“ท่านชายเหมือนคนที่ยืนอยู่บนยอดเขาเหลียงซาน ส่วนข้านั้นเหมือนน้ำค้างที่อยู่บนยอดหญ้า.. มันต่างกันเกินไป” “มีอะไรที่นางมีแล้วเจ้าไม่มี” “นางเป็นคุณหนู รูปร่างหน้าตาก็งามสง่า ดูดีกว่าข้าเป็นไหนๆ” “อย่างนั้นเหรอ” คิ้วเข้มพาดเฉียงย่นเข้าหากันเล็กน้อยขณะมองหน้านาง เพ่งมองใบหน้างามที่ไม่ค่อยกล้าสู้สายตาสักเท่าไหร่ แล้วคลี่ยิ้มกว้างส่งให้เมื่อนางยอมสบตาสู้ “ทำไมข้าไม่รู้สึกแบบที่เจ้าว่าเลย” คำพูดของเขาทำให้เธอเขินจนหน้าร้อนระอุ ถ้าเอาน้ำแข็งมาวางคงละลายเป็นน้ำในพริบตา “สายตาท่านคงจะมีปัญหาอย่างหนัก” “คงจะใช่ หัวใจของข้าก็เช่นกัน” “ไปกินข้าวเถอะเจ้าค่ะ อาหารเย็นหมดแล้ว” ถ้ายังไม่เปลี่ยนเรื่องเธอคงเสียตัวให้เขาแน่
View Moreหนึ่งเค่อต่อมาสุวิมลหรือซูวี่ในยุคนี้กลับมาถึงบ้านพักที่ทางร้านจัดหาเอาไว้ให้คนงานได้พักอาศัย “วันนี้เจ้ากลับดึกนะซูวี่”“อือ ข้าไปหาซื้อยาให้ลี่ชุนแต่ร้านยาปิด ก็เลยซื้อโจ๊กมาให้นางแทน” เธอตอบเพื่อนร่วมงานที่พักอยู่ห้องติดกัน“ตัวนางร้อนมาก ข้าเพิ่งไปช่วยเช็ดตัวให้นางมา”“ขอบใจนะ” ซูวี่กล่าวอย่างซาบซึ้งน้ำใจแล้วเดินเข้าห้องพัก “ข้ากลับมาแล้วลี่ชุน”“กลับมาแล้ว.. ปากเจ้าไปโดนอะไรมาซูวี่!” ลี่ชุนพยายามประคองตัวเองจากที่นอน“ไม่ต้องลุก นอนพักไป” ซูวี่รีบวางของแล้วประคองให้หญิงสาวนอนลง“หน้าเจ้าไปโดนอะไรมา”“ข้าแค่ซุ่มซ่ามนิดหน่อย” นางตอบแล้วแตะมือกับหน้าผากของลี่ชุนด้วยความเป็นห่วง “ตัวเจ้าร้อนมากเลย มีอาการอื่นด้วยไหม” หญิงสาวใบหน้าซีดเซียวคลี่ยิ้มเนือย ๆ นางรู้สึกเวียนหัว เริ่มปวดเมื่อยตามเนื้อตามตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ บางครั้งร้อนบางครั้งหนาวสั่น แต่ก็ไม่อยากให้คนอื่นต้องวิตกกังวล“ข้าไม่เป็นไร”“แน่ใจนะ”ลี่ชุนจับมือของสตรีที่นางเคยให้ความช่วยเหลือเอาไว้เพียงเล็กน้อย แต่นางกลับตอบแทนบุญคุณมาให้จนรู้สึกว่ามันมากเกินไป “ไม่ต้องห่วงข้านักหรอก ข้ารู้จักร่างกายของข้าดีกว่าเจ้านะพี่สาว”“
