ในลมหายใจสุดท้ายของชีวิตวัย 35 ปี ‘ซูเยว่ซิน’ ได้ตระหนักว่าการถูกครอบครัวที่แท้จริงรับกลับไปดูแลนั้นคือจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมทั้งหมด เธอถูกสลับตัวไปเมื่อแรกเกิด เติบโตอย่างยากลำบากแต่เปี่ยมสุขกับครอบครัวชาวนา ก่อนจะถูกพรากไปสู่คฤหาสน์ของตระกูลซูผู้ให้กำเนิด ที่นั่นเธอไม่ได้พบกับความรัก แต่กลับถูก ‘ซูเหม่ยลี่’ ลูกสาวตัวร้ายที่เติบโตมาในฐานะคุณหนูคอยกดขี่ข่มเหง จนสุดท้ายถูกใส่ร้ายและทอดทิ้งให้ตายอย่างโดดเดี่ยว แต่แล้วสวรรค์กลับมีตา ทำให้เยว่ซินได้ย้อนเวลากลับมาในร่างวัย 17 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งวันก่อนที่ตระกูลซูจะมารับตัว! ครั้งนี้เธอจะไม่เลือกเส้นทางเดิมอีกต่อไป เยว่ซินจึงปฏิเสธสายเลือดอย่างเด็ดขาด ประกาศตัดความสัมพันธ์กับตระกูลเศรษฐี และเลือกที่จะอยู่กับครอบครัวหลินผู้ยากจนแต่รักเธอสุดหัวใจ
View Moreสายลมปลายฤดูสารทปี 1998 หอบเอาอากาศอันหนาวเย็นที่เสียดแทงถึงกระดูกแทรกซึมผ่านรอยแตกของบานหน้าต่างไม้เก่าซอมซ่อเข้ามาในห้องเช่าขนาดเท่ารูหนู ซูเยว่ซิน ในวัยสามสิบห้าปีนอนขดตัวอยู่บนเตียงแข็งกระด้าง ร่างกายผ่ายผอมราวกับกิ่งไม้แห้งที่รอวันแหลกสลาย กับผ้าห่มผืนบางเฉียบที่ทั้งเก่าและเปื่อยยุ่ย จนแทบไม่อาจมอบไออุ่นใด ๆ ให้แก่เธอได้เลย
เสียงหอบหายใจของเธอดังครืดคราดอยู่ในลำคอ แต่ละครั้งที่ไอออกมาก็ราวกับจะขย้อนเอาเครื่องในออกมาด้วยอย่างไรอย่างนั้น เลือดสีคล้ำที่กระเซ็นเปรอะผ้าเช็ดหน้าผืนเก่านั้นเปรียบดั่งสิ่งที่บ่งบอกถึงความพ่ายแพ้ของชีวิต
เปลือกตาหนักอึ้งค่อย ๆ ปรือขึ้น ภาพเพดานที่มีหยดน้ำเกาะพราวและคราบเชื้อราสีดำทะมึนเป็นสิ่งที่เธอเห็นจนชินตามาตลอดห้าปีสุดท้ายของชีวิต มันช่างแตกต่างจากโคมระย้าคริสตัลระยิบระยับในคฤหาสน์ตระกูลซูราวฟ้ากับเหว บ้านที่เธอเคยคิดว่าเป็นของตัวเอง!
ภาพความทรงจำในวันนั้นย้อนกลับมาฉายชัดในมโนสำนึกราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน...
