มีเพียงปาฏิหาริย์เท่านั้นที่ทำให้เธอฟื้นขึ้นมาได้ ซึ่งผู้ที่ทำหน้าที่นั้นได้ดีที่สุดก็คือยมทูตรับส่งวิญญาณ เขารีบตามหาวิญญาณของเธอเพื่อพากลับเข้าร่างโดยเร็วที่สุด แต่ทุกอย่างก็สายเกินแก้เพราะเขาเจอเธอเมื่อร่างของเธอถูกเผาไปแล้ว ทางเดียวที่จะแก้ไขความผิดก็คือต้องส่งเธอกลับไปในร่างของคนอื่นที่เพิ่งหมดลมหายใจ และด้วยเหตุผลที่เธอเรียกร้องบางประการ จึงทำให้เธอได้กลับไปเกิดใหม่ในรัชสมัยของราชวงศ์หมิง ในร่างของหญิงสาววัย 19 ปีนามว่า "เฟิ่งต้าชวี่" แต่ "เฟิ่งต้าชวี่" ไม่ใช่ดรุณีแรกแย้มไร้เจ้าของ นางเป็นพระชายาที่แสนบริสุทธิ์ของแม่ทัพผู้เกรียงไกร "อ๋องใหญ่เกาหรงซาน" พระชายาที่เขาเขียนหนังสือหย่าทิ้งไว้ในห้องหอตั้งแต่วันแรกที่แต่งงาน แต่เพราะความรักและหน้าที่ของสตรีชาวฮั่น นางจึงทนอยู่อย่างปวดร้าวในตำหนักของเขาตลอด 2 ปีก่อนจะตรอมใจตาย
더 보기แนะนำตัวละคร
รนิดา / เฟิ่งต้าชวี่ หญิงสาววัย 31 ปีที่ได้ย้อนยุคมาเกิดใหม่ในร่างของหญิงสาววัย 19 ปีในยุคของราชวงศ์หมิง
เกาหรงซาน อ๋องใหญ่ผู้ถูกขนานนามว่าแม่ทัพใหญ่ใจทมิฬ บุรุษหน้าตายที่ใครๆ ต่างก็เกรงกลัวเพียงแค่ได้ยินเสียง ชีวิตนี้ไม่เคยคิดใฝ่ปองสตรีใดมาเป็นชายา คิดแต่เรื่องปกป้องบ้านเมืองอยู่เรื่องเดียว
ฉางลั่ว ฮ่องเต้แคว้นต้าหมิง น้องชายต่างมารดาของเกาหรงซาน รักและผูกพันกับพี่ชายเป็นอย่างดี
จวงเล่ย รองแม่ทัพคู่ใจของเกาหรงซาน
หลี่ สาวใช้ส่วนตัวของต้าชวี่
หมินหมิ่น น้องสาวของพระมเหสีหมินเม่ย หลงรักอ๋องใหญ่มาตั้งแต่เข้าวังหลวง
เนื้อเรื่อง ตอนที่ 1
“ตั้งรับแบบนี้เป็นท่าที่ไม่ถูกต้องนะนักเรียน นอกจากไม่ช่วยอะไรแล้วยังเปิดโอกาสให้ผู้ไม่ประสงค์ดีเล่นงานเราได้ง่ายขึ้นอีก” รนิดาขยับแขนของนักศึกษาหญิงให้อยู่ในท่าที่เหมาะสมแก่การป้องกันตัว จากนั้นจึงออกคำสั่งให้เธอลองจับนักศึกษาชายทางด้านหลังทุ่มลงพื้น “เห็นไหมว่าง่ายกว่าเดิม”
“ง่ายขึ้นมากเลยค่ะอาจารย์” นักศึกษาสาวคลี่ยิ้มจนตาหยี แล้วเริ่มตั้งท่าประมือกับเพื่อนชายอีกครั้ง
รนิดามองดูนักเรียนที่กำลังฝึกฝนวิชาป้องกันตัวจากตนอย่างถี่ถ้วน เมื่อเห็นคนไหนอยู่ในท่าที่ไม่ถูกต้องก็รีบเข้าไปแก้ไขและอธิบายให้ฟังอย่างใส่ใจจนกระทั่งถึงเวลาเลิกเรียนจึงบอกลา
