ซินซินกลับไปเล่าทุกอย่างให้ท่านย่าฟัง นางยังเข้าข้างซู่หรานว่าตอนนี้พี่สาวเปลี่ยนไปมาก ในใจท่านย่าแม้ไม่อยากเชื่อใจหลานสาวตัวร้าย แต่ทุกสิ่งที่ซู่หรานทำมาตลอดทั้งเดือนก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ
ถ้าเป็นปกติ อย่าว่าแต่เดือนหนึ่งเลย ต่อให้แค่สามวันซู่หรานก็ทนไม่ได้ อย่างไรก็ต้องหาทางหลบออกไปข้างนอก แต่ตอนนี้คล้ายว่าซู่หรานจะชอบใช้ชีวิตอยู่แต่หลังเรือนไปแล้ว หรือเพราะนางเจอเรื่องร้ายในคุก จึงทำให้นางเปลี่ยนไปมากเพียงนี้
ถึงสงสัย แต่ท่านย่าก็ทำอะไรไม่ได้ หากจะสั่งขังซู่หรานอีก นางคงกลายเป็นคนแก่ใจร้ายจริงๆ เพราะตอนนี้ก็ขังซู่หรานจนผ่านมาเป็นเดือนแล้ว หลานสาวยอมเป็นเด็กดีอยู่แต่ในจวนหลังเรือนส่วนตัวตลอด ท่านย่าจำใจสั่งยกเลิกการกักบริเวณซู่หราน แต่ยังห้ามซู่หรานมาทำความเคารพตอนเช้าเพราะไม่อยากมองหน้า
เพียงแต่ท่านย่าประเมินผิด ถึงท่านย่าจะยกเลิกการกักบริเวณแล้ว ไม่ห้ามการออกนอกจวนด้วย แต่ซู่หรานยังคงนอนในเรือนส่วนตัวทั้งวัน บางครั้งถึงขั้นไม่ตื่นมากินอาหาร รอจนมืดค่ำจึงสั่งสาวใช้ให้ต้มน้ำแกงผัก เพราะในครัวไม่มีอาหารใดเหลือแล้วนอกผักสด ซู่หรานก็กินง่ายๆ เช่นนั้นไม่บ่นสักคำ
วันหนึ่งถึงขั้นขอสิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือทั้งสี่ [1] จากซินซินเพื่อไปฝึกคัดอักษร ซู่หรานอ้างว่าขี้เกียจออกไปซื้อของเอง ถึงซินซินจะยินดีออกไปซื้อให้ แต่ท่านย่าที่เฝ้าดูมาหลายวัน ในที่สุดก็ทนไม่ไหว เข้าไปด่าซู่หรานถึงในห้องนอน
ต่อให้ซู่หรานไม่อยากออกไปข้างนอกมากเพียงไหน เมื่อผู้ใหญ่มาด่าถึงในห้องแล้ว อย่างไรก็ต้องไป
ท่านย่าสั่งให้ป้าหวังมี่ซึ่งเป็นพี่สาวแท้ๆ ของท่านพ่อพาซู่หรานไปด้วยกัน เพราะกลัวว่าซู่หรานจะวางแผนร้ายใส่ซินซินท่านย่าจึงไม่อนุญาตให้สองพี่น้องไปด้วยกัน
ระหว่างทาง ซู่หรานแอบชำเลืองท่านป้าของตัวเอง
หวังมี่ เป็นพี่สาวแท้ๆ พ่อของซู่หราน อายุมากกว่าหนึ่งปี จนป่านนี้ยังไม่ได้แต่งงาน ป้าหวังมี่จึงไม่ค่อยได้ออกมาข้างนอกเนื่องจากผู้คนชอบนินทา ในความทรงจำของซู่หราน ท่านป้ามักจะปฏิเสธไม่ยอมแต่งงานบ่อยๆ
ซู่หรานคนเก่าเคยคิดว่าเป็นเพราะท่านป้าช่างเลือกมากเกินไป สุดท้ายจึงไม่มีผู้ใดอยากขอนางแต่งอีก แม้แต่คนตัดฟืนยังไม่อยากมาสู่ขอ แต่ตอนนี้ซู่หรานกลับคิดว่า ท่านป้าอาจเป็นผู้เลือกจะไม่แต่งงาน ดูได้จากสิ่งที่นางทำอยู่ตอนนี้