วันนั้นฝนตกพรำ ๆ เช่นกัน แต่เป็นฝนในฤดูร้อนที่นำพาความอับชื้นน่ารำคาญใจ เธอยืนตัวเปียกปอนอยู่กลางห้องโถงโอ่อ่าของบ้านตระกูลซู ตรงหน้าคือบิดา กับมารดาผู้ให้กำเนิดที่เธอเพิ่งได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยเพียงสิบกว่าปี พวกเขามองเธอด้วยสายตาเย็นชาที่เต็มไปด้วยความผิดหวังและรังเกียจเดียดฉันท์
“ฉันไม่เคยคิดเลยว่าเลือดในอกของฉันจะกลายเป็นอสรพิษเสียเอง แกกล้าดียังไงถึงได้ยักยอกเงินของบริษัท!?” ซูเจิ้งกั๋ว หรือพ่อผู้บังเกิดเกล้าตวาดลั่น ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยโทสะ นิ้วที่ชี้มาที่เธอนั้นสั่นเทิ้มอย่างเห็นได้ชัด
“พ่อคะ มันไม่ใช่...” เยว่ซินพยายามจะอธิบาย แต่เสียงของเธอกลับสั่นเครือและแผ่วเบาจนน่าสมเพช
“ยังจะแก้ตัวอีก!” เผยฮุ่ยหลัน ผู้เป็นแม่ร่ำไห้ปานจะขาดใจ พลางชี้นิ้วมาที่กองเอกสารบนโต๊ะ “หลักฐานมัดตัวขนาดนี้ แกยังจะปากแข็งอีกหรือ! ฉันอุตส่าห์รักและเอ็นดูแกมากกว่าเหม่ยลี่ตั้งเท่าไหร่ ทำไมแกถึงทำกับพวกเราได้ลงคอ!”
น้ำเสียงนั้นเปรียบเสมือนคมมีดกรีดเฉือนหัวใจของเยว่ซินจนเป็นแผลเหวอะหวะ ที่เจ็บปวดกว่านั้นคือสายตาของผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างกายเผยฮุ่ยหลัน ซูเหม่ยลี่ น้องสาวต่างสายเลือดที่ถูกสลับตัวกันไปเมื่อครั้งยังเป็นทารก
ในขณะที่ทุกคนกำลังเกรี้ยวกราด เหม่ยลี่กลับมีเพียงรอยยิ้มเยาะหยันที่มุมปาก ดวงตาของเธอฉายแววแห่งผู้ชนะอย่างปิดไม่มิด เป็นรอยยิ้มที่เยว่ซินจะไม่มีวันลืมเลือนไปชั่วชีวิต
“พี่เยว่ซินคะ ฉันไม่คิดเลยว่าพี่จะลำบากถึงขั้นต้องทำเรื่องแบบนี้ ถ้าพี่ต้องการเงินทำไมไม่บอกฉันดี ๆ ล่ะคะ” น้ำเสียงของหล่อนหวานล้ำ “ถึงแม้ว่าพี่จะมาจากบ้านนอกคอกนา แต่พ่อกับแม่ก็รักพี่มากนะคะ ทำไมถึงไม่รู้จักพอเสียที”
คำพูดของเหม่ยลี่เป็นดั่งการราดน้ำมันลงบนกองไฟ ซูเจิ้งกั๋วคำรามลั่น
“นับแต่นี้ต่อไป ตระกูลซูจะไม่มีลูกสาวที่ชื่อซูเยว่ซินอีก! รีบไสหัวออกไปจากบ้านของฉันเดี๋ยวนี้!”
เธอยังจำได้ดีถึงสัมผัสหยาบกระด้างของคนรับใช้ที่ลากตัวเธอออกไปนอกประตูรั้วใหญ่โตมโหฬาร แล้วโยนกระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กตามหลังออกมา หรือเสียงปิดประตูเหล็กดัดที่ดังสนั่นนั้น ไม่เพียงแต่ปิดกั้นไม่ให้เธอกลับเข้าไป แต่ยังปิดฉากชีวิตอันสวยหรูที่เธอเคยหลงระเริงไปกับมันด้วย
นับจากวันนั้น ชีวิตของเธอก็ดิ่งลงสู่จุดต่ำอย่างถึงที่สุด ถูกตราหน้าว่าเป็นคนขี้ขโมย อกตัญญู ไม่มีแม้ใครที่จะรับเข้าทำงาน ไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วย จนเธอกลายเป็นเพียงเศษธุลีที่สังคมรังเกียจ จนสุดท้ายต้องมาจบชีวิตลงในห้องเช่าแห่งนี้เพียงลำพัง
