พอพานางมาถึงเรือนที่พัก ว่านชิงอีก็หลุดหัวเราะออกมากับกิริยาท่าทางของเขา ที่ดูถือตัวขึ้นมาเมื่อสตรีนางนั้นอยากเช็ดคราบสุราที่นางทำหกใส่แขนเสื้อของเขา
“เป็นบุรุษรูปงามก็แบบนี้แหละเพคะไปที่ไหนมีแต่สตรีหมายปอง” “เจ้าไม่โกรธเคืองสตรีเหล่านั้นหรือ?” “โกรธแล้วจะทำอย่างไรได้เล่าเพคะ ห้ามสายตาสตรีเหล่านั้นได้ที่ไหนกัน แต่ว่ามันก็ทำให้หม่อมฉันภูมิใจ ที่ท่านอ๋องหล่อเหล่ามากขนานนี้ มากจนจนหม่อมฉันใจละลาย มอบหัวใจให้ท่านไปจนหมดแล้ว” เหว่ยอ๋องยกนิ้วขึ้นมาเคาะจมูกนาง สตรีนางนี้พูดจาเป็นเรื่องเป็นราว ไม่มีท่าทีกระดากอายเลยสักนิด เขาละจนใจกับความมึนของนาง ก่อนองครักษ์จะตามเข้ามา เหว่ยอ๋องจึงเดินไปนั่งเก้าอี้ข้างเตียง “พวกเจ้าก็หามุมที่จะนอนเอาเองละกัน” “แต่ว่าหากตกดึกอากาศจะหนาวหรือไม่ ฮุ่ยเจียงไปเอาผ้าห่มบนรถม้ามาเพิ่มอีกมีหลายผืน” ว่านชิงอีนึกกังวล เพราะตกดึกอากาศมักจะหนาวเย็น ฮุ่ยเจียงกลับมาพร้อมกับผ้าห่มในอ้อมแขน เหว่ยอ๋องคิ้วกระตุกเมื่อคิดว่า สิ่งที่นางเคยใช้ องครักษ์ของเขาจะได้ใช้ด้วย ไม่ได้เขาไม่มีทางยอม “เอามานี่ ส่วนผ้าห่มที่ทางนี้จัดหาให้พวกเจ้าเอาไป” “ท่านอ๋องแต่ว่าผ้าห่มจะครบคนหรือเพคะ? “ผืนนี้ให้เจ้าฮุ่ยเจียง อันนี้ของเจ้าอู่ถง เหลืออีกสามผืนเป็นเจ้ากับข้า” ว่านชิงอีมองเขาอย่างไม่เข้าใจ “พวกท่านลองตรวจดูว่าครบคนหรือไม่ หาก..” “หากไม่พอพวกเจ้าก็ห่มด้วยกัน” เขาเอ่ยขัดขึ้น ว่านชิงอีกลอกตามองบน ก็แค่ผ้าห่มเขาจะคิดมากไปทำไมกัน “ขาดอีกสองผืนพ่ะย่ะค่ะ” “ท่านอ๋องให้พวกเขาไปเถอะเพคะ” “ไม่ได้!สิ่งที่เจ้าใช้อาจมีกลิ่นของเจ้า ข้าไม่อยากให้ใครสูดดม” “แต่ว่าผ้าห่มพวกนี้หม่อมฉันไม่เคยใช้เลยนะเพคะ” เขาชะงักทันทีนางไม่เคยใช้หรอกหรือ “ถ้าให้ไปแล้วก็เหลือแค่ผืนเดียว” เขาเอ่ยขึ้น ว่านชิงอียกยิ้มก่อนจะเข้ามากระซิบเบาๆ ที่หูเขา “หากท่านอ๋องกอดหม่อมฉันก็อุ่นแล้วเพคะ” เขาหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อขึ้นมาทันที นางชอบทำให้ใจเขาเต้นแรงและเต้นยุบยิบอยู่ตลอดเวลา ยิ่งตอนนี้แทบกระเด็นกระดอนออกมาแล้วจริงๆ แต่ว่านชิงอีกลับเอ่ยขึ้นมาอีกแบบ ทำให้เหว่ยอ๋องคิ้วขมวดด้วยความไม่เข้าใจ “เราห่มด้วยกันก็ได้เพคะ” “....” เขามองหน้านาง ก่อนหน้ายังบอกให้เขากอด เหตุใดมาเปลี่ยนใจ นางแอบขำกับท่าทางผิดหวังของเขา ห่มผ้าผืนเดียวกันก็เหมือนนอนกอดกันอยู่แล้ว เหตุใดเขาถึงคิดไม่ได้ บุรุษยุคโบราณสมชื่อจริงๆ นางมาจากยุคปัจจุบัน หากไม่มีอะไรเกินเลยถูกเนื้อต้องตัวกันบ้าง นางไม่คิดมากอะไร เพราะอย่างไรนางกับเขาก็ชอบพอกัน จากนั้นว่านชิงอีก็ขึ้นไปนั่งบนเตียง แล้วตบที่ด้านข้างให้เขาตามขึ้นไป เขาก้าวขึ้นไปนั่งพิงหัวเตียงนางจึงขยับมานั่งข้างเขา ก่อนนางจะห่มผ้าให้เขา แล้วขยับไปซบไหล่เขา เหว่ยอ๋องยกยิ้มด้วยความพอใจ ก่อนจะพูดออกไปต่อหน้าทุกคน “หากใครหลุดพูดเรื่องนี้ออกไป รู้ใช่หรือไม่ว่าผลจะเป็นเช่นไร” “ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ขานรับอย่างพร้อมเพรียงกัน พอตกดึกอากาศเริ่มหนาวว่านชิงอี ก็เริ่มหันมากอดเขา เหว่ยอ๋องจึงขยับร่างของนางให้มานอนพิงร่างของเขา จากนั้นเขาจึงสวมกอดนางจากทางด้านหลังแล้วห่มผ้าอีกที คราวนี้เขารู้สึกอบอุ่นสบายยิ่งนัก จนเผลอหลับไปอย่างง่ายดาย ตกดึกบรรยากาศยิ่งเงียบสงัดวังเวงดูน่ากลัว จู่ ๆ ว่านชิงอีก็ถูกสะกิดจากปิงปิง นางค่อย ๆ ขยับตัวลืมตาขึ้น เหว่ยอ๋องเห็นนางขยับตัวก็ลืมตาขึ้นมามอง “มีอะไรหรือปิงปิง?” “คุณหนูด้านนอกมีวิญญาณอาฆาตหลายดวง คาดว่าคงถูกส่งมาจากผู้ที่มีอาคมเก่งกล้า “ท่านอ๋องบอกทุกคนให้ระวังตัวเพคะ ยันต์ที่หม่อมฉันมอบให้ ทุกคนมีกันครบทุกคนหรือไม่เพคะ?” พอเขาได้ยินเช่นนั้นก็รีบบอกองครักษ์ให้เตรียมพร้อม “อู่ถงปลุกทุกคน ให้ทุกคนตรวจสอบว่ามียันต์ครบทุกคนหรือไม่?” เหว่ยอ๋องรีบออกคำสั่งทันที อู่ถงรีบลุกขึ้นมาปลุกทุกคนให้ตื่น และบอกทุกคนให้ตรวจดูยันต์ป้องกัน เมื่อทุกคนยืนยันว่ามีกันครบทุกคน ว่านชิงอีและปิงปิงก็รีบนั่งสมาธิตั้งจิตให้มั่นคง ในนิมิตนางเห็นชายผู้หนึ่ง กำลังนั่งทำพิธีอยู่หน้าโคร่งกระดูกมากมาย อีกทั้งยังมีดวงวิญญาณมากมายถูกขังเอาไว้ ก่อนนางจะลืมตาขึ้นมา “ปิงปิงดวงวิญญาณที่อยู่ด้านนอกถูกเวทมนตร์สะกด ส่งพลังความดีสยบพลังความชั่วร้าย” ว่านชิงอีและปิงปิงปล่อยพลังความดีออกไป เผยให้เห็นแสงสีทองเปล่งประกาย ก่อนจะเคลื่อนตัวขยายออกไปด้านนอก ห้าดวงวิญญาณถูกแสงสีทองครอบคลุม