ภายในห้องกว้างใต้แสงตะเกียงเรืองรอง อาจูบรรจงป้อนน้ำแกงไก่ตุ๋นโสมและรากบัวให้ท่านจ้าวหุบเขาผู้ใช้มือไม้ไม่ถนัดทีละคำ หลังดูแลท่านจ้าวหุบเขาจิบชาและซับปากให้แล้ว ก็หันไปคนลูกบดเคล้ายาพอกที่เตรียมไว้ในโกร่งบดยาอย่างตั้งอกตั้งใจ รอจนตัวยาผสมกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันจึงค่อยชำระล้างมือทั้งสองข้างซ้ำอีกหน แล้วช่วยปลดเสื้อคลุมถอดผ้าพันแผลให้คนเจ็บ ใช้ปลายนิ้วน้อยๆ ค่อยๆ ป้ายยาลงทาพอกทับบาดแผลที่ไหล่ซ้ายอย่างแผ่วเบา สองมือขยับทำหน้าที่ สองตาก็คอยจับสังเกตสีหน้าแววตาท่านจ้าวหุบเขาไปด้วย
อืม...ทำแบบนี้...น่าจะดีกว่าจริงๆ นั่นแหละ...
ใช้ไม้ป้ายช่วยทายาให้คนเจ็บก็ดูสะอาดสะอ้านถูกหลักอนามัยดีอยู่หรอก แต่ของพวกนั้นควบคุมแรงกดหนักเบายากกว่า แถมยังสัมผัสแข็งกระด้าง ไม่รู้ว่าจะทำให้คนเจ็บต้องเจ็บแผลเพิ่มอีกตั้งเท่าไหร่...
“ซือฝุ...หากว่ารู้สึกเจ็บ...”
“ต้องบอกแน่นอน” เขาชิงต่อประโยคให้เรียบๆ ทั้งอย่างนั้นคนฟังกลับยิ้มได้ อดคิดไม่ได้ว่าตลอดระยะเวลาสองสามวันมานี้ ท่านจ้าวหุบเขาจอมเผด็จการผู้นี้ช่างทำตัวน่ารัก ว่าง่าย แถมยังรู้จักเปิดปากพูดอะไรต่อมิอะไรมากขึ้น
สงสัยยาพิษนั่นจะไปกระตุ้นต่อมพฤติกรรมน่ารักน่าหยิก...
“ยิ้มอะไร”
เอ๋...? ข้าน่ะรึ?
“ศิษย์ดีใจที่บาดแผลพวกนี้ดีขึ้นรวดเร็ว ยาพิษสองชนิดนั้นก็คล้ายจะค่อยๆ หมดฤทธิ์ ไม่ส่งผลร้ายแรงอะไร” อาจูตอบด้วยสีหน้าท่าทีที่คิดว่าช่วยขับให้ดูคล้ายสตรีสงบเสงี่ยมมีหลักการมากที่สุด
ชั่วขณะนั้นมุมริมฝีปากหยักเข้มคล้ายจะยกขึ้นเล็กน้อย...แค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“เมื่อกี้ท่านยิ้ม” อาจูยื่นหน้าเข้าใกล้ใบหน้าท่านจ้าวหุบเขามากขึ้นโดยไม่รู้ตัว ริมฝีปากเล็กๆ ขยับยิ้มน้อยๆ อย่างกลั้นไม่อยู่ มือน้อยๆ ข้างที่วางทาบทับเนื้อตัวแกร่งกร้าวก็ขยับขึ้นนาบสนิทไปกับแนวไหปลาร้ายิ่งกว่าเป็นธรรมชาติ “ท่านยิ้ม...ข้าไม่ได้ตาฝาดแน่ๆ เมื่อครู่นี้ท่านยิ้มจริงๆ!”
“ข้าไม่มีทางยิ้ม”
“ท่านยิ้มจริงๆ” อาจูยืนยัน ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าจะตื่นเต้นอะไร
เพราะคำพูดประโยคนี้ ท่านจ้าวหุบเขาคล้ายจะชะงักไปชั่วครู่
“ซือฝุ?” กับแค่เผลอยิ้มต่อหน้าผู้อื่น จำเป็นต้องตกใจถึงขั้นนั้นเลยหรือไง?
