ซูหนี่กินข้าวเสร็จนางก็นำถั่งเช่าออกมาล้างน้ำจนสะอาดแล้วตากให้แห้ง พรุ่งนี้นางจะขึ้นเขาไปเก็บอีกครั้ง นางไม่รู้ว่าในยุคนี้จะหายากเพียงใด ที่ยุคที่นางจากมาราคาถือว่าแพงเช่นเดียวกับโสมและเห็ดหลินจือ หรืออาจมีราคามากกว่าด้วยเพราะโสมกับเห็ดหลินจือในยุคที่พัฒนาแล้วสามารถเพาะปลูกได้
แต่ถั่งเช่าต่างกัน เพราะถั่งเช่าเกิดจากหนอนผีเสื้อที่จำศีลอยู่ใต้หิมะอาศัยกินสปอร์จากเห็ด จนเกิดเส้นใยงอกออกมาจากท้อง เมื่อได้รับแสงจากดวงอาทิตย์เห็ดก็จะงอกออกมาลักษณะคล้ายกิ่งไม้ ส่วนตัวหนอนก็จะค่อยๆแห้งตายไป จึงหาได้ยากกว่าโสมและเห็ดหลินจือ
คงทำได้แต่เพียงนำไปให้โรงหมอประเมินราคาเท่านั้น ยังไงก็ดีกว่าไม่มีเงินในมือเลย เพราะตอนนี้นางจะขยับตัวหรือออกไปสำรวจในตัวเมืองก็ยังทำไม่ได้เลย ค่าเข้าเมืองก็ต้องเสีย หากไม่นั่งเกวียนก็ต้องเดินเท้าเกือบสองชั่วยาม (1ชั่วยาม=2ชั่วโมง)
หมู่บ้านที่นางอยู่ในตอนนี้คือถงเหอ ห่างจากเมืองเซียงซาน สามสิบลี้ (1ลี้=500เมตร) หากเดินเท้าคงใช้เวลาสองชั่วยาม นั่งเกวียนก็เหลือเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น ค่าเกวียนเข้าเมืองก็คนละสองอิแปะ ต้องเสียค่าเข้าเมืองอีกสองอิแปะ เงินทั้งนั้นที่ต้องใช้เมื่อออกจากบ้าน
ชีวิตก่อนไม่ต้องกังวลเรื่องเงินเลย พอมาตอนนี้หายใจเข้าหายใจออกก็อยากจะหาแต่เงิน หากวันใดที่ต้องไปจากที่นี่ก็ต้องมีเงินซื้อเรือนหรือลงทุนเพื่อค้าขาย นางคิดไว้ว่าจะเปิดร้านอาหารเช้าเล็กๆสักร้าน
ซูหนี่อาบน้ำเสร็จนางก็เตรียมตัวเข้านอนเมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้อง เด็กน้อยสองคนนั่งรอนางอยู่ที่บนเตียงพร้อมกับรอยยิ้มหวาน
"ทำไมถึงได้เข้ามาอยู่ในห้องข้าเล่า"
"ท่านแม่คืนนี้ข้าขอนอนกับท่านนะขอรับ" หนิงอันลงจากเตียงมาเกาะขานาง หนิงเฉิงขมวดคิ้วคิดอยู่ก่อนแล้วจึงเดินลงมาทำเช่นเดียวกัน
"ข้าก็จะนอนด้วยขอรับ" นางลูบหัวเด็กน้อยทั้งสอง แต่เรื่องนี้นางตัดสินใจเองไม่ได้ ต้องถามพ่อของเด็กน้อยก่อน
"เอ่ออ บิดาของพวกเจ้ายินยอมแล้วใช่หรือไม่" ทั้งคู่พยักหน้าราวไก่จิก แต่นางยังไม่วางใจจึงเดินออกไปถามเขา
ก๊อก ก๊อก ก๊อก "ขอคุยได้หรือไม่" จ้าวหนิงหลงเดินมาเปิดประตู ซูหนี่ที่ยังไม่ตั้งตัวก็ตกใจจนถอยหลัง เพราะนางไม่ได้ยินเสียงเขาเดินมาเปิดประตูด้วยซ้ำ ตอนที่เขาเปิดประตูออกมานางกับเขาอยู่ใกล้กันเกินไป เขาจ้องหน้านางเหมือนจะสั่งให้พูดออกมา
