เมื่อเด็กทั้งสองกินข้าวเสร็จแล้ว นางพาล้างหน้าบ้วนปากแล้วให้พวกเขามานอนกลางวันในห้องของนาง เด็กทั้งสองดีใจอย่างมากที่จะได้นอนกับนาง
หนิงเฉิงไม่ค่อยพูดเช่นเดียวกับบิดา แต่เขาก็แสดงออกให้นางเห็นว่าเขาพอใจที่นางทำให้เขาทุกอย่าง หนิงอันเป็นเด็กร่าเริงเขามักจะชวนนางพูดคุยทั้งยังออดอ้อนนางจนนางใจอ่อนยวบ นางนึกไปออกเลยหากวันใดที่นางต้องจากพวกเขาไปนางจะเสียใจแค่ไหน อาจจะเป็นเพราะทั้งคู่คือสายเลือดของร่างนี้จึงทำให้ทั้งสามคนผูกพันกันอย่างรวดเร็ว
หากถึงวันนั้นจริงนางจะขอจ้าวหนิงหลงเพื่อดูแลเด็กทั้งสองคน เพราะเขาต้องเดินทางไปสอบที่เมืองหลวงอีก ยังไงเขาก็คือพระเอกของเรื่องเขาต้องสอบได้อยู่แล้ว ถึงตอนนั้นถ้าเขาได้เป็นเสนาบดีนางก็ยินดีที่จะส่งเด็กทั้งสองกลับคืนเขาไป แต่เรื่องนี้ยังไม่ถึงเวลารอให้ถึงเวลาก่อนค่อยว่ากัน
ระหว่างที่หนิงเฉิงกับหนิงอันนอนกลางวันนางก็ออกมาทำความสะอาดรอบบ้าน กว่าจะเสร็จก็ต้องทำอาหารเย็นพอดี เด็กๆตื่นมานางก็พามาล้างหน้าแล้วให้นั่งเล่นรอนางทำอาหารเย็น อาหารเย็นก็เหมือนกับอาหารกลางวันเพียงแต่เพิ่มไข่ตุ๋นให้เด็กทั้งสองเท่านั้น เมื่อมองอาหารพรุ่งนี้นางต้องขึ้นเขาอีกแล้ว ครั้งนี้นางจะจับไก่ป่ากลับมาให้ได้
นางเห็นธนูในห้องเก็บของไม่รู้ว่าของใครนางจะไปขอยืมกับหนิงหลงก่อน นางเคยเรียนการต่อสู้มาเล็กน้อย เรียนยิงธนู ยิงปืน เพื่อใช้ในการแสดง นางคิดว่า คิดว่านะคงจะใช้ยิงไก่ยิงกระต่ายได้สักตัว
"เอ่อ ข้าเห็นธนูในห้องเก็บของ พรุ่งนี้ข้าขอยืมได้หรือไม่" นางยกกับข้าวไปให้ทั้งสามจึงเอ่ยปากขอยืมขึ้นมา แต่เขายังเงียบเช่นเดิม
การพูดคุยกับเขาในแต่ละครั้งทำให้นางทั้งอึดอัดทั้งเบื่อหน่าย ในเมื่อเขาไม่พูดนางก็คิดว่าเขาคงให้นางใช้ได้ นางเดินไปกินข้าวในครัวอย่างหัวเสีย ต่อไปนี้นางจะไม่พูดอะไรกับเขาอีกเลย
คืนนี้เด็กทั้งสองขอนอนกับนาง ตัวนางแสนจะยินดี แต่หนิงหลงกับไม่ยินยอม นางจึงต้องส่งเด็กทั้งสองกลับห้องไป ไว้เขาเดินทางไปสอบจวี่เหริน นางก็ได้นอนกับเด็กๆแล้ว
เช้าวันแต่มาซูหนี่เข้าครัวเตรียมอาหารเสร็จก็ออกมาหยิบธนูตะกร้ามีดพร้าขึ้นเขาไป นางออกจากบ้านตั้งแต่ยังไม่สว่างเพราะนางจะเข้าไปลึกกว่าทุกครั้ง ครั้งนี้นางหวังอย่างมากเลยว่าจะได้ของดีติดมือมา