หากย้อนเวลากลับไปได้ เธอก็อยากจะถามเหลือเกินว่าความผิดของเธอคืออะไร คือการที่เธอไม่ใช่ลูกสาวที่แท้จริงของบ้านตระกูลหลินที่แสนยากจนงั้นหรือ? หรือคือการที่เธอหลงเชื่อคำหวานของครอบครัวเศรษฐีที่มารับเธอกลับไป โดยทอดทิ้งครอบครัวที่กัดก้อนเกลือเลี้ยงดูเธอมาตลอดสิบเจ็ดปีเต็ม
ใช่แล้ว ครอบครัวหลิน
น้ำตาหยดสุดท้ายไหลรินจากหางตาอันแห้งผาก ภาพใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความรักของพ่อหลิน แม่หลิน พี่ต้าเฉียง และพี่ซิวอิงพลันปรากฏขึ้นมาในห้วงคำนึงสุดท้าย พวกเขาคือคนที่ยอมอดเพื่อให้เธอได้อิ่ม คือคนที่ยอมสละทุกอย่างเพื่อเธอเสมอมา แต่เธอกลับตอบแทนพวกเขาด้วยการจากมาอย่างไม่ไยดี
ช่างโง่เขลา ช่างน่าสมเพชสิ้นดี
ซูเยว่ซินเอ๋ยซูเยว่ซิน มีสมบัติล้ำค่าอยู่กับตัวแท้ ๆ แต่กลับมองไม่เห็น กลับไล่ตามคว้าเงาในน้ำ จนสุดท้ายก็ไม่เหลืออะไรเลย
ลมหายใจเฮือกสุดท้ายขาดห้วงไปพร้อมกับเปลือกตาที่ปิดสนิท ความมืดมิดอันเป็นนิรันดร์เข้าครอบคลุมทุกสรรพสิ่ง
***
“เยว่ซิน! เยว่ซิน! ตื่นได้แล้วลูก!”
เสียงที่คุ้นเคยแต่ห่างหายไปนานเกือบยี่สิบปีดังขึ้นข้างหู ปลุกให้สติที่กระจัดกระจายของหลินเยว่ซินค่อย ๆ รวมตัวกันอีกครั้ง เปลือกตาที่เคยหนักอึ้งราวกับมีหินถ่วง บัดนี้กลับขยับเปิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย
สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาไม่ใช่เพดานผุพังชื้นแฉะ แต่เป็นหลังคาไม้สีเข้มที่มุงด้วยกระเบื้องดินเผาเก่า ๆ แม้จะมีใยแมงมุมเกาะอยู่บ้างประปราย แต่มันกลับให้ความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยอย่างน่าประหลาด
เมื่อเธอลองขยับร่างกาย ความเจ็บปวดทรมานที่เคยเกาะกินอยู่ทุกอณูก็พลันหายไปเป็นปลิดทิ้ง เหลือเพียงความรู้สึกเมื่อยขบเล็กน้อยเท่านั้น เธอยกมือขึ้นมาดู เห็นฝ่ามือเรียวเล็ก ขาวสะอาด ปราศจากร่องรอยกร้านงานหนักและริ้วรอยแห่งวัย นี่มันมือของเด็กสาวชัด ๆ
“ตื่นแล้วหรือลูก? ฝันร้ายเหรอ เห็นเหงื่อออกเต็มหน้าผากเลย”
เยว่ซินหันไปตามเสียงนั้น แล้วหัวใจของเธอก็พลันกระตุกวูบราวกับจะหยุดเต้น สตรีวัยกลางคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงมีใบหน้าซูบตอบ ดวงตาโหลลึกจากการทำงานหนักและพักผ่อนน้อย แต่แววตาที่มองมายังเธอนั้นกลับเปี่ยมไปด้วยความรักและความห่วงใยอย่างสุดซึ้ง...
“แม่...” คำ ๆ นี้หลุดออกจากปากของเธออย่างแผ่วเบา น้ำตาที่คิดว่าเหือดแห้งไปแล้วกลับทะลักทลายออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างอย่างไม่อาจควบคุม
นี่คือแม่หลิน แม่ผู้เลี้ยงดูเธอมาสิบเจ็ดปี!