ป้าหวังมี่ยังคงอยู่ในจวนของน้องชาย ทางหนึ่งอาจเป็นเพราะน้องชายได้เป็นขุนนาง ผู้คนจึงเงียบปากได้อยู่บ้าง ท่านป้าอยู่ในจวนก็ไม่ได้รับผิดชอบหน้าที่สำคัญอะไร นอกจากช่วยงานท่านย่าและฮูหยินเล็กๆ น้อยๆ
แต่ทุกครั้งที่เกิดปัญหาอะไร ท่านขุนนางหวังจะคุยปรึกษากับพี่สาวทั้งวัน จากนั้นทุกอย่างจะคลี่คลายไปในทางดีขึ้น
งานที่ป้าหวังมี่ยืดเป็นอาชีพเลี้ยงตัวเองคือ เป็นตัวแทนขายภาพเขียนและภาพอักษร ดังนั้นท่านป้าจึงรู้จักกับพวกกวีไส้แห้งมากมาย แม้ร้านของนางจะเป็นร้านไม่ใหญ่มาก แต่ก็มีผลงานชื่อดังไว้ในครอบครองหลายชิ้น และอีกหลายชิ้นก็เป็นของพวกต่างเผ่าด้วย
วันนี้ท่านป้าก็จะไปซื้อกระดาษ ดังนั้นท่านย่าจึงให้ซู่หรานติดไปด้วย ทางหนึ่งจะได้มีคนที่ไว้ใจได้ คอยดูแลควบคุมซู่หราน ทางหนึ่งเพราะซู่หรานไม่มีสาวใช้ติดตามส่วนตัว หลานสาวออกไปไหนคนเดียว อย่างไรท่านย่าก็เป็นห่วง กลัวว่าอาจเป็นขี้ปากชาวบ้านให้ผู้คนนินทา ถึงจะเป็นลูกอนุ แต่อย่างไรก็เป็นลูกขุนนาง มีผู้ใหญ่ไปด้วยจึงดีที่สุด
หลังจากซื้อสิ่งล้ำค่าทั้งสี่ได้แล้ว ท่านป้าขอไปจัดการบางสิ่งในร้านของนางที่อยู่ฝั่งตรงข้าม นางอนุญาตให้ซู่หรานเดินเล่น ดูร้านค้าข้างทางได้ แต่อย่าไปไกล ท่านป้ายังให้สาวใช้ของนางเดินไปด้วย จะได้มีคนช่วยจับตาดูซู่หราน ไม่ให้ไปทำเรื่องไม่ดีได้ง่ายๆ
แต่ซู่หรานกลับขอบคุณด้วยความดีใจ เพราะจะให้เธอเดินคนเดียวไปทั่ว เธอก็ไม่กล้า แต่จะไม่เดินดูก็เสียดาย เพราะที่นี่คือตลาดยุคโบราณของแท้ มองไปทางไหนก็มีแต่คนสวมใส่ชุดโบราณน่ามอง แม้เธอจะเห็นไปมากมายในความทรงจำของซู่หรานคนเดิม แต่เทียบไม่ได้อะไรเลยกับการเห็นด้วยตาตัวเอง ที่สำคัญสาวใช้ของท่านป้าไม่พูดมาก ซู่หรานอยู่ด้วยแล้วสบายใจ
ป้าหวังมี่ตกใจในความเปลี่ยนแปลงของซู่หรานเล็กน้อย แต่เก็บอาการได้ดี ซู่หรานจึงมองไม่ออก หลังจากท่านป้าเข้าไปในร้านแล้ว ซู่หรานก็ขอให้สาวใช้พาเดินดูรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น แม้เสื้อผ้าที่ใส่จะอึดอัดมาก
