จ้าวหุบเขาหลี่ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ทำเพียงคว้าผ้าพันแผลขึ้นพันให้ตนเอง ใบหน้าเรียบเฉยยังคงรักษาส่วนผสมระหว่างรูปปั้นพยัคฆ์หน้าประตูและพระพุทธรูปหินเอาไว้ได้อย่างเท่าเทียม
“ทำเหมือนผู้อื่นเป็นแมลงรำคาญเช่นนี้ ช่างเย็นชาเสียจริง” แม้สหายคู่ค้าจะนิ่งเงียบเย็นชาถึงเพียงนั้น นึกถึงดวงตางดงามที่โผล่พ้นผ้าปิดหน้าของดรุณีน้อยในประเด็นสนทนาแล้ว เยว่เทียนฟงก็ขยับริมฝีปากถามขึ้นมา “แม่นางน้อยผู้นี้เป็นใครมาจากไหนกัน เหตุใดเหยี่ยวราตรีของข้าจึงไม่เคยระแคะระคายว่าจ้าวหุบเขาอย่างท่านลักลอบเลี้ยงดู ‘ศิษย์สตรี’ กว่าจะรู้เรื่องข้างนอกก็มีข่าวเล่าลือระหว่างจ้าวหุบเขาเดียวดายกับลูกศิษย์แพร่ออกมาเต็มไปหมด”
“นางเป็นใคร ผู้อื่นพูดอะไร สองข้อนี้ล้วนไม่สำคัญ” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ “ยามนี้นางเป็นลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของหุบเขา นี่คือข้อเท็จจริงที่ไม่ว่าใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้”
คนฟังกำลังจะแย้ง กลับได้ยินเสียงฝีเท้าบุรุษจากที่ไกล
เยว่เทียนฟงรอจนองครักษ์ผู้ยกป้านชามาให้แทนสตรีในประเด็นสนทนากลับออกไปแล้ว จึงค่อยเอ่ยประโยคสำคัญกึ่งเล่นกึ่งจริง
“ไม่มีผู้ใดไร้ที่มา...สตรีที่งามพร้อม ผิวละเอียด ผมเป็นเงา เค้าหน้างดงามเช่นนี้ ยิ่งไม่มีทางเป็นสตรีไร้หัวนอนปลายเท้า จ้าวหุบเขา...ท่านรู้หรือไม่ หากนางปรากฏตัวเร็วกว่าในข่าวเล่าลือสักเล็กน้อย และไม่ใช่สตรีบริสุทธิ์ไร้เดียงสาถึงปานนั้น ข้าคงคิดว่า ‘จ้าวหุบเขาเดียวดายลอบชิงตัวองค์หญิงคนสำคัญของเทียนจิน จุดชนวนสงครามระหว่างสองอาณาจักรใหญ่’ เสียแล้ว”
แม้ยังคงวางท่าทีเฉยชา แต่ยังพอมองออกว่าจ้าวหุบเขาหลี่ให้ความสนใจประเด็นสนทนาตรงหน้านี้มากขึ้นเล็กน้อย
“สุดท้ายคนพวกนี้ก็ฉีกสัญญาสงบสุขจอมปลอม ประกาศสงครามกันจริงๆ”