จ้าวซู่เฟิน หรือ แม่หลิน ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นลูกสาวสุดที่รักจู่ ๆ ก็ร้องไห้โฮออกมา “โอ๋ ๆๆ เป็นอะไรไปลูกรัก บอกแม่มาสิว่าใครทำอะไรให้หนูเสียใจ” เธอดึงร่างของเยว่ซินเข้ามากอดปลอบโยน พลางลูบหลังบางเบา ๆ
ไออุ่นจากอ้อมกอดนี้ กลิ่นดินจาง ๆ ที่ติดอยู่บนเสื้อผ้าของผู้เป็นแม่บ่งบอกได้ว่ามันคือของจริง ทุกอย่างเป็นความจริง! เยว่ซินกอดตอบผู้เป็นแม่แน่นราวกับกลัวว่าภาพตรงหน้าจะสลายไป
“หนู... หนูแค่ฝันร้ายค่ะแม่” เธอตอบเสียงอู้อี้ ซุกใบหน้ากับอกอุ่น ๆ ของมารดาเพื่อซ่อนความสับสนตื่นตระลึงของตัวเอง
“ฝันก็คือฝัน ตื่นมาก็ลืมมันไปนะลูก” แม่หลินลูบหัวเธออย่างอ่อนโยน “ลุกไปล้างหน้าล้างตาเถอะ พ่อกับพี่ ๆ เขารอมันต้มฝีมือลูกอยู่นะ วันนี้ต้าเฉียงไปขุดมาได้หัวใหญ่เชียว”
เยว่ซินค่อย ๆ คลายอ้อมกอดแล้วพยักหน้ารับ สติของเธอเริ่มกลับมาทำงานเต็มที่อีกครั้ง เธอมองไปรอบ ๆ ห้องนอนเล็ก ๆ ที่คุ้นเคย ทั้งเตียงไม้ โต๊ะหนังสือเก่า ๆ ที่พ่อเป็นคนต่อให้ และปฏิทินกระดาษที่แขวนอยู่บนผนัง
ดวงตาของเธอเบิกกว้างเมื่อเห็นตัวเลขบนปฏิทิน...
วันที่ 12 เดือนกันยายน ปี 1983
หัวใจของเธอเต้นระรัวราวกับจะทะลุออกมานอกอก ปี 1983 เธอได้ย้อนกลับมาเมื่อตอนอายุสิบเจ็ดปี และวันที่ 12 เดือนกันยายน นั่นหมายความว่า...
พรุ่งนี้!
พรุ่งนี้คือวันที่ 13 กันยายน วันที่รถยนต์คันหรูของตระกูลซูจะมาจอดที่หน้าบ้านหลังนี้ วันที่พวกเขาจะมาพรากเธอไปจากครอบครัวที่แท้จริง และเป็นจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมทั้งหมดในชาติที่แล้ว
ฟ้ายังมีตา! สวรรค์ยังเมตตาเธอ!
เยว่ซินกำหมัดแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด โอกาสมาอยู่ตรงหน้าแล้ว โอกาสที่จะได้แก้ไขความผิดพลาดทั้งหมด โอกาสที่จะได้ปกป้องครอบครัวนี้ และโอกาสที่จะได้เอาคืนคนพวกนั้นอย่างสาสม!
หลังจากล้างหน้าด้วยน้ำเย็น ๆ ในกะละมัง เยว่ซินก็เดินออกมายังห้องโถงเล็ก ๆ ซึ่งใช้เป็นทั้งที่กินข้าวและที่นั่งเล่น กลิ่นหอมหวานของมันเทศต้มลอยอบอวลไปทั่ว พ่อหลินกำลังนั่งซ่อมเครื่องมือทำไร่อยู่ที่มุมหนึ่ง หลินต้าเฉียง พี่ชายคนโตกำลังเช็ดเหงื่อบนใบหน้าคมเข้ม และ หลินซิวอิง พี่สาวคนรองกำลังช่วยแม่หลินจัดเตรียมชามข้าวอยู่
“เยว่ซินมาแล้วรึ” พ่อหลิน หรือ หลินเจี้ยนกั๋ว เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ลูกสาวคนเล็กอย่างรักใคร่ “หน้าตาดูไม่ค่อยดีเลย ไม่สบายหรือเปล่าลูก”
“เปล่าค่ะพ่อ หนูสบายดี” เธอยิ้มตอบ พยายามเก็บซ่อนความรู้สึกที่ปั่นป่วนอยู่ภายในใจ
“มา ๆๆ น้องเล็กมานั่งนี่เร็ว วันนี้พี่ใหญ่ขุดมันหัวใหญ่ที่สุดในแปลงมาให้เธอเลยนะ!” ต้าเฉียงพูดพลางตบที่นั่งว่างข้าง ๆ เขาด้วยท่าทีแข็งขันแต่แฝงไว้ด้วยความเอ็นดู
