ณ จวนสกุลเฝิงยามนี้บรรยากาศอึมครึมคล้ายพายุฝนห่าใหญ่กำลังก่อตัว ลมหอบโชยพัดพากลิ่นคาวเลือดคลุ้งลอยกระจายอบอวลทั่วอากาศ ร่างไร้วิญญาณของผู้คนจวนสกุลเฝิงล้มตายเกลี้ยงเต็มพื้น อาภรณ์ที่เคยหรูหราบัดนี้กลับเปียกโชกด้วยโลหิตสีแดงสดอย่างน่าอนาถใจคฤหาสน์ของจวนสกุลเฝิงเคยเป็นของหนึ่งในตระกูลขุนนางใหญ่แห่งราชสำนัก ทว่าบัดนี้นั้นกลับกลายเป็นแดนสังหารเพียงชั่วข้ามคืน…เพราะนายท่านเฝิงเป็นถึงคณบดีเสนาผู้กุมอำนาจสูงสุดในวังหลวงรองเพียงผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรเท่านั้น ย่อมมีเหล่าขุนนางที่หวั่นเกรงอยู่ไม่น้อยและย่อมมีผู้คอยหนุนหลังอยู่มาก ทว่าสุดท้ายแล้วตระกูลเฝิงกลับต้องพบจุดจบอย่างน่าเวทนาเช่นนี้หากนี่ไม่ใช่การสะสางความแค้นที่สกุลเฝิงไปบังเอิญขัดขาผู้ใดเข้าก็คงเป็นการปิดปากจวนสกุลเฝิงที่รู้มากเกินไปแน่พอเหตุการณ์นี้แพร่สะพัดออกไปจนทั่วเมืองมีผู้ใดไม่รู้บ้าง เหล่าชาวบ้านต่างจับกลุ่มพูดวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานาแต่ถึงแบบนั้นแล้วก็ยังไม่มีผู้ใดสามารถหาคำตอบได้ว่า...เพราะเหตุใดหรือแท้จริงแล้วมีผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้กันแน่!?ภายในจวนสกุลเฝิงเต็มไปด้วยคราบเลือดที่เปรอะเปื้อนพร้อมกับร่
เมิ่งซือซือพอได้ยินพี่ชายเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น แม้ว่านางจะรู้สึกโมโหมากเพียงใด ทว่าใบหน้ากลับระบายกว้างยิ้มออกมาอย่างด้วยความดีใจห้ามไม่อยู่“เช่นนั้นเสี่ยวหรันและอาหยวนจะอยู่ที่นี้ตอนไปใช่หรือไม่” น้ำเสียงใสเอ่ยถามด้วยความยินดีอย่างปิดไม่มิดใบหน้าของเมิ่งซือซือคลี่ยิ้มกว้างจนตาหยี แววตาเปล่งประกายวาววับคล้ายเด็กน้อยที่กำลังเฝ้ารอคำตอบจากผู้ใหญ่เพื่อจะได้ของเล่นชิ้นโปรดก็ไม่ปานเมิ่งหานเฟิ่งเห็นท่าทางของนางสาวแล้วพลางส่ายหน้าไปมาอย่างระอาใจ “ไป๋เสี่ยวหรันและอาหยวนย่อมสามารถอยู่ที่นี้ได้ตามต้องการ…หากจะนานเท่าไหร่นั้นล้วนขึ้นอยู่กับนางหาใช่ข้า” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยอย่างอ่อนโยน พลางตวัดพู่กันเขียนอักษรลงบนกระดาษอย่างสงบเพียงได้ยินเช่นนั้น เมิ่งซือซือก็ดีใจจนยิ้มกว้างไม่หุบนางอดคิดไม่ได้ว่า…คงมองไม่ผิดนัก ช่วงนี้พี่ชายของนางดูเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เวลาเช่นนี้แต่เดิมหากไม่มีเรื่องสำคัญก็หายากนักที่เขาจะอยู่จวนได้นานถึงเพียงนี้...เดิมทีนั้น...กว่านางจะตื่นนอน ลุกขึ้นมาล้างหน้าบ้วนปาก ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เสร็จสิ้นและก้าวออกจากเรือนได้ก็มักล่วงเข้าสู่ช่วงปลายยามเฉินแล้ว (7.00 – 9.00 น.)แ
