
หญิงสาวมองคนสองคนเบื้องหน้าด้วยสีหน้าว่างเปล่า
ภาพตรงหน้าคือพ่อของเธอ ผู้กำลังร้องไห้แทบขาดใจ
ข้างกันคือเขา... คนที่เธอรักอย่างสุดหัวใจ
ผู้ชายที่ครั้งหนึ่งเคยยืนอยู่ข้างเธอ และตอนนี้กำลังเสแสร้งร้องไห้ให้กับการจากไปของเธอ
พีระคุกเข่าอยู่ต่อหน้ารูปงานศพ ตรงหน้านลินที่กำลังเฝ้ามองในสภาพวิญญาณ เขาหยิบอัลบั้มรูปออกมา พลิกเปิดดูทีละรูป
รูปแรกเป็นรูปของเธอในชุดเจ้าสาว ในวันแต่งงานของพวกเขา
หญิงสาวในภาพยิ้มกว้าง สวมชุดราตรีสีขาวยาวประดุจเจ้าหญิง เธอถือช่อดอกไม้ไว้ในมือ แสงอาทิตย์ตกดินสาดส่องเข้ามาพอดี ขับเน้นให้ร่างของเธอเปล่งประกายจนแทบไม่อาจละสายตา ข้างกันนั้นคือตัวเขาเอง ในชุดทักซิโด้สีเทาเข้ม ชายหนุ่มยิ้มอย่างภาคภูมิและเปี่ยมสุข ทั้งสองคนยืนอยู่ท่ามกลางดอกไม้ ท่ามกลางเสียงปรบมือจากแขกทุกคน
เขาหัวเราะเบาๆ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความขมขื่น “วันนั้นเธอสวยเหมือนหลุดออกมาจากนิทานเลย... ฉันยังบอกเลยว่าโชคดีที่สุดในชีวิตที่ได้แต่งงานกับเธอ”
แต่เธอกลับไม่เคยรู้เลยว่ารอยยิ้มของเขาในวันนั้น มันเป็นแค่รอยยิ้มแห่งความสุขใจที่แผนการทั้งหมดเข้าที่เข้าทางโดยสมบูรณ์
อัลบั้มถูกพลิกเปิดหน้าแล้วหน้าเล่า ปลายนิ้วของเขาสั่นเทาขณะเลื่อนไปแตะรูปถ่ายทีละรูป ราวกับพยายามจะทะนุถนอมเศษเสี้ยวความสุขที่หลงเหลือในรูปภาพเหล่านั้นไม่ให้เลือนหายไป
วิญญาณของนลินยังคงยืนอยู่เงียบๆ มองเขา และมองรูปเหล่านั้นด้วยหัวใจที่แหลกสลายไม่มีชิ้นดี
ทุกภาพ ทุกคำพูด ทุกรอยยิ้ม และทุกเสียงหัวเราะ มันเป็นของจริง
แต่แค่เฉพาะกับเธอ
เมื่อความเป็นจริงปรากฏ สิ่งที่หลงเหลือในความทรงจำที่เคยงดงามก็มีเพียงคำหลอกลวงอันโหดเหี้ยมเท่านั้น
อัลบั้มถูกเปิดไปจนถึงหน้าสุดท้าย ชายหนุ่มปิดมันลงด้วยดวงตาแดงก่ำ ไม่มีใครรู้ว่าความเศร้าที่ปรากฎบนนั้นเป็นเพียงการแสดง
เขาทำได้แนบเนียนจนเธอเกือบเชื่อเข้าแล้วจริงๆ ถ้าเธอไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้
ถ้าเธอไม่เห็นรอยยิ้มแสนสุขใจของเขาในยามที่ได้ข่าวอุบัติเหตุ
“สวัสดีค่ะท่านรอง”เช้าวันใหม่ของลินดาเริ่มต้นด้วยเสียงทักทายของพนักงานสาวในบริษัท ที่ทำเอาเธอถึงกับยิ้มแห้ง“โถ่ อย่าล้อฉันสิคะ” หญิงสาวตอบกลับเสียงอ่อย สีหน้าเต็มไปด้วยความเขินอายอย่างที่ไม่ต้องแสร้งทำเลยสักนิด ท่ามกลางเสียงหัวเราะสดใสของเพื่อนร่วมงานที่ยามนี้กลายมาเป็นลูกน้องใต้บังคับบัญชาของเธอเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้วที่ลินดาเข้ามาดำรงตำแหน่งรองประธานให้กับจิราธิวัฒน์กรุ๊ปใช่แล้ว... จิราธิวัฒน์กรุ๊ปหลังจากที่เธอทบทวนความรู้สึกของตนเอง