หญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องกระจกที่เขียนเอาไว้หน้าห้องว่า Human Resource Department (แผนก HR) ภายในห้องมีชั้นเอกสารวางด้านหลัง ถัดมาจะเป็นช่องล็อกให้คนในแผนกทำงานกว่าสิบช่อง บางคนตั้งใจจ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้า บางคนหัวเราะคิกคักกับโทรศัพท์มือถือ บางคนก็มีทั้งหมอนผ้าห่มฟุบลงตรงโต๊ะ นิลมณีปราดตามองแต่สายตาของเธอนั้นไม่ได้เหมือนคนทั่วไป
กลิ่นไอพลังงานเชิงลบในห้องนี้อบอวลไปหมด จากสิบมีเพียงหนึ่งคนที่ตั้งใจทำงานจริงจังแต่ก็คงไม่วายโดนวานให้ทำจึงได้เกิดควันสีดำจางๆแผ่ออกมาจากตัวของคนคนนั้นด้วยความเครียดแค้น นิลมณียกยิ้มขึ้นเมื่อเห็นว่าความชั่วร้ายหมกมุ่น ความขี้เกียจ ความริษยา ความโลภ ความโกรธแค้น ความหลง ทุกบาปมีอยู่เต็มห้องนี้ไปหมด
“เอ่อ...ค่ะ” ซันนี่เอ่ยตอบหน้าเจื่อน นิลมณีดึงสายตากลับไปมองพนักงานสาวหน้าล็อบบี้ครู่หนึ่ง ท่าทางของเธอดูหงอยลงไปอย่างนึกเกรงกลัวพนักงานฝ่ายบุคคลนี้
“สวัสดีค่ะคุณนิลมณี ฉันพัชรินทร์หรือเรียกว่าพัชรก็ได้ค่ะ เป็นหัวหน้าHR” หันไปเอ่ยทักทายนิลมณีด้วยใบหน้าเรียบนิ่งดูหยิ่งยโสไม่ต่างจากเธอเลยแม้แต่น้อย
“อ้อ ค่ะ”
“ฉันจะเป็นคนพาคุณขึ้นไปพบคุณดนุวัศเองค่ะ เผื่อเกิดความผิดพลาดอะไร ซึ่งคุณดนุวัศไม่ชอบความผิดพลาดเท่าไหร่ หากพนักงานใหม่ทำอะไรเปิ่นๆจะได้ไล่ออกได้ทันที”
พัชรินทร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งออกแนวเย้ยหยันนิลมณีหน่อยๆ นิลมณียกยิ้มอย่างชอบใจก่อนจะโน้เมหน้าเข้าไปใกล้ๆหัวหน้าสาว
“ฉันอยู่ในตำแหน่งเลขาของคุณดีน...ไม่สิ คุณดนุวัศใช่ไหมคะ? นั่นหมายความว่า...ฉันมีตำแหน่งสูงพอที่จะสั่งคุณได้สินะคะคุณพัชรินทร์”
“อึก....” พัชรรินทร์เม้มปากแน่นอย่างนึกเจ็บใจ ไหนจะคำเรียกที่นิลมณีเรียกชื่อเล่นของซีอีโอของเขาอีกนั่นย่อมไม่ธรรมดาเป็นแน่ มันน่าแปลกใจอยู่แล้วที่นิลมณีได้เข้ามาเริ่มงานโดยไม่ผ่านการสัมภาษณ์ใดๆ ทั้งที่จะต้องผ่านการสัมภาษณ์จากแผนกHRด้วย แต่นี่เพียงสมัครงานวันแรกวันเดียวก็รับเข้าทำงานเลยมันจึงดูน่าแปลก