ท่านจ้าวหุบเขาจ้องมองใบหน้าใต้ผ้าคลุมที่โดนแสงตะเกียงขับให้ดูยิ่งกว่าโปร่งบางอยู่ครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดก็ขยับริมฝีปากพึมพำแผ่วเบา “ข้าอาจยิ้มจริงๆ ก็ได้”
อาจูสบตาท่านจ้าวหุบเขา ในสมองยิ่งกว่าไม่เข้าใจ ทั้งอย่างนั้นไม่รู้เป็นเพราะอะไร การสบตาครั้งนี้กลับทำให้เกิดบรรยากาศแปลกๆ บางอย่าง กระทั่งฝ่ามือและปลายนิ้วที่ทาบทับร่างกายท่านจ้าวหุบเขาก็อุ่นร้อนขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เอ๊ะเอ๋...บรรยากาศแบบนี้มัน...
จู่ๆ ก็มีเสียงกระแอมไอดังขึ้นมา
เสียงที่ดังขึ้นขัดจังหวะทำเอาลูกศิษย์จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเผลอออกแรงกดใกล้บาดแผล กดไปแล้วก็สะดุ้งโหยงเหมือนเป็นเจ้าของแผลบวมฉึ่งเสียเอง
“ซือฝุ ขะ ขออภัย” เสี่ยวจวี๋ฮวารีบเลื่อนสองมือออกห่างจากแผล สองตาเพ่งดูบาดแผลสลับกับสีหน้าอาจารย์ไปมา แทบไม่รู้ตัวว่าตอนนี้วางมือวางไม้เอาไว้ตรงไหน
เทียบกับอาจูแล้ว ท่านจ้าวหุบเขาดูสงบนิ่งกว่ามาก
คนที่น่าจะเจ็บแผลอยู่มากไม่ต่อว่าอะไร ทำเพียงขยับริมฝีปากถามแขกไม่ได้รับเชิญเท่านั้น “กลับมากะทันหันเช่นนี้ ประมุขเยว่ไม่เพียงสืบสาวราวเรื่องจนรู้ความ ยังพบเจอปัญหาใหม่ด้วยกระมัง”
แม้โดยปกติแล้วประมุขสมาพันธ์เฮยอิงจะถืองานเป็นงาน ภารกิจหยอกเย้าผู้อื่นก็ส่วนภารกิจหยอกเย้าผู้อื่น ล้วนไม่เคยเอามาปะปนกัน แต่ภาพลูกศิษย์ร่างน้อยยืนเกาะไหล่เปลือยเปล่าของอาจารย์หนุ่มเสียชิดใกล้ก็ช่างชวนให้คันยิบๆ ในหัวใจจนเกินไป แววตาที่เคร่งเครียดจริงจังจึงพานเปลี่ยนเป็นจับผิด หยอกเย้า
“สืบสาวได้เรื่องมาบ้างจริงๆ แต่หนักไปทางอย่างหลังมากกว่า”
กลายเป็นว่าอาจูกลายเป็นคนที่หน้าบางที่สุดในที่นี้
“ประมุขเยว่เพิ่งมาถึงเหนื่อยๆ ศิษย์จะไปเตรียมน้ำชา” เสี่ยวจวี๋ฮวาหลบฉากออกไปด้วยกิริยาสงบไว้สง่า แต่ใบหน้าร้อนผ่าวจนแทบไหม้
เห็นลูกศิษย์คนงามของหุบเขาเดียวดายน่ารักน่าชังปานนั้น เยว่เทียนฟงอดเย้าแหย่สหายคู่ค้าสักคำสองคำไม่ได้
“ศิษย์อาจารย์อันใดกัน...ข้าว่าท่านรีบๆ ยกเลิกสถานะรัดคอพรรค์นี้ไปเสียจะดีกว่า”
“จวี๋ฮวาเป็นเพียงลูกศิษย์ที่ข้ารับเข้าหุบเขามาเท่านั้น” ท่านจ้าวหุบเขาบอกเสียงขรึม
