“อะไรกันคะ นาแค่อยากมาดูเจ้าสีนิลเฉยๆเองนะคะ”
“คุณหนูนาจะมาดูเจ้าสีนิลเฉยๆจริงน่ะหรือครับ?”
“ก็...” ชะงักคำพูดพร้อมกรีดปลายนิ้วชี้ไล่ลงไปยังหน้าท้อง ช้อนสายตาขึ้นมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างยั่วยวน
...เฮอะๆ...มาดูแมวที่ห้องสินะ... นิลมณีคิดก่อนจะกระโดดลงโซฟาแล้วไปนอนที่อื่นแทนไม่อย่างนั้นเธอคงได้โดนคนทั้งคู่ทับแบนเป็นแน่ แต่มองดูแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย
อย่างที่คิด...สองร่างโผเข้ากอดกันพร้อมกับแลกริมฝีปากกันไปมาอย่างลึกซึ้ง ดันร่างกันไปมาจนเดินมาถึงโซฟาที่ที่นิลมณีเคยนอนขดอยู่ก่อนหน้า ชายหนุ่มถูกเหวี่ยงลงไปนอนราบกับโซฟาโดยมีหญิงสาวที่เรียกตัวเองว่า นา ขึ้นคร่อมร่างเอาไว้
...เจริญตาของแมวล่ะ อยากดูจะตายชัก!... คิดในใจอย่างประชดประชันก่อนจะมองทั้งสองร่างฟัดกันอยู่บนโซฟาอย่างเข้าด้ายเข้าเข็ม เพราะมันขัดตาขัดใจเจ้าแมวสีดำจึงกระโดดขึ้นนั่งบนโต๊ะแก้วหน้าโซฟานั้นแกว่งหางไปมา จ้องมองคนทั้งคู่ทำหูตั้งหน้าสลอนอยู่อย่างนั้น
...วันนี้มีแต่เรื่องให้น่าหงุดหงิดใจจริงๆ อยากรู้นักจะยังกล้าทำกันต่อไหม!...
เหมี๊ยววววว ส่งเสียงร้องเรียกออกมาด้วยหน้าตาบ้องแบ๊ว
สีนิล หรือ นิลมณีในร่างแมวร้องเหมียวๆมองเจ้าของของมันและหญิงสาวที่เธอคุ้นหน้าจากโรงพยาบาลสัตว์เมื่อตอนกลางวัน ด้วยความที่มีแมวมองจ้องการกระทำของพวกเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็นพร้อมปัดหางไปมาทั้งที่คอตั้ง หูตั้ง ตาตั้ง ตัวอยู่นั่นที่เดิมราวกับรูปปั้นสฟริงค์ เป็นเหตุให้คนทั้งสองต้องหยุดชะงักการกระทำลงแล้วหันไปมองเจ้าแมวสีดำนั้น
ความรู้สึกเขินอย่างบอกไม่ถูกเมื่อมีแมวมอง แมวที่เป็นแมวจริงๆ ดีนยกยิ้มขึ้นก่อนจะหยัดตัวขึ้นนั่งแอบกลั้นขำเอาไว้ แม้แต่หญิงสาวที่เรียกตัวเองว่า นา ยังรู้สึกเขินจนได้แต่ยิ้มเจื่อน
“แมวคุณนี่...บางที่ก็น่าขนลุกเหมือนกันนะคะ ให้ความรู้สึกแปลกๆ” หญิงสาวเอ่ย
“คุณหนูนาคิดอย่างนั้นหรือครับ? แล้วมันให้ความรู้สึกแปลกๆยังไงล่ะครับ?”
“เหมือนคนเลยค่ะ นาว่ามันค่อนข้างที่จะนิสัยเหมือนคนแบบเราๆเลยค่ะ”
เขาเงียบก่อนจะหันไปขมวดคิ้วเล็กน้อย ริมฝีปากยกยิ้ม สีหน้าดูครุ่นคิดกับสิ่งที่หญิงสาวพูด จะว่าไปเจ้าสีนิลก็เหมือนคนจริงๆจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ในการเลี้ยงมันล้วนไม่ใช่วิสัยแมว แต่คงคิดมากไป
“เช่นอะไรครับ?”