สุวิมลยืนกุมมือทำตัวสงบเสงี่ยมต่อแขกคนสำคัญของร้านตามที่หลงจู๊กระซิบบอก นางพอจะเดาได้ว่าทำไมถึงถูกเรียกตัวออกมาจากครัว ก็คงไม่ต่างจากยุคของเธอ คืออาหารรสชาติห่วยแตก แขกไม่พอใจในคุณภาพ จึงต้องเรียกเชฟมาตำหนิหรือมาถามด้วยความข้องใจองค์รัชทายาทมองสตรีรูปร่างบอบบาง.. ไม่ถูก ๆ จะเรียกว่าบอบบางเสียทีเดียวก็ไม่ถูก นางไม่ได้บอบบางแต่โปร่งระหงดูสมส่วนไปทุกส่วนสัดน่าจะถูกต้องกว่า มองการแต่งตัวรัดกุมแบบบุรุษแล้วก็อยากจะหัวเราะออกมา เพราะมันไม่ได้ช่วยพรางสัดส่วนหรือความงดงามของเครื่องหน้าเลยสักนิดและตอนนี้ก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมนางถึงชื่อซูวี่ เพราะมองปราดเดียวก็รู้ว่านางไม่ใช่ชาวลู่อานโดยแท้ นางอาจจะเป็นลูกผสมเหมือนญาติ ๆ อ๋องของเขา หรืออาจจะเป็นชนชาติอื่นโดยไม่มีสายเลือดลู่อานอยู่ในตัวเลยก็ได้ใบหน้าเรียวรูปไข่ ปากบางเป็นกระจับสีแดงระเรื่อ คิ้วเรียวโก่งโค้งดำขลับ รับกับแพขนตาหนาที่ประดับรอบดวงตากลมโตที่เหมือนกับดวงตาของแมว“บุรุษท่านนี้เองเหรอที่ทำอาหารมาให้ข้า” เขารู้ว่านางเป็นสตรีแต่นึกอยากจะแกล้งเพื่อดูปฏิกิริยาของนางก็เท่านั้นคนถูกทักเงยหน้าขึ้นมองเขา ก่อนจะรีบหลบสายตาที่มองจ้องพร้อมอากา
ด้วยสายตาที่เฉียบแหลมเพราะทำงานบริการมายี่สิบกว่าปี เจอลูกค้ามากหน้าหลายนิสัย ทำให้หลงจู๊เข้าใจความหมายข่มขู่กลาย ๆ ของอีกฝ่ายทันที และเพราะบุคลิกลักษณะที่ดูสูงส่งเกินอาจเอื้อมของบุรุษผู้นี้ ทำให้เขาไม่กล้าโต้แย้ง“ท่านชายได้โปรดรอสักครู่ ข้าจะรีบจัดการให้เดี๋ยวนี้”หลงจู๊รับคำแล้วเดินกลับไปที่หลังร้านอีกครั้ง ไปถึงครัวโดยไม่ให้ซุ่มเสียงใด ๆ และความเงียบของเขาก็ทำให้เขาได้เห็นกับตาว่าเกิดอะไรขึ้น“แบบนี้นี่เอง”“หลงจู๊!” เสี่ยวหมานตกใจ รีบลุกจากเก้าอี้แล้วผลักหญิงสาวที่กำลังถือตะหลิวอยู่หน้ากระทะจนเซไปอีกเตา“โอ๊ย!”“ซูวี่!” อาเกอรีบจับมือหญิงสาวที่นาบโดนกระทะร้อน ๆ ไปแช่ในถังน้ำเย็น“เป็นอย่างไรบ้าง” หลงจู๊รีบเดินเข้าไปถามด้วยความเป็นห่วง“ไม่เป็นไรมากเจ้าค่ะ” เธอรู้สึกปวดแสบปวดร้อนแต่ก็ไม่ได้มากมายเพราะชักมือออกได้ทันท่วงที“ไม่เป็นได้อย่างไร ดูสิ มือเจ้าแดงเลย” อาเล้งจับมือของหญิงสาวแล้วเอายาที่พกติดตัวเอาไว้ตลอดทาลงบนฝ่ามือให้นาง“ขอบใจนะอาเล้ง”หลงจู๊มองหญิงสาวและเพื่อนร่วมงานอีกสองคนที่ท่าทางเข้ากันได้ดี แล้วมองไปที่หัวหน้าพ่อครัวที่ดูไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย“ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้
