เห็นอาจูทำหน้าประหลาดใจ เยว่เทียนฟงก็หัวเราะเบาๆ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นเล็กน้อย...ไม่รู้ว่าทำเพราะต้องการยืนยันหรือปลอบใจ
“แม่นางน้อย...เจ้ายังไม่รู้อะไร ท่านจ้าวหุบเขาของเจ้าทั้งหวงแหนทั้งให้อภิสิทธิ์เจ้ามากมายจริงๆ”
ท่านจ้าวหุบเขาใช้เวลาทำความเข้าใจและทำข้อตกลงกับศิษย์พี่หญิงของตนเสียใหม่ ขอเลื่อนระยะเวลาในข้อตกลงดั้งเดิมออกไป โดยสัญญาว่าจะมอบยาถอนพิษเพิ่มให้อีกสองชนิด ชดเชยที่ยามนี้เกิดเหตุสุดวิสัย ทำให้ไม่อาจปรุงยาที่เคยสัญญาไว้เสร็จสิ้นตามเวลา
เซี่ยซูเหยาผู้ไม่ว่าจะมองจากมุมใดก็ล้วนได้กำไรฟังแล้วไม่ติดใจเรื่องสัญญา กลับสอดส่ายสายตาจนจับสังเกตได้ว่าศิษย์น้องไม่เพียงบาดเจ็บที่มือขวายังบาดเจ็บที่ไหล่ซ้าย บาดแผลที่อาจูเคยช่วยดูแลให้จึงถูกประมุขเซี่ยผู้ดื้อรั้นบังคับทำความสะอาดและตกแต่งบาดแผลให้เสียใหม่ ที่เห็นว่าจำเป็นต้องเย็บก็ช่วยเย็บให้ ที่จำเป็นต้องใส่ยาก็ดูแลใส่ยาให้ด้วยตนเอง...
แต่ก็ได้ดูแลแค่เพียงเท่านั้น เพราะไม่ว่าจะอย่างไรท่านจ้าวหุบเขาก็ยัง
ขีดเส้นแบ่งให้นางเป็นคนนอก และเลือกใช้เวลาส่วนใหญ่ร่วมกับลูกศิษย์สตรีผู้อ่อนหวานว่าง่ายสตรีสองนาง นางหนึ่งเกรี้ยวกราดโวยวาย อีกนางหนึ่งอ่อนหวานสงบเสงี่ยม ช่างเอาใจใส่...เหล่าบุรุษสมาพันธ์เฮยอิงซึ่งยามนี้โดนประมุขทอดทิ้งไว้ช่วยงานจ้าวหุบเขาเดียวดายต่างก็คิดตรงกัน
แม้สตรีทั้งสองต่างงดงามโดดเด่น แต่สตรีมากเรื่องช่างโวยวายล้วนน่าปวดเศียรเวียนเกล้า สุดท้ายแล้วปุถุชนมีเนื้อหนังหากอยู่กับผู้ใดแล้วสบายใจก็ย่อมอยากอยู่กับคนผู้นั้น หากพวกเขาเป็นท่านจ้าวหุบเขา ก็ย่อมต้องเลือกฝ่ายหลังเช่นเดียวกัน
เห็นแม่นางน้อยคนงาม ขยันขันแข็ง ดูแลท่านจ้าวหุบเขาดีเช่นนี้ ก็อดนึกอิจฉาไม่ได้...
ท่านจ้าวหุบเขาผู้นี้ แต่ไหนแต่ไรเก็บตัวเงียบเชียบ กิริยาท่าทีรึก็ดูเย็นชา พวกเขายังนึกว่าบุรุษเช่นนี้จะใช้ชีวิตเดียวดายในหุบเขาไปจวบจนวาระสุดท้าย ใครจะนึกว่าคนเช่นนี้จะได้แม่นางน้อยผู้อ่อนหวานสงบเสงี่ยม ทว่ายามเจรจาพาทีก็ช่างเจรจา เปี่ยมอัธยาศัยไมตรี ทั้งยังจิตใจดีมีเมตตาเช่นนี้คอยเคียงข้าง
อา...ช่างน่าอิจฉา...
