LOGINว่านชิงอีเดินตามเขาออกมาพร้อมกับเสี่ยวหม่านและปิงปิง ที่ยามนี้งงกับสถานการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาสองคนพานางเดินไปที่ลับตาคน ก่อนจะหันกลับมามองนางอย่างพิจารณา สายตาคมกริบดั่งใบมีดจ้องมองนางอย่างจับผิด
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาเตี๊ยมกันมา?” ว่านชิงอีรีบนึกหาคำพูดว่าควรจะตอบอย่างไรดี แต่จู่ๆ ดาบก็พาดมาบนคอ ว่านชิงอีตกใจแทบสิ้นสติ นึกหาคำพูดไม่ออกเลยทีนี้เพราะหวาดกลัวสุดขีด “ข้ายังเป็นเด็กก็พูดไปเรื่อยเปื่อยท่านอย่าได้ถือสาเลยเจ้าค่ะ” ว่านชิงอีรีบพูดออกไปใบหน้าซีดเผือด เสี่ยวหมานเองก็หวาดกลัวจนไม่กล้าส่งเสียง แม้จะเป็นห่วงนางมากก็ตาม “แล้วที่เจ้าพูดว่าสามารถมองเห็นวิญญาณ อันนั้นก็พูดไปเรื่อยเปื่อยอีกสินะ” บุรุษหน้าหล่อแต่ดูอำมหิตอีกคนถามขึ้น แล้วจะให้นางตอบอย่างไรดีละ “ชะ..ใช่เจ้าค่ะ” ว่านชิงอีก้มหน้าเอ่ยตอบเสียงอุบอิบ เจินจางเหว่ยแค่นยิ้มมุมปากกับความไร้สาระของนาง “ข้าเกลียดคนชอบโกหกและพูดเล่นไปเรื่อย ข้าจะให้โอกาสเจ้าตอบอีกครั้ง” คราวนี้นำ้เสียงเขาดูเยียบเย็นมากจนนางขนลุก “ข้าเห็นวิญญาณจริงๆ เจ้าค่ะ” คราวนี้ว่านชิงอีรีบตอบเร็วปรือ “พิสูจน์สิ” เจินซีห่าวเอ่ยบอกนางน้ำเสียงกดดัน ว่านชิงอีเริ่มรู้สึกโมโหขึ้นมาและรำคาญกับบุรุษสองคนนี้ หน้าตาดีหล่อเหล่าแล้วอย่างไร นางไม่มีทางให้มารังแกได้ง่ายๆ หรอกนะ แต่ว่าก็ได้เพียงแค่คิด . “แล้วจะให้ข้าพิสูจน์อย่างไร ตอนนี้ข้ายังไม่เห็นวิญญาณใครเลย” “ข้าจะพาเจ้าไปที่หนึ่ง ให้คนของเจ้าไปแจ้งคนที่จวนว่า เจ้าไปกับข้าเหว่ยอ๋อง แล้วข้าจะมาส่งเจ้าเอง” ว่านชิงอีได้ยินก็ตกใจ คนคนนี้คือเหว่ยอ๋องเป็นเชื้อพระวงศ์หรอกหรือ แต่ทำไมดูโหดเหี้ยมและป่าเถื่อน เหมือนไม่ใช่เชื้อพระวงศ์เอาเสียเลย ว่านชิงอีพยักหน้าให้กับเสี่ยวหมาน ก่อนจะตามเขาสองคนไปขึ้นรถม้า พอขึ้นมาบนรถม้าเขาสองคนก็ยกแขนขึ้นกอดอกแล้วหลับตา ว่านชิงอีจึงแอบสนทนากับปิงปิงทางจิต “เจ้าว่าเขาจะพาข้าไปไหน?” “น่าจะพาไปพิสูจน์เรื่องวิญญาณนะเจ้าค่ะ” “แต่ว่าข้าจะทำได้หรือปิงปิงเจ้าต้องช่วยข้านะข้าเปิดเนตรแล้วแต่ก็ยังมองไม่เห็นวิญญาณ ต้องโทษปากข้าที่พาซวย” ว่านชิงอีเริ่มหวาดวิตก จะทำอย่างไรดีหากนางมองไม่เห็นชีวิตนางจบแน่ “อย่าเพิ่งตีโพยตีพายไปเลยเจ้าค่ะ ท่านอาจมองเห็นก็อาจเป็นได้” ปิงปิงรีบให้กำลังใจ ว่านชิงอีถอนใจออกมาหลายต่อหลายครั้ง จนสองบุรุษเริ่มรำคาญ “เจ้าจะถอนใจทำไมหนักหนา