"เฉิงเออร์กับอันเออร์จะนอนกับข้า เขาบอกท่าน อนุญาตแล้ว"
"อืม" เขาหันหลังเตรียมจะปิดประตูแต่ซูหนี่ดึงไว้เสียก่อน
"จ้าว หนิง หลง ข้ายังมีอีกเรื่องจะบอกท่านว่าข้าจะอยู่ที่นี่อีกเพียงแค่สามวันเท่านั้น หมดเรื่องของข้าแล้ว" นางกัดฟันเน้นย้ำชื่อเขา ซูหนี่หันหลังเดินเข้าห้องของนางไปทันที
นางก็ไม่ได้อยากจะอยู่ในบ้านของคนอื่น ในเมื่อเจ้าบ้านเขาก็ไม่ได้ยินยอมจะให้นางอยู่ ตอนนี้นางมีหนทางให้ไปแล้วนางก็ควรจะรีบจากไปเสีย เพราะการอยู่เช่นนี้ต่างฝ่ายต่างอึดอัดใจกันเปล่าๆ
จ้าวหนิงหลงไม่ได้พูดสิ่งใด แต่เขาก็ยังไม่ได้เขาห้องของตัวเองเช่นกัน เขายืนคิดอยู่หน้าประตูเช่นนั้น ตอนนี้นางทำดีกับบุตรทั้งสองแล้วจนเฉิงเออร์กับอันเออร์ติดนาง หากนางจะจากไปเช่นนี้เขาจะบอกบุตรชายอย่างไร หรือจะให้นางอยู่ต่อ
จ้าวหนิงหลงตกใจกับความคิดของตนเอง เขาคิดออกมาเช่นนี้ได้อย่างไร เป็นตัวเขาที่อยากให้นางจากไปใจจะขาด แล้วนางจะไปก็ดีแล้วมิใช่หรือ จ้าวหนิงหลงปิดประตูห้องเขานั่งลงเพื่อทบทวนตำราเช่นทุกวัน แต่ตอนนี้เขาอ่านไม่รู้เรื่องเลยสักนิด เพราะคำที่นางบอกว่าอีกสามวันจะจากไป
ซูหนี่ปรับอารมณ์แล้วเขาไปในห้องเพื่อพาเด็กแฝดเข้านอน ทั้งคู่ให้นางนอนตรงกลางเพื่อจะได้กอดเขาทั้งสองคนได้ ทุกครั้งหากนางไม่ขึ้นเขาจะนอนกลางวันพร้อมทั้งสองเช่นนี้เสมอ
เด็กทั้งคู่เมื่อฟังนิทานจบได้สองเรื่องก็กอดนางหลับไปแล้ว ยังคงมีเพียงนางที่นอนมองเพดานห้องอย่างเหม่อลอย นางไม่รู้เรื่องในยุคนี้เลย หากออกไปซื้อเรือนแล้วจะขึ้นทะเบียนเรือนเช่นไร นางที่เป็นผู้หญิงอายุสิบเก้าหนาวคนเดียวจะใช้ชีวิตลำพังได้ไหม ร่างนี้พอได้กินของดีขึ้นมาเกือบเดือนก็เริ่มมีเนื้อมีหนัง รูปร่างหน้าตาจึงเหมือนนางจากโลกก่อนอย่างกับคนเดียวกัน
กว่านางจะข่มตาหลับก็เกือบค่อนคืน เช้านางจึงตื่นสายกว่าทุกวัน ซูหนี่รีบเตรียมอาหารเพื่อขึ้นเขาทันที นางพาเด็กทั้งสองล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็ยกอาหารขึ้นโต๊ะ ครั้งนี้จ้าวหนิงหลงรั้งให้นางนั่งกินข้าวด้วยกัน
"ไม่เป็นไร ท่านกินเลย ข้าสายมากแล้วเดี๋ยวจะกลับมาไม่ทันทำอาหารเย็น"
"ท่านแม่นั่งกินข้าวกับพวกข้าก่อนนะขอรับ" หนิงอันเดินเข้ามาจับมือนาง หนิงเฉิงเห็นเช่นนั้นก็ลึกขึ้นมาดึงนางด้วยอีกคน แต่ที่ซูหนี่ไม่รู้เลยคือ จ้าวหนิงหลงส่งสายตาให้เด็กทั้งสองทำเช่นนี้
