로그인จากนิสัยปกติของแมวแล้ว จะเห็นว่ามนุษย์อย่างเรานั้นเป็นเพียงแมวตัวใหญ่หากแต่พวกมันจะไม่ยอมรับและทำตัวไม่ยอมฟังหรือทำตามคำสั่งของมนุษย์หรือว่าเจ้าแมวตัวใหญ่นั้น เพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ต้องตกเป็นลูกฝูง แต่การที่มีมนุษย์มาให้อาหารนั้นมันก็จะถือว่าเขาเป็นจ่าฝูงที่ล่าอาหารมาให้ได้
หากแต่วันใดที่มนุษย์ออกจากบ้านไปแต่ไม่มีอาหารกลับมามันก็จะมองว่าแมวตัวใหญ่นี้ล่าเหยื่อไม่ได้ และตัวมันเองจะต้องออกไปล่าเหยื่อ คาบเข้าบ้านมาฝากเพื่อที่แมวตัวใหญ่จะยอมรับว่ามันคือจ่าฝูงและเจ้าของต้องเป็นทาสของมัน
ดีน ชายหนุ่มหน้านิ่งผู้นี้ถือว่าโชคดีนัก เพราะว่าแมวที่เขาเลี้ยงนั้นไม่ใช่แมวธรรมดา จึงไม่ได้มีพฤติกรรมน่าตลกเหมือนอย่างในโซเซียลเสียเท่าไหร่ แมวตัวนี้คิดการใหญ่กว่านั้น...
...ช่างเป็นวันที่น่าเบื่ออีกวันสินะ ให้ตายสิ!... นิลมณีคิดในใจ ก่อนจะหันไปมองดีนผู้ที่เป็นเจ้าของเธอ กำลังวางปลาทูย่างกระทะให้เธอตรงชามข้าวแมว เธอปรายตามองมันเล็กน้อยก่อนจะอ้าปากหาวเสียกว้างแล้วนอนแผ่หลาพลิกตัวอยู่ที่เดิม
“ยังไม่หิวเหรอเจ้าสีนิล?” มนุษย์หนุ่มเอ่นถามแมวจอมหยิ่งของเขา แต่มันก็ยังคงนอนแผ่หลับตานิ่ง
...พรุ่งนี้ก็ได้เริ่มงานแล้วสินะ...ยังไงฉันก็ต้องหาต้นตอของกลิ่นอายนั้นให้เจอ!... คิดในใจไม่ได้ใส่ใจคนที่ร้องเรียกเธอไปทานอาหารมากนัก ในหัวคิดแต่เรื่องของวันพรุ่งนี้ ในร่างมนุษย์สาวพราวเสน่ห์ !
ชักเริ่มคิดว่าจะมีเรื่องน่าสนุกแล้วสิ หากต้องอยู่กับเขาในร่างมนุษย์คงจะมีเรื่องให้เถียงเขาได้ทุกวันเป็นแน่ คิดๆวางแผนไปก็วุ่นวายอยู่ไม่น้อยที่ต้องรีบกลับจากที่ทำงานเพื่อกลับเข้าห้องของเขาในร่างแมว ขออย่าได้ตัวติดกันตลอดเวลาเลยเถอะ
เช้าวันสดใสที่ไม่สดใสเมื่อเจ้ามนุษย์หนุ่มยังนอนหลับอุตุอยู่บนเตียงโดยไม่สนเวลาเลย นิลมณีตั้งหน้าตั้งตารอให้เขาออกจากห้องเพื่อไปทำงานก่อนที่เธอจะตามไป หากแต่ว่าชายหนุ่มกลับยังไม่ยอมตื่นเลยด้วยซ้ำ
...ไม่พ้นน่าที่ข้าสินะ... คิดในใจนั่งเงยหน้ามองร่างสูงกำยำที่นอนแผ่หลาอยู่บนเตียง พลันสายตาของเธอก็อดที่จะเบี่ยงเบนไปยังจุดเด่นชัดกลางลำตัวไม่ได้จริงๆ หลับตากัดฟันแน่นระงับอารมณ์หงุดหงิดที่ต้องทนเห็นอย่างนี้ทุกเช้า
ตัดสินใจกระโดดขึ้นไปบนเตียงก่อนจะกระโดขึ้นไปบนตัวเขาร้องเสียงเหมียวๆข้างๆหู ก็ยังคงนิ่งสนิท ไม่ว่าจะเดินวนไปวนมาตรงอกเขาก็ยังคงไม่ยอมตื่น นี่หลับหรือซ้อมตายกันแน่ ไม่ทันจะได้เริ่มแผนต่อไปเจ้าตัวใหญ่ก็พลิกตัวคว้าร่างเจ้าแมวเหมียวของเขาเข้าไปกอดเหมือนตุ๊กตา
เงี๊ยววว!!