ข้าเริ่มรำคาญเจ้าเต็มที หากไม่อยากตายก็อยู่เงียบๆ” จบประโยคว่านชิงอีแทบกลั้นหายใจ วันนี้นางจะรอดหรือไม่ ความรู้สึกของนางในรถม้า ช่างยาวนานชั่วกัปชั่วกัลป์เมื่อไหร่จะถึงสักที และแล้วรถม้าก็ได้หยุดลง นางถึงถอนใจอีกครั้งอย่างโล่งอก ว่านชิงอีรีบลงจากรถม้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าออก เพราะในรถม้านางแทบไม่กล้าหายใจ เจินจางเหว่ยและเจินซีห่าวมองนางอย่างเฉยชา ก่อนเหว่ยอ๋องจะบอกให้นางเดินตามเขาไป ว่านชิงอีเดินตามเขาสองคนจนมาถึงห้องๆ หนึ่ง หน้าห้องมีทหารองค์รักษ์เฝ้าอยู่อย่างแน่นหนา พอเขามาถึงองครักษ์ก็รีบเปิดประตูให้ทันที เหว่ยอ๋องเดินเข้าไปที่เตียง ที่มีชายผู้หนึ่งนอนอยู่ และมีสตรีใบหน้างดงามผู้หนึ่งนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง และมีหมออีกสองคนคอยดูอาการ “อาการของเสด็จพ่อเป็นอย่างไรบ้าง” ? “ยังไม่ดีขึ้นเลยพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงเอ่ยตอบอย่างเป็นกังวล เหว่ยอ๋องหันมามองว่านชิงอี “เจ้าเห็นอะไรบ้างในห้องนี้ ตอบตามความจริง” เขาเน้นย้ำว่านางห้ามโกหก ว่านชิงอีกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะหันไปมองปิงปิง “บอกไปตามที่คุณหนูเห็นก็ได้แล้ว” ปิงปิงเอ่ยขึ้น ว่านชิงอีจึงมองไปรอบๆ ห้องก่อนจะพูดไปตามที่เห็น “ท่านอ๋องสตรีที่นั่งข้างเตียงเป็นใครหรือเพคะนางดูเป็นห่วงคนผู้นั้นมากเลยเพคะ” พอนางพูดจบ ภายในห้องก็เงียบกริบ เหว่ยอ๋องหันไปสบตากับเจินซีห่าว นี่นางมองเห็นเสด็จแม่จริงๆ หรือ ถ้าเช่นนั้นสิ่งที่เสด็จพอละเมอพูดกับเสด็จแม่ก็เป็นเรื่องจริง “เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ได้พูดไปเรื่อย” “หม่อมฉันพูดความจริงไม่โกหกแน่นอนเพคะ” วิญญาณพระสนมกุ้ยเฟยพอรู้ว่า ว่านชิงอีมองเห็นวิญญาณของนาง ก็รีบลุกขึ้นมาแล้วเดินมาจับมือของว่านชิงอี “เจ้ามองเห็นข้ารึ?” ว่านชิงอีพยักหน้าเพราะไม่รู้ว่านางเป็นใคร “เจ้าช่วยบอกกับเหว่ยอ๋องให้ข้าที ว่าข้าพระสนมกุ้ยเฟยมารดาของเขายืนอยู่ตรงนี้” นางกล่าวจบน้ำตาก็ไหลอาบแก้มราวทำนบแตก “ท่านอ๋องพระสนมกุ้ยเฟยให้หม่อมฉันบอกกับพระองค์ว่า พระนางยืนอยู่ตรงนี้” เหว่ยอ๋องได้ยินเช่นนั้นดวงตาก็แดงก่ำ “เสด็จแม่” สุดท้ายว่านชิงอีก็ต้องกลายเป็นล่ามให้กับคนและวิญญาณ เพราะพระสนมมีเรื่องมากมายที่อยากจะพูดกับเหว่ยอ๋อง เลยกลายเป็นว่านางต้องมารับรู้เรื่องราวของเชื้อพระวงศ์ เรื่องราวที่นางไม่สมควรได้รับรู้ เพราะนางเป็นใครก็ไม่รู้ ยิ่งเป็นล่ามนานขึ้นเท่าใด ชีวิตของนางก็เหมือนจะสั้นลงเรื่อยๆ ความรู้สึกของนางยามนี้ ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือว่าร้องไห้ดี “เจ้าไม่ต้องกังวลว่าสิ่งที่เจ้าได้รับรู้วันนี้ จะทำให้เจ้าได้รับอันตราย บอกเขาไปว่าข้าบอกให้เขาคอยดูแลเจ้า” “ให้บอกท่านอ๋องว่า พระสนมบอกท่านอ๋องให้คอยดูแลหม่อมฉันหรือเพคะ! หม่อมฉันว่าคงไม่เหมาะ” ว่านชิงอีรีบปฎิเสธทันที ถึงแม้เขาจะหล่อเหล่าแต่ว่าดูโหดเหี้ยมมากเลย เหว่ยอ๋องหรี่ตามองนาง ที่นั่งสนทนากับวิญญาณมารดาของเขาอย่างจับผิด นางเสแสร้งเก่งหรือว่านี่คือเรื่องจริงกันนะ เขายังไม่อยากปักใจเชื่อ “เหตุใดข้าถึงไม่เห็นนาง?” เขาถามขึ้น “พระองค์อยากเห็นพระสนมหรือเพคะ” “อืม” เขาพยักหน้า ว่านชิงอีจึงลองจับมือพระสนมและจับมือเขา โดยใช้นางเป็นตัวเชื่อม และแล้วเขาก็เห็นมารดาขึ้นมาจริงๆ ว่านชิงอีคิดว่าที่จริงนางน่าจะลองใช้วิธีนี้ตั้งแต่ตอนแรก เสียเวลาให้นางเป็นล่ามตั้งนาน จากนั้นพวกเขาคุยกันนางก็นั่งฟัง จนตาก็เริ่มปรือเพราะง่วงจนนั่งหลับสัปหงก พระสนมมองนางอย่างเอ็นดู “เจ้าชื่อว่าอะไร? “เพคะ” ว่านชิงอีสะดุ้งตื่นจากอาการเคลิ้มหลับ เมื่อพระสนมเอ่ยถามขึ้นมา “หม่อมฉันนามว่าว่านชิงอีเพคะ” “ข้าอยากให้เจ้าลองใช้วิธีนี้กับฝ่าบาทดูหน่อย” “คนนี้คือฝ่าบาทหมายถึงฮ่องเต้หรือเพคะ?” พระสนมกุ้ยเฟยหลุดหัวเราะออกมาอย่างเอ็นดูกับความใสซื่อของนาง ว่านชิงอีจึงเอื้อมมือไปจับมือของฮ่องเต้ แต่ทันใดนั้นภาพเหตุการณ์ ต่างๆ ก่อนหน้านี้ที่เกิดขึ้นกับฮ่องเต้ ก็ทำเอานางตกใจ เหตุใดนางจะต้องมารับรู้และเห็นเรื่องราวของราชวงศ์ นางไม่อยากอายุสั้น พระสนมกุ้ยเฟยและเหว่ยอ๋องที่เห็นท่าทางของนาง ก็นึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น “เป็นอะไร” เขาเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เอ่อ..หม่อมฉันเห็น เหมือนจะเป็นขันทีข้างกายฝ่าบาท คิดไม่ซื่อวางยาฝ่าบาทเพคะ” “เจ้าว่าอย่างไรนะ! แล้วเหตุใดหมอหลวงถึงตรวจไม่พบเจ้าพูดบ้าอะไรกัน!” เหว่ยอ๋องหลุดบันดาลโทสะคว้าดาบจ่อไปที่ลำคอของนาง แต่เจินซีห่าวรีบเข้ามาขวางไว้ทันที ว่านชิงอีตกใจแทบสิ้นสติหวาดกลัวสุดขีด นำ้ตาคลอเบ้าด้วยความหวาดกลัว คนคนนี้บ้าไปแล้วต่อไปนางจะอยู่ให้ห่างจากเขา อีพรี่ใจเย็นคะ!