สาวใช้พาเธอเดินไปร้านนั้นร้านนี้ หลังจากถุงเงินของซู่หรานหายไปเกือบครึ่ง เธอมีความสุขมาก เพราะเธอได้สั่งผ้าไปหลายชนิดหลายลาย ทุกผืนล้วนเป็นงานฝีมือทุกขั้นตอน แถมทางร้านค้ายังใจดีจะไปส่งให้ที่จวนของท่านขุนนางหวังให้ด้วย
“ซู่หราน?” เสียงผู้ชายเรียกซู่หรานด้วยความสนิทสนมดังมาจากด้านหลัง
ซู่หรานหันไปมองด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ก่อนรอยยิ้มนั้นจะค่อยๆ จางไปพร้อมกับความทรงจำที่เด้งขึ้นมาเต็มหัวเกี่ยวกับเรื่องของคนตรงหน้า เขามีรูปร่างอ้วนเล็กน้อย สูงระดับสายตาของซู่หราน อายุน่าจะสามสิบกว่าจะสี่สิบแล้ว อยู่ในชุดผ้าไหมเนื้อดีสีครามปักดิ้นทอง มีผู้ติดตามมาด้วยสองคน
‘ซู่หรานนะซู่หราน เธอนี่มันคบแต่คนประเภทไหนเนี่ย’ เธอขมวดคิ้ว ด่าซู่หรานคนเก่าในใจ
“เจ้ายังสบายดีหรือ ข้านึกว่า..แล้วนี่เจ้ามาซื้อผ้าหรือ แปลกดี ดูไม่คล้ายเจ้าสักนิด ข้าจำไม่ได้ว่าเจ้าชอบเย็บปักด้วย” ชายคนนั้นยังพูดต่อ
“ใต้เท้าเหมิน โปรดระวังคำพูดด้วย หากมีผู้ใดมาได้ยินจะเข้าใจผิดได้” ซู่หรานหลบตา ถอยไปอยู่ด้านหลังของสาวใช้ พูดตักเตือนชายตรงหน้า ไม่แม้แต่จะย่อตัวทำความเคารพ
“อะไรนะ! เจ้าลืมข้าไปแล้วหรือ ไม่หรอก..!!”
ป้าบ!! ซู่หรานใช้พัดตบลงไปบนมือของใต้เท้าเหมินที่พยายามยื่นมาจับตัวเธอ เขาเองก็ตกใจ สาวใช้หน้าซีดไปหมด ไม่คิดว่าอยู่ๆ ซู่หรานจะกล้าตี
“เจ้า!! เจ้ากล้าตีข้าหรือ?” เขาขึ้นเสียง ชี้ไปตรงหน้าของซู่หราน
[1] สี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือ ได้แก่ 1.พู่กัน 2.แท่งหมึก 3.จานฝนหมึก 4.กระดาษ เนื่องจากสมัยก่อนการศึกษาถือเป็นสิ่งล้ำค่ามาก ถือเป็นรากฐานทางวัฒนธรรมที่บ่งบอกถึงความเจริญรุ่งเรือง อุปกรณ์ที่ใช้ในการศึกษาก็มีราคาแพงและหายาก กระดาษ แท่งหมึก พู่กัน และจานฝนหมึก จึงถือว่าเป็นสิ่งล้ำค่ามาก
"ข้าไม่รู้ว่าอะไรคือรัก อะไรคือหลง ข้าบอกได้เพียงว่า เพราะเป็นเจ้า ข้าจึงหลง ไม่ว่าจะอกโตของเจ้า ริมฝีปากนุ่มนิ่ม เสียงร้อง รอยยิ้ม ความหน้าด้าน ความบ้าคลั่ง หรือกระทั่งหยดน้ำตา ข้าก็ทั้งหลงทั้งรักไม่อาจสูญเสียไปได้จริงๆ" คำบอกรักของเขาชวนใจเต้นแล้วแต่คำขอแต่งงานยิ่งชวนให้รู้สึกดีใจจนอยากร้องไห้มากยิ่งกว่าอีกซู่หรานมือเท้าสั่นเทาจนไม่รู้จะทำตัวอย่างไร"ขะ ข้า..ข้ากลัว" เธอบอกเขาถึงความในใจ เธอก็ไม่รู้ว่ากลัวอะไรแต่เธอรู้สึกกลัวการต้องใช้ชีวิตกับคนอื่นมากจริงๆ"ข้าก็กลัว" เขาตอบเสียงทุ้ม"เจ้า..