สองอาทิตย์ผ่านไป
วันนี้เป็นวันที่ลินินต้องมาถ่ายรายการที่เจ้าตัวรับงานไว้เมื่อสองเดือนก่อน หลังจากที่กลับมาจากโรงแรม ลินินก็ใช้เวลาในการทบทวนตัวเองอยู่นาน ว่าเธอควรจะทำยังไงกับชีวิตของเธอดี การอยู่ในวงการบันเทิงใช่ว่าจะคือความฝันของเธอ แต่ที่เธอทำอยู่ก็เพราะมันสร้างรายได้ให้กับเธอมหาศาล ครั้นจะลาวงการไปเลยตอนนี้ก็คงไม่ใช่ทางออกที่ดี แม่ของเธอป่วยหนักและจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากในการผ่าตัด ทำให้เธอตัดสินใจต้องกลับมารับงานละครอีกครั้ง
ความฝันที่แท้จริงของลินินคือการเปิดร้านขายขนมเล็กๆ สองคนกับแม่ เมื่อครั้งยังเด็กๆ บ้านของเธอเปิดร้านขายขนมปังอยู่ท้ายตลาด ในทุกๆ วันแม่ของเธอจะเอาขนมปังใส่กระเป๋านักเรียนให้เธอมากินที่โรงเรียนโดยไม่ต้องเสียเงินซื้อขนมสักบาท และเธอก็จะแบ่งขนมให้เพื่อนๆ ในห้องกิน จนเธอกลายเป็นที่รักใคร่ของเพื่อนๆ
กระทั่งพ่อของเธอได้ฆ่าตัวตาย หลังจากที่ถูกเพื่อนสนิทชักชวนให้ไปลงทุนเปิดฟาร์มเลี้ยงไก่เพื่อนำขายให้กับบริษัทที่มารับซื้อ แต่เพราะความไว้ใจที่คบกันมาหลายสิบปีบวกกับพ่อของลินินเป็นคนซื่อจึงถูกหลอกให้เซ็นส่งมอบไก่ป่วยล็อตแรกจนถูกบริษัทที่มารับซื้อไปฟ้องและชนะคดีจนต้องจ่ายค่าเสียหายถึงสิบเท่าของราคาที่จ่ายไปด้วยกัน
ตอนนั้นลินินทั้งเสียใจและไม่เข้าใจว่าทำไมท่านถึงต้องตัดสินใจแบบนั้น แต่เพราะชีวิตต้องดำเนินต่อไป แม่ของเธอตัดสินใจขายร้านขนมปังทิ้งและหอบเงินก้อนสุดท้ายมาตั้งหลักกันที่กรุงเทพ ตอนนั้นชีวิตสองคนแม่ลูกลำบากมาก ต้องอยู่ห้องเช่าเล็กๆ แถวชุมชนแออัด กับในทุกๆ วันอาหารหลักมีเพียงแต่ไข่ต้มกับน้ำปลาเท่านั้น แต่ในความโชคร้ายเด็กน้อยก็ยังมีความสุขกับการได้อยู่กับคนที่เธอรัก
เพราะเหตุการณ์นั้นยังคงเป็นปมอยู่ในใจ เธอตัดสินใจว่าจะไม่กลับไปอยู่ในสภาพนั้นอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้ลินินตั้งเป้าภายในสองสามปีนี้เธอจะลาจากวงการไปใช้ชีวิตอยู่กับแม่ที่บ้านเกิดที่จังหวัดลำปาง
“นี่อะไรกันยัยนิล”
แววตาเดินเข้ามาพร้อมกับทิ้งกระดาษที่ระบุว่าขอบอกเลิกสัญญาจ้างงาน สีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ลินินไม่ได้ตกใจกับการกระทำของผู้จัดการมากนักเพราะเธอรู้อยู่แล้วว่ายังไงแววตาก็ต้องมาหาเธอที่กองถ่าย
หลายคนที่อยู่แถวนั้น ไม่ว่าจะเป็นช่างแต่งหน้า ตากล้อง ฝ่ายจัดเสื้อผ้า หันมามองคนทั้งคู่ด้วยความแปลกใจ
