พอเข้ามาในเรือนยังไม่ทันได้นั่ง เสียงเอะอะข้างนอกก็ดังเข้ามา ว่านชิงอีกลอกตามองบนอย่างเบื่อหน่าย นางเพิ่งจะทะลุมิติมาอยู่ในยุคนี้ อยากหาเวลาปรับตัวปรับใจ กับสถานที่อยู่แห่งใหม่ แต่ก็ยังมีคนตามมาวุ่นวาย ให้นางเดาคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากบิดาผู้แสนประเสริฐและท่านย่าผู้แสนใจดี
“บุตรสาวสุดที่รักของพ่อ ได้ข่าวว่าเจ้าฟื้นแล้วจริงหรือนี่ ขอบคุณสวรรค์ๆ” ว่านจื่อหยวนพอก้าวเข้ามาเห็นว่านชิงอี ก็รู้สึกดีใจจนบรรยายไม่ถูก จึงรีบคุกเข่าคำนับฟ้าดินและขอบคุณสวรรค์ไม่หยุด เขาเชื่อแล้วว่าคำทำนายของท่านนักพรตเป็นจริง นางตายแล้วฟื้นจะมีใครทำเช่นนี้ได้ หากไม่ใช่คนที่เกิดมาพร้อมบุญญาธิการ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ยิ่งทำให้เขาปักใจเชื่อมากขึ้นเป็นร้อยเท่า ก่อนฮูหยินผู้เฒ่าจะก้าวเข้ามาอีกคน “หลานรักของย่าเจ้าฟื้นจากความตายจริงๆ หรือ มาให้ย่ากอดหน่อย เด็กดีของย่าหมดเคราะห์เสียทีนะ” ฮูหยินผู้เฒ่ากอดว่านชิงอีพร้อมลูบหัวลูบตัวไปมา ด้วยความรักใคร่และเอ็นดู ว่านชิงอีเริ่มทำตัวไม่ถูกอยู่เหมือนกัน ได้แต่ยืนนิ่งปล่อยให้ผู้เป็นย่ากอดอยู่อย่างนั้น “เนื้อตัวเจ้าซีดมาก ซื่อหยวนไปบอกบ่าวในจวนให้ไปตุ๋นน้ำแกงร้อนๆ ให้หลานข้าเร็วเข้า ร่างกายนางจะได้อบอุ่นเลือดลมจะได้หมุนเวียน” ฮูหยินผู้เฒ่าหันไปสั่งบุตรชายที่มัวแต่ยืนไหว้ขอบคุณสวรรค์ไม่หยุด ว่านชิงอีมองแล้วก็แอบขำกับครอบครัวนี้ ที่เชื่อคำทำนายมาก จนต้องเอาใจว่านชิงอีโดยไม่ลืมหูลืมตา “ท่านย่า ท่านพ่อ พวกท่านใจเย็นลงหน่อยเถิด ตอนนี้ข้าก็ฟื้นขึ้นมาแล้วอีกอย่างข้าก็รู้สึกสบายดีมาก ยังไม่อยากกินอะไรเจ้าค่ะ” ว่านชิงอีมองฮูหยินผู้เฒ่าด้วยความเกรงใจ และต้องรีบบอกออกไปเพราะไม่อยากให้วุ่นวาย ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นมารดา และพี่สาวอีกสองคนที่ยืนแอบอยู่ข้างประตูเพราะไม่กล้าเข้ามา ว่านชิงอีจึงส่งยิ้มไปให้อย่างผูกมิตรไมตรี ทำเอาว่านชิงหลินและว่านชิงหลาน หันมามองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ พอฟื้นขึ้นมานางก็กลายเป็นมิตรกับทุกคนเลยหรือ ปกติเย่อหยิ่งไม่เห็นหัวใคร “พวกเจ้าสามคนเหตุใดไม่เข้ามา เป็นมารดาและพี่สาวประสาอะไรกัน ลูกและน้องฟื้นจากความตายไม่รีบมาแสดงความยินดี” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยตำหนิอย่างไม่ไว้หน้า