“ถูกต้อง ข้ารีบกลับมาที่นี่ก็เพราะเรื่องนี้...” เยว่เทียนฟงเห็นสหายคู่ค้าผูกผ้าพันแผลลำบากนักก็ก้าวขาเข้าช่วยผูกปมให้ ปากก็เอ่ยต่อไป “เพราะองค์หญิงเทียนจินที่เทียนเฉาระบุว่าต้องการให้แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์หายสาบสูญไประหว่างทาง เทียนเฉาอ้างว่า ‘เทียนจินบิดพลิ้วในสัญญา สร้างเรื่องว่าองค์หญิงหายตัวไป หลู่เกียรติเทียนเฉา’ ประกาศสงครามกับเทียนจิน ฝ่ายเทียนจินก็ฮึดฮัด กล่าวว่า ‘เทียนเฉาเหี้ยมโหดอำมหิต สังหารองค์หญิงคนสำคัญของเทียนจินเพื่อหาเหตุก่อสงคราม หยามหมิ่นเกียรติขององค์หญิงสี่ เทียนจิน และราชวงศ์ คบหาไม่ได้’ ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมลงให้แก่กัน พวกเขามีใจจะโรมรันเช่นนี้ อีกไม่นานหุบเขาเดียวดายคงครื้นเครงน่าดู”
“กระจายข่าวออกไปว่าจ้าวหุบเขาเดียวดายรุ่นปัจจุบันเป็นบุคคลอันตรายที่เกลียดชังราชสำนักและการเมืองเป็นอย่างยิ่ง มารร้ายผู้นี้เป็นบุรุษไร้เหตุผล พร้อมจะสังหารผู้คิดลากตนลงข้องเกี่ยวเรื่องยุ่งยากได้ทุกเมื่อ” จ้าวหุบเขาหลี่บอกโดยไม่ต้องคิด
“อีกแล้ว? ใช้วิธีการเดิมๆ เช่นนี้ ไม่กลัวผู้คนจับทางได้บ้างรึ?” เยว่เทียนฟงทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ รินน้ำชาให้ตนเอง ปากก็เอ่ยน้ำเสียงติดจะจริงจังขึ้นเล็กน้อย “จะจับทางได้หรือไม่ได้ก็ช่างเถอะ กลัวแต่ว่าพวกเขาจะไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้เลยด้วยซ้ำ ท่านก็รู้ คนบางจำพวกเพียงเพื่อชัยชนะแล้วไม่สนใจวิธีการ ในหมู่ชาวยุทธแม้เกิดเรื่องยุ่งยากไม่เว้นวัน ผู้คนส่วนใหญ่ยังตรงไปตรงมา ผู้ทำผิดคิดชั่วเมื่อจวนตัวก็ยังรู้จักยอมรับว่าเป็นฝ่ายอธรรม ไม่เหมือนพวกทางการและราชสำนัก ปากก็กล่าวอ้างความถูกต้องชอบธรรม วางท่าเป็นผู้ดี เป็นปัญญาชน แต่ลับหลังผู้คน เพียงเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์กลับทำเรื่องชั่วช้าสารพัด กระทั่งโดนจับขึ้นแท่นประหารก็ยังเที่ยวป่าวประกาศว่าตนเองเป็นคนดี”
“คนดีที่โดนประหารทั้งๆ ที่ไร้ความผิดเองก็มีไม่น้อย” หลี่หยางเอ่ยเรียบๆ
เยว่เทียนฟงแค่นหัวเราะ แววกะล่อนขี้เล่นในดวงตาพลันจางหาย คงเหลือไว้เพียงนัยน์ตาดำทะมึน ดูดิ่งลึก
“คนประเภทนั้นท้ายที่สุดแล้วก็มีนับคนได้...ราชสำนักยุคนี้ล้วนเน่าเหม็น ข้าเห็นมามากจนเอือมระอาเต็มทีแล้ว”
จ้าวหุบเขาหลี่ไม่ออกความเห็นอะไร เพียงนิ่งฟังประมุขสมาพันธ์เฮยอิงบอกเล่าสถานการณ์ปัจจุบันของสามอาณาจักรรอบหุบเขาและแคว้นข้างเคียงเท่านั้น