นางเดินเข้าไปเรื่อยๆเมื่อถึงจุดที่เคยเข้ามาแล้วก็เริ่มทำเครื่องหมายไว้จะได้จำได้ว่าเข้ามาทางไหน นางเลือกทางที่ชาวบ้านไม่ค่อยเข้ามา ครั้งนี้มีผลไม้ให้ได้เห็นบ้างแล้ว ผูเถา(องุ่น) เถาจึ(ลูกท้อ) ซื่อจึ(ลูกพลับ)
นางเก็บมาอย่างละไม่เยอะ เพราะจะให้ขนทั้งหมดลงไปก็คงไม่ไหว แล้วครั้งนี้นางอยากได้เนื้อกลับไป วันหน้าค่อยมาเก็บก็ยังได้ หากว่าเด็กๆชอบกิน นางก็จะขึ้นมาเก็บให้ทุกวัน เพราะตรงที่มีผลไม้ไม่ห่างจากทางแยกที่นางขึ้นมาประจำนัก
นางเดินไปอีกไม่ไกลก็เห็นไก่ป่าหลายตัว หากนางยิงธนูทันทีคงได้เพียงตัวเดียวแต่จะให้ทำอย่างไรได้ ดีกว่าไม่ได้เลย นางข้ามมิติมาไม่ได้มีพรวิเศษหรือมิติวิเศษมาด้วย มีแต่สมองกับสองมือเท่านั้น
นางเล็งธนูไปที่ตัวอ้วนที่สุดแล้วปล่อยลูกธนูของไป นางขึ้นลูกธนูใหม่ทันทีแล้วเล็งไปที่ตัวที่หนีไม่ไกลแล้วยิงออกไป สวรรค์ความแม่นของนางไม่เสียแรงที่ไปเรียนอยู่เกือบสองปี
ซูหนี่รีบวิ่งไปเก็บไก่ป่าทันที หากมีหลายตัวตรงนี้น่าจะมีรังของมันด้วย นางจึงเดินหาในพงหญ้าต่อ นางยังเจอไข่อีกเกือบยี่สิบใบ มีเนื้อมีไข่ ให้เด็กๆได้กินอีกหลายมื้อ นางเดินไปอีก เพราะคิดว่าหากได้อะไรสักหน่อยน่าจะนำไปขายได้
ทำไมนางถึงไม่เจอโสมหรือเห็ดหลินจืออย่างในนิยายเลยสักอย่าง เดินจนเหนื่อยจึงหยุดกินอะไรก่อน นางนำไข่ออกมาปิ้งสามฟอง เพียงเท่านี้นางก็อิ่มแล้วจะให้ย่างไก่กินคนเดียวก็ทำไม่ลง หากนึกถึงแววตาของเด็กทั้งสองที่รอนางกลับไปนางจึงรีบหาของต่ออีกเล็กน้อย
แล้วโชคก็เข้าข้างนาง ตอนที่นางเก็บเห็ดอยู่นั้น นางก็พบถั่งเช่า (หญ้าหนอน) หากไม่สังเกตให้ดีจะมองเห็นเป็นเพียงกิ่งไม้เล็กๆโผล่ขึ้นมาจากดินเท่านั้น นางค่อยๆขุดขึ้นมา ตรงที่นางพบมีมากนัก นางจึงต้องรีบขุดไม่เช่นนั้นกว่าจะได้ลงเขาคงมืดก่อนพอดี
ซูหนี่รีบเก็บทั้งหมดแล้วใช้ใบไม้ห่อไว้ใส่ไว้ด้านล่างสุดของตะกร้า เมื่อเพ็งมองดีดี ก็พบว่ายังมีอีกมาก นางจดจำเส้นทางไว้ ครั้งหน้าจะขึ้นมาเก็บอีก หากขายทั้งหมดนางคงตั้งตัวได้เสียที ขากลับลงจากเขานางอารมณ์ดีจึงร้องเพลงไปตลอดทาง ถึงบ้านก็ฟ้ามืดพอดี
เด็กทั้งสองยังคงนั่งรอเช่นเดิม นางจึงรีบเดินเข้าไปหา
"อากาศเย็นถึงเพียงนี้ทำไมไม่รออยู่ในเรือน" นางลูบหน้าทั้งสองคน เมื่อจับมือดูแล้วไม่ได้เย็นมากนางจึงพาพวกเขาไปนั่งรอในห้องโถงก่อน