ทำเอาว่านชิงอีรู้สึกผิดกับความลำเอียงนี้ จึงรีบเอ่ยแก้ไขสถานการณ์ทันที “ท่านย่าอย่าได้ตำหนิท่านแม่และท่านพี่เลยเจ้าค่ะ ข้ามีเรื่องสำคัญจะบอกท่าน ช่วงที่วิญญาณของข้าออกจากร่าง ข้าได้ไปพบท่านเทพเซียนบนสวรรค์ เขาได้บอกข้าว่าหากให้ข้ากลับมา ข้าต้องรักและเอาใจใส่กับทุกคนในครอบครัว มิเช่นนั้นเขาจะมาเอาวิญญาณของข้าไปจริงๆ เจ้าค่ะ” ว่านชิงอีปั้นเรื่องขึ้นมาเพราะฮูหยินผู้เฒ่าปักใจเชื่อเรื่องนี้มาก อีกอย่างนางอยากอยู่อย่างสงบ ไม่อยากมี่เรื่องกับใคร โดยเฉพาะกับคนในครอบครัวตนเอง “หา!เจ้าได้ไปพบกับท่านเทพเซียนจริงๆ หรือ เจ้าเกิดมาช่างมีบุญวาสนาจริงๆ หลานย่า” ฮูหยินผู้เฒ่ายามนี้ได้ยินเพียงแค่ประโยคได้พบกับเทพเซียน อย่างอื่นที่ว่านชิงอีพูดนางไม่ได้ใส่ใจ “ท่านย่า! ท่านฟังข้าดีๆ นะเจ้าค่ะ ท่านเทพเซียนบอกข้าว่า หากให้ข้ากลับมา ข้าต้องทำดี รัก และเอาใจใส่กับทุกคน มิฉะนั้น จะมาเอาชีวิตข้าอีกครั้ง” โอ้ยเหนื่อย!ว่านชิงอีเอ่ยเน้นทีละคำอย่างช้าๆ เพราะอยากให้ท่านย่าเข้าใจความหมายที่แท้จริง ที่นางต้องการจะสื่อออกไป “ได้ๆ รักและเอาใจใส่ทุกคน ย่าเข้าใจแล้ว” ว่านชิงยกยิ้ม อย่างน้อยนางก็ยอมฟังอยู่บ้าง ก่อนว่านชิงอีจะเดินไปจับมือของว่านซูอวี้ผู้เป็นมารดาให้เข้ามาในห้อง ก่อนจะจูงมือพี่สาวทั้งสองคนให้เข้ามาในห้องเช่นกัน จากนั้นนางก็คุกเข่า ทุกคนพากันเบิกตากว้างตกใจว่านางจะทำอะไร “ท่านแม่ พี่ใหญ่ พี่รอง ที่ผ่านมาข้าต้องขออภัยที่ทำตัวไม่ดี ยามนี้ข้าสำนึกผิดแล้ว ต่อไปข้าจะทำตัวใหม่เจ้าค่ะ” ว่านซูอวี้น้ำตาคลอด้วยความซาบซึ้งใจ ในที่สุดนางก็คิดได้แล้ว ส่วนว่านชิงหลินและว่านชิงหลาน ก็แอบน้ำตาซึมเช่นเดียวกัน นางสำนึกได้แล้วจริงหรือ? “เอาละๆ ลุกขึ้นเถิด เจ้าเพิ่งฟื้นขึ้นจากการป่วยหนัก เดี๋ยวจะกลับไปล้มป่วยอีก” ว่านจื่อหยวนผู้เป็นบิดารีบเข้ามาประคองให้นางลุกขึ้นด้วยความเป็นห่วง แต่ว่านชิงอีก็ขืนร่างกายเอาไว้ไม่ยอมลุก “ท่านพ่อและท่านย่าต้องรับปากข้าก่อน ว่าจะรักและให้ความใส่ใจกับท่านแม่และท่านพี่ อย่างที่ทำกับข้า” “ได้พ่อกับท่านย่ารับปากเจ้า เอาละเจ้าลุกขึ้นมาเถิด” “ขอบคุณเจ้าค่ะ” ว่านซูอวี้ ว่านชิงหลิน ว่านชิงหลาน ซาบซึ้งใจจนต้องร้องไห้ออกมา ว่านชิงอีนางเปลี่ยนไปแล้ว ขอบคุณสวรรค์ที่ให้นางกลับมาและยังเปลี่ยนนิสัยที่เคยเป็น ว่านชิงอีเดินเข้าไปสวมกอดมารดา