หนึ่งเดือนต่อมาที่ร้านไหมทอง“ถ้าท่านยังทำตัวเป็นเด็กแบบนี้ข้าจะขอย้ายไปอยู่ตำหนักอื่น” อวี่กงบ่นกับรัชทายาทผู้เอาแต่ใจ เพราะเดือนนี้พระองค์แอบหนีออกจากวังหลวงเป็นครั้งที่สามแล้ว“จะไปอยู่ตำหนักไหน ข้าจะได้แจ้งให้น้าของเจ้ารู้” รัชทายาทถามอย่างไม่ทุกข์ร้อน เอ่ยถึงหัวหน้าขันทีที่เป็นน้าชายแท้ ๆ ของสหายรัก“องค์ชาย!” อวี่กงชักสีหน้าไม่พอใจเมื่ออีกฝ่ายกล่าวอย่างไม่อนาทร“เลิกทำตัวไร้สาระได้แล้ว”อวี่กงไม่พูดต่อเมื่อเห็นสายตาของอีกฝ่ายบอกใบ้ว่ามีคนอื่นใกล้เข้ามา เมื่อหันไปมองก็เห็นว่าเป็นเสี่ยวเอ้อร์“กินสิอวี่กง” องค์รัชทายาทบอกคนสนิทขณะหยิบตะเกียบขึ้นมารอท่า“ขอรับ” ขันทีหนุ่มหยิบตะเกียบแล้วคีบอาหารสี่จานบนโต๊ะชิมก่อนอย่างละคำ และผัดผักบุ้งจานสุดท้ายก็ทำให้เขาต้องนิ่วหน้า“ทำไมเหรอ” รัชทายาทสงสัยอาการของอีกฝ่าย“ท่านต้องชิมเอง” กล่าวจบอวี่กงก็คีบผัดผักบุ้งใส่ในถ้วยของอีกฝ่าย“ข้าอายุยี่สิบแปดแล้วอวี่กง เลิกยุ่งกับข้าแล้วจัดการท้องตัวเองให้อิ่มเถอะ” บุรุษที่ถูกดูแลเอาใจใส่เยี่ยงเด็กพูดอย่างไม่พอใจ“ก็มันเป็นหน้าที่ของกระหม่อม” ตอบกลับไปเสียงเบา หน้าตามีแง่งอน“หน้าที่ของเจ้าแค่ชิมอาหารให
แนะนำตัวละครสุวิมล (ซูวี่) หุ้นส่วนสถาบันสอนทำอาหารและเครื่องดื่มขนาดเล็กๆ ถ้าเรื่องอาหารต้องยกนิ้วให้เธอเฟ่ยต้าเสิน รัชทายาทของลั่วอาน ชอบแสดงออกอย่างหยิ่งทระนง เอาแต่ใจตัวเองเป็นใหญ่ แต่ส่วนลึกของจิตใจนั้นเป็นคนมีความเมตตา ซ่อนความฉลาดปราดเปรื่องเอาไว้เต็มเปี่ยม น้อยคนนักที่จะเข้ามาอยู่ในจิตใจของเขาได้เถียนเถียน นิสัยอ่อนโยนแต่แฝงความทะเยอะทะยาน เป็นนางกำนัลชั้นสูงในตำหนักขององค์รัชทายาทลี่ชุน ลูกจ้างก้นครัวของร้านอาหารไหมทอง แม้จะยากจนแต่ก็เป็นคนจิตใจดี เมื่อรู้ว่าซูวี่ตกยากก็ยื่นมือเข้าช่วยเหลือเสี่ยวหมาน พ่อครัวที่มีนิสัยหยิ่งผยองของร้านอาหารไหมทอง ไม่ค่อยชอบซูวี่ตั้งแต่แรกพบ จึงมักหาเรื่องแกล้งอยู่บ่อยๆอวี่กง ขันทีและเพื่อนสนิทของรัชทายาท ติดตามรับใช้ใกล้ชิด แค่มองตาก็รู้ใจตู้จี้เฟิง องครักษ์และเพื่อนสนิทของรัชทายาท เคร่งขรึม ทระนงองอาจ นางกำนัลน้อยใหญ่ต่างก็ลุ่มหลงชุยหัง หลงจู๊ที่เป็นมากกว่าหลงจู๊ของร้านอาหารไหมทองร้านอาหารไหมทอง สามเดือนแล้วที่สุวิมลต้องติดอยู่ในยุคจีนโบราณ ที่ย้อนยุคกลับมาประมาณสี่ร้อยปีโดยที่ไม่รู้ว่าเข้ามาอยู่ได้อย่างไร แ
Comments