มีเพียงปาฏิหาริย์เท่านั้นที่ทำให้เธอฟื้นขึ้นมาได้ ซึ่งผู้ที่ทำหน้าที่นั้นได้ดีที่สุดก็คือยมทูตรับส่งวิญญาณ เขารีบตามหาวิญญาณของเธอเพื่อพากลับเข้าร่างโดยเร็วที่สุด แต่ทุกอย่างก็สายเกินแก้เพราะเขาเจอเธอเมื่อร่างของเธอถูกเผาไปแล้ว ทางเดียวที่จะแก้ไขความผิดก็คือต้องส่งเธอกลับไปในร่างของคนอื่นที่เพิ่งหมดลมหายใจ และด้วยเหตุผลที่เธอเรียกร้องบางประการ จึงทำให้เธอได้กลับไปเกิดใหม่ในรัชสมัยของราชวงศ์หมิง ในร่างของหญิงสาววัย 19 ปีนามว่า "เฟิ่งต้าชวี่" แต่ "เฟิ่งต้าชวี่" ไม่ใช่ดรุณีแรกแย้มไร้เจ้าของ นางเป็นพระชายาที่แสนบริสุทธิ์ของแม่ทัพผู้เกรียงไกร "อ๋องใหญ่เกาหรงซาน" พระชายาที่เขาเขียนหนังสือหย่าทิ้งไว้ในห้องหอตั้งแต่วันแรกที่แต่งงาน แต่เพราะความรักและหน้าที่ของสตรีชาวฮั่น นางจึงทนอยู่อย่างปวดร้าวในตำหนักของเขาตลอด 2 ปีก่อนจะตรอมใจตาย
ดูเพิ่มเติมแนะนำตัวละคร
รนิดา / เฟิ่งต้าชวี่ หญิงสาววัย 31 ปีที่ได้ย้อนยุคมาเกิดใหม่ในร่างของหญิงสาววัย 19 ปีในยุคของราชวงศ์หมิง
เกาหรงซาน อ๋องใหญ่ผู้ถูกขนานนามว่าแม่ทัพใหญ่ใจทมิฬ บุรุษหน้าตายที่ใครๆ ต่างก็เกรงกลัวเพียงแค่ได้ยินเสียง ชีวิตนี้ไม่เคยคิดใฝ่ปองสตรีใดมาเป็นชายา คิดแต่เรื่องปกป้องบ้านเมืองอยู่เรื่องเดียว
ฉางลั่ว ฮ่องเต้แคว้นต้าหมิง น้องชายต่างมารดาของเกาหรงซาน รักและผูกพันกับพี่ชายเป็นอย่างดี
จวงเล่ย รองแม่ทัพคู่ใจของเกาหรงซาน
หลี่ สาวใช้ส่วนตัวของต้าชวี่
หมินหมิ่น น้องสาวของพระมเหสีหมินเม่ย หลงรักอ๋องใหญ่มาตั้งแต่เข้าวังหลวง
เนื้อเรื่อง ตอนที่ 1
“ตั้งรับแบบนี้เป็นท่าที่ไม่ถูกต้องนะนักเรียน นอกจากไม่ช่วยอะไรแล้วยังเปิดโอกาสให้ผู้ไม่ประสงค์ดีเล่นงานเราได้ง่ายขึ้นอีก” รนิดาขยับแขนของนักศึกษาหญิงให้อยู่ในท่าที่เหมาะสมแก่การป้องกันตัว จากนั้นจึงออกคำสั่งให้เธอลองจับนักศึกษาชายทางด้านหลังทุ่มลงพื้น “เห็นไหมว่าง่ายกว่าเดิม”
“ง่ายขึ้นมากเลยค่ะอาจารย์” นักศึกษาสาวคลี่ยิ้มจนตาหยี แล้วเริ่มตั้งท่าประมือกับเพื่อนชายอีกครั้ง
รนิดามองดูนักเรียนที่กำลังฝึกฝนวิชาป้องกันตัวจากตนอย่างถี่ถ้วน เมื่อเห็นคนไหนอยู่ในท่าที่ไม่ถูกต้องก็รีบเข้าไปแก้ไขและอธิบายให้ฟังอย่างใส่ใจจนกระทั่งถึงเวลาเลิกเรียนจึงบอกลา
“อาจารย์หงส์คะ” นักศึกษาหญิงคนหนึ่งสาวเท้าเร็วๆ เข้าไปหาอาจารย์ผู้ฝึกสอนยูโดให้ตน “หนูได้ยินเพื่อนๆ เขาพูดกันว่าอาจารย์สอนมวยไทยด้วยเหรอคะ”