อย่างฝากเนื้อฝากตัว กุมารน้อยปิงปิงยืนมองภาพนั้นด้วยความซาบซึ้งใจเช่นกัน ก่อนจะพูดกับว่านชิงอี “คุณหนูครอบครัวนี้ก็ไม่ได้แย่ ต่อไปท่านต้องทำดีกับพวกเขาให้มากนะเจ้าค่ะ” “อืมข้าต้องทำอยู่แล้วในเมื่อมาอยู่ร่างเขาแล้วนี่” ว่านชิงอีเอ่ยตอบกลับไปในใจ หลังจากทุกคนแยกย้ายกันกลับไป ว่านชิงอีก็เดินสำรวจรอบๆ เรือนและมาจบที่ห้องนอนของนาง เรือนหลังนี้งดงามมาก บิดาของร่างนี้คงหมดเงินไปไม่น้อย รอบๆ เรือนยังมีต้นไม้และดอกไม้ปลูกไว้เต็มไปหมดมองแล้วสดชื่นเบิกบานใจ “ปิงปิงเอายามของพ่อข้ามาดูหน่อยว่ามีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง เกิดมาเป็นลูกสาวเจ้าพ่อร่างทรง และพ่อหมอปราบผี แต่ดันตายและทะลุมิติมายุคจีนโบราณ ไม่ใช่ว่าจะให้ข้ามาปราบผีจีนหรอกนะ” ว่านชิงอีกล่าวติดตลก เพราะว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ในโลกใบนี้ ขนาดทะลุมิติยังเกิดขึ้นมาแล้ว “นี่เจ้าค่ะ” ปิงปิงรีบปลดยามที่สะพายไว้ข้างตัว ส่งให้ว่านชิงอี นางรับมาแล้วเริ่มเปิดถุงยามดูว่ามีอะไรบ้าง แต่ก็ต้องแปลกใจ เมื่อพบแผ่นกระดาษที่เขียนพับไว้คล้ายจดหมาย นางจึงรีบเปิดออกมาอ่าน “ลูกรักวันใดที่ลูกได้เปิดอ่านนั้นหมายถึงว่าลุูกได้ไปอยู่อีกโลกหนึ่งแล้ว มันเป็นโชคชะตาที่กำหนดเอาไว้ ตัวตนของลูก คือเทพผู้พิทักษ์ ลูกต้องเรียนรู้และต้องช่วยเหลือผู้คน สิ่งที่อยู่ในยามใบนี้อาจช่วยลูกได้บ้าง ส่วนลูกประคำหยกเจ็ดสีลูกต้องใส่ทันที สุดท้ายพ่ออยากบอกว่า ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน พ่อกับแม่ก็รักลูกเสมอ ปล พ่อกับแม่จะพยายามทำบุญส่งไปให้” แสดงว่าพ่อของนางรู้เรื่องราวของนางมาโดยตลอด ว่าวันใดวันหนึ่งนางจะต้องจากไป จึงเขียนจดหมายใส่ไว้ในย่าม หากพวกเขาทำบุญส่งของมาให้นางจะได้รับหรือไม่นะ?หลังจากเหว่ยอ๋องสงบสติอารมณ์ลงบ้างแล้ว เขาก็นึกโทษตนเองที่บันดาลโทสะใส่นาง จนเกือบจะฆ่านางไปแล้ว ในเวลานั้นเขาเพียงคิดว่า สิ่งที่นางพูดเป็นเรื่องไร้สาระเพราะหมอหลวงยังตรวจไม่พบ แล้วนางเอาอะไรมาพูด ที่จริงเป็นเพราะเขาไม่อยากเชื่อว่า คนสนิทใกล้ตัวจะกล้าลงมือกับเสด็จพ่อ จึงบันดาลโทสะใส่นาง ท่าทางของนางหวาดกลัวเขามาก เขานั่งมองนางพูดคุยกับเจินซีห่าวและจับมือเขาหนึ่งข้าง พวกเขาคงกำลังพูดคุยอยู่กับมารดาของเขาสินะ ท่าทางของนางดูผ่อนคลายมากกว่าอยู่กับเขาเสียอีก