เจ้ากลัวแล้วยังขอแต่งงานอีกหรือ""อืม""เจ้าโง่ไปแล้วหรือ" ซู่หรานน้ำตาร่วง มือสั่นจนเริ่มควบคุมไม่ได้"ข้ากลัวว่าเจ้าจะทิ้งข้าอยู่ทุกวัน กลัวว่าพรุ่งนี้เจ้าอาจเปลี่ยนใจไปหาผู้อื่น แต่ข้ากลัวจะไม่ได้อยู่กับเจ้ามากกว่า ไม่ว่าอะไรข้าก็จะโยนทิ้งให้หมด""ข้ากลัวจะเสียใจ" ซู่หรานบอกเขาตามตรง"แต่เจ้าไม่กลัวว่าจะเสียข้าให้ผู้อื่นหรือ" เขาถามตรง จี้ความกลัวของเธอ"กลัว กลัวสิ ฮือ" เธอตอบพร้อมเสียงสะอื้น"เช่นนั้นก็แต่งเถิด" เขาเริ่มใช้น้ำเสียงออดอ้อนขอร้อง และเธอรู้สึกว่ามันน่ารักจนไม่อาจทนได้จริงๆ"อ
"ไม่ เจ้าน่ารัก ข้าไม่กลัวแล้ว"สิ้นคำตอบของคนน่ารัก จิ้งจื่อก็ค่อยๆ ดันมังกรยิ่งใหญ่ของเขาเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับนาง เขารู้สึกดีใจจนแทบคลั่ง ดีใจจนอธิบายไม่ถูก ในใจมีความสุขยิ่ง ร่างกายยิ่งกว่าสุขสมจนน้ำพุพุ่งกระจาย แต่เขาตัวสั่นกอดร่างเล็กอยู่เพียงครู่เดียวก็เริ่มขยับต่อไป ความคับแน่นทรมานก่อนหน้านี้ที่คับแคบจนเขาขยับลำบากก็เริ่มลื่นไหลมากขึ้น"อ้า อะ อ้า อื้อ จิ้ง อึก..อึก อื้อ"จิ้งจื่อเงยหน้ามองดูคนน่ารักของเขาที่ปกติแม้จะสุขสมเพียงใดก็ไม่ค่อยส่งเสียง นางมักจะกัดปากเก็บเสียงเงียบ แต่ยามนี้นางกำลังครางไม่เป็นภาษา ลืมเลือนแม้กระทั่งกัดปาก ได้แต่ร้องรับแรงกระแทกของเขาอย่างลืมตัวเขาดีใจมากที่สามารถเป็นฝ่ายกลั่นแกล้งจนนางทำตัวไม่ถูกได้บ้างแล้ว ยิ่งเวลาที่เขาบดเบียดจนนางเสร็จสม แต่เขาไม่ยอมพักและกระแทกกระทั้นต่อไปทันที นางจะจะจับไหล่เขาจนแน่น บางครั้งถึงขั้นจิกเล็บลงไปบนหลังเขา ร้องครางจนลืมตัวเขาต้องรีบจูบปิดปากเพราะกลัวใครจะได้ยิน แน่นอนว่าเขาชอบเสียงครางของคนน่ารักยิ่งกว่าสิ่งใด แต่เขาไม่ต้องการให้ใครได้ยิน เขาอยากเก็บเอาไว้เป็นของเขาคนเดียว ดังนั้นเขาจึงชอบกระแทกให้นางสุขสมจนแทบก
"อีกครู่เดียว..ได้หรือไม่ ทำเช่นนี้ช่วยให้หายหนาว เจ้าเป็นคนบอก จำไม่ได้หรือ" เขาพยายามต่อรองซู่หรานรู้สึกสงสารท่าทางน่ารักนั้นยิ่งนัก เธอเสร็จสมแล้ว แต่เขายังไม่ได้เริ่มทำอะไรเลย เมื่อคิดแล้วก็รู้สึกว่าสงสารยิ่ง แต่ตัวเองก็ไม่มีแรงแล้ว เธอจึงยกมือชี้ที่ปากตัวเองแทน"เอ่อ..