“ก็ไม่เชิงสอนซะทีเดียวหรอกจ้ะ แต่ที่ฟิตเนสของอาจารย์มีไว้ให้ออกกำลังกายด้วยเท่านั้นเอง”
“แล้วอาจารย์มีสอนอะไรบ้างคะ หรือว่ามีให้ออกกำลังกายอย่างเดียว”
“เธอสนใจเหรอ”
“ค่ะ พ่อหนูเขาอยากให้หนูเรียนพวกศิลปะป้องกันตัวเอาไว้บ้าง เพราะบ้านหนูมันค่อนข้างอยู่ลึกเข้าไปในซอยค่ะ พ่อกลัวว่าจะถูกพวกขับวินมอเตอร์ไซค์ทำมิดีมิร้ายค่ะ เพราะวินแถวบ้านหนูมันชอบนั่งดื่มเหล้าเวลารอรับผู้โดยสารค่ะ”
ได้ยินดังนั้นจึงหยิบแผ่นพับเล็กๆ ยื่นให้ลูกศิษย์สาว “อาจารย์มีสอนตามรายละเอียดนี้แหละจ้ะ สนใจจะเรียนอันไหนก็เลือกเอาเลย”
“หนูอยากเรียนเทควันโดนะคะอาจารย์แต่หนูไม่ว่างวันอังคาร” หญิงสาวมองตารางเรียนในแต่ละวันบนแผ่นพับ
“เธอเรียนยูโดอยู่แล้ว ครูแนะนำให้เรียนศิลปะป้องกันตัวด้วยมือเปล่าเพิ่มจะดีกว่านะ มันสามารถมาประยุกต์ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน แต่สิ่งที่เธอเรียนจะมีประโยชน์ก็ต้องพึ่งสติด้วยนะ ถ้าถึงเวลาคับขันแล้วเธอคุมสติตัวเองไม่ได้ ต่อให้เรียนสารพัดวิชาป้องกันตัวก็ไม่สามารถช่วยเธอได้หรอก” รนิดาที่ถูกทางมหาวิทยาลัยว่าจ้างให้มาเป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชาพละศึกษาแนะนำนักเรียนของตน
“ก็น่าสนใจนะคะ หนูขอแผ่นพับนี้ไปให้พ่อดูนะคะอาจารย์”
“จ้ะ”
หลังจากแยกกับนักศึกษาสาวแล้วเธอก็รีบอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อกลับไปร่วมฉลองงานวันเกิดของพี่ชายที่บ้าน.. ระหว่างเดินทางเธอโทรศัพท์หาน้องสาว เพื่อบอกว่าจะเป็นคนแวะไปรับเค้กที่สั่งไว้เอง แต่ปรากฏว่าน้องสาวไปถึงที่ร้านแล้ว เธอจึงเปลี่ยนใจโทรหาคนรักแทน
(สวัสดีค่ะอาจารย์หงส์)
คิ้วโก่งดำเป็นธรรมชาติของหญิงสาว ขมวดเข้าหากันทันทีที่ได้ยินเสียงใสๆ ดังมาตามสายโทรศัพท์ของคนรัก แต่ก็ไม่ติดใจสงสัยอะไรเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของอีกฝ่าย
(อาจารย์ติ๊กไปไหนไม่ทราบค่ะ โทรศัพท์ก็วางไว้บนโต๊ะ มันส่งเสียงดังรบกวนสมาธิเพื่อนๆ จ๋าก็เลยเสียมารยาทรับสายแทนค่ะ)
คิ้วโก่งขมวดอีกครั้ง เมื่อคืนเขาบอกเธอเองว่าวันนี้มีสอนถึงบ่ายสาม แต่ตอนนี้มันเกือบห้าโมงเย็นแล้วนะ “อาจารย์ติ๊กมีสอนเหรอจ๊ะ”
(ค่ะอาจารย์ อาจารย์จะให้หนูไปตามหาอาจารย์ติ๊กให้ไหมคะ)