“อาจารย์หงส์คะ” นักศึกษาหญิงคนหนึ่งสาวเท้าเร็วๆ เข้าไปหาอาจารย์ผู้ฝึกสอนยูโดให้ตน “หนูได้ยินเพื่อนๆ เขาพูดกันว่าอาจารย์สอนมวยไทยด้วยเหรอคะ”
“ก็ไม่เชิงสอนซะทีเดียวหรอกจ้ะ แต่ที่ฟิตเนสของอาจารย์มีไว้ให้ออกกำลังกายด้วยเท่านั้นเอง”
“แล้วอาจารย์มีสอนอะไรบ้างคะ หรือว่ามีให้ออกกำลังกายอย่างเดียว”
“เธอสนใจเหรอ”
“ค่ะ พ่อหนูเขาอยากให้หนูเรียนพวกศิลปะป้องกันตัวเอาไว้บ้าง เพราะบ้านหนูมันค่อนข้างอยู่ลึกเข้าไปในซอยค่ะ พ่อกลัวว่าจะถูกพวกขับวินมอเตอร์ไซค์ทำมิดีมิร้ายค่ะ เพราะวินแถวบ้านหนูมันชอบนั่งดื่มเหล้าเวลารอรับผู้โดยสารค่ะ”
ได้ยินดังนั้นจึงหยิบแผ่นพับเล็กๆ ยื่นให้ลูกศิษย์สาว “อาจารย์มีสอนตามรายละเอียดนี้แหละจ้ะ สนใจจะเรียนอันไหนก็เลือกเอาเลย”
“หนูอยากเรียนเทควันโดนะคะอาจารย์แต่หนูไม่ว่างวันอังคาร” หญิงสาวมองตารางเรียนในแต่ละวันบนแผ่นพับ
“เธอเรียนยูโดอยู่แล้ว ครูแนะนำให้เรียนศิลปะป้องกันตัวด้วยมือเปล่าเพิ่มจะดีกว่านะ มันสามารถมาประยุกต์ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน แต่สิ่งที่เธอเรียนจะมีประโยชน์ก็ต้องพึ่งสติด้วยนะ ถ้าถึงเวลาคับขันแล้วเธอคุมสติตัวเองไม่ได้ ต่อให้เรียนสารพัดวิชาป้องกันตัวก็ไม่สามารถช่วยเธอได้หรอก” รนิดาที่ถูกทางมหาวิทยาลัยว่าจ้างให้มาเป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชาพละศึกษาแนะนำนักเรียนของตน
“ก็น่าสนใจนะคะ หนูขอแผ่นพับนี้ไปให้พ่อดูนะคะอาจารย์”
“จ้ะ”
หลังจากแยกกับนักศึกษาสาวแล้วเธอก็รีบอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อกลับไปร่วมฉลองงานวันเกิดของพี่ชายที่บ้าน.. ระหว่างเดินทางเธอโทรศัพท์หาน้องสาว เพื่อบอกว่าจะเป็นคนแวะไปรับเค้กที่สั่งไว้เอง แต่ปรากฏว่าน้องสาวไปถึงที่ร้านแล้ว เธอจึงเปลี่ยนใจโทรหาคนรักแทน
(สวัสดีค่ะอาจารย์หงส์)
คิ้วโก่งดำเป็นธรรมชาติของหญิงสาว ขมวดเข้าหากันทันทีที่ได้ยินเสียงใสๆ ดังมาตามสายโทรศัพท์ของคนรัก แต่ก็ไม่ติดใจสงสัยอะไรเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของอีกฝ่าย