“สายตาค่ะ สายตาท่าทางของเจ้าเหมียวทำให้นารู้สึกเหมือนกับว่ากำลังถูกผู้หญิงอีกคนจ้องมอง” พูดอย่างไม่คล่องปากนัก เหลือบมองชายหนุ่มที่นั่งข้างๆอย่างเกร็งๆ กลัวว่าเขาจะไม่เชื่อในสิ่งที่เธอพูดแล้วหาว่าเธอเป็นบ้า
“ก็...จริงของคุณ ให้ความรู้สึกเกรงใจแปลกๆ เหมือนเกรงใจ...”
เหมี๊ยวว... เจ้าแมวสีดำร้องขึ้นขัดประโยคที่เขาพูด นั่งท่าเดิมอยู่อย่างนั้น เพราะมีแมวนั่งมองอย่างตั้งใจทำให้อารมณ์ต่างๆเหือดหายไปเสียหมด ความรู้สึกเกรงใจแมวก่อตัวขึ้นในใจของคนทั้งคู่ รู้สึกพลังบางอย่างจากตัวของมันทำให้พวกเขาหยุดทุกอย่างเอาไว้อย่างชะงักงัน
“น่าแปลกนะคะ ที่คุณดีนเลี้ยงแมวสีดำสนิทแบบนี้เอาไว้ ตามความเชื่อโบราณเขาว่าแมวดำเป็นแมวผี” หนูนาเอ่ย ดวงตาสวยปรายมองเจ้าแมวเหมียวที่มีสีดำสนิทไม่มีแม้แต่สีขาวแซม คงจะมีแต่ดวงตาของเจ้าแมวเท่านั้นที่เด่นชัดเป็นสีเหลือง
“แมวมันเลือกเกิดไม่ได้นี่ครับ คงจะมีแต่คนแบบเราๆที่ไปตัดสินพวกมันแบบนั้น” ดีนเอ่ยพลางลุกขึ้นหยัดตัวเต็มความสูงจัดแจงเสื้อผ้าที่ยับย่นให้เรียบ หลุบสายตาคมมองหญิงสาวข้างกายที่เงยหน้ามองเขาตาละห้อย
“ผมจะส่งคุณนะครับ” ดีนเอ่ย หญิงสาวจึงพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะงอแงได้เช่นกัน การที่บังเอิญเจอเขาในบาร์ก็ถือว่าโชคดีแค่ไหนแล้ว อย่างไรคนทั้งคู่ก็มีช่องทางการติดต่อกันเรียบร้อยแล้ว เธอจึงคิดว่าค่อยหาโอกาสใหม่คราวหน้าก็ยังไม่สาย
เดินตามหลังชายหนุ่มไปยังหน้าประตูห้อง เจ้าแมวสีดำตัวน้อยก็เดินตามไปราวกับว่าต้องการจะส่งแขก ก่อนที่คนทั้งคู่จะหายไปจากสายตาเมื่อประตูตรงหน้าปิดตัวลง
...มันต้องอย่างนี้สิ จะไปทำอะไรที่ไหนก็ไปไม่ใช่ลากมาที่ห้องให้แมวดู เสียสายตาชะมัด... นิลมณีคิดในใจพลางหันหลังเดินกลับไปนอนเกลือกกลิ้งที่โซฟาตามเดิม
ไม่นานอย่างที่คิด เจ้าของห้องที่เธอนอนเอกเขนกอยู่ก็กลับเข้ามา เดินตรงมาทิ้งตัวลงบนโซฟาที่เจ้าแมวสีนิลนอนอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน เจ้าแมวน้อยหันไปมองชายหนุ่มอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหมอบนอนลงไปเช่นเดิม
ปลายนิ้วเรียวไกล่เกลี่ยร่างเจ้าแมวน้อยที่นอนนิ่งอย่างเอ็นดู แต่ทว่ามันกลับกางกรงเล็บเท้าหน้าปัดปลายนิ้วเขา เชิงบอกไม่ให้เขาแตะต้องตัวเธอ
“ดุจังนะเราน่ะตัวแค่นี้” ดีนเอ่ยพลางโน้มตัวลงไปพูดคุยกับเจ้าแมวที่นอนข้างๆ
... อี๋ เหม็นเหล้า เอาหน้าออกไปให้ห่างเลยนะ... ร้องเสียงแมวออกมาพลางเอาเท้าหน้าข้างเดิมยันใบหน้าหล่อเหลาของเขาเอาไว้ แต่ชายหนุ่มกลับใช้มือใหญ่ทั้งสองข้างจับเท้าหน้าทั้งสองข้างของมันออกไม่ให้ยันหน้าเขาได้ ทว่า...เมื่อไม่มีเท้าหน้าก็ใช้อุ้งเท้าหลังทั้งสองยันแทน หางยาวสีดำงอปกปิดส่วนสงวนเอาไว้
“ต้องขนาดนั้นเลย?”