หลายวันผ่านไป…“เฝิงอวี่เซี่ยน…ข้าเหนื่อยจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้นแล้ว”“…”“อวี่เซี่ยน...! มารดาหิวนัก”“…”“ข้าง่วงนอนแล้ว!”เสียงร้องของหลี่จื่อหนิงดังก้องไปทั่วทั้งจวน เหล่าสาวใช้ที่ได้ยินแล้วต่างพากันหัวเราะเบาๆ ด้วยความเอ็นดู บางคนถึงกับกระซิบกระซาบว่า…คุณหนูผู้นี้ช่างเอ็นดูยิ่งนัก! ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนายท่านเฝิงถึงยินยอมให้นางเข้าออกจวนได้ตามใจเช่นนี้ แม้แต่คุณหนูสกุลเจียงผู้นั้นที่ดูสนิทสนมกับนายท่านอยู่มากก็ไม่อาจทำตามใจรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวได้เช่นนี้บรรยากาศในจวนเฝิงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เหล่าบ่าวไพร่ล้วนมองหลี่จื่อหนิงที่เดินตามเฝิงอวี่เซี่ยนทุกฝีก้าวราวกับเงาติดตามบุรุษหนุ่มไปทุกหนแห่ง ไม่ว่าจะอยู่ภายในห้องหนังสือ เดินเล่นที่สวนหรือแม้กระทั่งแต่หอฉีเยียนทว่าใบหน้าของเฝิงอวี่เซี่ยนกลับเรียบเฉย ไม่ปรากฏรอยยิ้มออกมา ในสายตาของเขานั้นสตรีผู้นี้หาได้น่าเอ็นดูแต่กลับเป็นตัววุ่นวายที่ตามติดเขาตลอดหลายวันมิใช่ว่าบุรุษผู้นั้นเอ่ยปากเอาไว้แล้วหรอกหรือว่าจะห้ามนางไม่ให้มาเจอเขาอีก! แล้วเหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้ได้ภายในใจของเขาย่อมเต็มไปด้วยความหงุดหงิดและรำคาญใจไม่น้อยเฝิงอวี่เซี่ยนเ
แสงจันทราสาดส่องเล็ดลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาภายในห้องจึงมืดสลัวมองไม่ค่อยเห็นสิ่งใดนัก ทุกอย่างรอบตัวเงียบสงบมีเพียงเสียงหายใจของทั้งสองคนที่ประสานกันในความมืดเท่านั้นเฉิงอี้หยางพยายามข่มตาลงอย่างทว่าสุดท้ายก็ไม่อาจนอนหลับสนิทได้เสียที ความคิดต่างๆ ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวจนทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจเขาถอนหายใจออกมาเงียบๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าเสียงหายใจหนักๆ ของบุรุษข้างกายดูเหมือนจะเบียดบังความเงียบสงบในห้องไปจนทำให้เจียงชุนหลินที่นอนข้างๆ รู้สึกถึงมันได้ นางพลันลืมตาขึ้นก่อนจะพลิกตัวไปทางเขาพลันรู้สึกได้ถึงความกังวลที่แผ่ซ่านออกมาน้ำเสียงหวานเอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วง “ยามนี้ในวังหลวงมีเรื่องอะไรงั้นหรือ” นางถามออกมาด้วยความเป็นห่วงเจียงชุนหลินขยับตัวเข้าใกล้เขาอีกนิดก่อนจะซบลงบนอกแกร่งของเขา มือของนางพลันยื่นออกไปกอบกุมฝ่ามือเอาไว้หลวมๆ “รู้ใช่หรือไม่ว่ายามนี้ท่านไม่ต้องแบกความรู้สึกหนักอึ้งเหล่านั้นเอาไว้ผู้เดียวอีกแล้ว”ภายใต้ความมืดเช่นนี้ นางไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของเขาได้เลยว่าเป็นอย่างไร แต่เจียงชุนหลินกลับสัมผัสได้ถึงความไม่สบายใจในตัวเขาเฉิงอี้หยางไม่ได้ตอบกลับในทันทีเพียงแค่เงีย
