วันต่อมาว่านชิงหลินและว่านชิงหลาน ก็มาหาว่านชิงอีที่เรือน เพราะเรื่องที่นางสามารถรักษาดวงตาของเสี่ยวหมาน ทำให้ทั้งสองคลางแคลงมาก เมื่อมาถึงก็เห็นว่านชิงอีเตรียมตัวจะออกไปข้างนอก การแต่งเนื้อแต่งตัวก็เปลี่ยนไปจากเดิม ผมของนางเพียงแค่ม้วนเป็นก้อนกลมๆ ตรงกลางศีรษะแล้วปักปิ่นเรียบๆ ชุดที่นางสวมใส่ของเรียบๆ ไร้สีสันเหมือนแต่ก่อน
“นี่เจ้าเตรียมตัวจะออกไปข้างนอกหรือ?” ชิงหลินเอ่ยถามขึ้น “เจ้าค่ะพี่ใหญ่จะไปด้วยกันหรือไม่? ข้าอยากไปเดินเที่ยวตลาดและอยากซื้ออะไรมาทำกินด้วย” “ฮึ!นิสัยเจ้าก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลยสักนิดวันๆ เอาแต่เที่ยวเล่นและใช้เงินทองอย่างสุรุ่ยสุร่าย เป็นนิสัยที่เจ้าทำอยู่เป็นประจำ เจ้ารู้หรือไม่ยามนี้จวนของเราใกล้จะถังแตกอยู่แล้ว ทุกอย่างมันเป็นเพราะเจ้า!” ว่านชิงหลานเอ่ยอย่างโกรธเคือง กับนิสัยของว่านชิงอีที่แก้ไม่หาย “ชิงหลานเจ้าใจเย็นก่อนเถิด” ชิงหลินรีบเอ่ยปราม ว่านชิงอีทำหน้างงเพราะนางไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน “ข้าหรือ?” ว่านชิงอีชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง “ก็ใช่นะสิ ตั้งแต่เจ้าเกิดมาท่านพ่อ ท่านย่า ก็ดูแลเจ้าอย่างกับองค์หญิง เรือนของเจ้าก็สั่งให้ปลูกแบบพิเศษ เสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องประดับก็ขนซื้อให้เจ้า ยามเจ้าเจ็บป่วยก็เสาะหาหมอดีๆ มารักษา หมดเงินหมดทองไปไม่รู้เท่าไหร่ พอเจ้าฟื้นหายดีสิ่งแรกที่เจ้าทำคิดจะทำคือออกไปใช้เงิน ข้าละยอมใจคนนิสัยเช่นเจ้าจริงๆ” ว่านชิงหลานเอ่ยด้วยอารมณ์โมโหและน้อยใจ กับความลำเอียงของบิดาและท่านย่า ว่านชิงอีพอได้ยินก็ถึงกับตัวชาไปทั้งร่าง ท่านพ่อและท่านย่าทำเพื่อนางจนเกิดความลำเอียง ไม่ได้นางต้องรีบแก้ไข สกุลว่านจะถังแตกเพราะนางไม่ได้! ปึก!ว่านชิงอีคุกเข่าลงกับพื้นอีกครั้ง “พี่หญิงใหญ่ พี่หญิงรอง ข้าขอโทษกับสิ่งที่ผ่านมา วันนี้ข้าคิดได้แล้วและจะรีบแก้ไขเรื่องนี้ ไม่ให้ครอบครัวสกุลว่าน ต้องประสบพบกับความเดือดร้อนแน่นอนเจ้าค่ะ ข้าอยากให้ท่านพี่ทั้งสองเชื่อใจและให้โอกาศข้าสักครั้ง” ว่านชิงหลินและว่านชิงหลานมองนางอย่างชั่งใจ ก่อนจะมองหน้ากันและตัดสินใจ “ได้ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง” “ขอบคุณเจ้าค่ะ” ว่านชิงอีรีบลุกขึ้นมาจับมือของพี่สาวทั้งสองด้วยความดีใจ “เช่นนั้นพี่ใหญ่พี่รองมาคุยกับข้าก่อนเถิดเจ้าค่ะ เรื่องนี้ข้าคิดว่าเราต้องช่วยกันคิด” ว่านชิงอีจูงมือพี่สาวทั้งสองไปนั่งที่โต๊ะกลางห้อง ก่อนจะรินชาให้อย่างเอาใจ จากนั้นว่านชิงอีก็นั่งลง และเริ่มพูดคุยเรื่องราวอย่างจริงจัง “ยามนี้ทรัพย์สินที่ข้ามี ข้าจะยกให้เป็นกองกลาง เครื่องประดับมากมายข้าก็ไม่ต้องการ ยกเป็นกองกลางทั้งหมด ท่านจะว่าอย่างไร?” “เรื่องนี้ข้ากลัวว่าท่านพ่อกับท่านย่าจะไม่เห็นด้วย” ว่านชิงหลินรู้จักนิสัยบิดาและท่านย่าดีว่าเป็นอย่างไร “ไว้เป็นหน้าที่ข้าเองเจ้าค่ะ” “แล้วเจ้าจะยังออกไปเดินตลาดอีกหรือไม่?” ว่านชิงหลานถามขึ้น “ไปเจ้าค่ะข้าต้องออกไปสำรวจตลาด เพื่อจะได้มีช่องทางหาเงินเจ้าค่ะ” “แค่ไปเดินตลาดเจ้าก็รู้วิธีหาเงินแล้วหรือ?” ว่านชิงหลินมองนางอย่างแปลกใจ ฟื้นกลับมาชีวิตคราวนี้นางเปลี่ยนไปมากจริงๆ “ข้าก็ยังไม่รู้ว่าจะมีวิธีหาเงินได้หรือไม่ แต่ก็ต้องไปเดินสำรวจดูก่อน ท่านพี่จะไปกับข้าหรือไม่เจ้าคะ?” ว่านชิงอีถามขึ้นอีกครั้ง “ได้ข้าจะไปกับเจ้า” ใช้เวลาไม่นานรถม้าสกุลว่านก็มาถึงตลาด เสียงผู้คนคุยกันตามท้องถนน และแม่ค้าพ่อค้าตะโกนขายของกันเซ็งแซ่ ว่านชิงอีบอกให้คนขับรถม้า นำรถม้าไปจอดที่จุดพักม้า ก่อนจะพาว่านชิงหลินและว่านชิงหลาน เดินชมตลาดกันอย่างสนุกสนาน ว่านชิงหลินและว่านชิงหลานไม่เคยคิดเลยว่า จริงๆ แล้วว่านชิงอีก็เป็นน้องสาวที่น่ารักผู้หนึ่ง ก่อนหน้านี้นางทำตัวสูงส่ง ไม่เข้าใกล้และสุงสิงกับพวกนางเลยแม้แต่น้อย แต่พอวันนี้ได้มาสัมผัสจริงๆ กลับทำให้รู้ว่าเข้ากันได้ดีทีเดียว “พี่หญิงเราแวะหาอะไรกินกันดีหรือไม่ จากนั้นเราค่อยหาซื้ออะไรกลับไปทำกินกันที่จวน” “ตามใจเจ้าเลยเพราะว่าวันนี้เจ้าเป็นคนจ่าย” ว่านชิงหลินเอ่ยยิ้มๆ “ได้อยู่แล้ว” ว่านชิงอีรู้สึกเบิกบานใจยิ่งนัก ที่สามารถทำให้พี่สาวทั้งสองลดความบาดหมางในใจลงได้ ก่อนว่านชิงอีจะเห็นร้านข้างทางร้านหนึ่ง ที่แทบไม่มีลูกค้ามานั่งกินเลย เพราะตรงข้ามเป็นร้านภัตตาคารร้านอาหารใหญ่โต ผู้คนดูแล้วให้ความสนใจกับความหรูหรามากกว่า แต่ว่าว่านชิงอีชอบนั่งร้านข้างทางเพราะชอบบรรยากาศ มองเห็นผู้คนเดินกันไปมาเพลิดเพลินดี ทั้งสามพากันนั่งที่โต๊ะตัวหนึ่ง