“อ้อ...เห็นท่านหวงแหนถึงขั้นให้นางคล้องผ้าปกปิดใบหน้าต่อหน้าผู้อื่นไม่เว้นวัน ทั้งยังใส่ใจนางถึงขั้นไม่กล้าปลดปล่อยพลังปราณออกมาปกป้องร่างกาย ยอมทนรับคมหอกคมดาบแต่ไม่ยอมเสี่ยงให้นางได้รับผลกระทบ ข้าก็นึกว่าจ้าวหุบเขาเดียวดายใกล้มีงานมงคล ที่แท้เป็นเพราะเห็นแก่สัมพันธ์ศิษย์อาจารย์...” เยว่เทียนฟงยกมุมปากยิ้ม เอ่ยกลั้วหัวเราะ “ถ้าเช่นนั้นยกนางให้ข้าเป็นอย่างไร ประมุขสมาพันธ์เช่นข้ายังไม่มีภรรยา สาวใช้ห้องข้างสักรายก็ไม่เคยเลี้ยงไว้ เรื่องอายุอานาม เทียบเคียงกับนางแล้วก็นับว่าเหมาะสมไม่เบา หากท่านยินยอม ข้ายินดีเคารพท่านดุจอาจารย์ จะให้เรียกขานเป็นบิดาคนที่สองก็ยังได้”
อาจูจ้องมองใบหน้าสตรีอ่อนเยาว์ที่จับประคองหญิงชราอยู่อีกฝั่ง ยิ่งมองก็ยิ่งพลอยรู้สึกชื่นชมลูกสะใภ้คนดีของแม่เฒ่า ทั้งยังรู้สึกว่าใบหน้านางดูงดงามตรึงตาตรึงใจพาให้อยากถลาเข้าไปกอดเรียวขาใต้ชุดสีเขียวเข้มขับผิวที่น่าจะเรียวงามไม่แพ้ท่อนแขนกลมกลึงนั่น เอาหน้าถูไถ เรียกนางว่าเจี่ยเจีย[1]คนดีสักหลายๆ คำอา...นี่คงเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจตามธรรมชาติของ “โฉมงามกลางป่าเขา” ที่คนเขาว่ากันละมั้ง...ยิ่งมองอาจูก็ยิ่งอยากจะทรุดตัวลงนั่งราบไปกับพื้นเสียเดี๋ยวนี้ขณะแม่เฒ่าสวีและลูกสะใภ้ชื่นชมกันไปมา ท่านจ้าวหุบเขาก็จัดเตรียมสมุนไพรที่ต้องใช้ไว้ให้ครบถ้วนดีแล้ว“แม้จะเคยล้มป่วยด้วยโรคชนิดนี้มาก่อนก็ไม่แน่ว่าร่างกายจะต้านทานโรคได้เสมอไป หากมีไข้เมื่อไหร่ สมควรรีบไปตรวจรักษาทันที” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยสั้นๆ“เซียนเหยียนทราบแล้ว...” สะใภ้สกุลสวีเอ่ยเสียงแผ่ว ฟังดูดึงดูดใจอย่างบอกไม่ถูก “เซียนเหยียนขอบคุณเซียนเซิงที่มีใจเมตตา”ยิ่งนางเปิดปากพูดออกมา อาจูก็ยิ่งละสายตาจากริมฝีปากทรงเสน่ห์บนใบหน้าขาวผ่องไม่ได้ท่านจ้
“เป็นอย่างไรบ้าง ท่านหมอ อาการอาเป่าของพวกเราย่ำแย่มากหรือไม่!” หญิงชราสูงอาวุโสที่สุดในบ้านผุดลุกจากเก้าอี้ทันทีที่จ้าวหุบเขาหลี่ละสายตาจากเด็กตัวจ้อยบนเตียงเตา[1]บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ห่างจากบ้านหลังอื่นๆ จนเกือบจะเรียกได้ว่าตั้งอยู่นอกตัวหมู่บ้าน...หญิงชราผู้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ก็คือแม่เฒ่าสวีนักปลุกปั่นนั่นเองเห็นแม่เฒ่าสวีและลูกสะใภ้ทำท่าจะเดินเข้าไปดูทายาทตัวน้อย อาจูรีบปราดเข้าช่วยศรีสะใภ้รูปร่างอ้อนแอ้นเหมือนหนึ่งจะปลิวลมของครอบครัวสกุลสวีประคองหญิงชรา เจตนาที่แท้จริงคือรั้งไว้ “ท่านป้าอย่าได้เข้าใกล้นัก ระยะนี้พวกท่านจะติดโรคระบาดจากอาเป่าได้ง่าย”กระทั่งตอนนี้ ขณะตรวจรักษาโรคระบาด ท่านจ้าวหุบเขาก็ยังให้ลูกศิษย์เพียงยืนดูอยู่ห่างๆ เหมือนเมื่อครั้งอยู่ในวัดร้างไม่มีผิด เสี่ยวจวี๋ฮวาที่ว่างงานจึงกลายร่างเป็นเจ้าหน้าที่ญาติผู้ป่วยสัมพันธ์ รับหน้าที่คอยกันไม่ให้พวกเขาเข้าไปรบกวนการรักษาโดยปริยายท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองมือลูกศิษย์ที่จับประคองเจ้าบ้านเล็กน้อย ชั่วขณะนั้น ดวงตาคู่คมเจือร่องรอยไม่ชอบใจ“ตุ่มหนองพวกนี้ดูแย่ลงก็จริง ทว่าเป็นอาการตามปกติของโรค” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยเรียบๆ
สตรีแซ่เซี่ยยังคงบอกเล่าสถานการณ์ด้วยตนเองอีกครู่ใหญ่ อาจูเห็นท่านหมอยุคเก่าแก่โบราณสองคนพูดคุยกันก็ปั้นหน้าสงบเสงี่ยมยืนฟังด้วยความสนใจ สองหูฟังไป สองตาก็ลอบจับสังเกตศิษย์พี่หญิงของท่านจ้าวหุบเขา ต่อให้ส่วนหนึ่งในใจจะค่อยๆ คล้อยตามว่าครั้งนี้อาจารย์ป้าหน้าเด็กอาจมาด้วยเจตนาดีจริงๆ ลางสังหรณ์บางอย่างในใจกลับไม่ยอมหายไปเสียทีอาจารย์ป้าผู้นี้...มาดีจริงๆ น่ะรึ?อาจูอยากจะยกมือขึ้นนวดขยับ ยิ่งคิดว่าพักนี้ต้องระมัดระวังไม่ให้เผลอใช้ใบหน้าเด็กๆ นี่ขมวดคิ้วสร้างริ้วรอยจนใบหน้าแก่ก่อนวัยก็ยิ่งกว่าหนักอกหนักใจช่างเถอะ ถึงยังไงที่นี่ก็ต้องการแรงงาน...จังหวะอาจารย์ป้ากวาดตามองผ่านมา เสี่ยวจวี๋ฮวาคลี่ยิ้มอ่อนหวานเจิดจ้ายิ่งกว่าผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งนางงามจักรวาล ทว่าอีกฝ่ายกลับมองผ่านเลยไปท่าทีนี้ช่วยให้อาจูสบายใจขึ้นเล็กน้อยถ้าเซี่ยอะไรสักอย่างเหยาๆ นางนี้ทำถึงขั้นคลี่ยิ้มให้ ศิษย์หลานตาดำๆ อย่างจวี๋ฮวาคงไม่แคล้วต้องเกาะติดอาจารย์ทั้งวันทั้งคืน เพื่อป้องกันสตรีคลั่งรักผู้หนึ่งย่องมาบีบคอตอนหลับหรือซัดเข็มพิษเล่มโตลอบสังหารแล้ว...
จู่ๆ ความสลดหดหู่ปนโกรธเกรี้ยวก็พวยพุ่งขึ้นในใจคนฟัง กระทั่งอาจูเองยังกำหมัดแน่น ยากจะสงบอารมณ์เป็นตอนนี้เอง ที่อาจูรู้สึกถึงเหงื่อเย็นชื้นบนฝ่ามือตัวเองท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองลูกศิษย์เล็กน้อย ก่อนหันกลับมาผ่าลำไส้ทั้งหมด ตรวจสอบของเสียตกค้างอย่างละเอียด จากนั้นหันกลับไปตรวจดูเล็บมือและเล็บเท้าซ้ำอีกหน“ไม่มีร่องรอยอย่างอื่นแล้วจริงๆ” ท่านจ้าวหุบเขาสรุปสั้นๆประมุขสมาพันธ์ผู้ต้องแบกรับเรื่องนี้ฟังแล้วยิ่งขบกรามแน่นจนขึ้นสัน“สารเลวพวกนั้นช่างระมัดระวังรอบคอบเกินไปแล้ว”“เรื่องนั้นยังไม่แน่นอนนัก” ท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองเชือกที่คนร้ายใช้มัดร่างเด็กเอาไว้ เอ่ยไม่ดังไม่เบา “ประมุขเยว่คงไม่ทันสังเกตว่าเทียนเฉาตอนล่างมีวัฒนธรรมการฟั่นเชือกแตกต่างจากพื้นที่อื่นเล็กน้อย...