...ทำอะไรของเจ้าเนี่ย!! ตื่นแล้วไปทำงานได้แล้วนุดขี้เซาเอ้ย!!... ร้องบ่นออกมาจนเป็นเสียงแมว แม้จะรู้ว่าเขาจะไม่เข้าใจแต่อย่างน้อยก็ทำให้รำคาญอยู่บ้าง เจ้าแมวสีนิลดิ้นขลุกขลักในอ้อมแขนแกร่ง ก่อนจะรีบดีดกระโดดตัวออกจากช่องระหว่างแขนของเขา ตั้งท่าเดินไปยังกลางลำตัวด้วยความหงุดหงิด เขาสายเธอก็จะสายไปด้วย
หย่อนตัวนั่งลงหันหลังให้ลำกายที่ปูดนูน หลับตานิ่งสนิทพร้อมกับเอื้อมอุ้งเท้าหน้าข้างหนึ่งที่ใกล้ลำกายของเขาที่สุด ยกอุ้งเท้ากางกรงเล็บ ตวัดวาดขูดข่วนลำกายของเขาผ่านกางเกงนอนตัวบางจนชายหนุ่มสะดุ้งโหยง
“อ๊ากกกกกกกกกกกก!!!” ร้องด้วยความเจ็บปวด ลุกพรวดขึ้นนั่งจับกุมเป้าอ่อนไหวของตัวเองเอาไว้ด้วยสีหน้าเจ็บปวด เจ้าตัวการก็ไม่ได้กระโดดหนีหายไปเหมือนทุกครั้ง ยังคงนั่งจ้องหน้าเขาอยู่ที่เดิม
“ทำไมถึงทำกันได้ลง” พูดไปพลางมองเจ้าแมวเหมียวไปด้วยสีหน้าเจ็บปวด
เหมียว... เจ้าแมวสีดำจอมหยิ่งร้องตอบรับเขา ก่อนจะเดินนวยนาดยังนาฬิกาดิจิตอลที่วางไว้บนหัวเตียง ใช้เท้าหน้าข้างหนึ่งเขี่ยๆที่นาฬิกานั้นพร้อมกับหันไปร้องบอกเขา
“ทำเหมือนรู้เรื่องคนเลยนะแกเนี่ย”
ดีนพูดก่อนจะลุกออกจากเตียงเอื้อมมือไปยีหัวเจ้าแมวเหมียว จะโกรธก็โกรธไม่ลงความโกรธมันถูกลบล้างไปด้วยความน่าทึ่งในความฉลาดของมัน ก่อนจะลุกไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมจะไปทำงาน และยังไม่วายวางอาหารเอาไว้ให้
เจ้าแมวเหมียวตัวสำดำนั่งมองตามหลังผู้เป็นเจ้าของจนเขาออกจากห้องไป ร่างแมวตัวน้อยสีดำค่อยๆเปลี่ยนเป็นร่างของหญิงสาวเนื้อผิวขาวผ่อง ดวงตาสีเหลืองเจือจางเป็นสีน้ำตาลอ่อนสวยใส เรือนร่างอรชรเด่นชัดส่วนเว้าส่วนโค้ง ผมยาวตรงสีดำเหลือบน้ำตาลสลวยนั่งอยู่บนเข่าหน้าประตูห้องที่ชายหนุ่มพึ่งออกไป
เธอหยัดตัวลุกขึ้นเต็มความสูงประมาณ 160 ใบหน้าสวยก้มมองสำรวจตัวเองไปมา เพื่อตรวจเช็คความเรียบร้อยบนตัว เธอในชุดเดิมชุดที่ไปสมัครงานวันแรกมองตัวเองแล้วถอนหายใจ แม้ว่าเสกสรรเสื้อผ้าได้แต่มันก็เป็นเพียงเสื้อผ้าที่ในคนเอามาเซ่นไหว้ทำบุญให้เมื่อครั้งยังเป็นจอมปีศาจและให้โชคคนผู้นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นชุดไทยราวกับเธอเป็นนางไม่เสียมากกว่า
...ใครเป็นคนบอกพวกมนุษย์กันนะว่าไหว้ผีไหว้เจ้าต้องถวายชุดไทย... คิดในใจแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจหนัก อย่างน้อยหลังเลิกงานเธอค่อยไปหาซื้อชุดเอาใหม่ก็ได้
นิลมณีในร่างมนุษย์เหลือบมองนาฬิกาก่อนจะรีบออกจากห้องคอนโดตามๆเขาไป เพื่อที่จะไปให้ทันเวลาที่นัดเริ่มงานไว้ เธอจึงกลับร่างเป็นแมวเหมียวหลังจากพ้นจากประตูคอนโดด้านล่าง สี่เท้ารีบวิ่งบ้างเดินบ้างกระโดดกำแพงเดินไปบ้างจนมาถึงหน้าบริษัท เธอเดินสี่เท้าผ่านเสาต้นใหญ่ พ้นเสานั้นออกมากลายเป็นหญิงสาวสวยสะพรั่งก้าวเท้าฉับๆเข้ามายังบริษัทที่ได้ร่วมงานด้วยท่าทีมั่นใจ
“มาเริ่มงานวันนี้ค่ะ”
“อ๋อ ค่ะ...เชิญที่ชั้น20เลยค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะพาไปยังห้องHRก่อนเพื่อลงสแกนนิ้วทำงานค่ะ”
“ค่ะ”
นิลมณีตอบสั้นๆ ก้าวตามพนักงานสาวที่อยู่หน้าล็อบบี้หน้าบริษัท คนเดียวกับที่รับใบสมัครของเธอ ทั้งสองเดินขึ้นลิฟท์ไป บรรยากาศภายในลิฟท์เงียบและรู้สึกเย็นยะเยือกจนน่าขนลุกเลยทีเดียว พนักงานสาวลูบแขนตัวเองปอยๆ แม้จะมีนิลมณียินอยู่ข้างหลังแต่ก็รู้สึกเย็นวาบข้างหลังอยู่ดี
“เอ่อ...คุณนิลมณีมีชื่อเล่นไหมคะ?”
“เรียกว่า นิล ก็ได้ค่ะ” ตอบด้วยท่าทีเรียบเฉยอย่างไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นัก
“ฉันชื่อ...”
ติ้ง! เสียงเตือนในลิฟต์ดังขึ้นเป็นการบ่งบอกว่ามาถึงชั้นที่ต้องการแล้ว นิลมณีเดินออกจากชั้นโดยไม่ได้สนใจเพื่อนร่วมบริษัทที่พยายามจะแนะนำตัวกับเธอเลยสักนิด หญิงสาวมองตามหลังเธอตาละห้อยเอ่ยบอกชื่อตัวเองเสียงแผ่ว คิดว่าผู้หญิงสวยย่อมหยิ่งเป็นธรรมดาคงไม่ได้อยากจะรู้จักพนักงานหน้าล็อบบี้อย่างเธอเสียเท่าไหร่นัก
“ซัน...นี่...”