"ข้ามารอท่านแม่" หนิงอินพูดขึ้น ซูหนี่ถึงกับสะอึก นางคิดจะไปจากพวกเขาอยู่ทุกวัน แต่ตอนนี้เด็กๆเรียกนางท่านแม่ ทำให้นางละอายใจเกินกว่าจะมองหน้าพวกเขาได้ จะบอกเช่นไรว่าแม่พวกเขาไม่อยู่เสียแล้ว เป็นนางที่แย่งชิงร่างของแม่พวกเขามา หากพวกเขารู้ยังจะพูดคุยกับนางเช่นเดิมอีกหรือเปล่า
ซูหนี่สลัดความคิดทั้งหมดออกแล้วเข้าครัวทำอาหารทันที นางต้มน้ำร้อนลวกไก่ ถอนขนแล้วล้างเอาเครื่องในออกมา นางเลือกเครื่องในที่กินได้เก็บไว้ แล้วนำที่เหลือไปห่อใบไม้ใส่ตะกร้าเก็บ พรุ่งนี้นางจะนำไส้ไปล่อให้ปลาเข้ามาในตะกร้า
นางแบ่งไก่ครึ่งตัวต้มน้ำแกงอีกครึ่งตัวนางนำไปย่าง นางผัดผักเพิ่มอีกหนึ่งอย่าง หัวผักกาดสองหัวที่หน้าประตูห้องครัวไม่ยอมห่างจากนางเลย ขนาดนางพาไปส่งให้บิดาของเด็กตอนนี้ก็วิ่งมาหานางกันเสียแล้ว
กลิ่นหอมของเนื้อย่างลอยไปไกลหลายบ้าน ตอนนี้เลยเวลากินข้าวไปแล้วหากไม่นั่งคุยกันก็เข้านอนก็เสียแล้ว บ้านใครทำอาหารเวลานี้ย่อมโดนด่าเป็นธรรมดา แล้วยังเป็นกลิ่นเนื้อจะไม่ให้เขาโมโหได้ยังไง ท้องเจ้ากรรมก็ส่งเสียงดังขึ้นมา จะนอนก็นอนไม่หลับ ทำได้เพียงแค่นึกถึงของกินแล้วมานอนเช็ดน้ำลายหลับไป
ซูหนี่ยกอาหารออกไปให้ทั้งสามตามปกติ นางมองเฉิงเออร์กับอันเออร์ ที่จ้องไก่ย่างจนน้ำลายไหล นางหัวเราะขึ้นแล้วลูบหัวเด็กทั้งสองก่อนจะหันหลังกลับไปกินส่วนของตนที่ในห้องครัว
"นั่งลงกินด้วยกัน" จ้าวหนิงหลงกล่าวขึ้นโดยไม่มองหน้านาง
ซูหนี่หันกลับไปมองแต่ไม่พูดสิ่งใด ในเมื่อคงจะอยู่อีกไม่กี่วันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องสนใจเขาอีก นางหันหลังกลับเอาเดินออกไปนั่งกินในห้องครัว จ้าวหนิงหลงโกรธที่นางไม่ฟังเขาจนมุมปากกระตุก
ฝาแฝดเงยหน้ารอคอยบิดายกตะเกียบอย่างคาดหวัง เขาเช็ดน้ำลายที่ไหลไปหลายรอบแล้ว แต่บิดาก็ยังไม่ยอมที่จะยกตะเกียบเสียที จ้าวหนิงหลงเห็นเช่นนั้นจึงยกตะเกียบขึ้นกินข้าวไปอย่างเงียบๆ
องค์รัชทายาทจ้องมองจ้าวหนิงหลงอย่างขอร้อง จ้าวหนิงหลงถอนหายใจก่อนจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง เขารู้เรื่องเจ้าเมืองหานกับสิ่งที่บุตรสาวของเขาทำแล้ว แต่อยากจะรู้ว่าองค์รัชทายาทจะทำอย่างไร แต่เรื่องที่บุตรสาวของตนเสียใจเป็นเรื่องจริง บิดาอย่างเขาทนเห็นไม่ได้เขาเลี้ยงนางมาแทบจะอมไว้ในปาก หากนางต้องเจ็บปวดเช่นนี้เขายอมให้นางแต่งออกไปกับคนธรรมดาเสียดีกว่าองค์รัชทายาทที่ได้รู้เจียวเจียวอยู่ที่ใดก็ไม่รั้งรออีก