(อาจารย์ติ๊กไปไหนไม่ทราบค่ะ โทรศัพท์ก็วางไว้บนโต๊ะ มันส่งเสียงดังรบกวนสมาธิเพื่อนๆ จ๋าก็เลยเสียมารยาทรับสายแทนค่ะ)
คิ้วโก่งขมวดอีกครั้ง เมื่อคืนเขาบอกเธอเองว่าวันนี้มีสอนถึงบ่ายสาม แต่ตอนนี้มันเกือบห้าโมงเย็นแล้วนะ “อาจารย์ติ๊กมีสอนเหรอจ๊ะ”
(ค่ะอาจารย์ อาจารย์จะให้หนูไปตามหาอาจารย์ติ๊กให้ไหมคะ)
“ไม่ต้องหรอกจ้ะ แค่บอกว่าอาจารย์โทรมาก็พอแล้ว แค่นี้นะ” เธอกดตัดสายแล้วหย่อนโทรศัพท์ลงที่ช่องข้างเบาะ ขับรถมุ่งตรงสู่อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร และคิดว่าคนรักคงขับรถตามมาเมื่อสอนหนังสือเสร็จ เพราะคุยกันไว้แล้วว่าเขากับเธอต้องคุยเรื่องเตรียมงานแต่งงานที่จะมีขึ้นในอีกสองเดือนข้างหน้ากับครอบครัวด้วยกันในวันนี้
“ติ๊กเขาไม่รับสายเหรอพี่หงส์” อารียาถามพี่สาวเมื่อเห็นอีกฝ่ายกดโทรศัพท์ใหม่อีกครั้ง
“อือ พี่โทรไปตั้งหลายรอบแล้วนะ ทำไมไม่รับก็ไม่รู้ หรือว่าลืมโทรศัพท์ไว้ที่มหาลัยอีกแล้ว” ฝ่ายพี่สาวตอบคำถามของน้องสาวคนที่สองจากน้องสาวทั้งหมดสี่คน ซึ่งน้องสาวคนนี้อายุยี่สิบแปดปีเท่ากับคนรักของเธอ และพวกเขาก็เป็นเพื่อนที่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันด้วย
“แล้วจะเอายังไงล่ะลูก จะรอเขาก่อนหรือว่าจะคุยกันก่อน”
“ไม่ต้องรอหรอกจ้ะเตี่ย เราคุยกันเองก็ได้” ลูกสาวคนโตคลี่ยิ้มกว้างเอาใจบิดา เดินกลับมานั่งร่วมโต๊ะกับครอบครัว เริ่มคุยถึงแผนงานที่วางเอาไว้คร่าวๆ และกำหนดหน้าที่ให้น้องสาวทั้งสี่คนทำในวันงาน
“มีอะไรให้เฮียกับซ้อช่วยก็บอกได้นะ ไม่ต้องเกรงใจ” เจ้าของวันเกิดเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าทุกคนได้รับมอบหมายงานกันถ้วนหน้า ยกเว้นเพียงตนกับภรรยาเท่านั้น
“เฮียคอยช่วยดูแลอาซ้อที่กำลังท้องกำลังไส้ก็แล้วกัน” เจ้าของงานแต่งมอบหมายงานตามคำขอให้พี่ชายแล้วหัวเราะดังลั่นตามคนอื่นๆ
“ทำไมเตี่ยทำหน้าเครียดๆ อย่างนั้นล่ะเตี่ย ไม่อยากให้พี่หงส์แต่งงานเหรอ” ลูกสาวคนสุดท้องถามบิดาที่เพียงแต่คลี่ยิ้มแห้งๆ
