Mag-log in“ท่านชายเหมือนคนที่ยืนอยู่บนยอดเขาเหลียงซาน ส่วนข้านั้นเหมือนน้ำค้างที่อยู่บนยอดหญ้า.. มันต่างกันเกินไป” “มีอะไรที่นางมีแล้วเจ้าไม่มี” “นางเป็นคุณหนู รูปร่างหน้าตาก็งามสง่า ดูดีกว่าข้าเป็นไหนๆ” “อย่างนั้นเหรอ” คิ้วเข้มพาดเฉียงย่นเข้าหากันเล็กน้อยขณะมองหน้านาง เพ่งมองใบหน้างามที่ไม่ค่อยกล้าสู้สายตาสักเท่าไหร่ แล้วคลี่ยิ้มกว้างส่งให้เมื่อนางยอมสบตาสู้ “ทำไมข้าไม่รู้สึกแบบที่เจ้าว่าเลย” คำพูดของเขาทำให้เธอเขินจนหน้าร้อนระอุ ถ้าเอาน้ำแข็งมาวางคงละลายเป็นน้ำในพริบตา “สายตาท่านคงจะมีปัญหาอย่างหนัก” “คงจะใช่ หัวใจของข้าก็เช่นกัน” “ไปกินข้าวเถอะเจ้าค่ะ อาหารเย็นหมดแล้ว” ถ้ายังไม่เปลี่ยนเรื่องเธอคงเสียตัวให้เขาแน่
view moreแนะนำตัวละคร
สุวิมล (ซูวี่) หุ้นส่วนสถาบันสอนทำอาหารและเครื่องดื่มขนาดเล็กๆ ถ้าเรื่องอาหารต้องยกนิ้วให้เธอ
เฟ่ยต้าเสิน รัชทายาทของลั่วอาน ชอบแสดงออกอย่างหยิ่งทระนง เอาแต่ใจตัวเองเป็นใหญ่ แต่ส่วนลึกของจิตใจนั้นเป็นคนมีความเมตตา ซ่อนความฉลาดปราดเปรื่องเอาไว้เต็มเปี่ยม น้อยคนนักที่จะเข้ามาอยู่ในจิตใจของเขาได้
เถียนเถียน นิสัยอ่อนโยนแต่แฝงความทะเยอะทะยาน เป็นนางกำนัลชั้นสูงในตำหนักขององค์รัชทายาท
ลี่ชุน ลูกจ้างก้นครัวของร้านอาหารไหมทอง แม้จะยากจนแต่ก็เป็นคนจิตใจดี เมื่อรู้ว่าซูวี่ตกยากก็ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
เสี่ยวหมาน พ่อครัวที่มีนิสัยหยิ่งผยองของร้านอาหารไหมทอง ไม่ค่อยชอบซูวี่ตั้งแต่แรกพบ จึงมักหาเรื่องแกล้งอยู่บ่อยๆ
อวี่กง ขันทีและเพื่อนสนิทของรัชทายาท ติดตามรับใช้ใกล้ชิด แค่มองตาก็รู้ใจ
ตู้จี้เฟิง องครักษ์และเพื่อนสนิทของรัชทายาท เคร่งขรึม ทระนงองอาจ นางกำนัลน้อยใหญ่ต่างก็ลุ่มหลง
ชุยหัง หลงจู๊ที่เป็นมากกว่าหลงจู๊ของร้านอาหารไหมทอง
ความประหม่าของเขาทำให้นางหัวเราะก่อนจะทำหน้าตาจริงจัง“อือ ข้ากำลังตั้งใจฟังอยู่”“ข้าไม่ใช่ท่านชายต้าเสิน แต่ข้าเป็น..เป็นองค์รัชทายาทของอาณาจักรลั่วอานที่เจ้าอาศัยอยู่ตอนนี้..” ใจของเขาเต้นแรงราวกับจะปะทุออกมาจากอกเมื่อเห็นนางนิ่งเงียบ แม้แต่สีหน้าก็ไม่แสดงอาการใด ๆ มือที่กุมใบหน้าเขาค่อย ๆ ผละออก “ซูวี่” เขาเรียกนางเสียงแผ่วพอ ๆ กับใจหญิงสาวมองสีหน้าหวาดวิตกของคนรักแล้วค่อย ๆ คลี่ยิ้มกว้างขึ้น มือที่ผละจากหน้าเขาเปลี่ยนเป็นโอบกอดเขา ซบหน้ากับซอกคอแกร่ง“ในที่สุดท่านก็ยอมบอกกับข้าเสียทีนะต้าเสิน”มือใหญ่ที่กอดตอบทันทีในตอนแรกเปลี่ยนเป็นดันร่างบางออกห่าง มองใบหน้ายิ้มละมุนนั้นด้วยความแปลกใจ“เจ้ารู้อยู่แล้วเหรอ.. ตั้งแต่เมื่อไหร่” เขาถามต่อเมื่อนางพยักหน้ารับ“ก่อนหน้าที่จะหนีท่านไปไม่นานนัก ข้าบังเอิญได้ยินแม่นางเถียนเถียนพูดกับท่านตอนยกน้ำชาไปให้ ตอนนั้นข้าตกใจมาก ทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว..” นางเริ่มเล่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นให้เขาฟัง ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นหนึ่ง