เจ้า.." เขาอยากพูดว่าหากนางไม่ไหวแล้วก็ไม่เป็นไร แต่ความร้อนรุ่มก็กำลังกัดกินเขา"มาสิ" เธอพูดอย่างอ่อนแรงจิ้งจื่อตัดสินใจขยับตัวขึ้นไปคร่อมอยู่ตรงคอของร่างเล็ก เขาพยายามจัดท่าทางไม่ให้ทับจนนางหายใจไม่ออก ก่อนจะจ่อหัวมังกรชมพูไปที่ปากเล็กของนางซู่หรานยามนี้ เหนื่อยจนอ่อนแรง แต่อยากเอาใจเขาจึงอ้าปากแลบลิ้นไปเลียหัวมังกรร้อนผ่าวลำนั้น"อื้อ อะ" เธอเพียงเลียแผ่วปลาย เขาก็ส่งเสียงครางสุขสันต์จนน่าสงสารไปหมดซู่หรานอยากให้เขาสุขสมยิ่งขึ้นจึงยกมือดันก้นแน่นของเขาเพื่อให้เจ้ามังกรใหญ่ขยับเข้าปากมากขึ้นจิ้งจื่อรู้สึกดีจนตัวสั่น นางไม่เพียงอ้าปากให้ความสุขเขา แต่ยังขยับลิ้นไปมาเพื่อดุนดันลิ้นไปทั่วหัวมังกร ยิ่งทำให้เขาสุขสมยิ่งขึ้น เขาชอบสัมผัสนั้นมากจนไม่อาจห้ามใจไหว จึงขยับสะโพกขึ้นลงเบาๆ"อ้า อา" เขามีความสุขมากเกินไป
"ใช่แล้ว หากไม่ได้เขาข้าอาจตายไปนานแล้ว หรือไม่ตายก็คงเหมือนตายอยู่ดี" เขาพูดและรวบตัวคนขี้สงสัยเข้ามากอด"ครั้งแรกที่ข้าเข้าสู่สนามรบ ข้าฆ่าคนไปมากมายจนไม่อาจนับได้ หลังจากนั้นข้าไม่อาจมองผู้คนเช่นเดิมอีกเลย ผู้คนต่างยกย่องข้าแต่ก็หวาดกลัวข้าราวกับปีศาจร้าย ถึงพวกเขาจะเรียกข้าว่าวีรบุรุษสงคราม แต่ข้าก็คือฆาตกรที่ฆ่าคนไปมากมาย ข้ารู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรจะยืนอยู่บนพื้นโลกกับผู้อื่นต่อให้พวกเขาจะมองข้าด้วยความชื่นชมแต่ก็มองด้วยความกลัวเช่นกัน จนข้าได้มาพบเขา ปณิธานของเขาทำให้ข้าอยากจะลองมีชีวิตอยู่และลงมือช่วยเหลือเขาสักครั้ง ต่อให้ต้องลงมือฆ่าคน ข้าก็รู้สึกว่าคุ้มค่า ข้าศรัทธาในตัวเขาและความตั้งใจของเขามาก""เพราะเช่นนี้ เจ้าจึงไม่ชอบที่ถูกจ้องมองหรือ" ซู่หรานถาม"อืม""เจ้าเป็นไท่เหอเจียนหู่ตั้งแต่อายุสิบสองเช่นนั้นหรือ" เธอตัดสินใจถามคำถามในสิ่งที่เธอกังวลตั้งแต่รู้ว่าเขาคือไท่เหอเจียนหู่"อืม" คำตอบของเขาเรียบง่าย แต่บีบคั้นหัวใจของซู่หรานจนเจ็บปวด เธอรู้สึกหายใจไม่ออกแทนเขา เด็กผู้ชายคนหนึ่ง ต้องแบกภาระมากขนาดนี้ โลกนี้ช่างโหดร้ายยิ่งนัก ซู่หรานอยากปลอบประโลมเขาให้สมกับเป็นเพีย