“ไปกันได้แล้วค่ะ คุณซันนี่” นิลมณีเหลียวไปทางหญิงสาวที่เอ่ยชื่อตัวเองเสียงแผ่ว ไม่ว่าเธอจะกระซิบเสียงเบาแค่ไหนใบหูของนิลมณีก็จะกระดิกได้ยินเสียงนั้นอยู่ดีตามสัญชาตญาณที่ไม่ใช่มนุษย์
ซันนี่ พนักงานหน้าล็อบบี้หญิงสาวคนแรกที่ถามไถ่ชื่อของเธอยิ้มร่าอย่างดีใจ ก่อนจะรีบเดินไปข้างๆนิลมณีทันที นิลมณีปรายสายตามองหญิงสาวที่เดินเคียงข้าง กลิ่นไอแห่งความดีหรือเหล่าเทวดาที่ติดตัวซันนี่มาเด่นชัด จิตใจโอบอ้อมอารีและเป็นมีความเป็นมิตรไมตรีจากจิตมันให้นิลมณีที่เป็นราชาปีศาจสะอิดสะเอียนไม่น้อย
“นี่ห้องHR ค่ะ เดี๋ยวฉันจะนั่งรอคุณนิลอยู่ข้างหน้านะคะ” ซันนี่เอ่ย
“ไม่จำเป็นค่ะ เดี๋ยวแผนก HR จะพาขึ้นไปส่งคุณนิลมณีเองค่ะ คุณซันนี่...มีหน้าที่อยู่ในล็อบบี้ก็กลับไปทำหน้าที่ตัวเองจะดีกว่านะคะ”
ทุกอย่างเหมือนกับว่ากำลังจะจบลงด้วยดีและยังมีเรื่องราวใหม่ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นเช่นกัน จุดจบของบางสิ่งเพื่อเริ่มต้นบางอย่าง... บรรยากาศภายในรถครึกครื้นไปด้วยเสียงหัวเราะของลุงเพิ่มและดีนที่พูดคุยล้อเล่นกันไปมาตามประสาผู้ชาย อาจจะเป็นเพราะหมดเรื่องที่ทำให้หนักใจไปแล้ว นิลมณีได้แต่นั่งมองดีนพร้อมรอยยิ้มบางๆ เธอไม่คิดเหมือนกันว่าสุดท้ายราชินีปีศาจอย่างเธอจะต้องมาใช้ชีวิตอยู่กับเขาที่โลกมนุษย์ แต่ก็ใช่ว่าเธอจะทิ้งโลกปีศาจที่ตัวเองปกครองอยู่เพียงแค่อาจจะต้องไปๆมาๆ“พูดตามตรงว่าผมนี่มันดวงซวยเหมือนกันนะ” ดีนพูดอย่างยิ้มพร้อมหันไปมองนิลมณี “รอดจากนางปีศาจจิ้งจอกมาได้ก็จริง แต่ต้องมาเห็นผีเนี่ยสิน่าคิดหนัก” เขาพุดต่อ“นั่นสิ...” นิลมณีพูดพร้อมยกยิ้มก่อยนจะหันหน้าออกนอกกระจกรถ “แต่ก็ดีกว่าเหลือตัวคนเดียวนะคะ อย่างน้อยฉันก็อยู่ข้างๆคุณ”
ความมืดค่อย ๆ จางลง...แทนที่ด้วยแสงนวลสีเงินที่ส่องลอดผ่านม่านหมอกจาง ๆ อากาศอบอุ่นอย่างประหลาด คล้ายฤดูใบไม้ร่วงในโลกมนุษย์แต่กลับมีกลิ่นลมปีศาจเจืออยู่จาง ๆ นั่นคือสิ่งที่นิลมณีสร้างขึ้นเธอต้องการจบเรื่องนี้ให้มันเร็วที่สุด ทั้งเรื่องของเธอและเขาเสียงระลอกคลื่นกระทบฝั่งเบา ๆ ดังอยู่ไกล ๆดีนลืมตาขึ้นช้า ๆ รู้สึกเหมือนร่างกายเบาหวิวไร้น้ำหนักเขานอนอยู่บนผืนน้ำที่นิ่งสนิทราวกับกระจก แต่เมื่อขยับตัวจึงรู้ว่าพื้นที่รองรับเขาไม่ใช่น้ำ หากเป็น แสง แสงสีเทาเงินที่ไหลวนช้า ๆ เหมือนสิ่งมีชีวิต“ที่นี่...