เขารีบออกจากวังไปพบนางทันที "เจ้ารอรับราชโองการได้เลยหนิงหลง ครั้งนี้เจิ้นยังยอมให้อวี่เออร์ไม่แต่งอนุเข้าตำหนัก เจ้าก็คงต้องยอมถอยก้าวหนึ่งได้แล้วกระมัง" ฮ่องเต้ถลึงตาใส่จ้าวหนิงหลงอย่างไม่สบอารมณ์ซูหนี่กับซูฉีมองหน้ากันแล้วอมยิ้ม สุดท้ายก็ต้องยินยอมเช่นนี้ แล้วตาเฒ่าของตนจะดื้อด้านตั้งแต่แรกกันทำไมเซี่ยเฟยอวี่ที่ควบม้าเร็วโดยไม่หยุดพักตลอดสองชั่วยามก็มาถึงเรือนพักอากาศของตระกูลจ้าว เขาให้คนไปแจ้งจ้าวเหว่ยว่าบิดาเขาเรียกตัวกลับด่วน เพราะที่จวนเกิดปัญหา ส่วนตัวเขาได้รับอนุญาตให้มาแก้ไขเรื่องที่ซูเจียวเข้าใจผิดจ้าวเหว่ยแม้ไม่อยากจะเชื่อเซี่ยเฟยอวี่แต่ก็จับผิดเขาไม่ได้จึงรีบกลับจวน
เวลาสามปีที่ผ่านมา เซี่ยเฟยอวี่ส่งจดหมายมาไม่ได้ขาด จ้าวซูเจียวตอนนี้เป็นสาวสะพรั่ง ไม่ว่าจะก้าวเดินไปที่ใดล้วนแต่ได้รับความสนใจ จนหลังๆนางเบื่อสายตาที่แทะโลมของบุรุษกักขฬะที่ไม่กลัวบิดาของนางควักลูกตาทั้งหลาย จึงเลือกที่จะอยู่ในจวนหรือไม่ก็ไปเที่ยวเล่นที่ตำหนักองค์หญิงฟางเซียนที่ตอนนี้แต่งราชบุตรเขยจนมีท่านชายน้อยแล้ว"เจ้ารู้หรือยังว่าองค์รัชทายาทจะเสด็จกลับเมืองหลวงแล้ว" ฟางเซียนกล่าวกับซูเจียวที่หยอกล้อบุตรของตนอยู่ นางพยักหน้ารับรู้แต่มิได้พูดสิ่งใด เซี่ยเฟยอวี่ส่งข่าวให้นาง ตอนนี้เขาคงจะถึงกลางทางแล้ว แต่เรื่องคืนนั้นที่เขาลอบเข้ามาพบนางไม่มีใครรู้ และเรื่องที่นางติดต่อกับเขาก็มีเพียงคนในครอบครัวที่รู้เท่านั้น นางจึงไม่พูดออกไปวันที่เซี่ยเฟยอวี่เสด็จกลับถึงเมืองหลวง นางไม่ได้ไปรอรับเขา แต่ข่าวลือที่องค์รัชทายาทพาสตรีแดนเหนือกลับมาด้วยเรื่องนี้นางย่อมได้ยิน จ้าวหนิงหลงแทงจะเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่เขาอยากจะเข้าไปพังตำหนักขององค์รัชทายาทแต่ก็ทำมิได้ บุตรชายทั้งสี่เช่นกัน งานเลี้ยงต้อนรับการกลับมาครั้งนี้จ้าวซูเจียวมิยอมไป จ้าวหนิงหลงกับซูหนี่เห็นเช่นนั้นก็ปวดใจ ทุกคนต่างรู้ว่าบุตรสา
องค์รัชทายาทเสด็จมาเยี่ยมดูอาการของซูเจียวทุกวันแต่นางไม่ให้เขาเข้าพบ มีเพียงพี่ขายของนางที่หมุนเวียนออกมาต้อนรับเขาเท่านั้น เขาไม่เข้าใจว่านางทำเช่นนี้กับเขาเพื่ออันใดจนบุกเข้าไปถึงเรือนของนางเพื่อคำตอบซูหนี่สั่งให้บุตรชายทั้งสี่ของตนหลบทางให้องค์รัชทายาทเข้าไปพบจ้าวซูเจียว