LOGINชายหนุ่มผู้ที่กระเด็นมาหยุดอยู่ตรงด้านหน้าของหงเหม่ยหลงกำลังพยายามยันกายของตนเองให้ลุกขึ้น พลันสายตาของเขาก็เหลือบมาเห็นนางเข้า
ดวงตาคมเข้มของชายหนุ่มหรี่ลงเล็กน้อย หัวคิ้วบนใบหน้าคมคายขมวดมุ่น ไม่รู้ว่าเพราะเจ็บหรือเพราะสงสัยในตัวนาง
“ถอยไป! อันตราย” เสียงแหบพร่า ทว่ามีเสน่ห์ของชายหนุ่ม กล่าวอย่างเย็นชา
เขาสังสัยจริงๆว่าสถานที่แห่งนี้มีสตรีมานั่งอยู่ได้อย่างไร
“ฆ่า!”
“ตัดหัวไปรับเงิน”
กลุ่มชายฉกรรจ์ตะโกนอย่างฮึกเหิม
ชายหนุ่มที่โดนหมายหัวเพื่อเงิน พยุงตัวเองลุกนั่งได้แล้วกำลังจะลุกขึ้นยืน
สวบ!
พลันเสียงธนูก็แหวกอากาศมาอย่างรวดเร็ว เป้าหมายคือชายหนุ่มตรงหน้าของหงเหม่ยหลง
นั่นหมายความว่าธนูย่อมตรงมาทางหงเหม่ยหลงเช่นเดียวกัน
ทันใดนั้นร่างของชายหนุ่มที่กำลังจะลุกขึ้นยืนกลับพุ่งตรงมาข้างหน้าของหงเหม่ยหลง
ฉึก!
เสียงธนูปักลงตรงกลางแผ่นหลังของชายหนุ่มพอดิบพอดี
หน้าของชายหนุ่มเกือบจะชนกับหน้าของหงเหม่ยหลงอยู่แล้ว ห่างกันเพียงปลายจมูกชนกันเท่านั้น
ลมหายใจร้อนระอุเป่ารดใบหน้างามของนาง พร้อมกับเลือดสดๆ ไหลออกจากปากของชายหนุ่ม
แม้ไม่มีเสียงร้องใดๆเล็ดลอดออกมา แต่ใบหน้าคมเข้มนั้นก็บอกได้ว่าเจ็บปวดอยู่ไม่น้อย
หงเหม่ยหลงตะลึงกับการกระทำของชายหนุ่ม ไม่รู้เพราะสัญชาตญาณหรือความอ่อนแอของเขากันแน่ที่ทำให้เขาพาร่างตนเองมาบังธนูให้นาง
แต่จะเพราะอะไรก็ช่าง
เขา...
ก็มีน้ำใจช่วยนางแล้ว...
“เข้าไปตัดหัวซะ” เสียงคำรามของชายคนหนึ่งออกคำสั่ง“ฆ่าสตรีนางนั้นด้วย จะได้ไม่มีพยานรู้เห็น”
แต่ก่อนที่ชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นจะขยับเท้าเข้ามาทางสองชายหญิง
ใบหน้าซีดเซียวของหงเหม่ยหลงพลันเปลี่ยนเป็นดุดันเหี้ยมเกรียม ดวงตาสีหม่นพลันเปลี่ยนเป็นสีดำขลับเข้มข้นฉายแวววาวโรจน์ มือข้างหนึ่งประคองไหล่ของชายหนุ่มตรงหน้าเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งยืดตรงออกไปทางกลุ่มชายฉกรรจ์
พลันเกิดพลังสายหนึ่งออกจากฝ่ามือเรียวงามของนาง
พลังนั้นกระทบร่างของชายกลุ่มนั้นทันที มีผลให้คนพวกนั้นกระเด็นไปคนละทิศละทางคล้ายเศษกระดาษปลิวว่อน
เงียบ...
ไม่มีเสียงของคนกลุ่มนั้นอีก
และไร้ซึ่งเสียงอื่นใดตามมา
หงเหม่ยหลงคิดว่าพวกมันคงหมดสติกันหมด
หรือไม่ ก็ตาย...
ใบหน้างามที่ฉายแววดุดันเมื่อครู่พลันกลับมาซีดเซียวอีกครั้งพร้อมกับโลหิตสีแดงสดไหลออกมาจากริมฝีปากของนางเมื่อนางไอ
“แค่ก แค่ก” หงเหม่ยหลงไอจนหอบก่อนจะหมดสติไปอีกครั้ง
บุรุษผู้ที่มีธนูปักหลังอยู่ แม้จะยังตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้า แต่ก็ยังมีสติพอที่จะรับร่างบางนั้นเอาไว้ เมื่อนางสลบไป
ภายในตำหนักหลวงของแคว้นต้าหลี่..."สิบกว่าปีมานี่ หยางเอ๋อร์ของเรา ไม่เคยทำให้ผิดหวัง" หลี่ซ่งหมินเอ่ยขึ้นกับหงเหม่ยหลงที่นั่งเคียงข้างกันอยู่ตรงริมระเบียงของตำหนัก ชายหนุ่มยังคงประคองกอดหญิงสาวอันเป็นที่รักเอาไว้ในอ้อมแขนด้วยความรักไม่เสื่อมคลาย ขณะกล่าวต่อเนิบนาบน้ำเสียงเรียบเรื่อย "หยางเอ๋อร์เคยบอกกล่าวแก่ข้าว่าไม่จำเป็นต้องรับสนมเพื่อเสริมอำนาจแต่อย่างใด เพราะอำนาจเหล่านั้นเขาสามารถสร้างขึ้นมาได้" สีหน้าภาคภูมิใจในตัวของบุตรชายหนึ่งเดียวแสดงออกฉายชัดพร้อมๆกับประโยคที่เอื้อนเอ่ยหงเหม่ยหลงที่เพียงนั่งฟังเงียบๆจึงเอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวล "เป็นเพราะข้า หยางเอ๋อร์จึงต้องเหน็ดเหนื่อย เพราะข้าเห็นแก่ตัว ซ่งหมิน...ความรักของเราเป็นดาบสองคม" หญิงสาวหยุดคำอยู่อึดใจก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด "ปีนี้หยางเอ๋อร์อายุย่างเข้ายี่สิบห้าปีแล้ว เขายังคงครองตัวเป็นโสด ไม่สนใจอิสตรี ทำแต่ศึกสงคราม ไม่สนใจใคร สนใจแต่อำนาจ ทำตัวเหี้ยมโหดเย็นชา สร้างกำแพงให้ตัวเอง เพื่อเป็นเกราะป้องกันพวกเราผู้เป็นบิดามารดา"หลี่ซ่งหมินก้มหน้าน้อยๆยิ้มบางเบาใส่สตรีในอ้อมกอดก่อนเอ่ยถาม "เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ
"พวกเจ้า พวกเจ้า" เว่ยฟางเริ่มเอ่ยสิ่งใดไม่ถูกนางคล้ายจะเป็นลมจนสาวใช้คนสนิทที่ยืนอยู่ไม่ห่างต้องรีบเข้ามาประคองหยางเจียนเองก็มีอาการไม่ต่างกัน "พวกเจ้าอายุเพียงแค่นี้ มันเร็วไปหรือไม่ที่จะด่วนตัดสินใจ" แต่เหมือนอิ้งลี่จะมิได้ฟังคำห้ามปรามใดๆ หญิงสาวเพียงวิ่งออกไปก่อนจะกระโดดขึ้นม้าคู่ใจแล้วตะบึงควบออกไปจากกลุ่มของหยางเจียนและเว่ยฟาง ซักพักเสียงถกเถียงกันจึงตามมา"ใครเป็นคนรักของเจ้า อิ้งลี่" เสียงนั้นเป็นเสียงของเฟิงหลินนั่นเอง หนุ่มน้อยเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งควบม้าให้หนีออกห่างจากการตามติดของอิ้งลี่ "ข้าก็แค่พูดเอาไว้ก่อนล่วงหน้า 5 ปี มิได้รึ" อิ้งลี่ตะโกนขึ้นพลางควบม้าไล่ตามเฟิงหลิน"ไม่ได้" "ทำไมเล่า"และเสียงถกเถียงกันของหนุ่มน้อยกับสาวน้อยก็หายไปพร้อมกับคณะเดินทางขององค์ชายหลี่หงจินหยางท่ามกลางความสับสนงุนงงของผู้เป็นมารดาอย่างเว่ยฟางและหยางเจียนท่ามกลางร่มไม้ตรงทางเดินทอดยาวภายใต้ท้องฟ้าแจ่มใสโอบล้อมไปด้วยสายลมแผ่วเบา"เจ้าคิดว่าอย่างไร หลงเอ๋อร์" หลี่ซ่งหมินเอ่ยถามหงเหม่ยหลงขณะทั้งสองพากันเดินชมนกชมไม้ไปตามทางของอุทยานหลวง"ข้ารู้สึกกังวลเสียยิ่งกว่าการตั้งครรภ์ของตัวเองเ