“ไม่ต้องหรอกจ้ะ แค่บอกว่าอาจารย์โทรมาก็พอแล้ว แค่นี้นะ” เธอกดตัดสายแล้วหย่อนโทรศัพท์ลงที่ช่องข้างเบาะ ขับรถมุ่งตรงสู่อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร และคิดว่าคนรักคงขับรถตามมาเมื่อสอนหนังสือเสร็จ เพราะคุยกันไว้แล้วว่าเขากับเธอต้องคุยเรื่องเตรียมงานแต่งงานที่จะมีขึ้นในอีกสองเดือนข้างหน้ากับครอบครัวด้วยกันในวันนี้
“ติ๊กเขาไม่รับสายเหรอพี่หงส์” อารียาถามพี่สาวเมื่อเห็นอีกฝ่ายกดโทรศัพท์ใหม่อีกครั้ง
“อือ พี่โทรไปตั้งหลายรอบแล้วนะ ทำไมไม่รับก็ไม่รู้ หรือว่าลืมโทรศัพท์ไว้ที่มหาลัยอีกแล้ว” ฝ่ายพี่สาวตอบคำถามของน้องสาวคนที่สองจากน้องสาวทั้งหมดสี่คน ซึ่งน้องสาวคนนี้อายุยี่สิบแปดปีเท่ากับคนรักของเธอ และพวกเขาก็เป็นเพื่อนที่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันด้วย
“แล้วจะเอายังไงล่ะลูก จะรอเขาก่อนหรือว่าจะคุยกันก่อน”
“ไม่ต้องรอหรอกจ้ะเตี่ย เราคุยกันเองก็ได้” ลูกสาวคนโตคลี่ยิ้มกว้างเอาใจบิดา เดินกลับมานั่งร่วมโต๊ะกับครอบครัว เริ่มคุยถึงแผนงานที่วางเอาไว้คร่าวๆ และกำหนดหน้าที่ให้น้องสาวทั้งสี่คนทำในวันงาน
“มีอะไรให้เฮียกับซ้อช่วยก็บอกได้นะ ไม่ต้องเกรงใจ” เจ้าของวันเกิดเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าทุกคนได้รับมอบหมายงานกันถ้วนหน้า ยกเว้นเพียงตนกับภรรยาเท่านั้น
“เฮียคอยช่วยดูแลอาซ้อที่กำลังท้องกำลังไส้ก็แล้วกัน” เจ้าของงานแต่งมอบหมายงานตามคำขอให้พี่ชายแล้วหัวเราะดังลั่นตามคนอื่นๆ
“ทำไมเตี่ยทำหน้าเครียดๆ อย่างนั้นล่ะเตี่ย ไม่อยากให้พี่หงส์แต่งงานเหรอ” ลูกสาวคนสุดท้องถามบิดาที่เพียงแต่คลี่ยิ้มแห้งๆ
“บอกตรงๆ ว่าเตี่ยเสียดายลูกสาว ยังทำใจไม่ค่อยได้ที่ต้องเสียลูกสาวให้กับไอ้หนุ่มคนนั้น” จะให้เขาพูดความในใจออกไปได้อย่างไรเล่า ว่าไม่ต้องการลูกเขยที่อายุน้อยกว่าลูกสาวของตนถึงสี่ปีคนนั้น เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าลูกสาวตนรักฝ่ายนั้นมากเหลือเกิน ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองก็มีตัวเลือกที่ดีอยู่ในใจแล้วด้วย
“พี่ติ๊กเขาก็เป็นคนดีออกเตี่ย สุภาพบุรุษทุกกระเบียดนิ้ว แล้วเขาก็เป็นครูเหมือนเตี่ยด้วย เตี่ยน่าจะชอบพี่ติ๊กเป็นพิเศษนะ”
“เตี่ยไม่ได้บอกซะหน่อยว่าไม่ชอบเขา เตี่ยแค่เสียดายพี่หงส์ของลูกต่างหากล่ะลูกเจี๊ยบ”