ก่อนเจ้าของร้านจะรีบมาบริการด้วยความดีใจ เพราะวันนี้แทบไม่มีลูกค้ามานั่งร้านเขาเลย “เอาบะหมี่สามชามเจ้าค่ะ” ว่านชิงอีบอกกับพ่อค้า “ได้ขอรับ” ผ่านไปซักพักพ่อค้าก็ยกบะหมี่มาวางที่โต๊ะ ว่านชิงอีมองบะหมี่ตรงหน้าด้วยความพอใจ กลิ่นของบะหมี่และน้ำซุปหอมกรุ่น เสียดายที่ไม่ค่อยมีลูกค้า ระหว่างนั่งกินอยู่นั้น โต๊ะข้างๆ ก็เริ่มพูดคุยกัน แต่ว่านชิงอีก็ต้องสะดุดเพราะพวกเขาพูดถึงนาง “เจ้าได้ข่าวหรือไม่ว่าคุณหนูสามสกุลว่านตายไปแล้ว แต่อยู่ๆ ก็ฟื้นขึ้นมา ข้าได้ยินแล้วขนลุกเลย” ชายคนนั้นพูดแล้วก็ทำท่าขนลุก “ข้าได้ยินสิข่าวนี้คนพูดถึงกันทั้งเมือง คนไปงานศพพากันวิ่งหนีกระเจิงเลย” “แต่คนก็พากันพูดอีกนะว่า เป็นเพราะนางมีนิสัยที่ไม่ดี นรกก็เลยไม่กล้ารับนางไว้อะนะ” “อันนี้ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน ว่านางนะร้ายสุดๆ ไปเลย บ่าวไพร่ในจวนต่างพากันหวาดกลัวนางกันหมด” ว่านชิงอีนั่งกินบะหมี่อย่างสบายใจ ดีเหมือนกันถือเสียว่ามานั่งรับฟังข้อมูลของร่างนี้ ว่าคนภายนอกคิดกันยังไง แต่ว่านชิงหลินและว่านชิงหลานกลับรับมันไม่ได้ จะลุกขึ้นไปต่อว่าคนกลุ่มนั้น แต่ว่าว่านชิงอีห้ามไว้เสียก่อน นางไม่สนใจอยู่แล้วเพราะคนที่พวกเขาพูดถึง จากโลกนี้ไปแล้ว แต่อยู่ๆ ก็มีคุณหนูกลุ่มหนึ่งเดินผ่านมาและจำว่านชิงอีได้ นั้นก็คือ ซูโม่หลัน กู้ผิงอัน จางเจียอี พวกนางจำว่านชิงอีได้จึงพากันเดินเข้ามาทัก “คุณหนูสามเหตุใดวันนี้มานั่งกินอาหารริมถนนได้ละ ปกติเจ้ากินแต่อาหารบนโรงเตี๊ยมหรือไม่ก็ภัตตาคาร หรือว่าพอฟื้นขึ้นมาจากความตาย เจ้าก็เลยเห็นความจริงที่ว่า คนที่ถึงคราวจะตาย จะกินอาหารบนยอดไม้หรือกินอาหารบนดิน ก็ตายได้เหมือนกันหมด” ซูโม่หลันกล่าวอย่างเหน็บแนมเย้ยหยัน เพราะนางไม่เคยชอบว่านชิงอีมาแต่ไหนแต่ไร เพราะว่านชิงอีทำตัวสูงส่งเกินใคร และไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา “นี่เจ้า!กล้าดีอย่างไรมาเหน็บแนมน้องสาวข้า” ว่านชิงหลานลุกขึ้นเตรียมเอาเรื่องทันที แต่ว่านชิงอีดึงแขนนางให้นั่งลง ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างสบายๆ “ก็จริงอย่างที่เจ้าพูดข้าตายแล้วฟื้นขึ้นมา ถึงได้รู้ว่ากินอาหารที่ไหนก็เหมือนกัน จึงอยากแนะนำเจ้าบ้างว่าลองตายดูสักครั้ง แล้วเจ้าจะรู้อะไรๆ ขึ้นเยอะเลยละ” “นี่เจ้า!