“เพราะเจ้าคนเดียวข้าถึงบ้าราคะเช่นนี้” เขาตอบนัยน์ตากรุ้มกริ่ม ปลดกางเกงลงไปกองที่ปลายเท้าแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ ดึงคนรักเข้ามาใกล้ หวังจะให้นั่งขึ้นคร่อมบนตักแกร่ง แต่นางกลับคุกเข่าแทรกตัวลงระหว่างขา แล้วเริ่มต้นมอบความสุขให้แก่เขาบ้างมือและปากเล็ก ๆ ของนางทำให้คนตัวใหญ่เช่นเขาถึงกับเกร็งและครางกระเส่า จิกนิ้วกับขอบเก้าอี้แน่นด้วยความเสียวสะท้าน“พอ..พอก่อนยอดรัก..” มือใหญ่ช้อนใต้วงแขนของคนรักแล้วดึงนางขึ้นมาคร่อมตัก “ถ้าเจ้ายังเล่นสนุกแบบนี้ คืนนี้เราคงไม่ได้คุยธุระกันแน่” เขาพูดยิ้ม ๆ พรมจูบลงบนปากเล็ก ๆ ของนางไปด้วย“ท่านต่างหากที่สนุก.. หรือไม่จริง” ถามคนรักเมื่อเขาเม้มปากและหรี่ตามองอย่างคาดโทษคนถูกถามพยักหน้ารับพร้อมกับอาการเม้มปากยิ้ม ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วจับนางหันหลังให้ เริ่มกระหน่ำความสุขที่ยังค้างคาอยู่ให้จบ“ต้าเสิน”“หือ”“ท่านบอกมีเรื่องจะคุยกับข้า” สุวิมลทวงถามคนรักที่นั่งกินโจ๊กกับผัดผักบุ้งที่เย็นชืด ทั้ง ๆ ที่เธอบอกว่าไม
ห้องทำงานต้าเสินมองคนรักที่ยกถาดอาหารเข้ามากลางดึกด้วยสายตามึนตึง“เพิ่งกลับมาถึงไม่ทันไรก็รีบวิ่งเข้าครัวแล้ว เจ้านี่รักอาหารมากกว่าข้าอีกนะซูวี่”คนถูกต่อว่ายิ้มกว้าง วางถาดอาหารลงบนโต๊ะแล้วเดินไปหาคนรักที่นั่งเขียนอะไรอยู่ กอดคอและหอมแก้มเขาหนึ่งทีอย่างเอาใจ“ข้ารักท่านมากกว่าอาหารนะเจ้าคะ ถึงได้รีบเข้าครัวไปเตรียมอาหารรอบดึกให้ท่านด้วยตัวเอง เพราะหลายวันมานี้ข้าเห็นท่านกินได้น้อย ร่างกายก็ดูซูบลง” เห็นเขาอมยิ้มก็รีบหยอดคำอ้อนอ่อนหวานรอยยิ้มบางเบาค่อย ๆ คลี่กว้างขึ้นจนสุดฝีปาก ดึงร่างระหงที่สวมกอดอยู่ด้านหลังให้มานั่งบนตัก หอมแก้มหลายทีด้วยกัน“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าซูบเพราะกินได้น้อย”“ก็ข้าเห็น”“ข้าก็กินได้เป็นปกติของข้านั่นแหละ อยู่กับเจ้านี่แหละที่ข้ากินมากเกินไป”“แต่ท่านผอมลงจริง ๆ นะ ข้า..ข้ากอดอยู่ทุกคืนข้ารู้สึกได้” เธอตอบอย่างขัดเขินแต่ก็กล้าสู้สายตาด้วย“หึ..” ต้าเสินส่งสายตาหยอกเย้า “ที่ข้าผอมเพราะข้ากินเจ้
“หรือเจ้าจะให้ข้ากลับไปกับจี้เฟิงก่อนล่ะ แล้วเจ้าค่อยตามกลับไปพร้อมกับซูวี่ทีหลัง”เจอคำถามนี้เข้าไปอวี่กงถึงกับพูดไม่ออก นึกโมโหใส่คนตัวใหญ่ที่ยืนนิ่งเหมือนกลายเป็นรูปปั้นหินไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเขา มันก็คงไม่อึดอัดแบบนี้ตู้จี้เฟิงสบตาสู้กับสายตาเอาเรื่องที่เจตนามองมาที่ตนเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดเรื่องในคืนนั้น คิ้วเข้มข้างขวาค่อย ๆ เลิกสูงขึ้น“ถ้าเจ้าไม่อยากไป ข้าไปคนเดียวก็ได้”“พูดแบบนี้อยากจะเอาหน้าคนเดียวเหรอ!”“ก็เจ้าไม่อยากไปเอง”“ไม่ต้องมาพูดให้ดูดีเลยนะ!”“อวี่กง”“พ่ะย่ะ..ขอรับท่านชาย”“จี้เฟิงเขาทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจหรือเปล่า” เขาสังหรณ์ใจว่าระหว่างสองคนนี้ต้องมีปัญหาอะไรกันแน่ ๆ แม้ปกติจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันตลอด แต่เขาก็ไม่เคยมีอาการแบบนี้ให้เห็น“ปะ ๆ เปล่านี่ท่านชาย ทำ ๆ ไมถึงถามอย่างนั้นล่ะขอรับ” บุรุษร่างเล็กกว่าใครเพื่อนไม่กล้าสู้สายตาหลักแหลมของผู้เป็นนาย“ถ้าจี้เฟิงแกล้งเจ้า