"ได้ได้ ประเดี๋ยวแม่ไปยกข้าวในครัวมาก่อน" นางรีบไปยกข้าวมาเพื่อที่จะได้รีบกินรีบขึ้นเขา
เมื่อจ้าวหนิงหลงยกตะเกียบทุกคนก็เริ่มลงมือกิน แต่วันนี้กว่าเขาจะยกตะเกียบขึ้นได้นางก็เริ่มจะนั่งไม่ติดแล้ว นางรีบกินอย่างรวดเร็วจนเกือบจะสำลัก จ้าวหนิงหลงรินน้ำส่งให้ซูหนี่
"ค่อยๆกิน เจ้าไม่อายลูกบ้างหรือไร" เขาช่วยตบหลังนางเบาๆ ซูหนี่เกร็งไปทั้งร่างกายนางหันไปถลึงตาใส่เขา นางก้มหน้ากินต่อ โดยยังไม่ทันเห็นว่าจ้าวหนิงหลงยกยิ้มที่มุมปาก แต่ก็เพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้น
ซูหนี่กินหมดนางก็ลุกขึ้นทันที แต่เฉิงเออร์ดึงมือนางไว้
"ท่านแม่ข้าขอไปด้วยได้หรือไม่"
"ไม่ได้" นางส่ายหัวทันทีโดยไม่ต้องคิด
"อันตรายเกินไปวันนี้สายเดินไปแล้ว ไว้วันหน้าแม่จะพาเจ้าไปด้วย อยู่บ้านเป็นเด็กดีนะลูก" นางลูบหัวหนิงเฉิงอย่างปลอบใจ หนิงอันเห็นเช่นนั้นจึงยื่นหัวให้นางลูบด้วย
"วันนี้ข้าจะไปด้วย" จ้าวหนิงหลงพูดขึ้น
"ไม่ได้ แล้วท่านจะปล่อยให้เด็กอยู่บ้านกันสองคนได้อย่างไร"
"เอาไปด้วย" จ้าวหนิงหลงพูดอย่างหน้าตาย ซูหนี่อยากจะกรีดร้อง วันนี้มันเป็นวันอะไรของนาง
"ข้าไม่ไปแล้ว พรุ่งนี้ข้าค่อยไป ยังไงก็ไม่ทันลงจากเขาก่อนมืดแน่" นางเก็บจานชามเข้าไปล้างในครัวอย่างหัวเสีย
จ้าวหนิงหลงมองตามไปอย่างได้ใจ เขารู้ว่านางต้องไปเจอของดีแน่ ไม่เช่นนั้นนางไม่กระตือรือร้นที่จะขึ้นเขาให้ได้ในวันนี้ ถึงจะสายขนาดนี้แล้วนางยังรั้นที่จะขึ้นให้ได้
ซูหนี่เปลี่ยนความคิด นางจะลองนำถั่งเช่าที่มีไปขายเสียก่อน หากได้ราคาดีค่อยไปขุดมาขายใหม่ หากเอาไปขายครั้งละน้อยๆน่าจะได้ราคาที่ดีกว่า นางจึงเดินไปดูถั่งเช่าที่ตากไว้ แดดดีๆพรุ่งนี้ก็คงจะแห้ง
องค์รัชทายาทจ้องมองจ้าวหนิงหลงอย่างขอร้อง จ้าวหนิงหลงถอนหายใจก่อนจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง เขารู้เรื่องเจ้าเมืองหานกับสิ่งที่บุตรสาวของเขาทำแล้ว แต่อยากจะรู้ว่าองค์รัชทายาทจะทำอย่างไร แต่เรื่องที่บุตรสาวของตนเสียใจเป็นเรื่องจริง บิดาอย่างเขาทนเห็นไม่ได้เขาเลี้ยงนางมาแทบจะอมไว้ในปาก หากนางต้องเจ็บปวดเช่นนี้เขายอมให้นางแต่งออกไปกับคนธรรมดาเสียดีกว่าองค์รัชทายาทที่ได้รู้เจียวเจียวอยู่ที่ใดก็ไม่รั้งรออีก