เหมี๊ยวววว... ร้องตอบเขาราวกับคุยกันรู้เรื่อง ยอมแพ้หยัดตัวลุกขึ้นมานั่งดังเดิมพลางถอนหายใจ
“มีแมว...แมวก็หยิ่งไม่ให้แตะ...พอมีสาว แมวก็เหมือนไม่ยอมให้มี”
อาจจะด้วยเพราะความเมาถึงทำให้เขาพูดเรื่อยเปื่อย นิลมณีในร่างเจ้าสีนิลทำทีเมินเฉยไม่ฟังเขาเหมือนเช่นเคย ดีนหันไปมองมันที่นอนขดอยู่ก็ยกยิ้มแล้วยอมลุกขึ้นเดินเข้าไปอาบน้ำอาบท่าในทันที
พออาบน้ำก็ยังไม่วายออกมาคว้าร่างเจ้าแมวเหมียวเข้าไปนอนด้วยดังเดิม ถึงแม้ว่ามันจะไม่เต็มใจนักแต่ก็ดิ้นหลุดพ้นมือเขาไปไม่ได้อยู่ดี จำเป็นต้องนอนให้เขากอดราวกับว่าเธอเป็นเพียงตุ๊กตาแมว เมื่อเขาหลับสนิทจึงจะกระโดดออกมานอนที่พรมตรงพื้นห้อง ไม่อยากที่เห็นภาพบาดตาเหมือนอย่างเมื่อเช้านี้...
นี่คงเป็นครั้งแรกที่นิลมณีคิดว่าทำไมมนุษย์ที่ทำงานต้องหยุดสองวันด้วย วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่เขายังคงอยู่บ้านวุ่นวายแต่กับเจ้าแมวเหมียวนั่นก็คือเธอ นิลมณีไม่มีโอกาสไปที่ไหนเลยในวันหยุดของเขา และไม่เข้าใจว่าเขาจะเป็นคนติดบ้านไปถึงไหน เธอยังมีเรื่องที่ต้องสืบอีกเยอะแยะเลยแต่ก็ไม่สามารถทำได้
“เจ้าสีนิล วันนี้ฉันจะทำปลาทูย่างให้เธอล่ะกันนะ” ดีนเอ่ยขึ้นกับสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์และพูดภาษามนุษย์ไม่ได้ ทำได้เพียงร้องเหมียวๆ แต่เขาก็ขยันคุยเสียเหลือเกิน ดูจากเมื่อวานเขาไม่น่าใช่คนที่จะมานั่งทำตัวเหมือนคนเหงาแบบนี้ได้เลยแท้ๆ
ได้แต่นอนหมอบบิดไปบิดมาอยู่อย่างนั้นไม่ได้ส่งเสียงตอบอะไรออกไป เขาก็ยังคงทำหน้าที่ทำอาหารให้เจ้าแมวสีดำของเขาอยู่อย่างอารมณ์ดีแม้ใบหน้าจะเรียบนิ่งจนเดาอารมณ์ไม่ได้ก็ตาม
การเจอกับปีศาจหรืออมนุษย์ครั้งแรกก็เมื่อตอนที่เขายังอายุได้เพียง 9ขวบ บริษัทที่พ่อสร้างไว้เป็นเพียงบริษัทค้าอาหารสัตว์แต่ก็ส่งออกไปทั่วทวีปนี้ อุบัติเหตุที่น่าสงสัยที่เป็นสาเหตุที่ทำให้พ่อแม่ของเขาเสียชีวิตทั้งที่ตัวเขาเองควรจะเป็นไปอย่างพ่อหรือแม่ ถึงดีนจะยังเด็กแต่เขาก็ไม่ใช่เด็กโง่...ทุกครั้งที่เขาเข้าไปเล่นในบริษัทมักจะได้ยินเหล่าทีมบริหารที่พ่อไว้วางใจพูดถึงพ่อของเขาในแง่ร้ายเสมอหลังจากที่เสนองบประมาณในการผลิตแล้วผู้เป็นพ่อของเขาปฏิเสธ ด้วยความที่คิดว่าดีนเป็นเด็กเหล่าทีมบริหารจึงไม่ใส่ใจเท่าไหร่กับที่จะพูดให้ผู้เป็นลูกชายตัวน้อยของประธานบริษัทได้ยิน“เจ้าโง่นั่นไม่ได้เรื่องเลยนะ เป็นประธานบริษัทได้ยังไงกัน”“บริหารก็ไม่ได้เรื่อง ไม่กล้าที่จะยอมรับความเสี่ยงทางธุรกิจอีกต่างหาก...ไม่ว่าบริษัทไหนก็ต้องเสี่ยงทั้งนั้นกับการลงทุนน่ะ แค่นี้ก็คิดไม่ได้”“แบบนี้บริษัทก็พัฒนาไม่ได้น่ะสิ น่าจะทิ้งตำแหน่งให้คนอื่นบริหารซะ...ตัวเองก็นั่งเฉยๆรับเงินไปก็สิ้นเรื่อง”“นั่นสินะ...คนอื่นข