นางรู้ว่าบุตรสาวของตนเป็นเช่นเดียวกับตนหากเรื่องใดที่ไม่สมควรดึงดัน จ้าวซูเจียวจะถอยห่างทันที"เจียวเจียวเหตุใดเจ้าไม่ยอมพบหน้าข้า" เซี่ยเฟยอวี่มองนางในดวงใจอย่างปวดใจ นางหายป่วยมาเกือบเดือนแล้ว มิใช่ว่านางสบายดีตั้งแต่อาทิตย์แรกหรือ ทำไมต้องหลบหน้าตน"ถวายพระพรองค์รัชทายาทเพคะ หม่อมฉันกลัวนำโรคไปติดพระองค์จึงไม่ได้ออกไปต้อนรับเพคะ" ท่าทีที่ห่างเหินทำให้เซี่ยเฟยอวี่ปวดใจจนแทบคลั่ง นางไม่เคยพูดเป็นทางการเช่นนี้กับเขาเลยสักครั้งเมื่ออยู่เพียงลำพัง แต่วันนี้นางขีดเส้นชัดเจนมิให้เขาล่วงล้ำเข้าไป"เจียวเจียว เจ้าอย่าได้ทำเช่นนี้กับข้า" เขาทนไม่ได้หากนางหันหลังให้เขา นางคือความสดใสเดียวในชีวิตของเขา"พระองค์เลิกดึงดันเถิดเพคะ ตำแหน่งที่พระองค์ต้องการมอบให้หม่อมฉัน หม่อมฉันรับไม่ไหวจริงๆ หากพระองค์ไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ห
"เจียวเจียว" เสียงเด็กหนุ่มวัยสิบสองหนาว ร้องเรียกจ้าวซูเจียวเสียงดังลั่นเมื่อเดินผ่านประตูจวนตระกูลจ้าวเข้ามา เซี่ยเฟยอวี่ องค์รัชทายาท แขกประจำจวนตระกูลจ้าว"พี่อวี่" เสียงเด็กน้อยวัยแปดหนาวร้องเรียกพร้อมวิ่งมาหาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เด็กน้อยตากลมโต ความงามที่หากนางเป็นที่สองในเมืองหลวงคงหาที่หนึ่งมิได้ นอกจวนจะลือว่านางอ่อนแอเปาะบางเพียงใด แต่ความจริงแล้วนางแข็งแรง สดใสร่าเริง ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดที่นั่นล้วนแล้วแต่น่ามองไปเสียทุกอย่างองค์รัชทายาทในปีนี้ก็เริ่มมองหาพระชายาเพื่อหมั้นหมายแล้ว แต่เสนาบดีจ้าวยังคงมิใจอ่อนยอมให้เขาได้เข้าใกล้เจียวเจียวมากเกินไป วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เขาแอบหนีออกจากวังมาพบนาง เพียงได้เห็นรอยยิ้มของนาง ได้พูดคุย เรื่องต่างๆในวังที่แสนเบื่อหน่ายก็หายไปในพริบตาเพราะบิดาของนางไม่อยากให้บุตรสาวของตนโดนกักขังอยู่ในวังหลัง และไม่ต้องการให้ว่าที่บุตรเขยมีอนุหรือสาวใช้ข้างห้อง เมื่อมองตนเองแทบจะไม่มีความเป็นไปได้ที่จะได้ครอบครองตัวนางเมื่อจ้าวซูเจียวอายุได้สิบสามหนาว บิดาอย่างจ้าวหนิงหลงก็ขังนางไว้แต่ในจวนมิได้เสียแล้ว เจียวเจียวติดตามบิดามารดาและพี่ชายทั้งสี่เข้า