เขารีบออกจากวังไปพบนางทันที "เจ้ารอรับราชโองการได้เลยหนิงหลง ครั้งนี้เจิ้นยังยอมให้อวี่เออร์ไม่แต่งอนุเข้าตำหนัก เจ้าก็คงต้องยอมถอยก้าวหนึ่งได้แล้วกระมัง" ฮ่องเต้ถลึงตาใส่จ้าวหนิงหลงอย่างไม่สบอารมณ์ซูหนี่กับซูฉีมองหน้ากันแล้วอมยิ้ม สุดท้ายก็ต้องยินยอมเช่นนี้ แล้วตาเฒ่าของตนจะดื้อด้านตั้งแต่แรกกันทำไมเซี่ยเฟยอวี่ที่ควบม้าเร็วโดยไม่หยุดพักตลอดสองชั่วยามก็มาถึงเรือนพักอากาศของตระกูลจ้าว เขาให้คนไปแจ้งจ้าวเหว่ยว่าบิดาเขาเรียกตัวกลับด่วน เพราะที่จวนเกิดปัญหา ส่วนตัวเขาได้รับอนุญาตให้มาแก้ไขเรื่องที่ซูเจียวเข้าใจผิดจ้าวเหว่ยแม้ไม่อยากจะเชื่อเซี่ยเฟยอวี่แต่ก็จับผิดเขาไม่ได้จึงรีบกลับจวน
เวลาสามปีที่ผ่านมา เซี่ยเฟยอวี่ส่งจดหมายมาไม่ได้ขาด จ้าวซูเจียวตอนนี้เป็นสาวสะพรั่ง ไม่ว่าจะก้าวเดินไปที่ใดล้วนแต่ได้รับความสนใจ จนหลังๆนางเบื่อสายตาที่แทะโลมของบุรุษกักขฬะที่ไม่กลัวบิดาของนางควักลูกตาทั้งหลาย จึงเลือกที่จะอยู่ในจวนหรือไม่ก็ไปเที่ยวเล่นที่ตำหนักองค์หญิงฟางเซียนที่ตอนนี้แต่งราชบุตรเขยจนมีท่านชายน้อยแล้ว"เจ้ารู้หรือยังว่าองค์รัชทายาทจะเสด็จกลับเมืองหลวงแล้ว" ฟางเซียนกล่าวกับซูเจียวที่หยอกล้อบุตรของตนอยู่ นางพยักหน้ารับรู้แต่มิได้พูดสิ่งใด เซี่ยเฟยอวี่ส่งข่าวให้นาง ตอนนี้เขาคงจะถึงกลางทางแล้ว แต่เรื่องคืนนั้นที่เขาลอบเข้ามาพบนางไม่มีใครรู้ และเรื่องที่นางติดต่อกับเขาก็มีเพียงคนในครอบครัวที่รู้เท่านั้น นางจึงไม่พูดออกไปวันที่เซี่ยเฟยอวี่เสด็จกลับถึงเมืองหลวง นางไม่ได้ไปรอรับเขา แต่ข่าวลือที่องค์รัชทายาทพาสตรีแดนเหนือกลับมาด้วยเรื่องนี้นางย่อมได้ยิน จ้าวหนิงหลงแทงจะเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่เขาอยากจะเข้าไปพังตำหนักขององค์รัชทายาทแต่ก็ทำมิได้ บุตรชายทั้งสี่เช่นกัน งานเลี้ยงต้อนรับการกลับมาครั้งนี้จ้าวซูเจียวมิยอมไป จ้าวหนิงหลงกับซูหนี่เห็นเช่นนั้นก็ปวดใจ ทุกคนต่างรู้ว่าบุตรสา
องค์รัชทายาทเสด็จมาเยี่ยมดูอาการของซูเจียวทุกวันแต่นางไม่ให้เขาเข้าพบ มีเพียงพี่ขายของนางที่หมุนเวียนออกมาต้อนรับเขาเท่านั้น เขาไม่เข้าใจว่านางทำเช่นนี้กับเขาเพื่ออันใดจนบุกเข้าไปถึงเรือนของนางเพื่อคำตอบซูหนี่สั่งให้บุตรชายทั้งสี่ของตนหลบทางให้องค์รัชทายาทเข้าไปพบจ้าวซูเจียว