“ก็ตามสัญญาที่นิลระบุไว้เลยค่ะ พี่ไม่เข้าใจตรงไหนถามนิลได้เลยนะคะ”
หญิงสาวตอบกลับเสียงเรียบไม่อยากเสวนาอีกฝ่ายนัก เรื่องในวันนั้นยังทำให้เธอขุ่นเคืองใจจนถึงวันนี้ เธอไม่คิดว่าแววตาจะกล้าขายเธอเพื่อแลกกับเงิน ทั้งที่เธอรักแววตาเสมือนพี่สาวคนหนึ่ง แต่อีกฝ่ายมองเธอเป็นแค่ตัวทำเงินเท่านั้น ซึ่งเธอเองก็เสียใจ เธอยอมอโหสิกรรมให้แต่จะให้กลับมาร่วมงานกันคงไม่เอา
“แกปลดฉันไม่ได้นะยัยนิล แกจำไม่ได้หรือไงว่าใครเป็นคนพาแกเข้าวงการจนโด่งดังได้มาถึงทุกวันนี้ ไม่สำนึกบุญคุณของฉันบ้างหรือไง”
แววตาตะโกนชี้หน้าด่าดาราสาวจนหลายคนที่อยู่แถวนั้นต่างมองพวกเธอเป็นตาเดียว ตอนนี้เธอไม่เหลืออะไรแล้ว บ้านที่อยู่ตอนนี้ก็ต้องเอามาจำนองเพื่อใช้คืนเสี่ยจนหมด ส่วนเด็กในสังกัดคนอื่นๆ เมื่อรู้ว่าลินินหาผู้จัดการคนใหม่ได้ก็ชิงลาออกกันจนหมด สาเหตุก็รู้ๆ กันอยู่ว่าทำไม
“นิลไม่ได้อยากให้เรื่องมันเป็นอย่างนี้ค่ะ แต่พี่ตาต่างหากที่เป็นคนเลือกเอง”
หญิงสาวพูดย้ำให้อีกฝ่ายรู้ตัว
“แกจะโทษฉันงั้นเหรอ ก็แกมันเกิดมาหน้าตาสะสวย โอกาสของแกย่อมมากกว่าฉันไง ฮึก แกรู้ไหมว่าฉันต้องขายบ้านเพื่อเอาเงินมาใช้หนี้จนหมดตัว ถูกแกไล่ออกจนไม่เหลืองานให้ทำ ฮึก ฉันไม่เหลืออะไรแล้วนิล ฉันไม่เหลืออะไรแล้ว”
แววตาทรุดตัวลงนั่งกับพื้นพร้อมกับร้องไห้ฟูมฟายอย่างหนัก ส่วนลินินเธอถอนหายใจแรง ก่อนที่จะหยิบเช็กมาเซ็นเป็นเงินจำนวนถึงหกหลักยื่นให้แววตา
“เอาไปตั้งหลักนะคะพี่”
เพราะความใจอ่อนทำให้ลินินไม่สามารถที่จะทนเห็นน้ำตาของผู้มีพระคุณได้ เธอหยิบยื่นโอกาสสุดท้ายให้กับแววตา
“ให้โอกาสพี่ไม่ได้เหรอนิล พี่สัญญาว่าพี่จะไม่ทำแบบนั้นอีก”
“ขอโทษนะคะพี่ตา นิลบอกตรงๆ ว่านิลคงไว้ใจพี่ไม่ได้แล้วจริงๆ ค่ะ”
ร่างบางพูดบอกตามตรง ก่อนที่แววตาจะมองกระดาษลายน้ำด้วยความชั่งใจ สุดท้ายเธอก็คว้ามันมากำไว้แล้วลุกไปจากตรงนั้นโดยที่ไม่ได้ลาลินินเลย
“พี่ว่าเราใจดีเกินไปนะนิล”
เพลินพิณเลขาสาวคนใหม่ที่สุ่มดูเหตุการณ์เดินเข้ามาพูดบอกลินิน เธอเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ทั้งหมด วงการนี้ไม่ได้ใหญ่โตอะไร เธอพอจะรู้นิสัยของผู้จัดการคนเก่าของลินินว่านิสัยเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้เธอจะไม่ก้าวก่ายเรื่องของเจ้านายให้มากนัก ทว่าหากในภายภาคหน้าแววตายังมาตามตอแยเด็กของเธออีกล่ะก็ เพลินพิณคงไม่อยู่เฉยเป็นแน่
“เงินไม่ได้มากมายอะไรคะ นิลให้ได้”