ว่านชิงอีกล้าดีอย่างไรมาแช่งข้า” ซูโม่หลันยามนี้โกรธจนแทบจะเข้าไปกระชากร่างของว่านชิงอี ที่นั่งยิ้มแย้มอย่างไม่ทุกข์ร้อนใดๆ ผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นเมื่อได้ยินก็พากันมามุงล้อมดู เพราะอยากเห็นหน้าว่านชิงอี สตรีตายแล้วฟื้น ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร เพราะว่าชื่อของนางไม่มีใครไม่เคยได้ยินพอกลับมาถึงจวนว่านชิงอีก็บอกให้เสี่ยวหมาน เอาของสดที่ซื้อจากตลาดไปเก็บที่ครัว ก่อนนางและพี่สาวจะพากันเดินไปพบกับมารดาที่เรือน ว่านซูอวี้แปลกใจที่เห็นสามพี่น้องเดินมาพร้อมกัน แถมยังดูสนิทสนมกันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน “คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ” ว่านชิงอีเอ่ยขึ้นเมื่อมาถึง ว่านซูอวี้มองนางด้วยสายตาอ่อนโยน “พวกเจ้าไปไหนกันมาหรือ?” “ไปตลาดมาเจ้าค่ะ ท่านแม่พวกข้ามีเรื่องจะปรึกษากับท่านเจ้าค่ะ” ว่านชิงหลินคุณหนูใหญ่ เริ่มเล่าเรื่องราวที่ได้พูดคุยกันกับว่านชิงอี จนยามนี้เข้าใจกันดีแล้ว แม้กระทั่งเรื่องทรัพย์สินของว่านชิงอี ที่นางยินดีเอาไปเป็นส่วนกลางเพื่อใช้จ่ายภายในครอบครัว แต่พอได้ยินเช่นนั้นว่านซูอวี้กลับกังวลและไม่สบายใจ ฮูหยินผู้เฒ่าและสามีนางต้องไม่พอใจแน่ ว่านชิงอีเห็นสีหน้ามารดาก็เข้าใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ท่านแม่ท่านไม่ต้องกังวล เดี๋ยวข้าจะคุยกับท่านพ่อและท่านย่าเองเจ้าค่ะ ข้ามีวิธีพูดให้ท่านทั้งสองยอมแต่โดยดีเจ้าค่ะ” ว่านชิงอีเอ่ยพร้อมยกยิ้มและทำหน้าเจ้าเล่ห์ “แต่ว่าเงินเหล่านี้อาจจะช่วยสกุลเราไปได้ระยะหนึ่ง ท่านพ่อเงินเดือนก็คงไม่พอ เราต้องหารายได้ทางอื่นเพิ่ม วันนี้ข้าเดินสำรวจตลาดก
วันต่อมาว่านชิงหลินและว่านชิงหลาน ก็มาหาว่านชิงอีที่เรือน เพราะเรื่องที่นางสามารถรักษาดวงตาของเสี่ยวหมาน ทำให้ทั้งสองคลางแคลงมาก เมื่อมาถึงก็เห็นว่านชิงอีเตรียมตัวจะออกไปข้างนอก การแต่งเนื้อแต่งตัวก็เปลี่ยนไปจากเดิม ผมของนางเพียงแค่ม้วนเป็นก้อนกลมๆ ตรงกลางศีรษะแล้วปักปิ่นเรียบๆ ชุดที่นางสวมใส่ของเรียบๆ ไร้สีสันเหมือนแต่ก่อน “นี่เจ้าเตรียมตัวจะออกไปข้างนอกหรือ?” ชิงหลินเอ่ยถามขึ้น “เจ้าค่ะพี่ใหญ่จะไปด้วยกันหรือไม่? ข้าอยากไปเดินเที่ยวตลาดและอยากซื้ออะไรมาทำกินด้วย” “ฮึ!