น้องตกใจกลัวหมดแล้วแล้ววันที่เหว่ยอ๋องรอคอยก็มาถึง วันนี้เขาแต่งอาภรณ์สีแดงได้อย่างหล่อเหล่าและสง่างาม ตามมาด้วยเกี้ยวแปดคนหามเพื่อมารับเจ้าสาว และขบวนสินสอดที่ยาวเป็นทาง ผู้คนมายืนรอชมกันอย่างเนืองแน่นพอมาถึงจวนสกุลว่าน เสนาว่านจื่อหยวนและฮูหยินว่านซูอวี้ ก็ช่วยประคองว่านชิงอีออกมาส่งที่หน้าประตูจวน เหว่ยอ๋องกระโดดลงจากหลังม้า เพื่อมารับนางให้ขึ้นเกี้ยว เสนาว่านจับมือของว่านชิงอี วางลงบนมือของเหว่ยอ๋อง ด้วยใจที่ปลาบปลื้มปิติยินดีจนน้ำตาไหล ว่านชิงอีก้าวขึ้นเกี้ยวด้วยความตื่นเต้นยินดี สุดท้ายเขากับนางก็ได้แต่งงานกัน บุรุษที่นางจะฝากชีวิตไว้ด้วยตลอดชีวิตสินเจ้าสาวที่แต่งออกก็มากมายไม่ต่างกับสินเจ้าบ่าว ผู้คนต่างกล่าวชื่นชมถึงความเหมาะสม บางคนก็ยังกล่าวอย่างมีอคติว่า ตำแหน่งชายาอ๋องนั้นไม่คู่ควรกับนาง ว่านชิงอีนั่งฟังในเกี้ยวอย่างไม่ใส่ใจ พวกเขาจะพูดอย่างไรก็ช่าง อย่างไรนางก็ได้แต่งกับเขาอยู่ดี บุรุษผู้นี้เป็นของข้าผู้เดียว ว่านชิงอีระบายยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อมาถึงจวนของเหว่ยอ๋อง เขาก็เดินมายื่นมือให้นางจับเพื่อเดินเข้าไปในจวน เพื่อเริ่มพิธีการตามประเพณี วันนี้ฮ่องเต้มาร่วมงานด้วยตัวเอง และองค์รัชทายา
ว่านชิงอีและเหว่ยอ๋องรีบเร่งมาที่เหมืองหลวงอย่างเร่งรีบ แต่ก็ต้องชะงักกับภาพตรงหน้า เมื่อมีทหารหลายพันนายยืนรออยู่หน้าประตูเมือง แต่ที่ทำให้ว่านชิงอีใจกระตุกจนใจเจ็บ เมื่อร่างที่ถูกจับมัดห้อยไว้บนกำแพงเมืองนั้น คือคนในครอบครัวของนาง ว่านจื่อหยวน ว่านซูอวี้ ว่านชิงหลิน ว่านชิงหลาน เหนือขึ้นไปมีบนกำแพงเมือง มีร่างของฮ่องเต้ถูกจับมัดไว้เช่นกัน เหว่ยอ๋องโกรธจนดวงตาแดงก่ำ สองมือกำแน่นกับอารมณ์ที่ปะทุภายในใจ ฮองเฮาและรัชทายาทก้าวออกมา ปรายตาลงมองด้านล่าง ที่มีเหว่ยอ๋องและว่านชิงอี นั่งอยู่บนหลังม้า สายตาที่มองมานั้นเย็นชาและเย้ยหยัน รัชทายาทเฟยหยาง ภายในใจเจ็บปวดไม่แพ้กัน กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อก่อนเขาเคยมีความคิดอยากขึ้นครองบัลลังก์ แต่หลังจากได้รู้จักว่านชิงอี ได้ทำงานร่วมกันกับ เหว่ยอ๋องและองค์ชายซีห่าว ความคิดของเขาก็เปลี่ยนไป แต่ว่าทุกอย่างมันไม่ง่าย เมื่อขึ้นบนหลังเสือก็ยากที่จะลง มารดาของเขานั้นก็คือฮองเฮา วางแผนร่วมมือกับตระกูลโจวมาตั้งแต่ต้น อีกทั้งดึงสามตระกูลขุนนางมาร่วมด้วย แลกกับผลประโยชน์มากมาย เมื่อเขาขึ้นครองราชย์ อำนาจทุกอย่างก็จะตกเป็นของฮองเฮาและตระกูลโจว และอ