จากร่างสีดำค่อยๆ กลายเป็นร่างในชุดสีขาว ว่านชิงอีและปิงปิงก้าวออกไปด้านนอก วิญญาณห้าดวงก็รีบคุกเข่าลง ก่อนจะคำนับให้นางอย่างเคารพ “ขอบคุณแม่นางน้อยที่ช่วยปลดปล่อยความชั่วร้าย ออกจากวิญญาณของพวกข้า ไม่เช่นนั้นพวกข้าต้องตกอยู่เป็นทาสของมนต์ชั่วร้ายตลอดไปเป็นแน่” “ไม่เป็นไรจากนี้ไปพวกท่านก็เป็นอิสระแล้ว ขอให้ไปสู่ภพที่ดี” วิญญาณเหล่านั้นก้มคำนับอีกครั้งก่อนจะหายไป ว่านชิงอีจึงกลับเข้าไปในเรือนพักรับรองอีกครั้ง บนภูเขาในถ้ำที่ห่างไกลผู้คน จอมลัทธ์ที่นั่งทำพิธีต้องสะดุ้งตกใจ ที่จู่ ๆ เทียนวิญญาณห้าดวงก็ดับลง นี่มันเกิดอะไรขึ้น เหตุใดเทียนวิญญาณถึงดับลงได้ หรือว่าจะมีใครที่มีความสามารถทำลายดวงวิญญาณเหล่านั้น? ใครกันที่บังอาจมาขัดขวางข้า! วิญญาณที่เขาเพียรสะสมมา ถูกทำลายไปแล้วห้าดวงกับอีกหนึ่งดวงที่หายไป เขาต้องหามาเพิ่มทดแทนที่เสียไปอีกมันน่าเจ็บใจนัก! ว่านชิงอีเดินเข้ามาด้านใน ก็พบว่าทุกคนกำลังยืนรออยู่ นางส่งยิ้มให้ก่อนจะเอ่ยขึ้น “กลับไปนอนต่อเถอะทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หากเป็นคนข้าคงสู้ไม่ได้ แต่กับผีและวิญญาณข้าเก่งสู้ได้สบายมาก” “....” ท่านหญิงนางบอกว่านางเก่งสู้กับผีและวิญญาณแต่กับคนนางสู้ไม่ได้ หมายความว่าเช่นไร? ว่านชิงอีเห็นสีหน้าไม่เข้าใจของพวกเขาก็ยกยิ้ม “อย่าใส่ใจคำพูดของข้า ข้าก็พูดไปเรื่อยนี่ก็ใกล้จะเช้าแล้ว ใครอยากนอนก็นอนต่อเลย” ทางด้านเมืองหลวง ณจวนเจ้าสัวโจว ยามนี้โจวป๋อเหวินนั่งรอฟังข่าวจากด้านนอก แต่กลับเงียบเชียบไร้วี่แววว่าจะมีคนมารายงาน จากท่าทีสบายๆ เขาก็เริ่มกระวนกระวายร้อนใจขึ้นมา “หานไจ๋พาคนไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น หากมีสิ่งใดผิดพลาด เจ้าคงรู้ว่าควรทำอย่างไร อย่าให้มีเรื่องใดมากระทบถึงข้าเด็ดขาด!” “ขอรับ” หานไจ๋คนสนิทข้างกายเจ้าสัวโจวรับคำ ก่อนจะรีบพาคนออกไปสืบข่าว หานไจ๋ถูกอุปการะจากเจ้าสัวโจว เขารับเลี้ยงมาตั้งแต่หานไจ๋ยังเด็ก หานไจ๋จึงรักและเคารพเจ้าสัวดั่งบิดา ไม่ว่าเจ้าสัวจะใช้ให้เขาทำอะไร เขาก็ทำตามด้วยความเต็มใจ เพราะอยากตอบแทนบุญคุณ ที่เจ้าสัวชุบเลี้ยงเขามาเป็นอย่างดี