ที่ไหน...” เขาพึมพำ“ระหว่างโลกของคุณ...กับของฉัน” เสียงหวานแผ่วลอยมาตามลม ดีนหันไปเห็นหญิงสาวในชุดสีดำยาวพลิ้ว ดวงตาสีเหลืองสะท้อนแสงราวกับดวงดาวกลางรัตติกาล นิลมณี กำลังยืนอยู่บนผืนน้ำแสงเช่นเดียวกับเขา“ผม...ยังไม่ตายสินะ” เขายิ้มแผ่ว ๆ“คุณไม่ตาย เพราะฉันดึงคุณมาที่นี่ก่อนที่พลังของฮู่ลี่จะกลืนไปหมด” เธอตอบด้วยเสียงสงบ แต
“นิลมณี...” เสียงของเขาแผ่วเบา ราวกับลมหายใจที่หลุดจากอกอย่างยากเย็นร่างของหญิงสาวในชุดดำสนิทย่างก้าวออกมาจากหมู่ปีศาจที่แหวกทางให้ เส้นผมดำยาวสะบัดตามแรงลม ดวงตาสีมรกตคมลึกจับจ้องชายตรงหน้า ไม่ใช่ด้วยความโกรธ แต่เป็นสายตาของความรัก สายที่บ่งบอกว่าจำต้องเผชิญหน้าในสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้“ดีน...” เธอเรียกชื่อเขาเบาๆ เสียงนั้นทำให้หัวใจของชายหนุ่มแทบหยุดเต้น“เธอ...เป็นปีศาจจริงๆงั้นเหรอ” คำถามที่เปล่งออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ มีทั้งความผิดหวังและไม่อยากเชื่อผสมอยู่นิลมณีไม่ได้ตอบในทันที เธอเพียงก้าวเข้าไปทีละก้าว ฝ่าฝูงปีศาจที่ยังคงยืนจ้องมองอย่างระแวดระวัง เพราะทุกตนต่างรู้ดีว่านางแมวผู้ถูกขนานนามว่า ราชินีปีศาจ นั้น ไม่ใช่ปีศาจธรรมดา“ฉันไม่เคยคิดจะปิดบัง...” เธอพูดในที่สุด “แต่ฉันรู้ว่าคุณจะรับมันไม่ได้ โลกของคุณกับฉัน มันต่างกันเกินไป”“แล้วที่เธอทำทั้งหมด...ก็เพื่อดวงจิตในตัวฉันใช่ไหม?” น้ำเสียงของเขาเย็นลง ดวงตาแดงฉานเริ่มปรากฏอีกครั้ง “เพื่อพลังปีศา
การเจอกับปีศาจหรืออมนุษย์ครั้งแรกก็เมื่อตอนที่เขายังอายุได้เพียง 9ขวบ บริษัทที่พ่อสร้างไว้เป็นเพียงบริษัทค้าอาหารสัตว์แต่ก็ส่งออกไปทั่วทวีปนี้ อุบัติเหตุที่น่าสงสัยที่เป็นสาเหตุที่ทำให้พ่อแม่ของเขาเสียชีวิตทั้งที่ตัวเขาเองควรจะเป็นไปอย่างพ่อหรือแม่ ถึงดีนจะยังเด็กแต่เขาก็ไม่ใช่เด็กโง่...ทุกครั้งที่เขาเข้าไปเล่นในบริษัทมักจะได้ยินเหล่าทีมบริหารที่พ่อไว้วางใจพูดถึงพ่อของเขาในแง่ร้ายเสมอหลังจากที่เสนองบประมาณในการผลิตแล้วผู้เป็นพ่อของเขาปฏิเสธ ด้วยความที่คิดว่าดีนเป็นเด็กเหล่าทีมบริหารจึงไม่ใส่ใจเท่าไหร่กับที่จะพูดให้ผู้เป็นลูกชายตัวน้อยของประธานบริษัทได้ยิน“เจ้าโง่นั่นไม่ได้เรื่องเลยนะ เป็นประธานบริษัทได้ยังไงกัน”“บริหารก็ไม่ได้เรื่อง ไม่กล้าที่จะยอมรับความเสี่ยงทางธุรกิจอีกต่างหาก...ไม่ว่าบริษัทไหนก็ต้องเสี่ยงทั้งนั้นกับการลงทุนน่ะ แค่นี้ก็คิดไม่ได้”“แบบนี้บริษัทก็พัฒนาไม่ได้น่ะสิ น่าจะทิ้งตำแหน่งให้คนอื่นบริหารซะ...ตัวเองก็นั่งเฉยๆรับเงินไปก็สิ้นเรื่อง”“นั่นสินะ...คนอื่นข