ทางด้านองค์ชายซีห่าว ยามนี้กำลังต่อสู้กับคนร้ายอย่างดุเดือด เขาไม่คาดคิดว่าจะมีคนร้าย มาดักรอเพื่อฆ่าเขามากขนาดนี้ องครักษ์ที่เขาพามาด้วยสิบคน ก็พยายามต่อสู้และปกป้องเขาอย่างสุดความสามารถ แต่นักฆ่าที่มาดักรอก็มีจำนวนไม่น้อย ทำให้ฝ่ายขององค์ชายซีห่าวเสียเปรียบพลาดท่าเสียที ได้รับบาดเจ็บกันอย่างสาหัส เรี่ยวแรงก็เริ่มถดถอย เพราะต่อสู้กันมาได้สักพัก องครักษ์ทั้งสิบยามนี้ เลือดอาบไปทั่วทั้งร่างแต่ก็สู้ไม่ถอย เพื่อปกป้องชีวิตขององค์ชาย องค์ชายซีห่าวเองก็ถูกดาบฟันที่แขนเลือดอาบเช่นกัน แต่เขาก็คิดว่าแผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากเทียบกับพวกเขาที่ีมีแผลเต็มตัว องค์ชายซีห่าวมององครักษ์ด้วยความซาบซึ้งใจ พวกเขายอมต่อสู้แลกชีวิตเพื่อปกป้องเขา บุญคุณครั้งนี้เขาไม่มีทางลืมได้อย่างแน่นอน แต่เขาจะไม่ยอมหลบอยู่ข้างหลังแบบนี้ ยามนี้พวกเขาเริ่มอ่อนแรง เขาจะต้องปกป้องชีวิตพวกเขา “พระองค์จะทำอะไรพ่ะย่ะค่ะ?” หนึ่งในองครักษ์เดาความคิดของเขาได้เป็นอย่างดี จึงรีบเอ่ยทักเขาเอาไว้ “อย่าแม้แต่จะคิดพ่ะย่ะค่ะ ถึงพวกกระหม่อมจะตาย ก็ต้องปกป้องชีวิตองค์ชายให้ได้พ่ะย่ะค่ะ” เจินซีห่าวได้ฟังก็ถึงกับพูดไม่ออก ในความจงร
ว่านชิงอีมองเหว่ยอ๋องกับองครักษ์ ที่พากันไปหาฟืนแล้วแบกกลับมาอย่างเอ็นดู ไม่อยากเชื่อว่าจะเห็นมุมนี้ของเขา เมื่อก่อนเขาดูเงียบขรึมและเย็นชา แต่ทว่าเดี๋ยวนี้เขากลับดูอ่อนโยน และเริ่มเป็นกันเองกับคนใต้บังคับบัญชามากขึ้น ที่จริงก็ใช้ว่าคนเราจะเปลี่ยนแปลงตนเองไม่ได้ หากมีแรงจูงใจที่มากพอและคิดอยากจะเปลี่ยนแปลงมัน นางคิดว่าความรักก็มีส่วนทำให้คนอ่อนโยนลงได้ เพราะหากเรารักใครสักคน เราก็พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อคนที่เรารัก ว่านชิงอีและฮุ่ยเจียงช่วยกันทำอาหาร อย่างสนุกสนาน ว่านชิงอีเริ่มสังเกตว่าองครักษ์สาวข้างกาย ช่วงนี้เริ่มทำตัวเหมือนสตรีขึ้นมาบ้าง อย่างเช่นเรื่องการแต่งกาย เมื่อก่อนนางทำตัวคล้ายกับบุรุษทุกอย่าง ยามนี้เสื้อผ้าอาภรณ์เปลี่ยนเป็นสวมใส่ดั่งสตรีทั่วไป ว่านชิงอีหรี่ตามองฮุ่ยเจียงอย่างจับผิด หรือว่านางจะมีความรัก ใครกันนะ? หรือว่า? “ฮุ่ยเจียงเจ้าดูสิ อู่ถงแบกฟืนกองใหญ่ขนาดนั้น เดี๋ยวก็ปวดหลังเอาได้หรอก สงสัยจะทำอวดสาว ๆ แถวนี้” ว่านชิงอีแกล้งพูดออกไปแต่ว่าก็ได้ผล แก้มของฮุ่ยเจียงขึ้นสีแดงระเรื่อขึ้นมาทันที ว่านชิงอียกยิ้มหากทั้งสองชอบพอกัน นางก็พร้อมสนับสนุน ความรักเป็น