น้ำเสียงทุ้มต่ำของบุรุษผู้หนึ่งดังก้องขึ้นท่ามกลางความวุ่นวาย เหล่าชาวบ้านที่กำลังจับกลุ่มซุบซิบกันต่างพากันหันขวับไปมองเจ้าของเสียงทันทีหลี่จื่อหนิงเองก็เช่นกันนางปรายตามองบุรุษรูปร่างสูงสง่าก้าวเข้ามาอย่างสงบนิ่ง ผิวพรรณขาวสะอาด อาภรณ์สีเข้มเรียบหรูดูสูงศักดิ์ยิ่งนัก ทุกย่างก้าวเปี่ยมไปด้วยอำนาจและบารมีท่าทางเช่นนี้ไม่ต่างจากเทพเซียนผู้หนึ่งแต่ทว่า…เหตุใดนางถึงได้รู้สึกคุ้นเคยเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน!?เฉิงอี้หยาง…!ดวงตาเมล็ดซิ่งเบิกโพลงกว้างความตกใจเพียงเห็นใบหน้าของอีกฝ่าย นางพลันก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุทันทีหลี่จื่อหนิงไม่ชอบบุรุษผู้นี้เอาเสียเลย!“ไม่ต้อง!” น้ำเสียงหวานตะโกนดังลั่นก่อนจะรีบควักถุงเงินออกมาจากสาบเสื้อแล้ววางลงตรงหน้าชายชราอย่างแรง นางเงยหน้าสบตามองด้วยความแข็งกร้าว“ขอแค่ไม่กี่ตำลึงนี้…มารดามีปัญหาจ่ายได้ไม่ต้องรบกวนให้ผู้ใดช่วยเหลือ”หลงจู๊เห็นดังนั้นก็ตาลุกวาวทันที เงินที่สตรีตรงหน้าจ่ายนั้นมากเกินไปเลยด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับของแค่ไม่กี่อย่างก่อนจะรีบคว้าเงินเก็บอย่างไว้ “เอาของไปแล้วข้าไม่รับคืน!”เกรงว่าวันนี้เขาคงโชคดีนัก ตั้งแผงขายยังไม่
ที่ผ่านเขารู้มาตลอด…คำพูดของหานมู่เฉินทำให้เฝิงอวี่เซี่ยนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ทว่าใบหน้ายังคงเรียบเฉยไร้อารมณ์ไม่แสดงอาการตกใจออกมาเลยแม้แต่น้อย ดวงตาคมกริบดูลึกล้ำอยากเกินจะคาดเดาได้“…”หานมู่เฉินพลางเหลือบสายตาสังเกตมองบุรุษตรงหน้านิ่งๆ ก่อนจะเอ่ยถามออกมาเสียงเรียบ “ไม่แปลกใจหน่อยหรือไร”ไฉนถึงยังสงบได้ถึงเพียงนี้…เขาอุตส่าห์รับติดสินบนขุนนางมามากมายเพื่อล้วงความลับมาให้โดยเฉพาะ แต่เหตุใดเจ้าคนผู้นี้กลับไม่มีแม้แต่ท่าทีตื่นตระหนกสักนิด!ไม่นานหลังจากนั้น เฝิงอวี่เซี่ยนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบทว่ากลับเย็นยะเยือกคล้ายสายลมเหมันต์“ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง”พอได้ยินประโยคนี้แล้ว หานมู่เฉินแค่นหัวเราะในลำคอก่อนถอนหายใจออกมาอย่างเหลืออด“เหอะ! เจ้าจะจัดการอย่างไร” เขาเองก็อย่างจะรู้เช่นกันว่าแท้จริงแล้วบุรุษผู้นี้ทำอันใดได้บ้างเพราะยามนี้อีกฝ่ายมีฐานะเป็นถึงขุนนางใหญ่ในราชสำนักทั้งยังมีตำแหน่งเป็นเสนาบดีฝ่ายทหารที่กุมอำนาจมายาวนานและที่สำคัญนั้น…คนผู้นั้นคือบิดาของเจียงชุนหลิน!?เฝิงอวี่เซี่ยนไม่ปริปากพูดอันใดออกมา เขาเพียงแค่นเสียงหัวเราะเบาๆ ด้วยความเย้ยหยันก่อนที่มุมปากหนาจะโค