ลินินพูดบอกพร้อมกับคลี่ยิ้มหวานให้เพลินพิณ เธอสามารถช่วยอีกฝ่ายได้เท่านี้ ตามที่เธอสามารถจะช่วยได้ หลังจากนี้เธอคงจะไม่ได้เจออดีตผู้จัดการอีกแล้ว หวังว่าแววตาจะกลับตัวกลับใจได้
“เราเนี่ยนะ…ใจดี ไม่สมกับเป็นนางร้ายเบอร์หนึ่งเลยนะคะ”
เพลินพิณหัวเราะในลำคอ หวนนึกถึงตอนที่ลินินติดต่อเธอมาให้เป็นผู้จัดการเธอเองก็แอบตกใจเหมือนกัน ถามกับลินินว่าทำไมถึงเปลี่ยนผู้จัดการกะทันหันเพราะสัญญาจ้างแววตาก็พึ่งเซ็นไปเมื่อไม่นานนี้ แต่ลินินก็ไม่ปริปากพูดถึงเรื่องนี้เลย
แต่ถึงอย่างนั้นเพลินพิณก็พอจะเดาได้ไม่ยาก คนติดการพนันอย่างแววตาไม่มีทางออกไปมากกว่าหลอกเด็กในสังกัดไปทานข้าวกับเสี่ยแก่ๆ ที่ยอมทุ่มเงินจำนวนมากเพื่อได้หลับนอนกับเด็กในวงการ หลายคนต้องตกเป็นเหยื่อเพื่อสนองตัณหาผู้มีอำนาจ จนกลายเป็นเมียน้อยของคนพวกนี้ก็ถมไป
ช่างน่ารังเกียจเสียจริง…
การทำงานในวันนั้นเป็นไปอย่างราบรื่น และไม่ได้ติดขัดอะไรนัก ผู้จัดการคนใหม่ดูเหมือนจะคล่องแคล่วและเป็นมืออาชีพมากกว่าผู้จัดการคนก่อนหลายเท่า มันทำให้ลินินทำงานได้สะดวกสบายมากขึ้น ทั้งยังมีเวลาดูแลแม่ของเธอที่ป่วยหนักของเธออีกด้วย
และวันนี้ก็เป็นวันหยุดของเธอ ลินินตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อออกมาวิ่งออกกำลังกาย หมู่บ้านจัดสรรที่เธออยู่เป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ อีกทั้งการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดทำให้เธอไม่รู้สึกเป็นกังวลมานัก วิ่งๆ ได้สักพักก็เจอกับยามในหมู่บ้าน หญิงสาวไม่ลืมที่จะยิ้มแย้มทักทายลุงยามที่ออกมาตรวจตราความเรียบร้อย พร้อมกับยื่นปาท่องโก๋เพื่อผูกมิตรเหมือนเช่นทุกครั้ง
“ตื่นแต่เช้าเลยนะคะหนูนิล”
หญิงวัยกลางคนเอ่ยถามผู้เป็นลูก หลังจากตื่นนอนมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้เต็มโต๊ะ ร่างเล็กอยู่ในชุดกันเปื้อนลายลูกหมี หน้าตาละไม้คล้ายกับลินินแต่ดูมีอายุกว่า จนหลายคนเอ่ยทักผิดอยู่บ่อยๆ
“ไม่เห็นต้องลำบากตื่นมาทำอาหารให้นิลเลยนิคะ แม่กำลังป่วยอยู่นะ
พูดบอกด้วยความเป็นห่วง แม่ของเธอไม่ค่อยจะแข็งแรง เพราะเมื่อสามเดือนที่แล้ว ลลินได้พลัดตกบันไดจนกระดูกแขนและขาด้านขวาหักและต้องใช้เวลารักษาอยู่เป็นเดือนๆ กว่าที่จะกลับมาเดินได้