โจวเหม่ยหลิงบุตรสาวคนโตของโจวป๋อเหวิน เดินผ่านมาเห็นบิดามีสีหน้าเคร่งเครียด ก็เอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง “เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะท่านพ่อ?” “ก็คนที่ข้าส่งไปให้จัดการเหว่ยอ๋องกับท่านหญิง ป่านนี้ยังไม่ส่งข่าวมา ข้ากังวลว่าแผนการอาจจะไม่สำเร็จ” “จะเป็นไปได้อย่างเจ้าคะ คนที่ส่งไปก็เป็นยอดฝีมือกันทั้งนั้น หรือว่าพวกเขาจะรู้แผนการของเรา เลยเตรียมหาวิธีรับมือ ข้าอุตส่าห์คิดหาแผนการให้จ้าวลัทธิช่วยเหลือ สร้างสถานการณ์ที่หมู่บ้านตงซาน เพื่อให้เขาและนางเดินทางไปที่นั่น หากครั้งนี้ผิดพลาดต่อไปคงลงมือยากขึ้น” โจวเหม่ยหลิงเอ่ยขึ้น นางผู้ซึ่งเป็นหัวเรือใหญ่ในการคิดแผนการต่าง ๆ ตระกูลโจวเติบโตขึ้นมาได้อย่างยิ่งใหญ่ในทุกวันนี้ เป็นเพราะมีนางอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น แม้จะไม่ได้ออกหน้ามากนักแต่ทุกคนรู้ดีว่านายใหญ่คือใคร แต่จู่ ๆ เหม่ยลี่บุตรสาวของนางที่ยืนแอบฟัง ก็พรวดพราดเข้ามาด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ท่านแม่!ท่านคิดจะทำอะไรท่านอ๋อง บอกไว้เลยนะว่าข้าไม่ยอม เขาเป็นบุรุษที่ข้าชื่นชอบ หากเขาเป็นอะไรไปข้าไม่ยอมแน่”ดึกสงัดในค่ำคืนเดือนมืด ว่านชิงอีและพี่สาวอีกสองคนของนางก็ยังไม่พากันเตรียมตัวเข้านอน เพราะว่านชิงอีไหว้วานให้พี่สาวทั้งสอง ช่วยพับยันต์ที่นางเขียนขึ้นมามากมาย เพราะอีกไม่นานจะเป็นเทศกาลปีใหม่ ว่านชิงอีจึงอยากจะทำไว้แจกผู้คน แต่ในความรู้สึกส่วนตัวลึกๆ นางมีลางสังหรณ์ว่าจะมีเรื่องราวไม่ดีเกิดขึ้น นางจึงคิดว่าหากมียันต์ป้องกันภูตผีพกติดตัวกันเอาไว้ ก็อาจจะพอช่วยอยู่ได้บ้างแม้จะไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย ว่านชิงอีปรายตามองปิงปิงที่นอนเล่นอยู่บนเตียงของนาง ส่วนดวงวิญญาณอีกสามดวงนั่งอยู่อีกมุมหนึ่ง “เหตุใดเจ้าถึงต้องทำเยอะขนานนี้กัน? ว่านชิงหลานเริ่มรู้สึกเบื่อ เพราะนั่งทำมาหลายชั่วโมงแล้ว เสี่ยวหมานพยักหน้าเห็นด้วยที่ เพราะนางก็เริ่มเมื่อยมือเช่นเดียวกัน “งั้นพี่ใหญ่พี่รองก็ไปนอนเถิดเจ้าค่ะ วันหลังคอยมาพับใหม่” ว่านชิงอีมองเห็นความเหนื่อยล้าของพี่สาวทั้งสอง จึงรีบบอกให้ไปพักผ่อนเสียง “ถ้าเช่นนั้นข้าไปก่อนนะ” ว่านชิงหลินและว่านชิงหลานรีบเอ่ยลา เพราะร่างกายเริ่มล้าและง่วงนอนเต็มที หลังจากพี่สาวของนางจากไปไม่นาน จู่ ๆ ลมก็พัดอย่างรุนแรงคล้ายจะมีลมฝน แต่กลิ่นที่มาพร้อมกับล