นางรู้ว่าบุตรสาวของตนเป็นเช่นเดียวกับตนหากเรื่องใดที่ไม่สมควรดึงดัน จ้าวซูเจียวจะถอยห่างทันที"เจียวเจียวเหตุใดเจ้าไม่ยอมพบหน้าข้า" เซี่ยเฟยอวี่มองนางในดวงใจอย่างปวดใจ นางหายป่วยมาเกือบเดือนแล้ว มิใช่ว่านางสบายดีตั้งแต่อาทิตย์แรกหรือ ทำไมต้องหลบหน้าตน"ถวายพระพรองค์รัชทายาทเพคะ หม่อมฉันกลัวนำโรคไปติดพระองค์จึงไม่ได้ออกไปต้อนรับเพคะ" ท่าทีที่ห่างเหินทำให้เซี่ยเฟยอวี่ปวดใจจนแทบคลั่ง นางไม่เคยพูดเป็นทางการเช่นนี้กับเขาเลยสักครั้งเมื่ออยู่เพียงลำพัง แต่วันนี้นางขีดเส้นชัดเจนมิให้เขาล่วงล้ำเข้าไป"เจียวเจียว เจ้าอย่าได้ทำเช่นนี้กับข้า" เขาทนไม่ได้หากนางหันหลังให้เขา นางคือความสดใสเดียวในชีวิตของเขา"พระองค์เลิกดึงดันเถิดเพคะ ตำแหน่งที่พระองค์ต้องการมอบให้หม่อมฉัน หม่อมฉันรับไม่ไหวจริงๆ หากพระองค์ไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ห
"เจียวเจียว" เสียงเด็กหนุ่มวัยสิบสองหนาว ร้องเรียกจ้าวซูเจียวเสียงดังลั่นเมื่อเดินผ่านประตูจวนตระกูลจ้าวเข้ามา เซี่ยเฟยอวี่ องค์รัชทายาท แขกประจำจวนตระกูลจ้าว"พี่อวี่" เสียงเด็กน้อยวัยแปดหนาวร้องเรียกพร้อมวิ่งมาหาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เด็กน้อยตากลมโต ความงามที่หากนางเป็นที่สองในเมืองหลวงคงหาที่หนึ่งมิได้ นอกจวนจะลือว่านางอ่อนแอเปาะบางเพียงใด แต่ความจริงแล้วนางแข็งแรง สดใสร่าเริง ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดที่นั่นล้วนแล้วแต่น่ามองไปเสียทุกอย่างองค์รัชทายาทในปีนี้ก็เริ่มมองหาพระชายาเพื่อหมั้นหมายแล้ว แต่เสนาบดีจ้าวยังคงมิใจอ่อนยอมให้เขาได้เข้าใกล้เจียวเจียวมากเกินไป วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เขาแอบหนีออกจากวังมาพบนาง เพียงได้เห็นรอยยิ้มของนาง ได้พูดคุย เรื่องต่างๆในวังที่แสนเบื่อหน่ายก็หายไปในพริบตาเพราะบิดาของนางไม่อยากให้บุตรสาวของตนโดนกักขังอยู่ในวังหลัง และไม่ต้องการให้ว่าที่บุตรเขยมีอนุหรือสาวใช้ข้างห้อง เมื่อมองตนเองแทบจะไม่มีความเป็นไปได้ที่จะได้ครอบครองตัวนางเมื่อจ้าวซูเจียวอายุได้สิบสามหนาว บิดาอย่างจ้าวหนิงหลงก็ขังนางไว้แต่ในจวนมิได้เสียแล้ว เจียวเจียวติดตามบิดามารดาและพี่ชายทั้งสี่เข้า