กระทั่งเยว่เทียนฟงบอกเล่าสถานการณ์จนครบถ้วน ท่านจ้าวหุบเขาขยับริมฝีปากถามคู่สนทนาเพียงสั้นๆ “สำนักค้าข่าวเหยี่ยวราตรีและสมาพันธ์เฮยอิงยังคงวางตัวเป็นกลางต่อไปหรือไม่”
“ท่านคิดว่าอย่างไร?” ประกายเด็ดเดี่ยวคั่งแค้นที่ฉายปลาบขึ้นบนดวงตาเยว่เทียนฟงในชั่วขณะนั้น บ่งบอกหมดแล้วทุกอย่าง
ทั่วทั้งสามอาณาจักรหกแคว้นล้วนรู้ว่าสมัยก่อนบิดาเยว่เทียนฟงก่อตั้งสมาพันธ์เฮยอิงขึ้นมา ขัดผลประโยชน์ของสามอาณาจักรใหญ่ ท้ายที่สุดจึงโดนป้ายความผิด ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้จงใจก่อชนวนสงครามจนต้องจ่ายชีวิตเซ่นสังเวยสัญญาสงบสุขของสามอาณาจักรใหญ่ด้วยทัณฑ์ห้าม้าแยกร่าง[1] ชิ้นส่วนแต่ละชิ้นล้วนถูกโยนให้สุนัขกัดกิน...นับเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ไร้ความผิดที่โดนประหารด้วยวิธีการโหดร้ายทารุณจนยากจะทำใจยอมรับ
ประมุขเยว่ผู้นี้มีความแค้นต่อทั้งเทียนจิน เทียนเฉา และต้าเว่ยลึกล้ำถึงเพียงนี้ อย่างน้อยๆ เมื่อสามอาณาจักรใหญ่ก่อสงคราม ก็ย่อมไม่มีใจเข้าข้างฝ่ายใดทั้งนั้น จะให้ฉวยโอกาสลุกขึ้นสร้างแรงกระเพื่อมที่สามารถทำลายทั้งสามอาณาจักรจนราบคาบ บุรุษที่ใส่ใจชีวิตผู้คนอย่างเยว่เทียนฟงก็ย่อมทำไม่ลง
หากไม่นับเรื่องที่ชอบแสดงตนเป็นคุณชายเสเพลผู้ชมชอบเรื่องสนุก ในสายตาหลี่หยาง...เยว่เทียนฟงนับเป็นยอดบุรุษที่น่ายกย่องมากทีเดียว
“เช่นนั้นข้อตกลงระหว่างประมุขเยว่กับหุบเขาเดียวดายก็ยังอยู่” ท่านจ้าวหุบเขายกถ้วยชาที่ไม่ค่อยจะร้อนแล้วขึ้นจิบ เมื่อน้ำชาสีอำพันไหลลงคอ เส้นคิ้วคมเข้มพลันขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
“มีอะไร?” สหายร่วมดื่มชาอดถามไม่ได้
“เพียงรู้สึกว่าชากานี้ช่างเย็นชืดจืดจางเกินไปเท่านั้น”
เยว่เทียนฟงลองลิ้มรสและสูดดมชาอย่างจริงจัง
“ก็เหมือนปกติไม่ใช่หรือ”
ท่านจ้าวหุบเขาจ้องลึกลงในถ้วยชา ทั้งจ้องมองทั้งดมกลิ่นก็ไม่พบว่ามีสิ่งใดผิดแปลกไป
“เหมือนปกติจริงๆ” หลี่หยางพึมพำ
น่าประหลาดนัก ไม่นึกว่าเพียงเปลี่ยนคนยกมา น้ำชาชนิดเดิมที่ชงโดยคนคนเดิม จะรสชาติเปลี่ยนแปลงไปได้ถึงเพียงนี้...