นิสัยเจ้าก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลยสักนิดวันๆ เอาแต่เที่ยวเล่นและใช้เงินทองอย่างสุรุ่ยสุร่าย เป็นนิสัยที่เจ้าทำอยู่เป็นประจำ เจ้ารู้หรือไม่ยามนี้จวนของเราใกล้จะถังแตกอยู่แล้ว ทุกอย่างมันเป็นเพราะเจ้า!” ว่านชิงหลานเอ่ยอย่างโกรธเคือง กับนิสัยของว่านชิงอีที่แก้ไม่หาย “ชิงหลานเจ้าใจเย็นก่อนเถิด” ชิงหลินรีบเอ่ยปราม ว่านชิงอีทำหน้างงเพราะนางไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน “ข้าหรือ?” ว่านชิงอีชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง “ก็ใช่นะสิ ตั้งแต่เจ้าเกิดมาท่านพ่อ ท่านย่า ก็ดูแลเจ้าอย่างกับองค์หญิง เรือนของเจ้าก็สั่งให้ปลูกแบบพิเศษ เสื้อผ้าอาภรณ
ว่านชิงอีหยิบประคำหยกเจ็ดสีออกมาสวมใส่ ก่อนจะรับรู้ถึงพลังบางอย่างไหลเวียนทั่วร่างก่อนจะหายไป จากนั้นนางก็หยิบสิ่งของที่อยู่ในยามออกมา มีข้าวสารเสก สายสิญจน์ ยันต์ มีดอาคม และหนังสือเก่าโบราณเล่มหนึ่ง พอนางเปิดขึ้นมาอ่านตัวอักษรในหนังสือ ก็ลอยมาเข้าตัวนางจนหมด จากนั้นหนังสือก็หายไป “ปิงปิงแปลกมากเลยหนังสือหายไปแล้ว” “ก็ไม่แปลกนี่เจ้าค่ะ ก็ท่านเป็นเทพผู้พิทักษ์ ย่อมมีอะไรเหนือกว่าผู้อื่นอยู่แล้ว” ปิงปิงอธิบายอย่างคล่องแคล่ว แต่จู่ๆ ก็มีบ่าวรับใช้หญิงเดินเข้ามาอย่างกล้าๆ กลัว “คุณหนูสามท่านอยากจะชำระร่างกายเลยหรือไม่ ข้าจะได้เตรียมน้ำเจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้หญิงยืนก้มหน้าเนื้อตัวสั่น ว่านชิงอีสังเกตเห็นว่าดวงตาของนางบอดหนึ่งข้าง จึงลุกเดินเข้าไปหา “เจ้าเงยหน้าขึ้น” บ่าวรับใช้หญิงยิ่งตัวสั่นมากกว่าเดิมเมื่อได้ยินเช่นนั้น “เป็นอะไรตัวสั่นมากขนานนี้กลัวข้าเหรอ?” ว่านชิงอีกล่าวจบก็เอื้อมมือไปสัมผัสตัวนางเพื่อปลอบขวัญ แต่ทันใดภาพต่างๆ ในความทรงจำก็วิ่งแล่นเข้ามา ภาพที่ว่านชิงอีตบหน้าและสาดน้ำแกงใส่หน้าบ่าวรับใช้คนนี้ จนนางตาบอดเพราะน้ำแกงเผ็ดร้อนจากเครื่องเทศ นี่มันอะไรกัน!ร่างนี้ร้ายกาจได