“ขอใช้อำนาจนั้นเลยแล้วกันค่ะ ฉันจะไปกับคุณซันนี่ เนื่องจาก...ไม่ค่อยสบายใจถ้าอยู่กับคุณพัชรเท่าไหร่ คงไม่ต้องให้แปลหรอกนะคะว่าหมายความว่ายังไง” นิลมณีเอ่ยพลางยิ้มเยาะ ไม่ต่างจากคำพูดที่เย้ยหยันของพัชรินทร์เมื่อคครู่เลย
พัชรินทร์กัดฟันเชิดหน้ามองจ้องนิลมณีตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความรู้สึกพ่ายแพ้ เลขาคนใหม่ของซีอีโอที่ตัวเองเล็งไว้และให้ท่าตลอดนั้นรูปร่างหน้าตาสวยเฉี่ยวน่าหลงใหลจนใจเจ็บ แม้แต่พัชรินทร์เองที่คิดเสมอว่าตนสวยเด่นกว่าคนอื่นยังต้องยอมแพ้ แต่ของแบบนี้ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องได้ด้วยกล มารยาสาไถเธอมีไม่น้อยจึงไม่คิดจะยอมแพ้เรื่องดีน
“อย่าคิดว่าเป็นเลขาที่คุณดนุวัศรับเข้ามาแล้วจะไม่มีทางตกกระป๋องนะคะ ถึงจะเป็นเด็กเส้น...ที่ใช้วิธีไหนไต่เต้าขึ้นมาก็ตาม เห็นมาเยอะแล้วเวลาถูกที่เขี่ยทิ้งจะได้ไม่เจ็บมากเพราะหวังมาก” พัทรินทร์เอ่ยกระซิบข้างใบหูของนิลมณี
“ช่วยเยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวด้วยนะคะ” นิลมณียังไปส่งยิ้มให้ มองยังไงก็รู้ว่ารอยยิ้มนั้นแสร้งทำ ก่อนจะหันไปคว้ามือของซันนี่แล้วคว้าประวัติส่วนตัวของตัวเองจากมือของพัชรินทร์แล้วเดินหันหลังจากไป ยังไม่วายยกมือขึ้นโบกลาพัชรินทร์ที่ยืนหน้าดำหน้าแดงด้วยความโกรธ มุมปากยกแหลมตอนเหลียวมองหัวหน้าสาวอย่างสะใจพลางทิ้งท้ายคำพูดไว้ให้คิดหนัก
“ระวังขาเก้าอี้ด้วยนะคะคุณหัวหน้า” สงครามประสาทได้เริ่มต้นขึ้น...
ราวกับโชคชะตาเล่นตลกเมื่อเดินไปคุยไปกับพนักงานหน้าล็อบบี้สาวชื่อว่า ซันนี่ ถึงได้รับรู้รายละเอียดของบริษัทที่ตนเองทำงานอยู่นั้นเป็นบริษัทที่ผลิตอาหาร และอุปกรณ์ของสัตว์เลี้ยง ทั้งที่ท่าทางของซีอีโอนั้นดูจะเลี้ยงสัตว์ไม่เป็นเอาเสียเลย จากการที่จับแมวอาบน้ำ ด้วยเป้าหมายที่เธอจะเข้ามาสืบหาจอมปีศาจในบริษัทแห่งนี้จึงไม่ได้สนใจเรื่องอื่นใด
“ถึงแล้วค่ะ ฉันคงเข้าไปด้วยไม่ได้นะคะคุณนิล...ดีใจมากเลยค่ะที่คุณนิลช่วยฉันเมื่อครู่และยังยอมเป็นเพื่อนกับฉันอีก”
“ใครเป็นเพื่อนคุณ ฉันแค่....”