ท่านจ้าวหุบเขาผู้นี้ช่างเป็นบุรุษที่น่าอิจฉาเกินไปแล้ว...
เยว่เทียนฟงทิ้งผู้ติดตามไว้ในหุบเขาเดียวดายถึงสามวันเต็ม เมื่อจอมก่อกวนตัวชักนำเภทภัยไม่อยู่ ซ้ำอาจารย์ป้าแซ่เซี่ยก็ยังทำเพียงส่งอาหารและน้ำแกงบำรุงมาให้เป็นระยะ รู้จักเก็บตัวอยู่ในที่ทางของตนเองเกินคาด บรรยากาศในหุบเขาจึงค่อนข้างสงบสุข...เรียกได้ว่ากลับเข้าสู่สภาวะดีงามตามปกติอีกครั้ง
เย็นนี้ เสี่ยวจวี๋ฮวาก็ยังคงทำหน้าที่ดูแลท่านจ้าวหุบเขาเช่นทุกวัน
ช่วงมีบาดแผลเช่นนี้ท่านจ้าวหุบเขาจะชำระล้างร่างกายผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าลำบากสักหน่อย แม้เยว่เทียนฟงจะมอบคนไว้ช่วยดูแล อาจูก็ยังไม่เบาใจ อดช่วยลงมือหยิบจับบางเรื่องที่พอจะช่วยเหลือไหวด้วยตัวเองไม่ได้ เหล่าบุรุษสมาพันธ์เฮยอิงเห็นแม่นางน้อยของท่านจ้าวหุบเขามีใจอยากเอาใจใส่บุรุษของตนก็ไม่มีแก่ใจจะรบกวนคู่ยวนยาง ต่างช่วยอำนวยความสะดวกและเปิดโอกาสให้คู่รักผู้วางสถานะกันและกันไว้แปลกประหลาดได้ใช้เวลาร่วมกันตามลำพังอย่างเต็มที่
ที่จริงแล้วหากคำนึงถึงสถานะที่คนทั้งคู่กล่าวอ้าง วิถีปฏิบัติเช่นนี้ย่อมนับว่าหมิ่นเหม่ ล่อแหลม ขัดศีลธรรมและจารีตประเพณีเป็นอย่างยิ่ง...
ทว่าเหล่าบุรุษจากสมาพันธ์เฮยอิงต่างขึ้นเหนือล่องใต้ เดินทางไปนั่นมานี่กันมาแล้วตั้งไม่รู้เท่าไหร่ จึงมีทัศนคติค่อนข้างเปิดกว้างจนน่าตกใจ แม้บางรายไม่ใคร่จะเห็นชอบนัก ก็ล้วนเคารพการตัดสินใจเจ้าของความสัมพันธ์ ไม่มีใจอยากก้าวก่าย
สำมะหาอันใดกับการอยู่ในห้องเพียงลำพัง แตะเนื้อต้องตัว ชิดใกล้ ในเมื่อคนคู่นี้เป็นมากว่าศิษย์อาจารย์ตั้งแต่แรก หนำซ้ำท่านจ้าวหุบเขายังเคยทำถึงขั้นพาแม่นางน้อยผู้นั้นนั่งเกี้ยวสีแดงมงคลแปดคนหามข้ามหุบเขาเข้าประตูมาแล้ว!