จ้าวหนิงหลงพาซูหนี่ไปบ้านพักตากอากาศนอกเมือง เขาทิ้งบุตรชายทั้งสี่ไว้ที่เรือน แม้เหว่ยเออร์จะโวยวายเพียงใด บิดาเช่นเขาก็ไม่ยอมใจอ่อนพามาด้วย อันเออร์มองน้องชายจอมโง่ที่ได้แต่ร้องไห้ ตัวเขาก็เคยผ่านมาแล้ว น้ำตาไม่ทำให้ท่านพ่อใจอ่อนเรือนสี่ประสานหลังใหญ่ที่เขาได้รับพระราชทานจากฝ่าบาท ห้อมล้อมไปด้วยขุนเขาและสายน้ำ สวนดอกไม้ขนาดใหญ่ที่ได้รับการดูแลอย่างดี บ่อแช่น้ำร้อนมีกว้างขวางพอให้คนนับสิบลงไปแช่ได้ แต่ตอนนี้คนที่แช่มีเพียงสองสามีภรรยาเท่านั้นจ้าวหนิงหลงที่แช่น้ำรอภรรยารักอยู่ก่อนแล้ว ซูหนี่แม้จะบอกว่านางคลอดบุตรออกมาแล้วสี่คน แต่เขายังคงหลงใหลในความงามของนางอยู่เช่นเดิม ร่างกายทรวดทรงส่วนเว้าสวนโค้งของนางงดงามดั่งภาพวาด ยิ่งนางเยื้องย่างก้าวเดินเข้ามา เหมือนกันทุกก้าวเดินของนางกระแทกลงไปที่ใจของเขาเพียงเห็นแค่นั้น จ้าวหนิงหลงก็ลุกพรวดขึ้นจากน้ำอุ้มซูหนี่ลงน้ำทันที ไม่ต้องรอให้นางเอ่ยปากอนุญาตเขาที่แทบจะอดกลั้นไม่ไหวก็จู่โจมเสียแล้ว บทรักอันร้อนแรงใต้น้ำได้เริ่มขึ้นอย่างไม่รู้จบ เสียงอันน่าอับอายที่ดังไปทั่วก็ไม่ต้องอดกลั้นกลัวใครได้ยิน บ่าวที่ติดตามมาก็เป็นคนเก่าที่รู้งานอย่างดีตอน
กว่าซูหนี่จะฟื้นขึ้นมาก็ผ่านมาสองวัน จ้าวหนิงหลงไม่ออกห่างจากนางเลย เขานั่งจับมือมองนางเช่นนั้นทั้งวันทั้งคืน เพราะกลัวว่าหากปล่อยมือนางเมื่อใดนางจะทิ้งเขาไปในที่ที่นางจากมา (ก็บอกแล้วว่ากลับไม่ได้แล้ว เห้อออ)เพียงลืมตาขึ้น ภาพแรกที่เห็น จ้าวหนิงหลงเริ่มมีหนวดขึ้นร่ำไร ดูดิบเถื่อนไปอีกแบบ "ท่านพี่" เสียงเบาราวยุงบินผ่านเรียกสติของจ้าวหนิงหลงให้กลับมาเขาดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด อยากจะหลอมนางให้อยู่ในกระดูกของเขา เมื่อซูหนี่บอกหิวน้ำ เขาถึงได้ปล่อยตัวนาง "ลูกละเจ้าคะ" "อยู่กับแม่นม เจ้าลุกไหวหรือไม่ กินอะไรเสียหน่อยแล้วข้าจะให้แม่นมพาลูกมาให้เจ้าดู" เขาเรียกให้คนยกอาหารมาให้ แล้วป้อนนางทีละคำ"ท่านต้องกินด้วย ไม่เช่นนั้นข้าก็ไม่กินแล้ว" นางรู้ว่าเขาคงไม่ยอมกินอะไรหรือลุกไปไหน นางลูบหน้าเขาอย่างปวดใจ เพียงสองวันเท่านั้นเขาดูซูบผอมไปเยอะจ้าวหนิงหลงต้องยอมกินกับนาง เขาป้อนนางคำตักใส่ปากตนเองคำ ตอนนี้อีกห้องที่แม่นมดูแลเด็กน้อยอยู่ เฉิงเออร์กับอันเออร์นั่งจ้องน้องสามกับน้องสี่ด้วยสายตาเคร่งขรึม เขาต้องกำราบน้องชายตั้งแต่เล็กๆ ยังไม่ออกมาก็ทำให้ท่านแม่เจ็บปวดจนแทบขาดใจ"พี่ใหญ่ ดูเจ้าสามเ