ดีนที่สลบสไลเริ่มรู้สึกตัวขึ้น แม้ว่าเขาจะมีพญาสิงห์อดีตจอมราชาที่มีพลังเหลือล้นกว่าปีศาจและจอมราชาทั้งปวงแต่ด้วยร่างกายของดีน ภาชนะของเขาเป็นมนุษย์เมื่อหลับใหลไปก็ไม่สามารถออกตัวแสดงอิทธิฤทธิ์ใดๆได้ นอกเสียจากว่าขาดสติแต่ยังคงลืมตาอยู่ถึงจะสามารถปกป้องได้ เขามองไปรอบๆตัวช่างเป็นที่ที่น่ากลัวและดูสกปรกไม่น้อย มองยังไงก็ไม่ใช่โลกที่เขาเคยใช้ชีวิตอยู่แน่นอน รู้ตัวอีกทีก็หันไปมองมือของตนเองที่ไขว้หลังอยู่ ไม่ว่าจะพยายมขยับแค่ไหนก็ไม่สามารถขยับแขนของตนได้ มีบางอย่างรัดข้อมือของเขาเอาไว้แน่น รวมถึงช่วงลำตัวของเขาเช่นกัน “เปล่าประโยชน์...ยิ่งเจ้าขยับ หางของข้าก็จะรัดเจ้าแน่นกว่าเดิม”เสียงที่คุ้นหูเหมือนกับเสียงที่เอ่ยทักทายเขาก่อนจะสลบไปเรียกให้เขาเงยหน้าขึ้นมองข้างกายก็พบว่ามันเป็นบัลลังก์กระโหลกเก่าๆ พร้อมกับหญิงสาวในชุดที่แปลกตานั่งไขว่ห้างอยู่และปรายสายต
ดีนนั่งเงียบตลอดทางหลังจากขึ้นรถ ในหัวคิดแต่เรื่องของนิลมณีทั้งที่ยังดีๆอยู่เลยแล้วจู่ๆเธอก็เปลี่ยนไปราวกับมีเรื่องอะไรในใจที่พึ่งฉุกคิดได้อย่างไรอย่างนั้น ต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับเขาแน่ๆ ไม่อย่างนั้นเธอตคงไม่มีท่าทีแบบนั้นกับเขา...คิดไปพลางขวดคิ้วมองออกไปภายนอกรถ ...มันน่าแปลกอยู่อย่างหนึ่งก็คือผู้ติดตามของเขาที่ตอนนี้เอาแต่เงียบกริบไม่พูดไม่จาอะไร เป็นปกติต้องแซวเขาแล้ว แต่วันนี้กลับนิ่งเงียบไปจนดีนต้องหันไปมองผู้ติดตามของตนผ่านกระจก ถึงอย่างนั้นก็ยังดูปกติหรือว่าเขาคิดมากไปเอง “วันนี้ไม่แซว?” “.....” สิ่งที่ได้หลังจากถามออกไปก็ยังคงเป็นความเงียบ ไม่แม้แต่จะเห็นรอยยิ้มของเพิ่มพูนผ่านกระจกเลย เขาดูขับรถอย่างตั้งใจมากเกินไปจนเหมือนหุ่นยนต์ และที่สำคัญ...เพิ่มพูนหรือลุงเพิ่มไม่เคยไม่ตอบคำถามเขาผู้ซึ่งเป็นเจ้านายเลยแม้แต่ครั้งเดียว ประธานหนุ่มรู้สึกถึงการเปลี่ยนไปของบรรยากาศในรถ เขาเหลียวมองออกไปนอกรถอีกครั้งแต่ครั้งกลับไม่ใช่ทางที่จะบริษัท บรรยากาศราวกับหลุดเข้ามาอีกโลกหนึ่งทั้งที่ไม่คิดว่าจะถนนแบบนี้หรือบรรยากาศแบบ