วันรุ่งขึ้นเหว่ยอ๋องก็มารับว่านชิงอีที่จวน การไปในครั้งนี้นางและเหว่ยอ๋อง ไปในฐานะพ่อค้าที่ต้องเดินทางไปทั่วแคว้น การแต่งกายจึงต้องเหมือนคนธรรมดาทั่วไปคือเรียบ ๆ ไร้สีสันใด ๆ องครักษ์ที่นำไปด้วยก็แต่งกายเหมือนบ่าวรับใช้ บนเกวียนว่านชิงนำสิ่งของเครื่องใช้ใส่ไปมากพอสมควร เพราะนางไม่รู้ว่าจะไปกี่วัน นางจึงบอกให้องครักษ์เตรียมผ้าห่ม และผ้าสำหรับกางกระโจม หากว่าต้องได้นอนตามป่าเขาจะได้ไม่ยุ่งยาก ว่านชิงอีรู้สึกตื่นเต้นและดีใจมากกับการเดินทางครั้งนี้ เพราะเหมือนกับว่านางจะได้ไปท่องเที่ยวเดินป่า และนอนตามป่าเขา ซึ่งในยุคก่อนเป็นสิ่งที่นางใฝ่ฝันและอยากจะทำสักครั้ง ไม่อยากเชื่อว่าพอได้ทำขึ้นมาจริง ๆ กลับเป็นคนละยุคกัน ภูเขาตงซานหากเดินทางจริง ๆ จะใช้เวลาหนึ่งวันเต็ม ๆ แต่ว่าว่านชิงอีอยากใช้เวลาท่องเที่ยวไปด้วย ซึ่งเหว่ยอ๋องก็เห็นด้วย ดีเหมือนกันเขากับนางจะได้ใช้เวลาร่วมกันบ้าง เพราะส่วนใหญ่เจอกันที่สำนักงาน ก็มีคุยกันบ้างแต่ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับเรื่องงานเสียมากกว่า พอรถม้าพ้นเขตเมืองหลวง ก็เป็นไร่นาเรือกสวนของชาวบ้าน ต้นไม้ปกคลุมเขียวขจีไปทั่วบริเวณ ว่านชิงอีเปิดม่านหน้าต่างรถม้า มองธรรมชา
เหว่ยอ๋องก้าวเดินลงไปหาชายนักบวชที่ถูกผูกติดไว้กับเสา จากนั้นเขาก็เดินเลือกว่าจะใช้อุปกรณ์สอบสวนอันใดเป็นสิ่งแรก ผู้คนมองตามทุกอิริยาบถของเหว่ยอ๋องอย่างลุ้นระทึก และหวาดหวั่นกับท่าทางเย็นชาของเขา ก่อนที่เขาจะหยิบตะขอ ที่มีปลายแหลมคมขึ้นมา จากนั้นก็ให้ทหารมาจับเขาอ้าปาก เขาปรายตามองกลุ่มคนที่เป็นนักพรตก็แสยะยิ้ม ก่อนจะเอ่ยถามชายนักบวชตรงหน้า แต่ว่าก็มีเอ่ยถามขึ้นมาก่อนด้วยความสงสัย “ทูลท่านอ๋องเหตุใดต้องสอบปากคำเขาด้วยละพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อคำทำนายของเขา กล่าวได้ดี และคล้ายกับท่านโหรหลวงทำนายทุกอย่าง และไม่มีคำกล่าวร้ายต่อท่านหญิงเลยพ่ะย่ะค่ะ?” เหว่ยอ๋องยกยิ้ม “เจ้าพูดถูกทหารไปจับท่านนักพรตมามัดอีกคน ข้าจะไต่สวนพร้อมกัน” คราวนี้ทุกคนยิ่งไม่เข้าใจ กับการกระทำของเหว่ยอ๋อง ในเมื่อชายที่เป็นนักบวช ทำนายออกมาได้ดี แล้วเหตุใดยังคงต้องสอบสวน เขาจะไร้เหตุผลเกินไปหรือไม่ เหว่ยอ๋องเหลือบตามองทหารที่จับนักพรตมามัดไว้กับเสา คู่กันกับชายนักบวช ก่อนจะวางตะขอในมือลง แล้วหยิบกระบี่ยาวเฟื้อยขึ้นมา ก่อนจะจับกระบี่ลากไปกับพื้นอย่างช้า ๆ พร้อมกับเอ่ยถามนักบวชที่ถูกมัดอยู่กับเสา “ท่านนักบวชคำทำนายของท่านไม







