พอกลับมาถึงจวนว่านชิงอีก็บอกให้เสี่ยวหมาน เอาของสดที่ซื้อจากตลาดไปเก็บที่ครัว ก่อนนางและพี่สาวจะพากันเดินไปพบกับมารดาที่เรือน ว่านซูอวี้แปลกใจที่เห็นสามพี่น้องเดินมาพร้อมกัน แถมยังดูสนิทสนมกันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน “คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ” ว่านชิงอีเอ่ยขึ้นเมื่อมาถึง ว่านซูอวี้มองนางด้วยสายตาอ่อนโยน “พวกเจ้าไปไหนกันมาหรือ?” “ไปตลาดมาเจ้าค่ะ ท่านแม่พวกข้ามีเรื่องจะปรึกษากับท่านเจ้าค่ะ” ว่านชิงหลินคุณหนูใหญ่ เริ่มเล่าเรื่องราวที่ได้พูดคุยกันกับว่านชิงอี จนยามนี้เข้าใจกันดีแล้ว แม้กระทั่งเรื่องทรัพย์สินของว่านชิงอี ที่นางยินดีเอาไปเป็นส่วนกลางเพื่อใช้จ่ายภายในครอบครัว แต่พอได้ยินเช่นนั้นว่านซูอวี้กลับกังวลและไม่สบายใจ ฮูหยินผู้เฒ่าและสามีนางต้องไม่พอใจแน่ ว่านชิงอีเห็นสีหน้ามารดาก็เข้าใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ท่านแม่ท่านไม่ต้องกังวล เดี๋ยวข้าจะคุยกับท่านพ่อและท่านย่าเองเจ้าค่ะ ข้ามีวิธีพูดให้ท่านทั้งสองยอมแต่โดยดีเจ้าค่ะ” ว่านชิงอีเอ่ยพร้อมยกยิ้มและทำหน้าเจ้าเล่ห์ “แต่ว่าเงินเหล่านี้อาจจะช่วยสกุลเราไปได้ระยะหนึ่ง ท่านพ่อเงินเดือนก็คงไม่พอ เราต้องหารายได้ทางอื่นเพิ่ม วันนี้ข้าเดินสำรวจตลาดก
วันต่อมาว่านชิงหลินและว่านชิงหลาน ก็มาหาว่านชิงอีที่เรือน เพราะเรื่องที่นางสามารถรักษาดวงตาของเสี่ยวหมาน ทำให้ทั้งสองคลางแคลงมาก เมื่อมาถึงก็เห็นว่านชิงอีเตรียมตัวจะออกไปข้างนอก การแต่งเนื้อแต่งตัวก็เปลี่ยนไปจากเดิม ผมของนางเพียงแค่ม้วนเป็นก้อนกลมๆ ตรงกลางศีรษะแล้วปักปิ่นเรียบๆ ชุดที่นางสวมใส่ของเรียบๆ ไร้สีสันเหมือนแต่ก่อน “นี่เจ้าเตรียมตัวจะออกไปข้างนอกหรือ?” ชิงหลินเอ่ยถามขึ้น “เจ้าค่ะพี่ใหญ่จะไปด้วยกันหรือไม่? ข้าอยากไปเดินเที่ยวตลาดและอยากซื้ออะไรมาทำกินด้วย” “ฮึ!นิสัยเจ้าก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลยสักนิดวันๆ เอาแต่เที่ยวเล่นและใช้เงินทองอย่างสุรุ่ยสุร่าย เป็นนิสัยที่เจ้าทำอยู่เป็นประจำ เจ้ารู้หรือไม่ยามนี้จวนของเราใกล้จะถังแตกอยู่แล้ว ทุกอย่างมันเป็นเพราะเจ้า!” ว่านชิงหลานเอ่ยอย่างโกรธเคือง กับนิสัยของว่านชิงอีที่แก้ไม่หาย “ชิงหลานเจ้าใจเย็นก่อนเถิด” ชิงหลินรีบเอ่ยปราม ว่านชิงอีทำหน้างงเพราะนางไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน “ข้าหรือ?” ว่านชิงอีชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง “ก็ใช่นะสิ ตั้งแต่เจ้าเกิดมาท่านพ่อ ท่านย่า ก็ดูแลเจ้าอย่างกับองค์หญิง เรือนของเจ้าก็สั่งให้ปลูกแบบพิเศษ เสื้อผ้าอาภรณ
ว่านชิงอีหยิบประคำหยกเจ็ดสีออกมาสวมใส่ ก่อนจะรับรู้ถึงพลังบางอย่างไหลเวียนทั่วร่างก่อนจะหายไป จากนั้นนางก็หยิบสิ่งของที่อยู่ในยามออกมา มีข้าวสารเสก สายสิญจน์ ยันต์ มีดอาคม และหนังสือเก่าโบราณเล่มหนึ่ง พอนางเปิดขึ้นมาอ่านตัวอักษรในหนังสือ ก็ลอยมาเข้าตัวนางจนหมด จากนั้นหนังสือก็หายไป “ปิงปิงแปลกมากเลยหนังสือหายไปแล้ว” “ก็ไม่แปลกนี่เจ้าค่ะ ก็ท่านเป็นเทพผู้พิทักษ์ ย่อมมีอะไรเหนือกว่าผู้อื่นอยู่แล้ว” ปิงปิงอธิบายอย่างคล่องแคล่ว แต่จู่ๆ ก็มีบ่าวรับใช้หญิงเดินเข้ามาอย่างกล้าๆ กลัว “คุณหนูสามท่านอยากจะชำระร่างกายเลยหรือไม่ ข้าจะได้เตรียมน้ำเจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้หญิงยืนก้มหน้าเนื้อตัวสั่น ว่านชิงอีสังเกตเห็นว่าดวงตาของนางบอดหนึ่งข้าง จึงลุกเดินเข้าไปหา “เจ้าเงยหน้าขึ้น” บ่าวรับใช้หญิงยิ่งตัวสั่นมากกว่าเดิมเมื่อได้ยินเช่นนั้น “เป็นอะไรตัวสั่นมากขนานนี้กลัวข้าเหรอ?” ว่านชิงอีกล่าวจบก็เอื้อมมือไปสัมผัสตัวนางเพื่อปลอบขวัญ แต่ทันใดภาพต่างๆ ในความทรงจำก็วิ่งแล่นเข้ามา ภาพที่ว่านชิงอีตบหน้าและสาดน้ำแกงใส่หน้าบ่าวรับใช้คนนี้ จนนางตาบอดเพราะน้ำแกงเผ็ดร้อนจากเครื่องเทศ นี่มันอะไรกัน!ร่างนี้ร้ายกาจได
พอเข้ามาในเรือนยังไม่ทันได้นั่ง เสียงเอะอะข้างนอกก็ดังเข้ามา ว่านชิงอีกลอกตามองบนอย่างเบื่อหน่าย นางเพิ่งจะทะลุมิติมาอยู่ในยุคนี้ อยากหาเวลาปรับตัวปรับใจ กับสถานที่อยู่แห่งใหม่ แต่ก็ยังมีคนตามมาวุ่นวาย ให้นางเดาคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากบิดาผู้แสนประเสริฐและท่านย่าผู้แสนใจดี “บุตรสาวสุดที่รักของพ่อ ได้ข่าวว่าเจ้าฟื้นแล้วจริงหรือนี่ ขอบคุณสวรรค์ๆ” ว่านจื่อหยวนพอก้าวเข้ามาเห็นว่านชิงอี ก็รู้สึกดีใจจนบรรยายไม่ถูก จึงรีบคุกเข่าคำนับฟ้าดินและขอบคุณสวรรค์ไม่หยุด เขาเชื่อแล้วว่าคำทำนายของท่านนักพรตเป็นจริง นางตายแล้วฟื้นจะมีใครทำเช่นนี้ได้ หากไม่ใช่คนที่เกิดมาพร้อมบุญญาธิการ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ยิ่งทำให้เขาปักใจเชื่อมากขึ้นเป็นร้อยเท่า ก่อนฮูหยินผู้เฒ่าจะก้าวเข้ามาอีกคน “หลานรักของย่าเจ้าฟื้นจากความตายจริงๆ หรือ มาให้ย่ากอดหน่อย เด็กดีของย่าหมดเคราะห์เสียทีนะ” ฮูหยินผู้เฒ่ากอดว่านชิงอีพร้อมลูบหัวลูบตัวไปมา ด้วยความรักใคร่และเอ็นดู ว่านชิงอีเริ่มทำตัวไม่ถูกอยู่เหมือนกัน ได้แต่ยืนนิ่งปล่อยให้ผู้เป็นย่ากอดอยู่อย่างนั้น “เนื้อตัวเจ้าซีดมาก ซื่อหยวนไปบอกบ่าวในจวนให้ไปตุ๋นน้ำแกงร้อนๆ ให้หลาน
“คุณหนูตื่นเถอะเจ้าค่ะ คุณหนู!” บัวบูชาได้ยินเสียงปลุกก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิดและเริ่มรำคาญ จะเรียกทำไมหนักหนาเนี่ยะคนจะนอน! ก่อนจะรีบลืมตาขึ้นมาหมายจะด่าคนที่เรียก “อ่าวปิงปิงมานั่งทำไมบนตัวข้า ลงไป!” “แล้วทำไมแต่งชุดเด็กจีนละวันนี้ เป็นกุมารทองต้องแต่งชุดไทย หรือว่าอยากเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัว เอ้า!ข้าบอกให้ลงไป มานั่งอยู่บนตัวข้าแบบนี้มันหนักนะจะบอกให้!” บัวบูชาตาเขียวใส่น้องกุมารปิงปิง ที่ตั้งแต่เธอเกิดมาก็เจอน้องกุมารมาอยู่ที่บ้านเธอแล้ว เพราะพ่อของเธอเป็นพ่อครูร่างทรง แถมยังมีอาชีพเป็นหมอผีคอยปราบวิญญาณร้าย “คุณหนูพวกเราทะลุมิติมาอยู่ในยุคจีนโบราณเจ้าค่ะ” ปิงปิงเด็กน้อยวัยห้าขวบหน้าตาน่ารัก รีบเอ่ยบอกผู้เป็นนายสาว “ตลกละทะลุมิติ เจ้าพูดบ้าอะไร ดูซีรีย์กับแม่พี่บ่อยละสิ อินมากปะ?” บัวบูชายังคงนอนพูดเล่นกับน้องกุมารปิงปิง เพราะไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริง “หากทะลุมิติมาจริงๆ แล้วเกิดอะไรขึ้น?” “ก็เรือนของท่านถูกไฟไหม้ ข้าคิดว่าอาจมีคนไม่พอใจ ที่พ่อช่วยปราบวิญญาณร้ายให้กับชาวบ้านที่เดือดร้อน ก็คงเป็นเจ้าของที่ดินที่ชาวบ้านอาศัยอยู่นั่นแหละเจ้าค่ะ อยากขับไล่คนให้ย้ายด้วยการใช้วิญญาณผ