จ้าวหุบเขาหลี่วางถ้วยชา แม้สีหน้าท่าทียังคงสงบนิ่งนัยน์ตากลับเปล่งประกายวูบไหวขึ้นมา
[1] การลงโทษด้วยวิธีการนี้ คือการลงโทษด้วยวิธีผูกรยางค์ทั้งห้าของผู้ต้องโทษอันได้แก่ แขน ขา และลำคอเข้ากับม้า ให้ม้าทั้งห้าออกวิ่งแยกไปคนละทิศ ทำให้ชิ้นส่วนร่างกายขาดแยกออกจากกันเป็นเสี่ยงๆ
อาจูจ้องมองใบหน้าสตรีอ่อนเยาว์ที่จับประคองหญิงชราอยู่อีกฝั่ง ยิ่งมองก็ยิ่งพลอยรู้สึกชื่นชมลูกสะใภ้คนดีของแม่เฒ่า ทั้งยังรู้สึกว่าใบหน้านางดูงดงามตรึงตาตรึงใจพาให้อยากถลาเข้าไปกอดเรียวขาใต้ชุดสีเขียวเข้มขับผิวที่น่าจะเรียวงามไม่แพ้ท่อนแขนกลมกลึงนั่น เอาหน้าถูไถ เรียกนางว่าเจี่ยเจีย[1]คนดีสักหลายๆ คำอา...นี่คงเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจตามธรรมชาติของ “โฉมงามกลางป่าเขา” ที่คนเขาว่ากันละมั้ง...ยิ่งมองอาจูก็ยิ่งอยากจะทรุดตัวลงนั่งราบไปกับพื้นเสียเดี๋ยวนี้ขณะแม่เฒ่าสวีและลูกสะใภ้ชื่นชมกันไปมา ท่านจ้าวหุบเขาก็จัดเตรียมสมุนไพรที่ต้องใช้ไว้ให้ครบถ้วนดีแล้ว“แม้จะเคยล้มป่วยด้วยโรคชนิดนี้มาก่อนก็ไม่แน่ว่าร่างกายจะต้านทานโรคได้เสมอไป หากมีไข้เมื่อไหร่ สมควรรีบไปตรวจรักษาทันที” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยสั้นๆ“เซียนเหยียนทราบแล้ว...” สะใภ้สกุลสวีเอ่ยเสียงแผ่ว ฟังดูดึงดูดใจอย่างบอกไม่ถูก “เซียนเหยียนขอบคุณเซียนเซิงที่มีใจเมตตา”ยิ่งนางเปิดปากพูดออกมา อาจูก็ยิ่งละสายตาจากริมฝีปากทรงเสน่ห์บนใบหน้าขาวผ่องไม่ได้ท่านจ้
“เป็นอย่างไรบ้าง ท่านหมอ อาการอาเป่าของพวกเราย่ำแย่มากหรือไม่!” หญิงชราสูงอาวุโสที่สุดในบ้านผุดลุกจากเก้าอี้ทันทีที่จ้าวหุบเขาหลี่ละสายตาจากเด็กตัวจ้อยบนเตียงเตา[1]บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ห่างจากบ้านหลังอื่นๆ จนเกือบจะเรียกได้ว่าตั้งอยู่นอกตัวหมู่บ้าน...หญิงชราผู้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ก็คือแม่เฒ่าสวีนักปลุกปั่นนั่นเองเห็นแม่เฒ่าสวีและลูกสะใภ้ทำท่าจะเดินเข้าไปดูทายาทตัวน้อย อาจูรีบปราดเข้าช่วยศรีสะใภ้รูปร่างอ้อนแอ้นเหมือนหนึ่งจะปลิวลมของครอบครัวสกุลสวีประคองหญิงชรา เจตนาที่แท้จริงคือรั้งไว้ “ท่านป้าอย่าได้เข้าใกล้นัก ระยะนี้พวกท่านจะติดโรคระบาดจากอาเป่าได้ง่าย”กระทั่งตอนนี้ ขณะตรวจรักษาโรคระบาด ท่านจ้าวหุบเขาก็ยังให้ลูกศิษย์เพียงยืนดูอยู่ห่างๆ เหมือนเมื่อครั้งอยู่ในวัดร้างไม่มีผิด