ดีนที่สลบสไลเริ่มรู้สึกตัวขึ้น แม้ว่าเขาจะมีพญาสิงห์อดีตจอมราชาที่มีพลังเหลือล้นกว่าปีศาจและจอมราชาทั้งปวงแต่ด้วยร่างกายของดีน ภาชนะของเขาเป็นมนุษย์เมื่อหลับใหลไปก็ไม่สามารถออกตัวแสดงอิทธิฤทธิ์ใดๆได้ นอกเสียจากว่าขาดสติแต่ยังคงลืมตาอยู่ถึงจะสามารถปกป้องได้ เขามองไปรอบๆตัวช่างเป็นที่ที่น่ากลัวและดูสกปรกไม่น้อย มองยังไงก็ไม่ใช่โลกที่เขาเคยใช้ชีวิตอยู่แน่นอน รู้ตัวอีกทีก็หันไปมองมือของตนเองที่ไขว้หลังอยู่ ไม่ว่าจะพยายมขยับแค่ไหนก็ไม่สามารถขยับแขนของตนได้ มีบางอย่างรัดข้อมือของเขาเอาไว้แน่น รวมถึงช่วงลำตัวของเขาเช่นกัน “เปล่าประโยชน์...ยิ่งเจ้าขยับ หางของข้าก็จะรัดเจ้าแน่นกว่าเดิม”เสียงที่คุ้นหูเหมือนกับเสียงที่เอ่ยทักทายเขาก่อนจะสลบไปเรียกให้เขาเงยหน้าขึ้นมองข้างกายก็พบว่ามันเป็นบัลลังก์กระโหลกเก่าๆ พร้อมกับหญิงสาวในชุดที่แปลกตานั่งไขว่ห้างอยู่และปรายสายต
ดีนนั่งเงียบตลอดทางหลังจากขึ้นรถ ในหัวคิดแต่เรื่องของนิลมณีทั้งที่ยังดีๆอยู่เลยแล้วจู่ๆเธอก็เปลี่ยนไปราวกับมีเรื่องอะไรในใจที่พึ่งฉุกคิดได้อย่างไรอย่างนั้น ต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับเขาแน่ๆ ไม่อย่างนั้นเธอตคงไม่มีท่าทีแบบนั้นกับเขา...คิดไปพลางขวดคิ้วมองออกไปภายนอกรถ ...มันน่าแปลกอยู่อย่างหนึ่งก็คือผู้ติดตามของเขาที่ตอนนี้เอาแต่เงียบกริบไม่พูดไม่จาอะไร เป็นปกติต้องแซวเขาแล้ว แต่วันนี้กลับนิ่งเงียบไปจนดีนต้องหันไปมองผู้ติดตามของตนผ่านกระจก ถึงอย่างนั้นก็ยังดูปกติหรือว่าเขาคิดมากไปเอง “วันนี้ไม่แซว?” “.....” สิ่งที่ได้หลังจากถามออกไปก็ยังคงเป็นความเงียบ ไม่แม้แต่จะเห็นรอยยิ้มของเพิ่มพูนผ่านกระจกเลย เขาดูขับรถอย่างตั้งใจมากเกินไปจนเหมือนหุ่นยนต์ และที่สำคัญ...เพิ่มพูนหรือลุงเพิ่มไม่เคยไม่ตอบคำถามเขาผู้ซึ่งเป็นเจ้านายเลยแม้แต่ครั้งเดียว ประธานหนุ่มรู้สึกถึงการเปลี่ยนไปของบรรยากาศในรถ เขาเหลียวมองออกไปนอกรถอีกครั้งแต่ครั้งกลับไม่ใช่ทางที่จะบริษัท บรรยากาศราวกับหลุดเข้ามาอีกโลกหนึ่งทั้งที่ไม่คิดว่าจะถนนแบบนี้หรือบรรยากาศแบบ