...แน่นอนว่าทั้งอาจูที่เพียงอยากดูแลตอบแทนคนคนหนึ่งให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ และท่านจ้าวหุบเขาผู้ใส่ใจเพียงสิ่งที่ตนสนใจ ต่างไม่รู้ว่าใครต่อใครล้วนคิดไปไกลถึงเพียงนี้
อาจูจ้องมองใบหน้าสตรีอ่อนเยาว์ที่จับประคองหญิงชราอยู่อีกฝั่ง ยิ่งมองก็ยิ่งพลอยรู้สึกชื่นชมลูกสะใภ้คนดีของแม่เฒ่า ทั้งยังรู้สึกว่าใบหน้านางดูงดงามตรึงตาตรึงใจพาให้อยากถลาเข้าไปกอดเรียวขาใต้ชุดสีเขียวเข้มขับผิวที่น่าจะเรียวงามไม่แพ้ท่อนแขนกลมกลึงนั่น เอาหน้าถูไถ เรียกนางว่าเจี่ยเจีย[1]คนดีสักหลายๆ คำอา...นี่คงเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจตามธรรมชาติของ “โฉมงามกลางป่าเขา” ที่คนเขาว่ากันละมั้ง...ยิ่งมองอาจูก็ยิ่งอยากจะทรุดตัวลงนั่งราบไปกับพื้นเสียเดี๋ยวนี้ขณะแม่เฒ่าสวีและลูกสะใภ้ชื่นชมกันไปมา ท่านจ้าวหุบเขาก็จัดเตรียมสมุนไพรที่ต้องใช้ไว้ให้ครบถ้วนดีแล้ว“แม้จะเคยล้มป่วยด้วยโรคชนิดนี้มาก่อนก็ไม่แน่ว่าร่างกายจะต้านทานโรคได้เสมอไป หากมีไข้เมื่อไหร่ สมควรรีบไปตรวจรักษาทันที” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยสั้นๆ“เซียนเหยียนทราบแล้ว...” สะใภ้สกุลสวีเอ่ยเสียงแผ่ว ฟังดูดึงดูดใจอย่างบอกไม่ถูก “เซียนเหยียนขอบคุณเซียนเซิงที่มีใจเมตตา”ยิ่งนางเปิดปากพูดออกมา อาจูก็ยิ่งละสายตาจากริมฝีปากทรงเสน่ห์บนใบหน้าขาวผ่องไม่ได้ท่านจ้
“เป็นอย่างไรบ้าง ท่านหมอ อาการอาเป่าของพวกเราย่ำแย่มากหรือไม่!” หญิงชราสูงอาวุโสที่สุดในบ้านผุดลุกจากเก้าอี้ทันทีที่จ้าวหุบเขาหลี่ละสายตาจากเด็กตัวจ้อยบนเตียงเตา[1]บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ห่างจากบ้านหลังอื่นๆ จนเกือบจะเรียกได้ว่าตั้งอยู่นอกตัวหมู่บ้าน...หญิงชราผู้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ก็คือแม่เฒ่าสวีนักปลุกปั่นนั่นเองเห็นแม่เฒ่าสวีและลูกสะใภ้ทำท่าจะเดินเข้าไปดูทายาทตัวน้อย อาจูรีบปราดเข้าช่วยศรีสะใภ้รูปร่างอ้อนแอ้นเหมือนหนึ่งจะปลิวลมของครอบครัวสกุลสวีประคองหญิงชรา เจตนาที่แท้จริงคือรั้งไว้ “ท่านป้าอย่าได้เข้าใกล้นัก ระยะนี้พวกท่านจะติดโรคระบาดจากอาเป่าได้ง่าย”กระทั่งตอนนี้ ขณะตรวจรักษาโรคระบาด ท่านจ้าวหุบเขาก็ยังให้ลูกศิษย์เพียงยืนดูอยู่ห่างๆ เหมือนเมื่อครั้งอยู่ในวัดร้างไม่มีผิด เสี่ยวจวี๋ฮวาที่ว่างงานจึงกลายร่างเป็นเจ้าหน้าที่ญาติผู้ป่วยสัมพันธ์ รับหน้าที่คอยกันไม่ให้พวกเขาเข้าไปรบกวนการรักษาโดยปริยายท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองมือลูกศิษย์ที่จับประคองเจ้าบ้านเล็กน้อย ชั่วขณะนั้น ดวงตาคู่คมเจือร่องรอยไม่ชอบใจ“ตุ่มหนองพวกนี้ดูแย่ลงก็จริง ทว่าเป็นอาการตามปกติของโรค” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยเรียบๆ
สตรีแซ่เซี่ยยังคงบอกเล่าสถานการณ์ด้วยตนเองอีกครู่ใหญ่ อาจูเห็นท่านหมอยุคเก่าแก่โบราณสองคนพูดคุยกันก็ปั้นหน้าสงบเสงี่ยมยืนฟังด้วยความสนใจ สองหูฟังไป สองตาก็ลอบจับสังเกตศิษย์พี่หญิงของท่านจ้าวหุบเขา ต่อให้ส่วนหนึ่งในใจจะค่อยๆ คล้อยตามว่าครั้งนี้อาจารย์ป้าหน้าเด็กอาจมาด้วยเจตนาดีจริงๆ ลางสังหรณ์บางอย่างในใจกลับไม่ยอมหายไปเสียทีอาจารย์ป้าผู้นี้...มาดีจริงๆ น่ะรึ?อาจูอยากจะยกมือขึ้นนวดขยับ ยิ่งคิดว่าพักนี้ต้องระมัดระวังไม่ให้เผลอใช้ใบหน้าเด็กๆ นี่ขมวดคิ้วสร้างริ้วรอยจนใบหน้าแก่ก่อนวัยก็ยิ่งกว่าหนักอกหนักใจช่างเถอะ ถึงยังไงที่นี่ก็ต้องการแรงงาน...จังหวะอาจารย์ป้ากวาดตามองผ่านมา เสี่ยวจวี๋ฮวาคลี่ยิ้มอ่อนหวานเจิดจ้ายิ่งกว่าผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งนางงามจักรวาล ทว่าอีกฝ่ายกลับมองผ่านเลยไปท่าทีนี้ช่วยให้อาจูสบายใจขึ้นเล็กน้อยถ้าเซี่ยอะไรสักอย่างเหยาๆ นางนี้ทำถึงขั้นคลี่ยิ้มให้ ศิษย์หลานตาดำๆ อย่างจวี๋ฮวาคงไม่แคล้วต้องเกาะติดอาจารย์ทั้งวันทั้งคืน เพื่อป้องกันสตรีคลั่งรักผู้หนึ่งย่องมาบีบคอตอนหลับหรือซัดเข็มพิษเล่มโตลอบสังหารแล้ว...
จู่ๆ ความสลดหดหู่ปนโกรธเกรี้ยวก็พวยพุ่งขึ้นในใจคนฟัง กระทั่งอาจูเองยังกำหมัดแน่น ยากจะสงบอารมณ์เป็นตอนนี้เอง ที่อาจูรู้สึกถึงเหงื่อเย็นชื้นบนฝ่ามือตัวเองท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองลูกศิษย์เล็กน้อย ก่อนหันกลับมาผ่าลำไส้ทั้งหมด ตรวจสอบของเสียตกค้างอย่างละเอียด จากนั้นหันกลับไปตรวจดูเล็บมือและเล็บเท้าซ้ำอีกหน“ไม่มีร่องรอยอย่างอื่นแล้วจริงๆ” ท่านจ้าวหุบเขาสรุปสั้นๆประมุขสมาพันธ์ผู้ต้องแบกรับเรื่องนี้ฟังแล้วยิ่งขบกรามแน่นจนขึ้นสัน“สารเลวพวกนั้นช่างระมัดระวังรอบคอบเกินไปแล้ว”“เรื่องนั้นยังไม่แน่นอนนัก” ท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองเชือกที่คนร้ายใช้มัดร่างเด็กเอาไว้ เอ่ยไม่ดังไม่เบา “ประมุขเยว่คงไม่ทันสังเกตว่าเทียนเฉาตอนล่างมีวัฒนธรรมการฟั่นเชือกแตกต่างจากพื้นที่อื่นเล็กน้อย...พวกนั้นจะจงใจทิ้งร่องรอยหรือไม่ได้ตั้งใจก็ช่าง ถ้าอย่างไรลองสืบสาวจากเชือกพวกนี้ดู ไม่แน่ว่าอาจช่วยเหลือได้ไม่มากก็น้อย”สีหน้าเยว่เทียนฟงดูดีขึ้นเล็กน้อย“ศพเหม็นเน่ามากแล้ว ฝังให้ลึกๆ แทนการเผาจะดีกว่า...น้ำใน