ในที่สุดหญิงสาวก็ตระหนักได้ว่าที่แท้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นนลินหรือลินดา พวกเธอล้วนเป็นคนคนเดียวกันไปแล้ว และอาจจะเป็นเช่นนั้นมาตั้งแต่แรกหญิงสาวจึงตัดสินใจทำตามหัวใจตัวเองอีกสักครั้ง ด้วยการตอบรับคำขอของประเสริฐ จิราธิวัฒน์ ผู้เป็นทั้งประธานบริษัท และเป็นบิดาของนลิน... บิดาของเธอ“บริษัทนี้มีที่ว่างให้เธอเสมอนะลินดา”นั่นคือคำพูดที่เขากล่าวกับเธอในวันที่เธอยื่นใบลาออก ถึงอย่างนั้น หญิงสาวก็ไม่คิดสักนิดว่าที่ว่างนั่น... จะหมายถึงตำแหน่งรองประธานบริษัทเช่นนี้คิดแล้วเธอก็ถอนหายใจออกมาแผ่วเบา ในใจทั้งรู้สึกซาบซึ้งปนกับความจนใจซาบซึ้งที่ท้ายที่สุดแล้ว
ลินดาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆ ออกมา รอยยิ้มที่ทั้งเศร้าและอ่อนโยนจนทำให้หัวใจของกฤษณ์สั่นไหว“คุณพูดถูกค่ะ…” เธอเอ่ยเสียงเบา สายตาเลื่อนลอยราวกับทอดมองผ่านกาลเวลาไปไกลแสนไกล“ครั้งหนึ่งฉันเคยเป็นนลินคนนั้นจริงๆ”กฤษณ์เบิกตากว้างเล็กน้อย ราวกับถูกแรงกระแทกบางอย่างซัดเข้ามาเต็มอกถ้อยคำที่ลินดายอมรับออกมาตรงๆ ว่าเธอเคยเป็นนลินจริงๆ นั้น ทำให้เขานิ่งค้างไปชั่วขณะ หัวใจที่เมื่อครู่ยังเต้นแรงด้วยความมั่นใจกลับพลันปั่นป่วนทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาเชื่ออย่างแน่วแน่ ยิ่งมองก็ยิ่งมั่นใจว่าผู้หญิงตรงหน้าคือคนเดียวกับคนที่เขารัก แต่พอได้ยินคำยอมรับออกมาง่ายๆ แบบนั้น ความรู้สึกกลับกลายเป็นความไม่อยากเชื่ออย่างประหลาดมันยิ่งตอกย้ำว่า แท้จริงแล้ว ตัวเขาเองก็รู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้คนที่ตายไปแล้วคนหนึ่ง จะกลับมาอยู่ตรงหน้าเขาได้อย่างไรริมฝีปากของเขาขยับ แต่ไม่มีถ้อยคำใดเล็ดลอดออกมา ความตกใจผสมความไม่เชื่อถาโถมเข้าใส่ จนทำให้หัวใจของกฤษณ์หวั่นไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนภาพความทรงจำวัยเด็กซ้อนทับกับใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มบางของลินดา มันเหมือนจริงเกินไป แต่ในขณะเดียวกันก็ดูแทบเป็นไปไม่ได้เลย