“ลูกเจี๊ยบอย่าไปแหย่เตี่ยสิ เดี๋ยวเตี่ยก็ร้องไห้หรอก” ฝ่ายมารดาที่นั่งฟังพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนแกล้งต่อว่าลูกสาว แต่ในใจนั้นรับรู้ความรู้สึกของสามีดีกว่าใคร “รีบคุยกันให้รู้เรื่องแล้วแยกย้ายกันไปพักผ่อนดีกว่านะลูกๆ จ๋า ช่วงนี้แม่อยากให้เตี่ยเขาปรับเวลาการนอนหน่อย เพื่อให้คุ้นเคยกับเวลาของประเทศจีน”
“แม่เขาทำเหมือนเตี่ยแก่แล้วอย่างนั้นแหละ”
“ฉันเป็นห่วงสุขภาพเตี่ยนี่นา บอกตามตรงว่าไม่อยากให้เตี่ยไปเลย ไว้รอไปพร้อมกันหน่อยก็ไม่ได้”
“ทำไงได้ล่ะ เพื่อนๆ ฉันมันว่างช่วงนั้นกันพอดี ฉันก็อยากให้แม่ไปด้วยกันนะ” ถ้าไม่ติดว่ามันฉุกละหุกเพราะงานแต่งงานของลูกสาว เขาก็อยากให้ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากเดินทางไปพักผ่อนด้วยกัน
บทส่งท้าย (ตอนที่ 2)ตอนนั้นนายหญิงของนางแทบจะพลิกแคว้นหม่าตามหาลูกเหมือนคนบ้า หาในแคว้นหม่าไม่เจอก็ยังกลับไปที่เมืองหลวงของต้าหมิง เพื่อไปถามเกาอ๋องและชายาของเขาว่ารู้เห็นกับเรื่องนี้หรือไม่คุกเข่าขอความเมตตาขอลูกคืนจากเขา ขอโทษสำหรับเรื่องราวเลวร้ายทั้งหมดที่เคยทำไว้กับครอบครัวเขา เพราะคิดว่าพวกเขาขโมยลูกของนางไป แต่สุดท้ายฝ่ายนั้นก็ยืนยันหนักแน่นว่าไม่มีส่วนรู้เห็นใด ๆ ตั้งแต่วันที่นางหนีออกไปจากจวน ถ้าไม่เชื่อก็ให้คนค้นจวนได้เลยด้วยความเป็นห่วงลูกน้อย นางจึงทำตามที่เกาอ๋องบอกอย่างไม่กริ่งเกรงใจ ค้นหาทั่วทุกซอกทุกมุมอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ไม่เจอ นางจึงคว้าน้ำเหลวกลับมาอีกครั้งกลับมาจากเมืองหลวงนางก็เอาแต่เศร้าโศกเสียใจอยู่เป็นปี แต่ก็ยังส่งคนคอยตามสืบตามหาคุณหนูอันอันจนทุกวันนี้ก็ยังไม่เลิก ด้วยหวังว่าจะได้เจอนางในสักวันความเศร้าโศกเสียใจของนางในครั้งนั้นเดือดร้อนถึงฮ่องเต้และฮองเฮาของแคว้นหม่า ต้องเรียกนางเข้าไปพบและพูดคุยให้สติ เยียวยาจิตใจนางด้วยคำพูดและความหวังจากนั้นนา
บทส่งท้าย (ตอนที่1)สิบสองปีผ่านไป“ซินเอ๋อร์”“เจ้าค่ะท่านพ่อ” สาวน้อยวัยสิบสองขานรับคำเรียกบิดาแล้วรีบวิ่งออกจากกระท่อม “โอ้ว! น่ารักจังเลยท่านพ่อ” บอกบิดาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นยินดี รีบเอาลูกสุนัขที่ท่านอุ้มไว้มาอุ้มแทน “มันชื่ออะไรหรือเจ้าคะ”“พ่อหามาให้เป็นของขวัญวันเกิดแก่ลูก ลูกตั้งชื่อตามใจลูกได้เลย”“เช่นนั้นลูกขอตั้งชื่อมันว่าซิงน้อยได้หรือไม่เจ้าคะ ลูกอยากให้มันเป็นน้องชายของลูกมากกว่าสัตว์เลี้ยงเจ้าค่ะ”“แต่พ่อไม่ค่อยชอบชื่อนี้เลย” อาซิงหรือในอดีตที่มีชื่อว่าตงไห่ทำท่าไม่เห็นด้วย แต่ก็ยังยิ้มอ่อนโยนให้ลูกสาว “เพราะมันบังอาจชื่อเหมือนลูกสาวคนเดียวของพ่อ”“เช่นนั้นลูกเปลี่ยนเพื่อท่านพ่อก็ได้” เด็กน้อยยอมเปลี่ยนใจง่ายดายเพื่อท่านพ่อของนาง“เจ้าไม่เสียใจหรือลูกซิน”“ไม่เลยเจ้าค่ะ ลูกเป็นลูกของท่านพ่อ สิ่งไหนที่ทำให้
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจเจ้านะ เอาไว้ข้าจะให้ป้าเซียวทำอาหารแห้งมาฝากเจ้าด้วยก็แล้วกัน”“ขอบคุณลุงเซียวมาก ข้าซาบซึ้งยิ่งนัก”“มีเด็กก็ต้องมียาติดบ้านไว้บ้างนะ บ้านข้าก็มีลูกอ่อนเหมือนเจ้า เดี๋ยวข้าจะให้เมียข้าฝากป้าเซียวมาให้นะ”“ขอบคุณพี่ชายมาก” ตงไห่กล่าวอย่างซาบซึ้งน้ำใจ แต่ความจริงเขาก็มียาหลายเทียบติดตัวมาแล้ว“พวกข้าไปก่อนนะอาซิง มีอะไรก็ไปบอกพวกเราได้ตลอดนะ ไม่ต้องเกรงใจ”ตงไห่พยักหน้ารับ ยืนส่งจนพวกเขาเดินจากไปไกลจึงเดินเข้าไปในกระท่อมเขาเดินไปที่เปลที่มีทารกเพศหญิงหน้าตาจิ้มลิ้มนอนหลับสบายอุรา ไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนใด ๆ“ลูกเอ๋ย พ่ออยากฆ่าแม่ของเจ้านัก แต่เห็นแก่ความดีที่นางยอมคลอดเจ้าออกมา พ่อจึงไว้ชีวิตนาง ให้นางได้อาศัยอยู่บนโลกใบนี้อย่างมีความทุกข์ไปตลอดชีวิตแทน ส่วนเจ้า..พ่อขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องกำพร้าแม่ ต่อจากนี้ไปเราสองคนจะเป็นคนใหม่ พ่อไม่ใช่ตงไห่แต่เป็นอาซิง ส่วนเจ้าไม่ใช่ลูกหลานตระกูลฉง
ฉงเถียนค่อย ๆ พยุงตัวลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก แข้งขาแทบไม่มีแรงแต่ก็ยังฝืนประคองตัวเอาไว้ แล้วเดินโซซัดโซเซออกไปจากห้องตามหลังเสี่ยวผิงยืนมองสาวใช้ที่กำลังไล่ถามทุกคนในร้านด้วยความร้อนใจ แต่ทุกคนต่างก็ส่ายหน้าให้นาง“ทุกคนฟังทางนี้” นางรวบรวมเรี่ยวแรงแล้วตะเบ็งเสียงออกไปอย่างดังที่สุดเท่าที่ทำได้ เห็นทุกสายตามองมาก็พอใจยิ่ง “เมื่อคืนนี้ลูกสาวที่เพิ่งเกิดของข้าหายไปจากห้อง ถ้าใครสามารถชี้เบาะแสแก่ข้าได้ ข้าจะมอบบ้านและเงินให้เป็นรางวัล” พูดพร้อมกับชูตราประจำตระกูลขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนเชื่อมั่นเสียงของคนในโรงเตี๊ยมดังระเบ็งเซ็งแซ่แทบจะทันทีเมื่อได้ยินและได้เห็นป้ายที่หญิงสาวถือไว้“ท่านคือธิดาของแม่ทัพฉงเหรอ” ชาวบ้านผู้หนึ่งตะโกนถามสตรีที่ยืนอยู่ชั้นบนของโรงเตี๊ยม“ใช่ ข้ามีนามว่าฉงเถียน เป็นธิดาเพียงคนเดียวของฉงเฉิน แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ของแคว้นนี้ ถ้าใครให้เบาะแสแก่ข้าได้ ท่านสามารถเลือกเอาได้เลยว่าอยากมีบ้านอยู่ในเมืองไหน ข้าจะเนรมิตให้ท่านทันที&rdquo