เสี่ยวจวี๋ฮวาที่ว่างงานจึงกลายร่างเป็นเจ้าหน้าที่ญาติผู้ป่วยสัมพันธ์ รับหน้าที่คอยกันไม่ให้พวกเขาเข้าไปรบกวนการรักษาโดยปริยายท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองมือลูกศิษย์ที่จับประคองเจ้าบ้านเล็กน้อย ชั่วขณะนั้น ดวงตาคู่คมเจือร่องรอยไม่ชอบใจ“ตุ่มหนองพวกนี้ดูแย่ลงก็จริง ทว่าเป็นอาการตามปกติของโรค” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยเรียบๆ
สตรีแซ่เซี่ยยังคงบอกเล่าสถานการณ์ด้วยตนเองอีกครู่ใหญ่ อาจูเห็นท่านหมอยุคเก่าแก่โบราณสองคนพูดคุยกันก็ปั้นหน้าสงบเสงี่ยมยืนฟังด้วยความสนใจ สองหูฟังไป สองตาก็ลอบจับสังเกตศิษย์พี่หญิงของท่านจ้าวหุบเขา ต่อให้ส่วนหนึ่งในใจจะค่อยๆ คล้อยตามว่าครั้งนี้อาจารย์ป้าหน้าเด็กอาจมาด้วยเจตนาดีจริงๆ ลางสังหรณ์บางอย่างในใจกลับไม่ยอมหายไปเสียทีอาจารย์ป้าผู้นี้...มาดีจริงๆ น่ะรึ?อาจูอยากจะยกมือขึ้นนวดขยับ ยิ่งคิดว่าพักนี้ต้องระมัดระวังไม่ให้เผลอใช้ใบหน้าเด็กๆ นี่ขมวดคิ้วสร้างริ้วรอยจนใบหน้าแก่ก่อนวัยก็ยิ่งกว่าหนักอกหนักใจช่างเถอะ ถึงยังไงที่นี่ก็ต้องการแรงงาน...จังหวะอาจารย์ป้ากวาดตามองผ่านมา เสี่ยวจวี๋ฮวาคลี่ยิ้มอ่อนหวานเจิดจ้ายิ่งกว่าผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งนางงามจักรวาล ทว่าอีกฝ่ายกลับมองผ่านเลยไปท่าทีนี้ช่วยให้อาจูสบายใจขึ้นเล็กน้อยถ้าเซี่ยอะไรสักอย่างเหยาๆ นางนี้ทำถึงขั้นคลี่ยิ้มให้ ศิษย์หลานตาดำๆ อย่างจวี๋ฮวาคงไม่แคล้วต้องเกาะติดอาจารย์ทั้งวันทั้งคืน เพื่อป้องกันสตรีคลั่งรักผู้หนึ่งย่องมาบีบคอตอนหลับหรือซัดเข็มพิษเล่มโตลอบสังหารแล้ว...
จู่ๆ ความสลดหดหู่ปนโกรธเกรี้ยวก็พวยพุ่งขึ้นในใจคนฟัง กระทั่งอาจูเองยังกำหมัดแน่น ยากจะสงบอารมณ์เป็นตอนนี้เอง ที่อาจูรู้สึกถึงเหงื่อเย็นชื้นบนฝ่ามือตัวเองท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองลูกศิษย์เล็กน้อย ก่อนหันกลับมาผ่าลำไส้ทั้งหมด ตรวจสอบของเสียตกค้างอย่างละเอียด จากนั้นหันกลับไปตรวจดูเล็บมือและเล็บเท้าซ้ำอีกหน“ไม่มีร่องรอยอย่างอื่นแล้วจริงๆ” ท่านจ้าวหุบเขาสรุปสั้นๆประมุขสมาพันธ์ผู้ต้องแบกรับเรื่องนี้ฟังแล้วยิ่งขบกรามแน่นจนขึ้นสัน“สารเลวพวกนั้นช่างระมัดระวังรอบคอบเกินไปแล้ว”“เรื่องนั้นยังไม่แน่นอนนัก” ท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองเชือกที่คนร้ายใช้มัดร่างเด็กเอาไว้ เอ่ยไม่ดังไม่เบา “ประมุขเยว่คงไม่ทันสังเกตว่าเทียนเฉาตอนล่างมีวัฒนธรรมการฟั่นเชือกแตกต่างจากพื้นที่อื่นเล็กน้อย...พวกนั้นจะจงใจทิ้งร่องรอยหรือไม่ได้ตั้งใจก็ช่าง ถ้าอย่างไรลองสืบสาวจากเชือกพวกนี้ดู ไม่แน่ว่าอาจช่วยเหลือได้ไม่มากก็น้อย”สีหน้าเยว่เทียนฟงดูดีขึ้นเล็กน้อย“ศพเหม็นเน่ามากแล้ว ฝังให้ลึกๆ แทนการเผาจะดีกว่า...น้ำใน