เสียงทุ้มที่เอ่ยชวนนั้นเรียบง่าย แต่หนักแน่นพอจะทำให้หัวใจที่กำลังสั่นไหวของหญิงสาวสงบลงลินดานิ่งไปชั่วขณะ ดวงตาฉายความลังเลวูบหนึ่ง แต่เมื่อสบตากับเขา ความอุ่นที่ส่งมาจากแววตานั้นกลับทำให้หัวใจที่บอบช้ำเหมือนได้ที่พึ่งพิงในวินาทีนั้นเองหญิงสาวพยักหน้าช้าๆ ลุกขึ้นหยิบกล่องของใช้ กฤษณ์รีบลงจากรถเข้ามาช่วย รับกล่องใบนั้นมาไว้ในอ้อมแขนแทน จากนั้นก็เปิดประตูรถให้เธอขึ้นไปอย่างสุภาพ ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติราวกับเป็นเรื่องที่เขาตั้งใจจะทำมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วเสียงเครื่องยนต์ดังแผ่วเบา รถแล่นไปบนถนนสายยาวอย่างช้าๆ กฤษณ์เหลือบมองหญิงสาวข้างกายเป็นระยะ ราวกับสายตาถูกดึงดูดโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ทุกท่วงท่าของเธอช่างคุ้นตาเหลือเกิน... คุ้นจนหัวใจสั่นไหวอย่างประหลาดตั้งแต่วันที่เขาเริ่มได้ร่วมมือกับลินดา ความสงสัยนี้ก็ผุดขึ้นในใจโดยที่เขาเองไม่ทันรู้ตัวตอนแรกมันเป็นเพียงความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ ทั้งท่าทางเธอเวลานิ่งคิดอะไรสักอย่าง รอยยิ้มจากใจจริงที่ซ่อนอยู่ใต้รอยยิ้มบางที่ประดับบนริมฝีปากของเธอเสมอ หรือแม้กระทั่งน้ำเสียงที่แฝงความหนักแน่น แต่กลับมีความอ่อนโยนซ่อนอยู่ยิ่งใก
“นี่คือจดหมายลาออกของฉันค่ะ”สิ้นประโยคนั้น ทั่วทั้งห้องก็เงียบงันไปถนัดตาน้ำเสียงของลินดาเรียบง่าย ไม่มีแววความลังเลแม้แต่น้อย ราวกับหญิงสาวได้ตัดสินใจมาแล้วนับร้อยนับพันครั้งบรรยากาศในห้องเงียบกริบ เสียงเข็มนาฬิกาเดินดังก้องสะท้อนอย่างชัดเจน ประธานบริษัทเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยราวกับไม่อยากเชื่อสิ่งที่เห็น“ลาออก? ทำไมกัน คุณมีอนาคตที่สดใสในบริษัทนี้นะ”“ที่นี่มอบความทรงจำที่ล้ำค่าให้ฉันมากเกินไปค่ะ” ลินดาตอบกลับด้วยยิ้มบาง เป็นรอยยิ้มที่แฝงทั้งความเหนื่อยล้าและความโล่งใจ เธอเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง หายใจเข้าลึก แล้วเอ่ยต่อเสียงเบา“ฉันไม่เคยต้องการตำแหน่ง หรือผลประโยชน์ใดๆ ค่ะ อันที่จริงฉันตั้งใจจะลาออกนานแล้ว สาเหตุที่ยังอยู่แค่เพื่อต้องการจะเปิดเผยเบื้องหลังของพีระเท่านั้นเองค่ะ ขอโทษที่ทำให้ท่านผิดหวังนะคะท่านประธาน”คำพูดนั้นเหมือนสายลมพัดผ่านห้อง เงียบสงัดจนทุกประโยคดังก้องชัดถ้อยชัดคำ ดวงตาของลินดาหลุบต่ำ ราวกับไม่อยากให้ใครเห็นความรู้สึกซึ่งซ่อนอยู่เบื้องหลังพูดให้ถูกคือเธอไม่คิดจะกลับมาที่นี่เลยด้วยซ้ำ ความทรงจำของเธอกับบริษัทแห่งนี้มีมากเกินไป แต่หากไม่กลับมา แล้วปล่อยให้บร