“บอกตรงๆ ว่าเตี่ยเสียดายลูกสาว ยังทำใจไม่ค่อยได้ที่ต้องเสียลูกสาวให้กับไอ้หนุ่มคนนั้น” จะให้เขาพูดความในใจออกไปได้อย่างไรเล่า ว่าไม่ต้องการลูกเขยที่อายุน้อยกว่าลูกสาวของตนถึงสี่ปีคนนั้น เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าลูกสาวตนรักฝ่ายนั้นมากเหลือเกิน ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองก็มีตัวเลือกที่ดีอยู่ในใจแล้วด้วย
“พี่ติ๊กเขาก็เป็นคนดีออกเตี่ย สุภาพบุรุษทุกกระเบียดนิ้ว แล้วเขาก็เป็นครูเหมือนเตี่ยด้วย เตี่ยน่าจะชอบพี่ติ๊กเป็นพิเศษนะ”
“เตี่ยไม่ได้บอกซะหน่อยว่าไม่ชอบเขา เตี่ยแค่เสียดายพี่หงส์ของลูกต่างหากล่ะลูกเจี๊ยบ”
“ลูกเจี๊ยบอย่าไปแหย่เตี่ยสิ เดี๋ยวเตี่ยก็ร้องไห้หรอก” ฝ่ายมารดาที่นั่งฟังพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนแกล้งต่อว่าลูกสาว แต่ในใจนั้นรับรู้ความรู้สึกของสามีดีกว่าใคร “รีบคุยกันให้รู้เรื่องแล้วแยกย้ายกันไปพักผ่อนดีกว่านะลูกๆ จ๋า ช่วงนี้แม่อยากให้เตี่ยเขาปรับเวลาการนอนหน่อย เพื่อให้คุ้นเคยกับเวลาของประเทศจีน”
“แม่เขาทำเหมือนเตี่ยแก่แล้วอย่างนั้นแหละ”
“ฉันเป็นห่วงสุขภาพเตี่ยนี่นา บอกตามตรงว่าไม่อยากให้เตี่ยไปเลย ไว้รอไปพร้อมกันหน่อยก็ไม่ได้”
“ทำไงได้ล่ะ เพื่อนๆ ฉันมันว่างช่วงนั้นกันพอดี ฉันก็อยากให้แม่ไปด้วยกันนะ” ถ้าไม่ติดว่ามันฉุกละหุกเพราะงานแต่งงานของลูกสาว เขาก็อยากให้ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากเดินทางไปพักผ่อนด้วยกัน
ถึงแม้ภายนอกจะดูเป็นคนแข็งกระด้าง แววตาไม่เคยสื่อความรู้สึกใดๆ สามารถฆ่าคนได้ในพริบตา แต่จิตใจข้างในนั้นมีแต่ความห่วงใยและความจงรักภักดี ยอมพลีชีพเพื่อปกป้องแผ่นดินเกิด ไม่ยอมอยู่อย่างสุขสบายเช่นองค์ชายองค์อื่นๆ เป็นพี่ชายที่ไม่เคยมีความอิจฉาริษยามีแต่ความรักและเอาใจใส่ให้พระองค์มาตลอด พระองค์จึงรักและเคารพในตัวพี่ชายคนนี้มาก“เข้าใจก็ควรรีบปราม อย่าปล่อยให้นางหลงระเริงจนลืมตัวมากไปกว่านี้”“ข้าจะบอกกับพี่สาวของนางให้ตักเตือน เช่นนี้พี่ใหญ่พอใจหรือยัง”“พี่กับน้องก็ไม่ต่างกันหรอก” เกาหรงซานตำหนิผู้เป็นพระมเหสีต่อหน้าพระสวามีของนาง“เรื่องนั้นข้าก็รู้พี่ใหญ่ แต่นางคงไม่กล้าให้ท้ายน้องสาวของนางจนออกนอกหน้าหรอกพี่ใหญ่ อีกอย่างมันก็เป็นเรื่องของตำหนักฝ่ายใน ข้าไม่มีสิทธิ์ไปก้าวก่ายมากนัก” โอรสสวรรค์บอกเหตุผลแก่พี่ชาย เพราะกลัวเขาจะคิดว่าพระองค์ไม่ใส่ใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น“ข้าเตือนเพราะกลัวพระองค์จะลืมว่าพวกนางเป็นพี่น้องกัน แต่ในเมื่อพระองค์มั่นใจว่าพระมเหสีจะจัดการอย่างเป็นธรรมข้าก็พอใจ ข้าจะกลับล