จ้าวหนิงหลงพาซูหนี่ไปบ้านพักตากอากาศนอกเมือง เขาทิ้งบุตรชายทั้งสี่ไว้ที่เรือน แม้เหว่ยเออร์จะโวยวายเพียงใด บิดาเช่นเขาก็ไม่ยอมใจอ่อนพามาด้วย อันเออร์มองน้องชายจอมโง่ที่ได้แต่ร้องไห้ ตัวเขาก็เคยผ่านมาแล้ว น้ำตาไม่ทำให้ท่านพ่อใจอ่อนเรือนสี่ประสานหลังใหญ่ที่เขาได้รับพระราชทานจากฝ่าบาท ห้อมล้อมไปด้วยขุนเขาและสายน้ำ สวนดอกไม้ขนาดใหญ่ที่ได้รับการดูแลอย่างดี บ่อแช่น้ำร้อนมีกว้างขวางพอให้คนนับสิบลงไปแช่ได้ แต่ตอนนี้คนที่แช่มีเพียงสองสามีภรรยาเท่านั้นจ้าวหนิงหลงที่แช่น้ำรอภรรยารักอยู่ก่อนแล้ว ซูหนี่แม้จะบอกว่านางคลอดบุตรออกมาแล้วสี่คน แต่เขายังคงหลงใหลในความงามของนางอยู่เช่นเดิม ร่างกายทรวดทรงส่วนเว้าสวนโค้งของนางงดงามดั่งภาพวาด ยิ่งนางเยื้องย่างก้าวเดินเข้ามา เหมือนกันทุกก้าวเดินของนางกระแทกลงไปที่ใจของเขาเพียงเห็นแค่นั้น จ้าวหนิงหลงก็ลุกพรวดขึ้นจากน้ำอุ้มซูหนี่ลงน้ำทันที ไม่ต้องรอให้นางเอ่ยปากอนุญาตเขาที่แทบจะอดกลั้นไม่ไหวก็จู่โจมเสียแล้ว บทรักอันร้อนแรงใต้น้ำได้เริ่มขึ้นอย่างไม่รู้จบ เสียงอันน่าอับอายที่ดังไปทั่วก็ไม่ต้องอดกลั้นกลัวใครได้ยิน บ่าวที่ติดตามมาก็เป็นคนเก่าที่รู้งานอย่างดีตอน
กว่าซูหนี่จะฟื้นขึ้นมาก็ผ่านมาสองวัน จ้าวหนิงหลงไม่ออกห่างจากนางเลย เขานั่งจับมือมองนางเช่นนั้นทั้งวันทั้งคืน เพราะกลัวว่าหากปล่อยมือนางเมื่อใดนางจะทิ้งเขาไปในที่ที่นางจากมา (ก็บอกแล้วว่ากลับไม่ได้แล้ว เห้อออ)เพียงลืมตาขึ้น ภาพแรกที่เห็น จ้าวหนิงหลงเริ่มมีหนวดขึ้นร่ำไร ดูดิบเถื่อนไปอีกแบบ "ท่านพี่" เสียงเบาราวยุงบินผ่านเรียกสติของจ้าวหนิงหลงให้กลับมาเขาดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด อยากจะหลอมนางให้อยู่ในกระดูกของเขา เมื่อซูหนี่บอกหิวน้ำ เขาถึงได้ปล่อยตัวนาง "ลูกละเจ้าคะ" "อยู่กับแม่นม เจ้าลุกไหวหรือไม่ กินอะไรเสียหน่อยแล้วข้าจะให้แม่นมพาลูกมาให้เจ้าดู" เขาเรียกให้คนยกอาหารมาให้ แล้วป้อนนางทีละคำ"ท่านต้องกินด้วย ไม่เช่นนั้นข้าก็ไม่กินแล้ว" นางรู้ว่าเขาคงไม่ยอมกินอะไรหรือลุกไปไหน นางลูบหน้าเขาอย่างปวดใจ เพียงสองวันเท่านั้นเขาดูซูบผอมไปเยอะจ้าวหนิงหลงต้องยอมกินกับนาง เขาป้อนนางคำตักใส่ปากตนเองคำ ตอนนี้อีกห้องที่แม่นมดูแลเด็กน้อยอยู่ เฉิงเออร์กับอันเออร์นั่งจ้องน้องสามกับน้องสี่ด้วยสายตาเคร่งขรึม เขาต้องกำราบน้องชายตั้งแต่เล็กๆ ยังไม่ออกมาก็ทำให้ท่านแม่เจ็บปวดจนแทบขาดใจ"พี่ใหญ่ ดูเจ้าสามเ