หลังจากคดีที่สั่นสะเทือนวงการธุรกิจและการเมืองสิ้นสุดลง มีนากับผู้มีอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังเธอถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ทุกอย่างดำเนินไปอย่างที่ลินดาวางหมากไว้แทบทุกกระเบียดนิ้วเธอไม่ได้ใช้วิธีอื่นหรือกลอุบายรุนแรงใดๆ ที่เกินเลยกว่ากฎหมาย หญิงสาวเพียงรวบรวมข้อเท็จจริงและหลักฐานอย่างรอบคอบ แล้วส่งต่อให้เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องดำเนินการ ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมที่โปร่งใสเมื่อศาลตัดสิน มีนาถูกลงโทษตามความผิดของตน และนักการเมืองผู้คอยหนุนหลังก็ติดร่างแหเพราะมีหลักฐานโยงชัด ลินดาไม่ได้รู้สึกสะใจหรือย่ำยีอีกฝ่าย เธอแค่พอใจที่ความจริงถูกเปิดเผยและความยุติธรรมได้ทำหน้าที่ของมันทว่าบรรยากาศในห้องทำงานของประธานบริษัทกลับเงียบกว่าทุกครั้งท่านประธานนั่งนิ่งอยู่หลังโต๊ะไม้สักสีเข้ม ดวงตาคมลึกจับจ้องเธอด้วยแววที่ผสมระหว่างความสงสัยและความปวดร้าวที่ยังคงอยู่ในใจ“ลินดา…” เสียงทุ้มห้าวเอ่ยเรียบ แต่แฝงความหนักแน่น “ทำไมเธอถึงไม่พูดความจริงเรื่องนลินออกมา”คำถามนั้นทั้งตรงไปตรงมาและหนักอึ้ง เป็นคำถามที่เธอรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายต้องถามในฐานะพ่อคนหนึ่ง เจ้าสัวประเสริฐย่อมปรารถนาจะทวงความยุติธร
มีนาเก็บข้าวของย้ายออกจากเพนท์เฮาส์ของกฤษณ์ในคืนนั้นเอง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคงย้ายไปอยู่กับชายเจ้าของสายโทรศัพท์คนนั้นลินดารับรู้การเคลื่อนไหวของเธอทุกอย่างผ่านทางกฤษณ์ หญิงสาวเพียงแสยะยิ้มเย็นอย่างคนที่คาดไว้แล้วเธอรู้ดีว่ามีนาจะต้องดึงผู้มีอำนาจสักคนเข้ามาเป็นเกราะกำบัง ถึงอย่างไรหญิงสาวคนนั้นก็ไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้อะไรง่ายๆส่วนสาเหตุที่นักการเมืองคนนั้นช่วยมีนาน่ะหรือ อาจเป็นความสิเน่หาจากใจจริง หรืออาจเป็นเพราะมีนากุมความลับของนักการเมืองคนนั้นอยู่ก็เป็นได้แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ก็ไม่มีใครหน้าไหนสามารถช่วยอีกฝ่ายได้หรอก✤หลายเดือนต่อมา เกมที่ลินดาวางไว้ก็ถึงบทสรุปข่าวการตรวจสอบคดีทุจริตที่เชื่อมโยงถึงนักการเมืองใหญ่ชื่อดังแผ่กระจายไปทั่วสื่อราวกับไฟลามทุ่งไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าใครเป็นคนปล่อยเอกสารลับออกมา แต่ทุกหลักฐานกลับมุ่งตรงไปยังทุกคนที่เคยมีส่วนร่วมกับมีนาราวกับจงใจนักการเมืองใหญ่ผู้เคยถือเป็นเกราะกำบังที่แข็งแกร่งที่สุดของเธอถูกลากชื่อเข้าไปพัวพันในคดีอื้อฉาวอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง และเมื่อเขาเริ่มถูกสอบสวน ลำดับต่อมาที่ถูกจับจ้องก็คือหญิงสาวที่ใกล้ชิดกับเขามากที่สุดอย่างมีนา