“ทำไมพี่สะใภ้ถึงดุนักล่ะพี่ใหญ่” องค์หญิงสามที่เข้ามาเห็นเหตุการณ์ด้วยความบังเอิญ กระซิบถามบุรุษที่อำพรางกายเพื่อชมเหตุการณ์อยู่หลังพุ่มไม้“นางไม่ได้ดุหรอก นางแค่ปกป้องเกียรติของนางเท่านั้น เจ้าก็เห็นอย่างที่ข้าเห็นมิใช่หรือ” เขาตั้งใจมาดักพบนางตรงนี้ เพราะรู้ว่าเส้นทางนี้คือเส้นทางหลัก ที่ทุกคนต้องไปยังที่จอดรถม้าก่อนออกจากกำแพงวังหลวงแต่ขณะที่นางกำลังจะเดินมาถึงทางแยกแห่งนี้ หมินหมิ่นก็ตามมาหาเรื่องนางเสียก่อน ตอนที่เห็นนางถูกตบเขาแทบจะออกไปฆ่าหญิงสาวคนนั้นด้วยมือของตนเอง แต่เมื่อเห็นนางสวนกลับไปทันควันอย่างไม่น้อยหน้า เขาจึงหักห้ามใจเอาไว้ แล้วน้องสาวคนนี้ก็เดินเข้ามาสะกิดถามว่าทำอะไรอยู่ตรงนี้ เขาจึงบอกให้นางเงียบๆ และชวนให้ดูด้วยกัน“ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่าหมินหมิ่นจะร้ายได้ขนาดนี้ ที่แท้นางแสร้งทำเป็นอ่อนโยนหรือเพราะว่านางโมโหกันแน่พี่ใหญ่”“เจ้าเป็นผู้หญิงเหมือนกันเจ้าดูไม่ออกหรือ” นางก็เหมือนกับพี่สาวของนางนั่นแหละ ต่อหน้าพระสวามีผู้เป็นโอรสสวรรค์ก็แสร้งทำเป็นจิตใจงดงามอ่อนโยนต่อพระสนมองค์อื่น แต่พอล
หลี่รีบวิ่งไปหาคุณหนูของตนพร้อมรอยยิ้มกว้าง เมื่อเห็นนางเดินลงมาจากศาลาวิหคเหิน“งานเลี้ยงสนุกไหมเจ้าคะ.. คุณหนูได้กำไลเป็นรางวัลหรือเจ้าคะ” คำถามของนางเปลี่ยนไปด้วยความตื่นเต้น เมื่อมองเห็นกำไลหยกขาวที่ข้อมือซ้ายของเจ้านาย“อือ” ตอบสั้นๆ แล้วดึงสาวใช้ไปยังมุมหนึ่งของสวนหย่อม “เจ้าจำแม่ทัพใหญ่เกาหรงซานได้หรือไม่”ใบหน้าที่คลี่ยิ้มสดใสเปลี่ยนเป็นตกใจอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะพยายามคลี่ยิ้มกลบเกลื่อน“ทำไมหรือเจ้าคะ”“เขาแต่งงานแล้วหรือยัง”“แต่ง.. แต่งแล้วๆ เจ้าค่ะ คุณหนูรู้อะไรมาหรือเจ้าคะ” หรือว่านางจำได้แล้วว่าชื่อเกาหรงซานที่คุ้นหูนักคุ้นหูหนานั้นชื่อเหมือนสามีของตัวเอง และเขาคนนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น เขาคือสามีของนาง“แล้วฮูหยินของเขามาร่วมงานวันนี้ด้วยหรือไม่”“ไม่.. ไม่นี่เจ้าคะ ข้าไม่เห็นนางเลย เรารีบกลับจวนกันเถอะเจ้าค่ะ หิมะเริ่มตกแล้ว เสื้อคลุมก็ไม่ได้หยิบลงมาจากรถม้า เดี๋ยวคุณหนูจะไม่สบายเอานะเจ้าคะ” หลี่รีบบอกปัดเพื่อไม่ให้นางสนใจคนผู้นั้นมากไปกว่านี้ ไม่ได้รู้เลยว่าคนผู้นั้นทำให้คุณหนูของนางใจเต้นไม่เป็นจังหวะไปหลายรอบแล้วตอนที่อยู่บนศาลาวิหคเหินจิตใจของต้าชวี่เหี่ยวเฉาลงไปเล็กน
“ไม่ต้องขอบใจข้าหรอกสาวน้อย แต่เจ้าไม่มีอะไรจะแสดงต่อหน้าพระพักตร์พระมเหสีบ้างหรือ อย่างน้อยเจ้าก็น่าจะร้องเพลงหรือเขียนโคลงสักบทหนึ่งนะ”“ข้าไม่ถนัดเขียนโคลงหรอกเจ้าค่ะท่านแม่ทัพ แต่ถ้าพระมเหสีไม่รังเกียจ หม่อมฉันขอร้องเพลงง่ายๆ ถวายพระพรแทนได้ไหมเพคะ”“ได้สิ” พระมเหสีคลี่ยิ้มกว้างอย่างมีไมตรีจิตต้าชวี่ลุกจากที่นั่งอีกครั้งแล้วออกมายืนข้างหน้าพระมเหสี กระแอมเบาๆ“Happy Birthday to you.Happy birthday to you.Happy birthday.Happy birthday.Happy birthday to you.จู้ หนี่ เซิง ยื่อ ไคว่ เล่อจู้ หนี่ เซิง ยื่อ ไคว่ เล่อเซิง ยื่อ ไคว่ เล่อเซิง ยื่อ ไคว่ เล่อจู้ หนี่ เซิง ยื่อ ไคว่ เล่อ”“หม่อมฉันขออวยพรให้พระมเหสีมีความสุขมากๆ สุขภาพแข็งแรงนะเพคะ” ร้องเพลงสุขสันต์วันเกิดสองภาษาให้พระองค์แล้วตบท้ายด้วยคำอวยพร“เพลงอะไรของเจ้า ทำไมข้าไม่เคยได้ยินเลย” พระมเหสีรู้สึกสนใจยิ่งนัก“นั่นสิ เป็นเพลงที่แปลกมาก เราไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย” ฮ่องเต้ฉางลั่วก็สนใจไม่น้อยกับทำนองเพลงแปลกหูแต่ก็ฟังไพเราะ โดยไม่ต้องพึ่งเสียงบรรเลงของเครื่องดนตรี“เพลงอวยพรวันเกิดง่ายๆ ที่หม่อมฉันคิดขึ้นมาเองเพคะ หม่อมฉ
โอรสสวรรค์เบิกพระเนตรกว้าง.. แล้วค่อยเปล่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น รวมถึงทุกคนที่อยู่ในตำหนักวิหคเหินแห่งนี้ จะมีก็เพียงอ๋องหนุ่มผู้เกรียงไกรเท่านั้น ที่เพียงแค่คลี่ยิ้มละมุนมองนางด้วยสายตาแวววาว“หม่อมฉันพูดอะไรผิดไปหรือเพคะ” คนช่างสงสัยอย่างนางเปิดปากถามอย่างไม่อ้อมค้อม ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าตนเองนั้นได้ยินคำถามของฮ่องเต้ผิดจากเรื่องของคนไปเป็นเรื่องของอาหาร“เจ้าคงชอบมากเลยสินะ ถึงได้ชิมแล้วชิมอีก” ฉางลั่วไม่ตอบคำถามของนางและถามต่อไป“เพคะ รสชาติของอาหารจานนี้เปรียบเสมือนปลายฤดูใบไม้ผลิ ส่วนสุราดอกเหมยเปรียบเสมือนกลิ่นอายของฤดูร้อน เมื่อทั้งสองฤดูผสานเข้าหากันก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นกำลังดีเพคะ”“อบอุ่นกำลังดีของสองฤดูมาผสานกัน ถ้าเป็นอาหารก็คือรสชาติกลมกล่อมสินะ”“เพคะฝ่าบาท”“แล้วถ้าเปรียบกันคนเล่า เจ้าว่าอาหารจานนี้คือคนประเภทไหน และสุราขวดนี้คือคนประเภทไหน” ฮ่องเต้นึกสนุก ไม่ยอมเฉลยความจริงและตั้งคำถามต่อไป“หม่อมฉันเปรียบเปรยไม่เก่งนัก แต่ถ้าฝ่าบาทปรารถนาหม่อมฉันขอพูดแบบไม่อ้อมค้อมนะเพคะ”“เราฟังได้ทั้งนั้น เจ้าไม่ต้องลำบากใจเพราะเราหรอก”“เพคะ” นางโค้งศีรษะต่ำเล็กน้อยแล้วเริ่มนึก
เฟิ่งต้าชวี่เข้าใจความหมายของพระองค์แล้วในตอนนี้ นางจึงคลี่ยิ้มบางเบาแล้วย่อกายทำความเคารพ“พระองค์ทรงหยอกหม่อมฉันเหรอเพคะ”“ใช่ เราต้องการหยอกพี่สะใภ้ของเราเล่นเท่านั้น หวังว่าพี่สะใภ้จะไม่โกรธเรา”“ไม่โกรธเพคะ แต่พระองค์ทำให้หม่อมฉันตกใจมากเพคะ อีกอย่างหนึ่งก็คือ...”“พูดมาเถอะไม่ต้องกลัว” โอรสสวรรค์กล่าวอนุญาตเมื่อเห็นท่าทางลังเลของหญิงสาว“อย่าเรียกหม่อมฉันว่าพี่สะใภ้เลยเพคะ เพราะความสัมพันธ์ของพวกหม่อมฉันกับท่านผู้นั้นคลุมเครือเกินกว่าจะใช้คำว่าสามีภรรยาเพคะ”“ทำไมถึงพูดเช่นนั้นล่ะ พี่ชายเราไม่ดีต่อเจ้าหรือ” รู้ทั้งรู้อยู่เต็มอกว่าสามีภรรยาคู่นี้ต่างก็อาศัยอยู่คนละชายคามาร่วมปีแล้ว แต่พระองค์ก็ยังแกล้งถามเหมือนไม่รู้“ดีมากเพคะ หม่อมฉันได้กินข้าววันละสามมื้อ ของว่างวันละสามมื้อ แต่ละมื้อล้วนเป็นอาหารดีๆ เทียบเท่ากับวังหลวง แม้แต่อนุทั้งสามของท่านอ๋องก็ยังได้กินอาหารดีๆ ไม่ต่างกับหม่อมฉัน หม่อมฉันขอชมจากใจว่าอ๋องใหญ่เป็นคนที่จิตใจกว้างขวางมากเพคะ”ดวงตาสีดำดุจรัตติกาลจ้องเขม็งไปที่หญิงสาวที่กำลังกล่าวชื่นชมตนต่อหน้าพระพักตร์ ทุกคำที่นางพูดถ้าคนไม่รู้ความก็คงคิดว่านางกำลังชื่นชมสาม
댓글