นางก็แค่สตรีวัยเยาว์ผู้หนึ่ง เขาคงทำให้นางกลัวไปแล้ว ว่านชิงอีพอได้พูดคุยกับเจินซีห่าวถึงรู้ว่าที่จริงแล้ว เขาเป็นคนคุยสนุกคนหนึ่งเลยทีเดียวเลย เขาเป็นบุตรของนางสนมขั้นผินกับฝ่าบาท แต่เพราะนางเสียชีวิตจากไป พระสนมกุ้ยเฟยจึงนำเขามาดูแลเลี้ยงดูพร้อมกันกับเหว่ยอ๋อง เขาจึงนับถือพระสนมเป็นเสมือนมารดา แต่พระสนมกุ้ยเฟยก็อายุสั้นล้มป่วยและเสียชีวิตเช่นกัน เวลานี้มีว่านชิงอีเป็นตัวเชื่อมเขาจึงมองเห็นพระสนมกุ้ยเฟยอีกครั้ง “คุณหนูว่านพอจะมีวิธีช่วยเหลือฝ่าบาทหรือไม่?” เจินซีห่าวคิดว่าต้องลองถามนางดู เขาเชื่อว่านางต้องมีวิธี “นั่นสิคุณหนูว่า
ว่านชิงอีเดินตามเขาออกมาพร้อมกับเสี่ยวหม่านและปิงปิง ที่ยามนี้งงกับสถานการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาสองคนพานางเดินไปที่ลับตาคน ก่อนจะหันกลับมามองนางอย่างพิจารณา สายตาคมกริบดั่งใบมีดจ้องมองนางอย่างจับผิด “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาเตี๊ยมกันมา?” ว่านชิงอีรีบนึกหาคำพูดว่าควรจะตอบอย่างไรดี แต่จู่ๆ ดาบก็พาดมาบนคอ ว่านชิงอีตกใจแทบสิ้นสติ นึกหาคำพูดไม่ออกเลยทีนี้เพราะหวาดกลัวสุดขีด “ข้ายังเป็นเด็กก็พูดไปเรื่อยเปื่อยท่านอย่าได้ถือสาเลยเจ้าค่ะ” ว่านชิงอีรีบพูดออกไปใบหน้าซีดเผือด เสี่ยวหมานเองก็หวาดกลัวจนไม่กล้าส่งเสียง แม้จะเป็นห่วงนางมากก็ตาม “แล้วที่เจ้าพูดว่าสามารถมองเห็นวิญญาณ อันนั้นก็พูดไปเรื่อยเปื่อยอีกสินะ” บุรุษหน้าหล่อแต่ดูอำมหิตอีกคนถามขึ้น แล้วจะให้นางตอบอย่างไรดีละ “ชะ..ใช่เจ้าค่ะ” ว่านชิงอีก้มหน้าเอ่ยตอบเสียงอุบอิบ เจินจางเหว่ยแค่นยิ้มมุมปากกับความไร้สาระของนาง “ข้าเกลียดคนชอบโกหกและพูดเล่นไปเรื่อย ข้าจะให้โอกาสเจ้าตอบอีกครั้ง” คราวนี้นำ้เสียงเขาดูเยียบเย็นมากจนนางขนลุก “ข้าเห็นวิญญาณจริงๆ เจ้าค่ะ” คราวนี้ว่านชิงอีรีบตอบเร็วปรือ “พิสูจน์สิ” เจินซีห่าวเอ่ยบอกนางน้ำเสียงกดดัน ว่านช
พอกลับมาถึงจวนว่านชิงอีก็บอกให้เสี่ยวหมาน เอาของสดที่ซื้อจากตลาดไปเก็บที่ครัว ก่อนนางและพี่สาวจะพากันเดินไปพบกับมารดาที่เรือน ว่านซูอวี้แปลกใจที่เห็นสามพี่น้องเดินมาพร้อมกัน แถมยังดูสนิทสนมกันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน “คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ” ว่านชิงอีเอ่ยขึ้นเมื่อมาถึง ว่านซูอวี้มองนางด้วยสายตาอ่อนโยน “พวกเจ้าไปไหนกันมาหรือ?” “ไปตลาดมาเจ้าค่ะ ท่านแม่พวกข้ามีเรื่องจะปรึกษากับท่านเจ้าค่ะ” ว่านชิงหลินคุณหนูใหญ่ เริ่มเล่าเรื่องราวที่ได้พูดคุยกันกับว่านชิงอี จนยามนี้เข้าใจกันดีแล้ว แม้กระทั่งเรื่องทรัพย์สินของว่านชิงอี ที่นางยินดีเอาไปเป็นส่วนกลางเพื่อใช้จ่ายภายในครอบครัว แต่พอได้ยินเช่นนั้นว่านซูอวี้กลับกังวลและไม่สบายใจ ฮูหยินผู้เฒ่าและสามีนางต้องไม่พอใจแน่ ว่านชิงอีเห็นสีหน้ามารดาก็เข้าใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ท่านแม่ท่านไม่ต้องกังวล เดี๋ยวข้าจะคุยกับท่านพ่อและท่านย่าเองเจ้าค่ะ ข้ามีวิธีพูดให้ท่านทั้งสองยอมแต่โดยดีเจ้าค่ะ” ว่านชิงอีเอ่ยพร้อมยกยิ้มและทำหน้าเจ้าเล่ห์ “แต่ว่าเงินเหล่านี้อาจจะช่วยสกุลเราไปได้ระยะหนึ่ง ท่านพ่อเงินเดือนก็คงไม่พอ เราต้องหารายได้ทางอื่นเพิ่ม วันนี้ข้าเดินสำรวจตลาดก
วันต่อมาว่านชิงหลินและว่านชิงหลาน ก็มาหาว่านชิงอีที่เรือน เพราะเรื่องที่นางสามารถรักษาดวงตาของเสี่ยวหมาน ทำให้ทั้งสองคลางแคลงมาก เมื่อมาถึงก็เห็นว่านชิงอีเตรียมตัวจะออกไปข้างนอก การแต่งเนื้อแต่งตัวก็เปลี่ยนไปจากเดิม ผมของนางเพียงแค่ม้วนเป็นก้อนกลมๆ ตรงกลางศีรษะแล้วปักปิ่นเรียบๆ ชุดที่นางสวมใส่ของเรียบๆ ไร้สีสันเหมือนแต่ก่อน “นี่เจ้าเตรียมตัวจะออกไปข้างนอกหรือ?” ชิงหลินเอ่ยถามขึ้น “เจ้าค่ะพี่ใหญ่จะไปด้วยกันหรือไม่? ข้าอยากไปเดินเที่ยวตลาดและอยากซื้ออะไรมาทำกินด้วย” “ฮึ!นิสัยเจ้าก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลยสักนิดวันๆ เอาแต่เที่ยวเล่นและใช้เงินทองอย่างสุรุ่ยสุร่าย เป็นนิสัยที่เจ้าทำอยู่เป็นประจำ เจ้ารู้หรือไม่ยามนี้จวนของเราใกล้จะถังแตกอยู่แล้ว ทุกอย่างมันเป็นเพราะเจ้า!” ว่านชิงหลานเอ่ยอย่างโกรธเคือง กับนิสัยของว่านชิงอีที่แก้ไม่หาย “ชิงหลานเจ้าใจเย็นก่อนเถิด” ชิงหลินรีบเอ่ยปราม ว่านชิงอีทำหน้างงเพราะนางไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน “ข้าหรือ?” ว่านชิงอีชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง “ก็ใช่นะสิ ตั้งแต่เจ้าเกิดมาท่านพ่อ ท่านย่า ก็ดูแลเจ้าอย่างกับองค์หญิง เรือนของเจ้าก็สั่งให้ปลูกแบบพิเศษ เสื้อผ้าอาภรณ