มองจากที่ไกลดูเหมือนใกล้ แต่เมื่อต้องเดินเท้ากันจริงๆ แล้ว บ่อพักน้ำตีนผาที่ว่านี้ กลับอยู่ห่างจากเขตที่พักอาศัยไม่น้อยยิ่งเดินเข้าใกล้ กลิ่นเน่าเหม็นรุนแรงก็ยิ่งโดดออกจากกลิ่นปศุสัตว์ ตอกย้ำให้ผู้มาเยือนตระหนักว่าในบ่อพักน้ำมีศพเด็กคนหนึ่งนอนแช่อยู่จริงๆ“ตรงนั้นขอรับ” องครักษ์ผู้รับหน้าที่นำทางรีบชี้เป้า “ศพโดนผูกไว้กับหลักไม้หลังพงหญ้านั่น”อาจูยกแขนเสื้อขึ้นปิดจมูกอีกชั้น แทบไม่อยากหายใจ เพียงก้าวขาเดินกันต่อไปแค่ไม่กี่ก้าว กลิ่นเน่าเหม็นชวนคลื่นเหียนแฝงกลิ่นสาบคล้ายโคลนก็ลอยมาเตะจมูก ทำเอาชาวบ้านหลายคนที่ตามมาดูต้องโก่งคออาเจียนกันอีกหน แม้แต่คนของเยว่เทียนฟงก็ยังหน้าเขียวหน้าดำ บรรยากาศคุกรุ่นที่เพิ่งจะสงบลงคล้ายถูกแทนที่ด้วยกระแสอารมณ์วิตกกังวลและหวาดผวาบ่อพักน้ำแห่งนี้มีขนาดกว้างยาวเพียงด้านละราวๆ สามถึงสี่วา หากไม่นับเรื่องกลิ่นที่โชยคลุ้งและฟองสีขาวบนผิวน้ำ ก็ยังนับได้ว่าที่นี่ดูสะอาดตา ไร้วี่แววศพเด็กที่ว่า ทั้งอย่างนั้นตำแหน่งที่ผู้นำทางเดินไปหาก็เป็นตำแหน่งที่พงหญ้าสูงท่วมศีรษะ เหมาะแก่การซุกซ่อนข้าวของเป็นอย่างยิ่ง
“มีศพอยู่ที่บ่อพักน้ำ!” ทันทีที่ได้ยินว่ามีศพอยู่ที่บ่อพักน้ำ พวกชาวบ้านในลานพลันหน้าเผือดสี หลังจากส่งต่อประโยคสั้นๆ ประโยคนี้เพียงชั่วครู่ หญิงชาวบ้านจำนวนไม่น้อยถึงขั้นโก่งคออาเจียน ที่ดูคล้ายคนเจ็บไข้ได้ป่วยกันอยู่แล้วก็ยิ่งดูเหมือนคนล้มป่วยยิ่งขึ้นสวรรค์! เกิดโรคระบาดก็แย่แล้ว ต้นคลองส่งน้ำเข้าหมู่บ้านยังมีศพแช่อีกรึ!“ท่านประมุข หรือว่าศพนั่นจะเป็นตัวก่อโรค!” ชาวบ้านชายที่รูปร่างกำยำที่สุดในกลุ่มถามเสียงเครือ ดวงตาแดงก่ำบนใบหน้าอิดโรยเหมือนพร้อมจะหลั่งน้ำตาออกมาทุกเมื่อ “เช่นนั้นพวกเราทุกคน...”“ต้องรอตรวจโรคกันก่อนจึงจะบอกได้” ท่านประมุขผู้ถูกถาม ตอบเสียงขรึม “ระหว่างนี้บอกให้ทุกคนเลิกแตะต้องน้ำจากคลองส่งน้ำนั่น หากจำเป็นต้องนำมาใช้ ต้องต้มให้นานๆ หน่อยถึงจะดี” รับมือกับโรคระบาดชนิดนี้มานาน เยว่เทียนฟงเองก็ได้พื้นความรู้ติดตัวมาไม่น้อยเหมือนกัน“จ้าวหุบเขา เชิญ&rdquo