"จิ้งจื่อ ไม่เอา" เธอผลักและพยายามถอยหนี แต่มือแข็งแกร่งของเขารวบจับสองมือเธอขึ้นไปไว้บนหัว และเริ่มจูบวนรอบยอดถัน พยายามดูดดันหัวมังกรเข้าไปอีกครั้ง"ไม่เอาแบบนี้ จิ้งจื่อ อย่าทำเช่นนี้ ขอร้อง" เธอเสียงสั่นกลัว"เพราะเหตุใด" เขายอมพูดคุยกับเธอแล้ว"ขะ ข้ากลัว" "แล้วต้องทำเช่นไรเจ้าถึงจะไม่กลัว" เสียงของเขาสั่นเครือ แต่ไม่ใช่เพราะความกำหนัด คล้ายว่าเขากำลังจะร้องไห้มากกว่า"จิ้ง..จิ้งจื่อ" ซู่หรานเองก็รู้สึกถึงความผิดปกติในน้ำเสียง"ต้องเป็นเขาเท่านั้นหรือ" เขายอมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเธอในที่สุด"ข้ารักเจ้า รักมากกว่าเขา เขาไม่ได้รักเจ้า เหตุใดเจ้าจึงยึดติดกับเขานัก" นัยน์ตาของจิ้งจื่อแดงก่ำ น้ำตาคลอเบ้า ใกล้จะร้องไห้เต็มทีซู่หรานชะงักค้าง เธอตกใจทั้งกับคำบอกรักและท่าทางเจ็บปวดของเขา หัวใจของเธอกำลังพองโต"เป็นข้าไม่ได้หรือ ข้ารักเจ้า รักมาก..รักจนไม่อาจสูญเสียไปได้ เปลี่ยนเป็นข้าเถิด ข้าสาบานด้วยชีวิต ไม่ว่าเจ้าต้องการสิ่งใด ข้าล้วนยินยอมทั้งสิ้น" จิ้งจื่อสบตาหญิงสาว พูดความในใจตัวเองออกมาด้วยความเจ็บปวดและรู้สึกพ่ายแพ้ยิ่งแต่สำหรับซู่หราน เธอคล้ายตกหลุมรักความน่ารักของเขาเป็นครั้ง
"ข้าคิดถึงเจ้า คืนก่อนเจ้าก็ยังบอกว่าคิดถึงข้าอยู่เลย วันนี้เจ้าน้อยใจอะไรอีก เจ้าไม่พูดข้าจะรู้ได้อย่างไร" เธอพยายามพูดง้อเขา มือหนึ่งเกาะเอวไว้อีกมือก็ลูบคลำจนสิ่งนั้นของเขาเริ่มจะพองโตใหญ่ขึ้นบ้างแล้ว"หยุด!" เขาพยายามพูดเสียงให้ดุที่สุด แต่สองมือของเขากลับทำได้เพียงกุมข้อมือบางเล็กของนางไว้เท่านั้น ยิ่งนางลูบคลำ ขายาวของเขาก็ยิ่งสั่นมากขึ้น"เจ้าหนาวหรือ ให้ข้าช่วยนะ" เธอพูดออดอ้อนและเริ่มดึงเข็มขัดของเขาออก"หยุด!!" เขาแทบจะตะคอกใส่เธอซู่หรานตกใจจนสองมือหยุดชะงักเธอค่อยๆ หดมือกลับมาไว้ข้างตัวจิ้งจื่อเดินไปตรงกำแพงและโขกหัวตัวเองกับกำแพงแรงๆ หนึ่งที"เจ้าทำอะไร!!" ซู่หรานตกใจเธอรีบร้อนจะวิ่งไปดูเขา"อย่าเข้ามา!!" เขาตะเบ็งเสียงใส่จนเธอไม่กล้าเข้าใกล้"เจ้า..เจ้าเป็นอะไร อย่าทำเช่นนี้" หัวใจของซู่หรานเจ็บปวดมากเมื่อเห็นเขาต้องเจ็บเช่นนี้"ข้าเกลียดเจ้า" จิ้งจื่อเสียงเย็น"...อ้อ ได้ ขะ ข้าเข้าใจแล้ว" ซู่หรานรู้สึกแย่มากที่พยายามไล่ตามผู้ชายคนหนึ่ง เธอรู้สึกว่าตัดสินใจผิดพลาดแล้ว เธอไม่น่าฟังคำของน้องสาวจนมาทำเรื่องน่าอายพวกนี้เลย"เจ้ามันเป็นปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง เป็นสตรีหน้าด้าน ไ