พวกนั้นจะจงใจทิ้งร่องรอยหรือไม่ได้ตั้งใจก็ช่าง ถ้าอย่างไรลองสืบสาวจากเชือกพวกนี้ดู ไม่แน่ว่าอาจช่วยเหลือได้ไม่มากก็น้อย”สีหน้าเยว่เทียนฟงดูดีขึ้นเล็กน้อย“ศพเหม็นเน่ามากแล้ว ฝังให้ลึกๆ แทนการเผาจะดีกว่า...น้ำใน
มองจากที่ไกลดูเหมือนใกล้ แต่เมื่อต้องเดินเท้ากันจริงๆ แล้ว บ่อพักน้ำตีนผาที่ว่านี้ กลับอยู่ห่างจากเขตที่พักอาศัยไม่น้อยยิ่งเดินเข้าใกล้ กลิ่นเน่าเหม็นรุนแรงก็ยิ่งโดดออกจากกลิ่นปศุสัตว์ ตอกย้ำให้ผู้มาเยือนตระหนักว่าในบ่อพักน้ำมีศพเด็กคนหนึ่งนอนแช่อยู่จริงๆ“ตรงนั้นขอรับ” องครักษ์ผู้รับหน้าที่นำทางรีบชี้เป้า “ศพโดนผูกไว้กับหลักไม้หลังพงหญ้านั่น”อาจูยกแขนเสื้อขึ้นปิดจมูกอีกชั้น แทบไม่อยากหายใจ เพียงก้าวขาเดินกันต่อไปแค่ไม่กี่ก้าว กลิ่นเน่าเหม็นชวนคลื่นเหียนแฝงกลิ่นสาบคล้ายโคลนก็ลอยมาเตะจมูก ทำเอาชาวบ้านหลายคนที่ตามมาดูต้องโก่งคออาเจียนกันอีกหน แม้แต่คนของเยว่เทียนฟงก็ยังหน้าเขียวหน้าดำ บรรยากาศคุกรุ่นที่เพิ่งจะสงบลงคล้ายถูกแทนที่ด้วยกระแสอารมณ์วิตกกังวลและหวาดผวาบ่อพักน้ำแห่งนี้มีขนาดกว้างยาวเพียงด้านละราวๆ สามถึงสี่วา หากไม่นับเรื่องกลิ่นที่โชยคลุ้งและฟองสีขาวบนผิวน้ำ ก็ยังนับได้ว่าที่นี่ดูสะอาดตา ไร้วี่แววศพเด็กที่ว่า ทั้งอย่างนั้นตำแหน่งที่ผู้นำทางเดินไปหาก็เป็นตำแหน่งที่พงหญ้าสูงท่วมศีรษะ เหมาะแก่การซุกซ่อนข้าวของเป็นอย่างยิ่ง
“มีศพอยู่ที่บ่อพักน้ำ!” ทันทีที่ได้ยินว่ามีศพอยู่ที่บ่อพักน้ำ พวกชาวบ้านในลานพลันหน้าเผือดสี หลังจากส่งต่อประโยคสั้นๆ ประโยคนี้เพียงชั่วครู่ หญิงชาวบ้านจำนวนไม่น้อยถึงขั้นโก่งคออาเจียน ที่ดูคล้ายคนเจ็บไข้ได้ป่วยกันอยู่แล้วก็ยิ่งดูเหมือนคนล้มป่วยยิ่งขึ้นสวรรค์! เกิดโรคระบาดก็แย่แล้ว ต้นคลองส่งน้ำเข้าหมู่บ้านยังมีศพแช่อีกรึ!“ท่านประมุข หรือว่าศพนั่นจะเป็นตัวก่อโรค!” ชาวบ้านชายที่รูปร่างกำยำที่สุดในกลุ่มถามเสียงเครือ ดวงตาแดงก่ำบนใบหน้าอิดโรยเหมือนพร้อมจะหลั่งน้ำตาออกมาทุกเมื่อ “เช่นนั้นพวกเราทุกคน...”“ต้องรอตรวจโรคกันก่อนจึงจะบอกได้” ท่านประมุขผู้ถูกถาม ตอบเสียงขรึม “ระหว่างนี้บอกให้ทุกคนเลิกแตะต้องน้ำจากคลองส่งน้ำนั่น หากจำเป็นต้องนำมาใช้ ต้องต้มให้นานๆ หน่อยถึงจะดี” รับมือกับโรคระบาดชนิดนี้มานาน เยว่เทียนฟงเองก็ได้พื้นความรู้ติดตัวมาไม่น้อยเหมือนกัน“จ้าวหุบเขา เชิญ&rdquo