“ยังไงก็เถอะค่ะ ไม่ว่าคุณนิลอาจจะไม่อยากเป็นเพื่อนกับฉันแต่ฉันอยากเป็นเพื่อนกับคุณนิลจริงๆค่ะ” ซันนี่เอ่ยพลางรวบมือเรียวทั้งสองข้างขึ้นมาจับกุมไว้ ออร่าของความจริงใจแผ่ออกมาจนนิลมณีรู้สึกขนลุกเกลียวราวกับโดนไฟช็อตอย่างไรอย่างนั้น
“เฮ้อ...ฉันไม่ใช่คนใจดี ไม่ใช่คนดีหรอกนะ”
“ไม่หรอกค่ะ ถึงคุณนิล...เอ่อ..จะทำให้ฉันรู้สึกขนลุกแปลกๆก็เถอะ แต่ว่าคุณคงไม่ใช่คนร้ายลึกแบบนั้น” ซันนี่เอ่ยต่อ
“อย่ารู้ดี เธอไม่รู้จักฉันด้วยซ้ำ ขอตัว” นิลมณีเลือกที่จะปฏิเสธ ดึงมือตัวเองกลับแล้วก้าวฉับๆไปหยุดหน้าประตูห้องๆหนึ่งที่เขียนป้ายติดไว้ด้านหน้าว่า CEO MR.DANUWAT แล้วเอื้อมมือไปเคาะประตูเบาๆ
ก๊อกๆ
“เชิญครับ” คนในห้องขานรับราวกับกำลังรออยู่
ประตูถูกเปิดเข้าไปภายในห้องถูกประดับอย่างเรียบหรูและเฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่จะเป็นสีดำขาว แม้แต่โซฟากลางห้องทำงานที่เอาไว้ใช้รับแขกยังเป็นสีดำครึ่งขาวครึ่งเลย ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาใส่แส่นตาใสไร้ขอบเสื้อเชิ้ตสีกรมท่าชะโงกหน้ามองผู้ที่เข้ามาเยือนก่อนจะละจากคอมพิวเตอร์ตรงหน้า ประสานมือใหญ่วางไว้หน้าโต๊ะทำงาน สายตาจ้องมองหญิงสาวพลางยกยิ้มขึ้นมาอย่างพอใจ
“สวัสดีครับคุณนิลมณี...ว่าแต่คุณพัชรินทร์ไม่ได้มาส่ง?” ดีนเลื่อนสายตามองไปยังด้านหลังของหญิงสาวที่เดินเข้ามาหาเขาพร้อมเอกสารในมือของตัวเอง ท่าทางสะโอดสะองค์เดินนวยนาดเข้ามาชวนมอง แม้ใบหน้าของหญิงสาวจะเรียบนิ่งแต่ทว่าการเดินบุคลิกภาพที่เย้ายวนอย่างเป็นธรรมชาตินั้นมันช่างน่าหลงใหลจนละสายตาไม่ได้
“นี่ค่ะ เอกสาร”
“เอ่อ...แล้ว...”
“คุณพัชรินทร์งานยุ่งน่ะค่ะ” เธอเอ่ย
“แต่ที่ผมได้ยินมาไม่ใช่แบบนั้นนะครับ ไม่รู้ว่าคุณไปวางอำนาจยังไงเธอถึง...”
“ชอบฟังคนขี้ฟ้องพูดเหรอคะ? ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่จำเป็นต้องพูด” นิลมณีตัดบทอย่างไม่ใส่ใจ ดีนเงยหน้ามองหญิงสาวที่ยินจังก้าดอกอกอยู่ตรงหน้าไม่ยอมนั่งลงหรือไม่แม้แต่มีความเกรงกลัวเขาที่เป็นหัวหน้าของเธอ ช่างดูหยิ่งเสียจริง ไม่ต่างจากวันแรกที่เจอกันที่ร้านอาหารเลย...
“ยังไงกฎของบริษัทคุณก็ต้องทำตาม ถ้าทำไม่ได้คุณก็ต้องยอมรับผล” ชายหนุ่มเอ่ย
“งั้นหรือคะ?” ตอบอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก
“เอาล่ะครับ ถือว่าครั้งนี้ผมยอมให้ก่อนเพราะมันครั้งแรก” ดีนพูดพลางหลบเลี่ยงสายตาเฉี่ยวคมของเธอก้มลงมองเอกสารที่เธอวางเอาไว้ ตรวจสอบมันอย่างละเอียดว่าตรงกับที่ส่งมาในอีเมล์หรือเปล่า เห็นทีแรกก็นึกชอบใจหลงใหลในเสน่ห์ของเธออยู่หรอก แต่ถ้าดื้อด้านเขาเองก็ไม่ไหวเหมือนกัน
“โต๊ะทำงานของฉันอยู่ไหนล่ะคะ จะได้เริ่มงานสักที...หน้าห้องหรือเปล่า?”