ทางด้านสามตระกูลใหญ่ ที่ยามนี้มารวมตัวกันอยู่ที่จวนของตระกูลกู้ เพื่อรอฟังข่าวว่าวันนี้ท่านหญิงจะเป็นเช่นไร เมื่อมีข่าวออกมาว่าผู้คนได้ไปรวมตัวกัน ที่หน้าสำนักงานหน่วยสืบสวนเพื่อเรียกร้องให้จับท่านหญิง มาเผาไฟต่อหน้าทุกคน ฝ่ายกรมยุติธรรมเมื่อถูกกดดันจากราษฎร จึงต้องเข้าไปตรวจสอบ เพื่อความสบายใจให้แก่ทุกคน แม้ว่าเรื่องนี้ฟังดูแล้วข้อกล่าวหาอาจดูเกินจริง และดูเหมือนใส่ร้ายท่านหญิงจนเกินไป แต่เนี่ยนเจินกรมยุติธรรมก็ต้องทำตามหน้าให้ดีที่สุด สร้างความพอใจให้กับสามตระกูลใหญ่เป็นอย่างมาก พวกเขาจึงนัดกันมานั่งจิบชา รอฟังข่าวอยู่ที่จวนเสนากู้ สามฮูหยินและคุณหนูทั้งสามต่างพากัน พูดคุยอย่างอารมณ์ดี พวกนางคิดว่าอย่างไรวันนี้ท่านหญิงก็คงไม่รอด เพราะเหตุการณ์วันนั้นหลายคนเห็นกับตาตนเอง ว่านางสามารถสร้างภาพลวงตาทำให้ผู้คนหวาดกลัว ข้อกล่าวหาว่านางเป็นปีศาจไม่ดูเกินจริงเลยสักนิด “รายงานขอรับ” บ่าวจวนเสนาบดีกู้รีบเข้ามารายงาน หลังออกไปเกาะติดสถานการณ์ เกี่ยวกับท่านหญิงมาทั้งวัน เมื่อได้ยินเสียงตะโกนบอกของบ่าวที่มารายงาน ทุกคนก็ตั้งอกตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ “เรียนท่านเสนาตอนนี้ผู้คนที่รวมตัวกัน ไป
ทางด้านเหว่ยอ๋องพอกลับมาถึงเมืองหลวง เขาและว่านชิงอี ก็ได้แวะที่สำนักงานสืบสวนคดีก่อนเป็นที่แรก เพราะอยากรู้เรื่องที่ให้จับคนร้ายมาขังเพื่อรอไต่สวน แต่กลับต้องผิดหวังเมื่อ องค์ชายซีห่าวบอกว่า นักฆ่าทั้งสิบคนถูกลอบสังหารฆ่าปิดปากจนหมด “เจ้าว่าอย่างไรนะ!” เหว่ยอ๋องแผดเสียงออกมาอย่างผิดหวัง “ข้าก็ไม่คิดว่าคนบงการ จะคิดจัดการกับกลุ่มคนร้ายเช่นนี้ คงไม่อยากให้เรื่องราวถูกสาวถึงตัว แล้วทางหมู่บ้านตงซานเป็นเช่นไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ?” “ก็เรียบร้อยดี เหมือนมีคนจงใจสร้างสถานการณ์ขึ้น ให้ข้าและนางออกไปจากเมืองหลวง ข้าคิดว่าชาวบ้านคงไม่รู้เรื่องอันใด