พอเข้ามาในเรือนยังไม่ทันได้นั่ง เสียงเอะอะข้างนอกก็ดังเข้ามา ว่านชิงอีกลอกตามองบนอย่างเบื่อหน่าย นางเพิ่งจะทะลุมิติมาอยู่ในยุคนี้ อยากหาเวลาปรับตัวปรับใจ กับสถานที่อยู่แห่งใหม่ แต่ก็ยังมีคนตามมาวุ่นวาย ให้นางเดาคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากบิดาผู้แสนประเสริฐและท่านย่าผู้แสนใจดี “บุตรสาวสุดที่รักของพ่อ ได้ข่าวว่าเจ้าฟื้นแล้วจริงหรือนี่ ขอบคุณสวรรค์ๆ” ว่านจื่อหยวนพอก้าวเข้ามาเห็นว่านชิงอี ก็รู้สึกดีใจจนบรรยายไม่ถูก จึงรีบคุกเข่าคำนับฟ้าดินและขอบคุณสวรรค์ไม่หยุด เขาเชื่อแล้วว่าคำทำนายของท่านนักพรตเป็นจริง นางตายแล้วฟื้นจะมีใครทำเช่นนี้ได้ หากไม่ใช่คนที่เกิดมาพร้อมบุญญาธิการ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ยิ่งทำให้เขาปักใจเชื่อมากขึ้นเป็นร้อยเท่า ก่อนฮูหยินผู้เฒ่าจะก้าวเข้ามาอีกคน “หลานรักของย่าเจ้าฟื้นจากความตายจริงๆ หรือ มาให้ย่ากอดหน่อย เด็กดีของย่าหมดเคราะห์เสียทีนะ” ฮูหยินผู้เฒ่ากอดว่านชิงอีพร้อมลูบหัวลูบตัวไปมา ด้วยความรักใคร่และเอ็นดู ว่านชิงอีเริ่มทำตัวไม่ถูกอยู่เหมือนกัน ได้แต่ยืนนิ่งปล่อยให้ผู้เป็นย่ากอดอยู่อย่างนั้น “เนื้อตัวเจ้าซีดมาก ซื่อหยวนไปบอกบ่าวในจวนให้ไปตุ๋นน้ำแกงร้อนๆ ให้หลาน
“คุณหนูตื่นเถอะเจ้าค่ะ คุณหนู!” บัวบูชาได้ยินเสียงปลุกก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิดและเริ่มรำคาญ จะเรียกทำไมหนักหนาเนี่ยะคนจะนอน! ก่อนจะรีบลืมตาขึ้นมาหมายจะด่าคนที่เรียก “อ่าวปิงปิงมานั่งทำไมบนตัวข้า ลงไป!” “แล้วทำไมแต่งชุดเด็กจีนละวันนี้ เป็นกุมารทองต้องแต่งชุดไทย หรือว่าอยากเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัว เอ้า!ข้าบอกให้ลงไป มานั่งอยู่บนตัวข้าแบบนี้มันหนักนะจะบอกให้!” บัวบูชาตาเขียวใส่น้องกุมารปิงปิง ที่ตั้งแต่เธอเกิดมาก็เจอน้องกุมารมาอยู่ที่บ้านเธอแล้ว เพราะพ่อของเธอเป็นพ่อครูร่างทรง แถมยังมีอาชีพเป็นหมอผีคอยปราบวิญญาณร้าย “คุณหนูพวกเราทะลุมิติมาอยู่ในยุคจีนโบราณเจ้าค่ะ” ปิงปิงเด็กน้อยวัยห้าขวบหน้าตาน่ารัก รีบเอ่ยบอกผู้เป็นนายสาว “ตลกละทะลุมิติ เจ้าพูดบ้าอะไร ดูซีรีย์กับแม่พี่บ่อยละสิ อินมากปะ?” บัวบูชายังคงนอนพูดเล่นกับน้องกุมารปิงปิง เพราะไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริง “หากทะลุมิติมาจริงๆ แล้วเกิดอะไรขึ้น?” “ก็เรือนของท่านถูกไฟไหม้ ข้าคิดว่าอาจมีคนไม่พอใจ ที่พ่อช่วยปราบวิญญาณร้ายให้กับชาวบ้านที่เดือดร้อน ก็คงเป็นเจ้าของที่ดินที่ชาวบ้านอาศัยอยู่นั่นแหละเจ้าค่ะ อยากขับไล่คนให้ย้ายด้วยการใช้วิญญาณผ