น้ำตาสาวใช้เอ่อล้นตา ต่อให้อีกฝ่ายใช้คำพูดสวยหรูเพียงใด นางก็ไม่สบายใจเลยสักนิด แต่ก็ยอมพยักหน้ารับคำขอ“ได้เจ้าค่ะ บ่าวสัญญาว่าจะเลี้ยงดูคุณหนูอย่างดีที่สุด”“ขอบใจมากนะเสี่ยวผิง” ฉงเถียนยิ้มกว้างด้วยความสบายใจ มองสาวใช้ด้วยความซาบซึ้ง ‘ข้าจะไม่ให้เจ้ากับลูกของข้าต้องอยู่อย่างลำบากหรอก ข้าจะต้องพาพวกเจ้ากลับถึงจวนของบิดาข้าให้ได้ ข้าถึงจะยอมตาย’ คิดในใจโดยไม่พูดออกไปเมื่อทำสำเร็จอย่างที่ตั้งใจแล้ว ต่อให้ตงไห่หรือคนของเกาอ๋องตามมาเอาชีวิต นางก็ยินดีก้มรับชะตากรรม“ท่านหญิง บ่าวขอถามได้หรือไม่ เหตุใดท่านจึงต้องแบกท้องแก่หนีมายังแคว้นหม่าด้วย ทำไมไม่คลอดลูกที่จวนเกาอ๋องเล่า ก่อนหน้านี้บ่าวเคยชวนท่านหนีท่านก็ไม่เห็นด้วย ยืนกรานว่าจะคลอดลูกที่จวนเกาอ๋องให้ได้ แต่ทำไมตอนหลังถึงเปลี่ยนใจง่ายดาย”“.....” ถึงแม้จะคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าต้องถูกถาม แต่มันก็ยากที่ต้องตอบความจริงออกไป ฉงเถียนจึงได้แต่นิ่งเงียบเหมือนคนเป็นใบ้ไปชั่วขณะ
“หยุดพูดเรื่องนี้กันเถิดเจ้าค่ะ บ่าวยอมพาท่านเสี่ยงชีวิตข้ามแดนมาคลอดลูกที่แคว้นของเราแล้ว ต่อไปนี้ก็เชื่อฟังบ่าวบ้างเถิดนะเจ้าคะ” เมื่ออยู่ในแคว้นบ้านเกิดแล้ว นางก็ไม่จำเป็นต้องพูดจาปกปิดฐานะเพราะกลัวใครจะจับได้อีก“แต่ข้ายังไม่สบายใจจนกว่าจะกลับถึงบ้านของข้า”“ท่านหญิงกำลังกลัวอะไรกันแน่ บอกให้บ่าวเข้าใจหน่อยเถิด” เสี่ยวผิงเริ่มสงสัย“เปล่าหรอก ข้าก็แค่อยากพาลูกกลับบ้าน จะได้มีแม่นมช่วยดูแลนางเร็ว ๆ ก็เท่านั้น” ฉงเถียนสร้างเรื่องโกหก“เรื่องนั้นท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ข้าได้ใช้พิราบสื่อสารส่งข่าวไปทางบ้านแล้ว อีกไม่เกินสามถึงสี่วัน คนของเราน่าจะมาถึงที่นี่ ก็น่าจะเป็นเวลาที่ท่านรักษาตัวจนแข็งแรงพอที่จะเดินทางได้พอดี และข้ายังได้บอกให้พวกเขาพาแม่นมมาด้วย”“..เจ้าช่างรอบคอบนัก ขอบใจนะเสี่ยวผิง” เจอความรอบคอบของสาวใช้ นางก็จนปัญญาจะแต่งเรื่องมาโกหก จึงได้แต่ดื่มยาในถ้วยจนหมด“อมบ๊วยแก้ขมสักหน่อยนะเจ้าค
ความคิดเห็น