ร่างกายที่อ่อนล้าค่อยๆพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง ความปวดร้าวเมื่อยล้าแล่นเข้าสู่ร่างกายจนเธอถึงกับกัดฟันแน่น เขาไม่ปล่อยให้เธอได้พักเลยทั้งคืนจึงเป็นเหตุทำให้เธอปวดร้าวตามร่างกายแบบนี้ นิลมณีอดไม่ได้ที่จะหันไปมองชายหนุ่มที่นอนอยู่ข้างๆตาขวาง “เอาแรงมากจากไหนนักนะ” เธอพึมพำเบาๆพลางเบือนใบหน้าที่ร้อนผ่าวไปทางอื่นโดยไม่ทันสังเกตคนที่นอนอยู่ข้างๆที่ลืมตาตื่นขึ้นมาพอดิบพอดี “ยังมีแรงเหลืออีกเยอะนะ จะต่อรอบเช้าด้วยเลยไหมล่ะครับคุณเลขา” เสียงทุ้มที่ตอบกลับเธอมาทำให้เธอหันหน้าไปทางเขาทันทีพร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดบังร่างกายที่เปลือยเปล่านั้น ดีนหยัดตัวลุกขึ้นนั่งพลางบิดขี้เกียจไปมาโดยไม่สนใจว่าผ้าห่มมันร่นไปถึงไหนต่อไหนแล้ว อีกนิดเดียวก็จะเห็นของลับของหวงอยู่แล้วแท้ๆ นิลมณีรีบเบือนหน้
ริมฝีปากหยักได้รูปไม่รอช้ารีบประกบริมฝีปากกระจับนั้น เรียวลิ้นหนาเริ่มรุกล้ำเข้าไปในโพรงแม้ในตอนแรกจะปิดแน่นสนิท นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าเธอไม่มีความรู้เรื่องนี้ ครั้งก่อนเธอมึนเมาและถูกปลุกเร้าด้วยฤทธิ์บางอย่าง แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป.. “อือ!” เสียงครางหวานเล็ดลอดผ่านลำคอเพราะตอนนี้ภายในร่างกายของเธอรู้สึกแปลก ตอบสนองรสจูบของเขาอย่างห้ามไม่ได้ อีกทั้งลิ้นเรียวเล็กของเธอถูกดูดกลืนราวกับกำลังจะถูกเขาครอบงำ...ยากที่จะปฏิเสธมัน รสจูบที่จาบจ้องและรุนแรงทำให้เธอแทบหายใจไม่ทัน “อื้อ...” เสียงค้านดังขึ้นผ่านลำคอเมื่อรู้สึกถึงมือหนาที่ค่อยลูบไล้ปลดเปลื้องเสื้ออาภรณ์ของเธอ ทุกการสัมผัสของเขาราวกับมีมนต์สะกด ความรู้
“ยังไงคุณก็จะไม่บอกผมใช่ไหมครับว่าคุยเรื่องอะไรกัน?” เมื่อเท้าก้าวเข้าบ้านมาดีนก็เอ่ยถามนิลมณีทันทีเมื่อเห็นว่าเธอกำลังเดินนำเตรียมจะขึ้นไปห้องของตัวเองที่ชั้นสอง นิลมณีชะงักฝีเท้าเธอหันกลับไปมองเขาด้วยสีหน้าที่เหนื่อยล้า ที่รู้สึกเหนื่อยเพราะเธอคิดเรื่องทางเลือกที่อัคคีให้มาไม่หยุดไม่ว่าจะมองหาทางไหนก็มืดมันแปดด้านจนไม่รู้จะทำยังไงแล้วและอยากอยู่เงียบๆกับตัวเองสักพัก “บอสคะ คุณมีคฤหาสน์หลังใหญ่ให้อยู่ มีผู้ติดตามตลอด มีลูกน้องมีคนขับรถ...ทำไมบอสไม่กลับไปอยู่บ้านของตัวเองล่ะคะ” “หืม? ก็เพราะแมว...คุณชวนผมมาอยู่ที่นี่เองไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้จะไล่กันแล้วว่างั้น?” “ลองคิดดูนะคะ ถ้าเกิดวันนี้ซันนี่มาเที่ยวที่บ้านจริงเธอก็ต้องรู้...นั่นหมายถึงคนในบริษัทรู้ ถึงวันนี้