ทว่าซ้ำร้ายไปกว่านั้น…เมื่อเดือนก่อนหลังจากที่ลินินพาลลินไปพบคุณหมอตามนัด แต่คุณหมอขอคุยกับเธอเป็นการส่วนตัว และได้บอกว่าผลเอกซเรย์ที่กระดูกแขนและขาจะกลับมาใช้ได้ปกติ ทว่าผลเอกซเรย์กลับเจอจุดบริเวณปอดด้านขวาและต้องส่งตรวจโดยละเอียดในทันที
เมื่อผลออกมามันทำให้ลินินถึงร้องไห้โฮ เมื่อจุดที่ว่ามันคือมะเร็งปอดระยะที่สอง และที่สำคัญลลินต้องเข้ารับการให้คีโมโดยด่วน
“ก็แม่อยากทำให้เรากินนิ ถ้าแม่ไม่ทำวันหน้าอาจจะไม่มีโอกาสแล้วก็ได้นะ”
พูดทีเล่นทีจริง แต่คนที่ได้ฟังหัวใจกลับหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม ร่างบางเข้าสวมกอดรัดร่างเล็กของผู้เป็นแม่แน่น พร้อมกับกดจูบไปยังที่แก้มนิ่มแรงๆด้วยความรัก
“อย่าพูดอย่างนั้นสิคะ คุณลินต้องอยู่กับหนูนิลไปนานๆ อยู่แล้ว เดี๋ยววันนี้ตอนบ่ายเราไปคุยกับคุณหมอเรื่องให้คีโมกันนะคะ”
ลลินหุบยิ้ม ก่อนจะลูบผมยาวสลวยของลูกสาวคนเดียวของเธอ
“แม่จะต้องหาย แล้วเราสองคนจะมาทำร้านขนมปังด้วยกันอีกครั้งนะคะ”
“ทุกอย่างบนโลกใบนี้มีพบก็ต้องมีจากนะคะลูก แม่ไม่ขออะไรเลย…ถ้ามันถึงเวลานั้นจริงๆ แม่อยากเจอคนที่ดูแลเราได้ไปตลอดชีวิต แค่นั้นแม่ก็หมดห่วงแล้วค่ะ”
ลลินรู้ตัวว่าเธอจะอยู่ได้อีกไม่นาน เจ้าก้อนมะเร็งที่กำลังเติบโตอยู่ที่ปอดของเธอไม่รู้จะพรากเธอไปจากลูกตอนไหน แต่ถ้าหากเวลานั้นมาถึง เธอก็อยากให้มีใครสักคนมาดูแลลูกสาวตัวน้อยแทนเธอ เธอจะได้นอนตายตาหลับ
“อย่าพูดอย่างนั้นอีกนะคะ ยังไงนิลก็ไม่ยอมให้แม่ไปไหนง่ายๆ หรอก แม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนนิลไปอย่างนี้นี่แหละ”
คนเอาแต่ใจพูดบอกคนเป็นแม่ ลลินก็ได้แต่ส่ายหัวให้ความดื้อของลินิน
“มีสปอนต์เซอร์อยากให้เราไปเป็นพรีเซนต์สินค้าที่กำลังจะออกใหม่ ถ้าเราสนใจพี่ส่งเมลไปให้แล้วนะคะ”
ผู้จัดการคนใหม่พูดบอก หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีบริษัทใหญ่ติดต่อให้ลินินไปเป็นพรีเซนต์เตอร์เซรั่มบำรุงผิวหน้าตัวใหม่ ซึ่งเธอเองก็เอามาเสนอลินินก่อนว่าจะยอมตกลงรับงานนี้หรือไม่
ตอนนี้ลินินมากองละครที่จังหวัดกาญจนบุรีและต้องค้างอยู่ที่นี่เป็นระยะเวลาเกือบสามวัน ลินินแทบไม่มีกะจิตกะใจที่จะทำงานเพราะเป็นห่วงแม่ หลังจากการให้คีโมร่างกายของลลินก็อ่อนแอไม่มีแรงลุกจากเตียงเลยด้วยซ้ำ จนเธอตัดสินใจจ้างพยาบาลพิเศษเพื่อมาดูแลแม่ของเธอในระหว่างที่เธอมาออกกองละครที่ต่างจังหวัด
ถึงจะกังวลสักเพียงใด แต่ด้วยอาชีพนักแสดงของเธอทำให้เธอต้องตั้งสมาธิอ่านบทท่องจำให้แม่นเพื่อที่จะได้เล่นผ่านในครั้งเดียว โดยมีเพลินพิณนั่งสรุปงานให้ฟังอยู่ข้างๆ