หนุ่มน้อยคนหนึ่งอยู่ในชุดสามัญชนทั่วไปแต่ด้วยใบหน้าที่สะอาดหมดจดงดงามปานเทพเซียน และดวงตาคมกริบฉายแววกล้าแกร่งเกินวัย กำลังควบม้าตะบึงมาก่อนจะผ่อนเป็นเชื่องช้าเดิน เหยาะ เหยาะ เข้ามาหาผู้เป็นบิดาและมารดาที่ยืนรอตนอยู่ด้านตรงลานกว้างกลางพระราชวังราศีของผู้นำผู้มีอำนาจบารมีได้แผ่ออกมาจากตัวหนุ่มน้อยอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าเขาจะมีอายุเพียงสิบกว่าปีเท่านั้น หลี่ซ่งหมินและหงเหม่ยหลงยืนมองหลี่หงจินหยางที่กำลังนั่งงามสง่าอยู่บนอาชาคู่ใจ ยามนี้ได้เวลาที่บุตรชายหนึ่งเดียวของพวกเขาจะได้ออกเรียนรู้การเป็นผู้นำที่แท้จริง ศึกครานี้หลี่หงจินหยางได้รับหน้าที่ให้ไปเปิดศึกเพื่อที่จะทำการปิดศึกให้ได้อย่างถาวรกับพวกแคว้นเว่ยที่ยังคงหลงเหลือเมื่อหลายปีก่อน ถึงแม้ว่าพวกแคว้นเว่ยนั้นจะยังไม่มีการจู่โจมหรือเปิดศึกใดๆ กับแคว้นต้าหลี่ แต่จากข่าวกรองที่หลี่ซ่งหมินได้รับนั้น มิใช่ว่าพวกแคว้นเว่ยจะรามือจากการแก้แค้นแต่อย่างใด พวกมันยังคงก่อตั้งกลุ่มกำลังและขยายเพิ่มอำนาจอย่างต่อเนื่องเพื่อรอเวลาที่เหมาะสมสำหรับการกลับมายังดินแดนที่เคยเป็นของพวกมัน แต่การที่จะเป็นฝ่ายรอรับมิสู้เป็นฝ่ายรุกเสียก่อนยามที่
และเสียงดาบฟาดฟันประสานกันก็ยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่องในเวลาต่อมาหงเหม่ยหลงเพียงนั่งชมภาพของสองพ่อลูกแลกหมัดประสานกระบี่กันไปมาอย่างนึกชื่นชม ยามนี้หญิงสาวตัดสินใจเอาไว้แล้วว่าจะพยายามตั้งครรภ์ด้วยตนเองโดยไม่สนใจบรรดาสนมนางใดอีกต่อไป แต่ถ้านางไม่สามารถมีลูกได้ดังใจหวังนางก็จะเป็นทุกอย่างให้บุตรชายหนึ่งเดียวของนาง หลี่หงจินหยางนั้น นางจะเป็นทั้งมารดา เป็นทั้งอาจารย์ เป็นทั้งสหายในทุกสถานการณ์ให้กับบุตรชายของนาง แต่การที่จะทำให้หลี่หงจินหยางอยู่ได้ด้วยหน้าที่อันหนักหน่วงในภายภาคหน้าได้นั้น การประคบประหงมย่อมเป็นการกระทำที่ผิดมหันต์ เขาต้องเรียนรู้ในทุกๆเรื่องตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ภายในตำหนักกลางบริเวณห้องรับประทานอาหารของครอบครัวสกุลหลี่ “ออกรบหรือเสด็จพ่อ” หลี่หงจินหยางเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้นไปทางหลี่ซ่งหมินภายในตำหนักกลางหลังจากทานอาหารร่วมกันเป็นที่เรียบร้อย“ถูกต้อง” หลี่ซ่งหมินรับคำเรียบๆ ก่อนเอ่ยต่อเพื่อขยายความ“ขณะนี้มีข่าวกรองเกี่ยวกับพวกของแคว้นเว่ยที่สามารถหลบหนีไปได้เมื่อหลายปีก่อน พวกมันสามารถสร้างขุมกำลังเอาไว้ในเขตแดนต้าไห่ ข้าอยากให้เจ้