“ไม่ โต๊ะของคุณอยู่ในห้องทำงานของผม...”
“คะ? มันดูผิดปกติหรือเปล่าคะ? เลขาต้องอยู่หน้าห้อง....”
“ผมต้องการดูการทำงานของคุณ และอีกอย่างผมจะได้จับตาดูคุณได้ด้วย เลขาแทบจะมีอำนาจพอๆกับผม เพราะหากผมสั่งการอะไรไปคุณก็จะต้องเอาไปสื่อสารต่อ” ดีนเอ่ยด้วยใบหน้าเรียบนิ่งปราดสายตาของเธอครู่หนึ่ง นิลมณีได้แต่ยืนกอดอกหน้านิ่วคิ้วขมวดมองเขาด้วยสายตาไม่พอใจนัก เพราะจากคำพูดของดีนเหมือนกับว่าเขาไม่ไว้วางใจเธอเลยแม้แต่น้อย
“ทำไม? คุณคิดว่าผมต้องการจะจีบคุณอย่างนั้นเหรอ?”
การเจอกับปีศาจหรืออมนุษย์ครั้งแรกก็เมื่อตอนที่เขายังอายุได้เพียง 9ขวบ บริษัทที่พ่อสร้างไว้เป็นเพียงบริษัทค้าอาหารสัตว์แต่ก็ส่งออกไปทั่วทวีปนี้ อุบัติเหตุที่น่าสงสัยที่เป็นสาเหตุที่ทำให้พ่อแม่ของเขาเสียชีวิตทั้งที่ตัวเขาเองควรจะเป็นไปอย่างพ่อหรือแม่ ถึงดีนจะยังเด็กแต่เขาก็ไม่ใช่เด็กโง่...ทุกครั้งที่เขาเข้าไปเล่นในบริษัทมักจะได้ยินเหล่าทีมบริหารที่พ่อไว้วางใจพูดถึงพ่อของเขาในแง่ร้ายเสมอหลังจากที่เสนองบประมาณในการผลิตแล้วผู้เป็นพ่อของเขาปฏิเสธ ด้วยความที่คิดว่าดีนเป็นเด็กเหล่าทีมบริหารจึงไม่ใส่ใจเท่าไหร่กับที่จะพูดให้ผู้เป็นลูกชายตัวน้อยของประธานบริษัทได้ยิน“เจ้าโง่นั่นไม่ได้เรื่องเลยนะ เป็นประธานบริษัทได้ยังไงกัน”“บริหารก็ไม่ได้เรื่อง ไม่กล้าที่จะยอมรับความเสี่ยงทางธุรกิจอีกต่างหาก...ไม่ว่าบริษัทไหนก็ต้องเสี่ยงทั้งนั้นกับการลงทุนน่ะ แค่นี้ก็คิดไม่ได้”“แบบนี้บริษัทก็พัฒนาไม่ได้น่ะสิ น่าจะทิ้งตำแหน่งให้คนอื่นบริหารซะ...ตัวเองก็นั่งเฉยๆรับเงินไปก็สิ้นเรื่อง”“นั่นสินะ...คนอื่นข
ดีนที่สลบสไลเริ่มรู้สึกตัวขึ้น แม้ว่าเขาจะมีพญาสิงห์อดีตจอมราชาที่มีพลังเหลือล้นกว่าปีศาจและจอมราชาทั้งปวงแต่ด้วยร่างกายของดีน ภาชนะของเขาเป็นมนุษย์เมื่อหลับใหลไปก็ไม่สามารถออกตัวแสดงอิทธิฤทธิ์ใดๆได้ นอกเสียจากว่าขาดสติแต่ยังคงลืมตาอยู่ถึงจะสามารถปกป้องได้ เขามองไปรอบๆตัวช่างเป็นที่ที่น่ากลัวและดูสกปรกไม่น้อย มองยังไงก็ไม่ใช่โลกที่เขาเคยใช้ชีวิตอยู่แน่นอน รู้ตัวอีกทีก็หันไปมองมือของตนเองที่ไขว้หลังอยู่ ไม่ว่าจะพยายมขยับแค่ไหนก็ไม่สามารถขยับแขนของตนได้ มีบางอย่างรัดข้อมือของเขาเอาไว้แน่น รวมถึงช่วงลำตัวของเขาเช่นกัน “เปล่าประโยชน์...