ว่านชิงอีหยิบประคำหยกเจ็ดสีออกมาสวมใส่ ก่อนจะรับรู้ถึงพลังบางอย่างไหลเวียนทั่วร่างก่อนจะหายไป จากนั้นนางก็หยิบสิ่งของที่อยู่ในยามออกมา มีข้าวสารเสก สายสิญจน์ ยันต์ มีดอาคม และหนังสือเก่าโบราณเล่มหนึ่ง พอนางเปิดขึ้นมาอ่านตัวอักษรในหนังสือ ก็ลอยมาเข้าตัวนางจนหมด จากนั้นหนังสือก็หายไป “ปิงปิงแปลกมากเลยหนังสือหายไปแล้ว” “ก็ไม่แปลกนี่เจ้าค่ะ ก็ท่านเป็นเทพผู้พิทักษ์ ย่อมมีอะไรเหนือกว่าผู้อื่นอยู่แล้ว” ปิงปิงอธิบายอย่างคล่องแคล่ว แต่จู่ๆ ก็มีบ่าวรับใช้หญิงเดินเข้ามาอย่างกล้าๆ กลัว “คุณหนูสามท่านอยากจะชำระร่างกายเลยหรือไม่ ข้าจะได้เตรียมน้ำเจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้หญิงยืนก้มหน้าเนื้อตัวสั่น ว่านชิงอีสังเกตเห็นว่าดวงตาของนางบอดหนึ่งข้าง จึงลุกเดินเข้าไปหา “เจ้าเงยหน้าขึ้น” บ่าวรับใช้หญิงยิ่งตัวสั่นมากกว่าเดิมเมื่อได้ยินเช่นนั้น “เป็นอะไรตัวสั่นมากขนานนี้กลัวข้าเหรอ?” ว่านชิงอีกล่าวจบก็เอื้อมมือไปสัมผัสตัวนางเพื่อปลอบขวัญ แต่ทันใดภาพต่างๆ ในความทรงจำก็วิ่งแล่นเข้ามา ภาพที่ว่านชิงอีตบหน้าและสาดน้ำแกงใส่หน้าบ่าวรับใช้คนนี้ จนนางตาบอดเพราะน้ำแกงเผ็ดร้อนจากเครื่องเทศ นี่มันอะไรกัน!ร่างนี้ร้ายกาจได
พอเข้ามาในเรือนยังไม่ทันได้นั่ง เสียงเอะอะข้างนอกก็ดังเข้ามา ว่านชิงอีกลอกตามองบนอย่างเบื่อหน่าย นางเพิ่งจะทะลุมิติมาอยู่ในยุคนี้ อยากหาเวลาปรับตัวปรับใจ กับสถานที่อยู่แห่งใหม่ แต่ก็ยังมีคนตามมาวุ่นวาย ให้นางเดาคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากบิดาผู้แสนประเสริฐและท่านย่าผู้แสนใจดี “บุตรสาวสุดที่รักของพ่อ ได้ข่าวว่าเจ้าฟื้นแล้วจริงหรือนี่ ขอบคุณสวรรค์ๆ” ว่านจื่อหยวนพอก้าวเข้ามาเห็นว่านชิงอี ก็รู้สึกดีใจจนบรรยายไม่ถูก จึงรีบคุกเข่าคำนับฟ้าดินและขอบคุณสวรรค์ไม่หยุด เขาเชื่อแล้วว่าคำทำนายของท่านนักพรตเป็นจริง นางตายแล้วฟื้นจะมีใครทำเช่นนี้ได้ หากไม่ใช่คนที่เกิดมาพร้อมบุญญาธิการ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ยิ่งทำให้เขาปักใจเชื่อมากขึ้นเป็นร้อยเท่า ก่อนฮูหยินผู้เฒ่าจะก้าวเข้ามาอีกคน “หลานรักของย่าเจ้าฟื้นจากความตายจริงๆ หรือ มาให้ย่ากอดหน่อย เด็กดีของย่าหมดเคราะห์เสียทีนะ” ฮูหยินผู้เฒ่ากอดว่านชิงอีพร้อมลูบหัวลูบตัวไปมา ด้วยความรักใคร่และเอ็นดู ว่านชิงอีเริ่มทำตัวไม่ถูกอยู่เหมือนกัน ได้แต่ยืนนิ่งปล่อยให้ผู้เป็นย่ากอดอยู่อย่างนั้น “เนื้อตัวเจ้าซีดมาก ซื่อหยวนไปบอกบ่าวในจวนให้ไปตุ๋นน้ำแกงร้อนๆ ให้หลาน