นางช่างโง่งมจริงดังคำเขากล่าว“ซ่งหมิน... ข้า...” หญิงสาวไม่รู้จะกล่าวสิ่งใด นางเพียงยืนก้มหน้าและเอ่ยออกมาได้เพียงแค่นั้น “หลงเอ๋อร์...” น้ำเสียงทุ้มนุ่มกว่าเดิมเรียกนางจนนางต้องเงยหน้าขึ้นมองสบสายตา “ข้าเองที่เห็นแก่ตัว” หลี่ซ่งหมินขยับเพียงนิดเพื่อดึงร่างบางของหงเหม่ยหลงเข้ามาโอบกอดอย่างนุ่มนวลพลางเอ่ยต่อ“ข้าเห็นแก่ตัวจนละเลยสิ่งที่ควรจะเป็นไปของเมืองหลวง และข้าก็เป็นเช่นนี้ ข้าเลือกเกิดไม่ได้ ข้าเกิดมาเป็นโอรสสวรรค์ ข้าเกิดมาพร้อมภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่และหนักหน่วง มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ข้าไม่อาจเห็นแก่ตัว ข้าย่อมต้องเห็นแก่ประโยชน์ของส่วนรวม มีเพียงแต่เจ้า แค่เรื่องของเจ้า ที่ข้ามักจะเห็นแก่ตัว”ชายหนุ่มเอ่ยพลางก้มมองใบหน้าของนางยามนี้เขายังคงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง“การตั้งครรภ์ การสร้างทายาท เป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสสำหรับสตรี ข้าย่อมเข้าใจ แต่ข้าก็ไม่คิดจะให้ใครมาทำหน้าที่นี้แทนเจ้า มีเพียงเจ้า...”หลี่ซ่งหมินหยุดเว้นคำพูดเพียงนิดก่อนดันร่างของหญิงสาวออกก่อนก้มหน้ามองนางและให้นางได้เงยหน้าสบตาหงเหม่ยหลงทำได้เพียงเงยหน้าขึ้นมองไม่กล้ากล่าวสิ่งใดหลี่ซ่งหมินยังคงเอ่ยต
หลังจากที่หงเหม่ยหลงได้ตัดสินใจเป็นที่แน่นอนแล้วว่าจะต้องเห็นแก่ระบบเมืองหลวงตามกฎมณเฑียรบาลที่ควรจะเป็นเพื่อประโยชน์สูงสุดของหลี่หงจินหยางบุตรชายหนึ่งเดียวของนาง แต่ยามนี้ นางกลับทำใจไม่ได้ นางทำใจไม่ได้เอาเสียเลย เมื่อนึกถึงภาพของหลี่ซ่งหมินกำลังร่วมรักอยู่กับสตรีอื่น ใจของนางเหมือนจะขาดออกเป็นเสี่ยงๆในขณะที่หงเหม่ยหลงกำลังก้มหน้าก้มตากำหนดจิตใจไม่ให้ฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ หญิงสาวรู้สึกได้ว่ามีคนผู้หนึ่งมาหยุดยืนอยู่ตรงแท่นที่นางกำลังนั่งหมกหมุ่นอยู่ เมื่อนางกำลังควบคุมสติและสีหน้าให้เป็นปกติก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้น เสียงทุ่มต่ำคุ้นหูของบุรุษผู้หนึ่งพลันดังขึ้น “เจ้าต้องการอย่างนี้หรือ”ทั้งน้ำเสียงและประโยคนั้นทำหงเหม่ยหลงถึงกับชะงักงันหันไปสบตากับเจ้าของเสียงในทันที“เจ้าต้องการอย่างนี้จริงๆใช่หรือไม่ หลงเอ๋อร์” ประโยคนั้นของหลี่ซ่งหมินแม้จะเป็นน้ำเสียงราบเรียบแต่หงเหม่ยหลงสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจเจือจางผสมผสานอยู่“ท่าน...” หญิงสาวจึงเอ่ยเสียงเบา “ท่านควรจะอยู่ตำหนักของสนมมิใช่หรือ” และประโยคนั้นของหญิงสาวก็ทำหลี่ซ่งหมินชะงันไปในทันทีเช่นกัน ความเงียบงันเข้าปกคลุมทั้งสองโดย