แต่ชิงอีได้ทิ้งคนให้คอยสอดส่องและคอยรายงานแล้ว” องค์ชายซีห่าว สะดุดคำเรียกที่เหว่ยอ๋องเรียกท่านหญิงว่าชิงอี สงสัยความสัมพันธ์ของพวกเขาคงรุดหน้าไปเป็นอย่างดีสินะ “เหตุใดท่านหญิงถึงได้กลายเป็นชิงอีเฉยๆ แล้วเล่า ความสัมพันธ์ของพวกท่านทั้งสอง คงพัฒนาไปเป็นอย่างดีสินะ?” “เจ้าพูดอะไรข้าก็แค่สนิทกับนางมากขึ้น” เหว่ยอ๋องพอถูกผู้เป็นน้องกล่าวล้อขึ้นมาก็ถึงกับวางตัวไม่ถูก “ท่านพี่…คุยเสร็จหรือยังเพคะ” ว่านชิงอียิ่งเห็นเขาทำตัวไม่ถูกก็ยิ่งอยากแกล้ง เหว่ยอ๋องพอ
ณ หมู่บ้านตงซานหลังจากจากเกิดเหตุการณ์ในค่ำคืนที่ผ่านมา ก็ไม่มีใครกลับไปนอนอีกต่างพากันนั่งรอให้ถึงเช้า อู่ถงพอเปิดประตูออกมาในตอนเช้าตรู่ ก็ต้องชะงักกับสตรีราวเจ็ดแปดคน มายืนรออยู่หน้าเรือนพัก ในมือมีอ่างใส่น้ำ เพื่อให้ทุกคนได้ล้างหน้าล้างตา ฮุ่ยเจียงเดินมารับอ่างจากสตรีนางหนึ่ง แล้วยกเข้าไปด่านในให้กับท่านหญิง ส่วนอู่ถงเดินมารับอ่างน้ำอีกอันเพื่อนำไปให้เหว่ยอ๋อง หลังจากทุกคนล้างหน้าล้างตากันเสร็จ สตรีที่มาคอยช่วยดูแลก็นำน้ำชาและโจ๊กมาให้ทุกคน ว่านชิงอีมองเห็นวิญญาณห้าดวงที่ยืนมองอยู่ห่างๆ ก็สะกิดปิงปิงให้ไปเรียกเข้ามา “พวกท่านมีอะไรหรือไม่?” “ทูลท่านหญิง พวกกระหม่อมไม่มีที่ไป ขอติดตามเป็นทาสรับใช้ท่านได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” ว่านชิงอีได้ฟังก็พยักหน้า “ได้ต่อไปก็คอยฟังคำสั่งของปิงปิงก็แล้วกัน” ห้าดวงวิญญาณปรายตามองเด็กน้อยวัยห้าขวบ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ท่านหญิงจะให้พวกข้าฟังคำสั่งจากเด็กคนนี้หรือ?” ว่านชิงอียกยิ้ม “อย่าดูถูกความสามารถนางเชียวนะ” ปิงปิงพอได้ยินนางเอ่ยชม ก็ยกแขนขึ้นมากอดอกอย่างเย่อหยิ่ง “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าใครที่เป็นคนทำวิชาอาคมพวกนี้ ในนิมิตข้าเห็นชายผู้หนึ่งแต่ว่าไม่