“บริษัทอะไรคะพี่”
“บริษัท V White ค่ะน้องนิล”
“งั้นนิลรับค่ะ”
พูดตอบรับโดยที่ไม่ได้อ่านรายละเอียดเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้อะไรที่ทำงานแล้วได้เงินมาลินินทำหมด อีกทั้งบริษัท V White เป็นบริษัทที่ใครๆ ก็รู้จักในฐานะเป็นบริษัทผลิตเครื่องสำอางแบรนด์ดังส่งทั้งไทยและต่างประเทศ ทำให้ลินินตัดสินใจตอบรับคำเชิญในทันทีโดยที่ไม่ได้ตรวจสอบอะไรเลย
“ถ้าน้องนิลตัดสินใจแล้ว เดี๋ยวพี่หาวันทำสัญญาจ้างให้นะคะ ส่วนรายละเอียดของงานเดี๋ยวพี่สรุปให้ทางเมลและเดี๋ยวบอกรายละเอียดคร่าวๆ ให้เราฟังพรุ่งนี้ค่ะ”
“ขอบคุณพี่เพลินมากนะคะที่เป็นธุระจัดการให้”
เอ่ยขอบคุณผู้จัดการสาวเสียงอ่อน ช่วงนี้ลินินทำงานตลอดเจ็ดวัน เพราะตั้งใจจะเก็บเงินพาแม่ของเธอไปรักษาที่ประเทศอเมริกา เธออ่านเจอว่าวิวัฒนาการทางการแพทย์ของที่นั่นดีกว่าเมืองไทยมากนัก ถ้าหากว่าสามารถรักษาแม่ของเธอได้ จะเสียเงินสักเท่าไหร่เธอก็ยอม
“ไม่เป็นไรค่ะ มันเป็นหน้าที่ของพี่อยู่แล้ว”
เพลินพิณอดจะสงสารเจ้านายของเธอไม่ได้ ช่วงนี้ลินินดูอ่อนเพลียง่ายและดูจะผอมกว่าเดิมด้วยซ้ำจนเธอต้องหาอาหารเสริมมาบำรุงเพราะกลัวว่าเด็กของเธอจะทรุดเสียก่อน แต่ถึงอย่างนั้นลินินก็แตะต้องอาหารน้อยมาก
“เดี๋ยวพี่หาอะไรมาให้ทานรองท้องนะคะ เช้านี้พี่ยังไม่เห็นเราแตะอาหารเลย”
“แต่นิลไม่หิวนิคะ พี่เพลิน”
ร่างบางโอดครวญ เสมือนว่าเพลินพิณบังคับให้เธอกินยาขมๆยังไงยังงั้น
“อย่าดื้อค่ะ เราไม่กินอะไรบ้างเดี๋ยวก็เป็นลมเป็นแล้งไป พี่แบกเราไม่ไหวนะ หึหึ”
ผู้จัดการสาวเอ่ยกับเด็กดื้อพลันหัวเราะในลำคอ ยังไงซะถ้าอีกฝ่ายไม่กิน เธอก็จะป้อนให้ถึงปากเลยคอยดู ลินินเบะปากคว่ำทำท่าเหมือนจะร้องไห้ที่ถูกผู้จัดการใหม่ของเธอบังคับ
“ก็ได้ค่ะพี่ แต่นิลไม่ค่อยหิวนะคะ”
“ไม่หิวก็ต้องกินจ๊ะ วันๆ กินแต่อาหารกระต่าย แล้วจะมีแรงทำงานได้ยังไงกัน”
อาหารกระต่ายที่ว่าคือพวกสลัดต่างๆ ทำให้คนที่ได้ฟังถึงกับขำออกมาเบาๆ ผู้จัดการคนนี้ช่างเผด็จการเสียจริง แต่ลินินก็ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองเพราะรู้อยู่แล้วว่าเพลินพิณเป็นห่วงเธอ ไม่นานผู้จัดการสาวมาพร้อมกับก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กหมูน้ำใส พอได้กินอะไรร้อนๆแล้ว ทำให้ลินินรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง ก่อนที่เธอจะลุยงานได้จนจบ