ยิ่งเจ้าขยับ หางของข้าก็จะรัดเจ้าแน่นกว่าเดิม”เสียงที่คุ้นหูเหมือนกับเสียงที่เอ่ยทักทายเขาก่อนจะสลบไปเรียกให้เขาเงยหน้าขึ้นมองข้างกายก็พบว่ามันเป็นบัลลังก์กระโหลกเก่าๆ พร้อมกับหญิงสาวในชุดที่แปลกตานั่งไขว่ห้างอยู่และปรายสายต
ดีนนั่งเงียบตลอดทางหลังจากขึ้นรถ ในหัวคิดแต่เรื่องของนิลมณีทั้งที่ยังดีๆอยู่เลยแล้วจู่ๆเธอก็เปลี่ยนไปราวกับมีเรื่องอะไรในใจที่พึ่งฉุกคิดได้อย่างไรอย่างนั้น ต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับเขาแน่ๆ ไม่อย่างนั้นเธอตคงไม่มีท่าทีแบบนั้นกับเขา...คิดไปพลางขวดคิ้วมองออกไปภายนอกรถ ...มันน่าแปลกอยู่อย่างหนึ่งก็คือผู้ติดตามของเขาที่ตอนนี้เอาแต่เงียบกริบไม่พูดไม่จาอะไร เป็นปกติต้องแซวเขาแล้ว แต่วันนี้กลับนิ่งเงียบไปจนดีนต้องหันไปมองผู้ติดตามของตนผ่านกระจก ถึงอย่างนั้นก็ยังดูปกติหรือว่าเขาคิดมากไปเอง “วันนี้ไม่แซว?” “.....” สิ่งที่ได้หลังจากถามออกไปก็ยังคงเป็นความเงียบ ไม่แม้แต่จะเห็นรอยยิ้มของเพิ่มพูนผ่านกระจกเลย เขาดูขับรถอย่างตั้งใจมากเกินไปจนเหมือนหุ่นยนต์ และที่สำคัญ...เพิ่มพูนหรือลุงเพิ่มไม่เคยไม่ตอบคำถามเขาผู้ซึ่งเป็นเจ้านายเลยแม้แต่ครั้งเดียว ประธานหนุ่มรู้สึกถึงการเปลี่ยนไปของบรรยากาศในรถ เขาเหลียวมองออกไปนอกรถอีกครั้งแต่ครั้งกลับไม่ใช่ทางที่จะบริษัท บรรยากาศราวกับหลุดเข้ามาอีกโลกหนึ่งทั้งที่ไม่คิดว่าจะถนนแบบนี้หรือบรรยากาศแบบ
ร่างกายที่อ่อนล้าค่อยๆพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง ความปวดร้าวเมื่อยล้าแล่นเข้าสู่ร่างกายจนเธอถึงกับกัดฟันแน่น เขาไม่ปล่อยให้เธอได้พักเลยทั้งคืนจึงเป็นเหตุทำให้เธอปวดร้าวตามร่างกายแบบนี้ นิลมณีอดไม่ได้ที่จะหันไปมองชายหนุ่มที่นอนอยู่ข้างๆตาขวาง “เอาแรงมากจากไหนนักนะ” เธอพึมพำเบาๆพลางเบือนใบหน้าที่ร้อนผ่าวไปทางอื่นโดยไม่ทันสังเกตคนที่นอนอยู่ข้างๆที่ลืมตาตื่นขึ้นมาพอดิบพอดี “ยังมีแรงเหลืออีกเยอะนะ จะต่อรอบเช้าด้วยเลยไหมล่ะครับคุณเลขา” เสียงทุ้มที่ตอบกลับเธอมาทำให้เธอหันหน้าไปทางเขาทันทีพร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดบังร่างกายที่เปลือยเปล่านั้น ดีนหยัดตัวลุกขึ้นนั่งพลางบิดขี้เกียจไปมาโดยไม่สนใจว่าผ้าห่มมันร่นไปถึงไหนต่อไหนแล้ว อีกนิดเดียวก็จะเห็นของลับของหวงอยู่แล้วแท้ๆ นิลมณีรีบเบือนหน้
ริมฝีปากหยักได้รูปไม่รอช้ารีบประกบริมฝีปากกระจับนั้น เรียวลิ้นหนาเริ่มรุกล้ำเข้าไปในโพรงแม้ในตอนแรกจะปิดแน่นสนิท นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าเธอไม่มีความรู้เรื่องนี้ ครั้งก่อนเธอมึนเมาและถูกปลุกเร้าด้วยฤทธิ์บางอย่าง แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป.. “อือ!” เสียงครางหวานเล็ดลอดผ่านลำคอเพราะตอนนี้ภายในร่างกายของเธอรู้สึกแปลก ตอบสนองรสจูบของเขาอย่างห้ามไม่ได้ อีกทั้งลิ้นเรียวเล็กของเธอถูกดูดกลืนราวกับกำลังจะถูกเขาครอบงำ...ยากที่จะปฏิเสธมัน รสจูบที่จาบจ้องและรุนแรงทำให้เธอแทบหายใจไม่ทัน “อื้อ...” เสียงค้านดังขึ้นผ่านลำคอเมื่อรู้สึกถึงมือหนาที่ค่อยลูบไล้ปลดเปลื้องเสื้ออาภรณ์ของเธอ ทุกการสัมผัสของเขาราวกับมีมนต์สะกด ความรู้
“ยังไงคุณก็จะไม่บอกผมใช่ไหมครับว่าคุยเรื่องอะไรกัน?” เมื่อเท้าก้าวเข้าบ้านมาดีนก็เอ่ยถามนิลมณีทันทีเมื่อเห็นว่าเธอกำลังเดินนำเตรียมจะขึ้นไปห้องของตัวเองที่ชั้นสอง นิลมณีชะงักฝีเท้าเธอหันกลับไปมองเขาด้วยสีหน้าที่เหนื่อยล้า ที่รู้สึกเหนื่อยเพราะเธอคิดเรื่องทางเลือกที่อัคคีให้มาไม่หยุดไม่ว่าจะมองหาทางไหนก็มืดมันแปดด้านจนไม่รู้จะทำยังไงแล้วและอยากอยู่เงียบๆกับตัวเองสักพัก “บอสคะ คุณมีคฤหาสน์หลังใหญ่ให้อยู่ มีผู้ติดตามตลอด มีลูกน้องมีคนขับรถ...ทำไมบอสไม่กลับไปอยู่บ้านของตัวเองล่ะคะ” “หืม? ก็เพราะแมว...คุณชวนผมมาอยู่ที่นี่เองไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้จะไล่กันแล้วว่างั้น?” “ลองคิดดูนะคะ ถ้าเกิดวันนี้ซันนี่มาเที่ยวที่บ้านจริงเธอก็ต้องรู้...นั่นหมายถึงคนในบริษัทรู้ ถึงวันนี้