พอพานางมาถึงเรือนที่พัก ว่านชิงอีก็หลุดหัวเราะออกมากับกิริยาท่าทางของเขา ที่ดูถือตัวขึ้นมาเมื่อสตรีนางนั้นอยากเช็ดคราบสุราที่นางทำหกใส่แขนเสื้อของเขา “เป็นบุรุษรูปงามก็แบบนี้แหละเพคะไปที่ไหนมีแต่สตรีหมายปอง” “เจ้าไม่โกรธเคืองสตรีเหล่านั้นหรือ?” “โกรธแล้วจะทำอย่างไรได้เล่าเพคะ ห้ามสายตาสตรีเหล่านั้นได้ที่ไหนกัน แต่ว่ามันก็ทำให้หม่อมฉันภูมิใจ ที่ท่านอ๋องหล่อเหล่ามากขนานนี้ มากจนจนหม่อมฉันใจละลาย มอบหัวใจให้ท่านไปจนหมดแล้ว” เหว่ยอ๋องยกนิ้วขึ้นมาเคาะจมูกนาง สตรีนางนี้พูดจาเป็นเรื่องเป็นราว ไม่มีท่าทีกระดากอายเลยสักนิด เขาละจนใจกับความมึนของนาง ก่อนองครักษ์จะตามเข้ามา เหว่ยอ๋องจึงเดินไปนั่งเก้าอี้ข้างเตียง “พวกเจ้าก็หามุมที่จะนอนเอาเองละกัน” “แต่ว่าหากตกดึกอากาศจะหนาวหรือไม่ ฮุ่ยเจียงไปเอาผ้าห่มบนรถม้ามาเพิ่มอีกมีหลายผืน” ว่านชิงอีนึกกังวล เพราะตกดึกอากาศมักจะหนาวเย็น ฮุ่ยเจียงกลับมาพร้อมกับผ้าห่มในอ้อมแขน เหว่ยอ๋องคิ้วกระตุกเมื่อคิดว่า สิ่งที่นางเคยใช้ องครักษ์ของเขาจะได้ใช้ด้วย ไม่ได้เขาไม่มีทางยอม “เอามานี่ ส่วนผ้าห่มที่ทางนี้จัดหาให้พวกเจ้าเอาไป” “ท่านอ๋องแต่ว่าผ้าห่มจะครบคนหร
ชายสี่คนเดินตามอีถงและลู่หลิงที่พาเดินเข้ามาลึกพอสมควร ก่อนที่นางทั้งสองจะหยุดเดิน แล้วหันกลับมาแสยะยิ้มให้พวกเขา จากใบหน้าที่ปกติยามนี้เนาะเฟะมีหนอนชอนไช ดวงตาหลุดออกมานอกเบ้า ชายทั้งสี่ตาเหลือกถลนกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า ก่อนจะพากันร้องลั่นด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะพากันวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต พอหยุดพักหายใจ ก็เห็นร่างวิญญาณที่น่าเกลียดน่ากลัวมาอยู่ตรงหน้า พวกเขาหวาดกลัวจนหมดสติ อีถงและลู่หลิงจึงเดินออกไปหากลุ่มที่ยืนรออยู่ “นายท่าน” พวกเขาอีกหกคนหันมาตามเสียง ก็ถึงกับผงะกับใบหน้าที่น่าเกลียดน่ากลัวของนางทั้งสอง พอหันมามองชายที่ยืนอยู่กับเด็ก ยามนี้เขาก็ดึงคอออกจากหัวอย่างช้า แล้วโยนเล่นไปมา ส่วนเด็กน้อยก็ยืดมืออันแสนยาวเหยียดขึ้นไปโหนต้นไม้ แกว่งไกวตนเองไปมา ชายทั้งหกคนหมดสติไปทันทีด้วยความกลัว ก่อนปิงปิงจะรีบไปส่งข่าวกับว่านชิงอี ไม่นานกลุ่มของท่านอ๋องก็มาถึง “พวกเจ้าทำได้ดีมาก” ว่านชิงอีเอ่ยชม มีผู้ช่วยเป็นวิญญาณก็ดีแบบนี้ไม่ต้องเปลืองแรง “อู่ถงจับมัดพวกเขาเอาไว้ ส่งคนไปแจ้งทางการให้มาเอาตัวพวกเขาไป บอกองค์ชายซีห่าวให้ส่งคนมาช่วยข้ามากหน่อย อีกอย่างบอกองค์ชายซีห่าวชายสิบคนนี้ ข้ากลับ