มองจากที่ไกลดูเหมือนใกล้ แต่เมื่อต้องเดินเท้ากันจริงๆ แล้ว บ่อพักน้ำตีนผาที่ว่านี้ กลับอยู่ห่างจากเขตที่พักอาศัยไม่น้อยยิ่งเดินเข้าใกล้ กลิ่นเน่าเหม็นรุนแรงก็ยิ่งโดดออกจากกลิ่นปศุสัตว์ ตอกย้ำให้ผู้มาเยือนตระหนักว่าในบ่อพักน้ำมีศพเด็กคนหนึ่งนอนแช่อยู่จริงๆ“ตรงนั้นขอรับ” องครักษ์ผู้รับหน้าที่นำทางรีบชี้เป้า “ศพโดนผูกไว้กับหลักไม้หลังพงหญ้านั่น”อาจูยกแขนเสื้อขึ้นปิดจมูกอีกชั้น แทบไม่อยากหายใจ เพียงก้าวขาเดินกันต่อไปแค่ไม่กี่ก้าว กลิ่นเน่าเหม็นชวนคลื่นเหียนแฝงกลิ่นสาบคล้ายโคลนก็ลอยมาเตะจมูก ทำเอาชาวบ้านหลายคนที่ตามมาดูต้องโก่งคออาเจียนกันอีกหน แม้แต่คนของเยว่เทียนฟงก็ยังหน้าเขียวหน้าดำ บรรยากาศคุกรุ่นที่เพิ่งจะสงบลงคล้ายถูกแทนที่ด้วยกระแสอารมณ์วิตกกังวลและหวาดผวาบ่อพักน้ำแห่งนี้มีขนาดกว้างยาวเพียงด้านละราวๆ สามถึงสี่วา หากไม่นับเรื่องกลิ่นที่โชยคลุ้งและฟองสีขาวบนผิวน้ำ ก็ยังนับได้ว่าที่นี่ดูสะอาดตา ไร้วี่แววศพเด็กที่ว่า ทั้งอย่างนั้นตำแหน่งที่ผู้นำทางเดินไปหาก็เป็นตำแหน่งที่พงหญ้าสูงท่วมศีรษะ เหมาะแก่การซุกซ่อนข้าวของเป็นอย่างยิ่ง
“มีศพอยู่ที่บ่อพักน้ำ!” ทันทีที่ได้ยินว่ามีศพอยู่ที่บ่อพักน้ำ พวกชาวบ้านในลานพลันหน้าเผือดสี หลังจากส่งต่อประโยคสั้นๆ ประโยคนี้เพียงชั่วครู่ หญิงชาวบ้านจำนวนไม่น้อยถึงขั้นโก่งคออาเจียน ที่ดูคล้ายคนเจ็บไข้ได้ป่วยกันอยู่แล้วก็ยิ่งดูเหมือนคนล้มป่วยยิ่งขึ้นสวรรค์! เกิดโรคระบาดก็แย่แล้ว ต้นคลองส่งน้ำเข้าหมู่บ้านยังมีศพแช่อีกรึ!“ท่านประมุข หรือว่าศพนั่นจะเป็นตัวก่อโรค!” ชาวบ้านชายที่รูปร่างกำยำที่สุดในกลุ่มถามเสียงเครือ ดวงตาแดงก่ำบนใบหน้าอิดโรยเหมือนพร้อมจะหลั่งน้ำตาออกมาทุกเมื่อ “เช่นนั้นพวกเราทุกคน...”“ต้องรอตรวจโรคกันก่อนจึงจะบอกได้” ท่านประมุขผู้ถูกถาม ตอบเสียงขรึม “ระหว่างนี้บอกให้ทุกคนเลิกแตะต้องน้ำจากคลองส่งน้ำนั่น หากจำเป็นต้องนำมาใช้ ต้องต้มให้นานๆ หน่อยถึงจะดี” รับมือกับโรคระบาดชนิดนี้มานาน เยว่เทียนฟงเองก็ได้พื้นความรู้ติดตัวมาไม่น้อยเหมือนกัน“จ้าวหุบเขา เชิญ&rdquo