ครอบครัวหลินมีกันห้าชีวิต แม้จะยากจนข้นแค้นชนิดที่เรียกว่ากัดก้อนเกลือกิน แต่ความรักความผูกพันกลับเหนียวแน่นยิ่งกว่าสิ่งใด ทุกคนทำงานหนักเพื่อส่งเสียให้เยว่ซินได้เรียนหนังสือ เพราะเธอเป็นความหวังเดียวของครอบครัว
แม่หลินตักมันเทศต้มสีเหลืองทองที่ร้อนกรุ่นใส่ชามให้ทุกคน ในหม้อมีมันอยู่เพียงไม่กี่หัว แต่ชามของเยว่ซินกลับได้รับชิ้นที่ใหญ่และดูน่ากินที่สุดเสมอ
“กินเยอะ ๆ นะลูก จะได้มีแรงอ่านหนังสือ” ซิวอิงคีบมันชิ้นเล็ก ๆ จากชามของตัวเองมาใส่ให้เยว่ซินเพิ่ม
ภาพตรงหน้าทำให้หัวใจของเยว่ซินอุ่นซ่านและเจ็บปวดในเวลาเดียวกัน นี่คือความรักอันบริสุทธิ์แบบที่เธอโหยหามาตลอดชีวิตในชาติที่แล้ว ครอบครัวที่ยอมสละทุกอย่างได้เพื่อเธอโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน
เธอก้มหน้าลงกินมันต้มในชาม รสชาติหวานอร่อยของมันแผ่ซ่านไปทั่วทั้งปาก มันอร่อยกว่าอาหารเหลาหรูหราจานไหน ๆ ที่เธอเคยกินในบ้านตระกูลซูเสียอีก เพราะมันคือรสชาติของบ้าน
เยว่ซินเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของทุกคนอีกครั้ง ใบหน้าของพ่อที่เต็มไปด้วยริ้วรอยจากการตรากตรำกลางแดดฝน ใบหน้าของแม่ที่ซูบซีดแต่แววตายังคงอ่อนโยน ใบหน้าของพี่ชายที่เปื้อนดินแต่เปี่ยมด้วยรอยยิ้ม และใบหน้าของพี่สาวที่เรียบง่ายแต่แฝงความเสียสละ
น้ำตาหยดหนึ่งหยดลงในชามข้าวโดยที่เธอไม่รู้ตัว
ไม่! เธอเปล่งเสียงในใจอย่างเด็ดเดี่ยว ชาตินี้ฉันจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายพวกเขาอีกแล้ว!
ตระกูลซูงั้นหรือ? ความร่ำรวยมั่งคั่งงั้นหรือ? มันก็แค่ภาพลวงตาจอมปลอมที่เคยทำลายชีวิตเธอมาแล้วครั้งหนึ่ง น้ำบ่อหน้าย่อมสู้น้ำบ่อน้อยหลังบ้านไม่ได้ ความสุขจอมปลอมที่อยู่ไกลตัว จะเทียบกับความอบอุ่นที่แท้จริงตรงนี้ได้อย่างไร
เธอจะใช้ความทรงจำและความรู้จากอนาคต พลิกชะตาชีวิตของครอบครัวนี้ให้จงได้ เธอจะทำให้พ่อแม่และพี่น้องได้อยู่อย่างสุขสบาย ไม่ต้องลำบากลำบนอีกต่อไป
ส่วนตระกูลซูและซูเหม่ยลี่ หนี้แค้นที่เคยติดค้างกันไว้ ชาตินี้เธอจะขอทวงคืนกลับมาทั้งหมด ทั้งต้นทั้งดอก!
หลินเยว่ซินกำหมัดที่อยู่ใต้โต๊ะแน่น แววตาที่เคยสับสนและอ่อนแอ บัดนี้ทอประกายกล้าแกร่งและเย็นเยียบขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ชาตินี้ฉันจะไม่ไปจากที่นี่เด็ดขาด!”
กาลเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิของปี 1989 โลกได้หมุนไปข้างหน้าอย่างไม่เคยหยุดนิ่ง...ณ กรุงปักกิ่ง หลินเยว่ซิน หลินต้าเฉียง และหลินซิวอิงได้กลายเป็นนักศึกษาที่โดดเด่นในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ บริษัทหลิวเยว่ แฟชั่นกรุ๊ปได้เปิดสำนักงานใหญ่และสาขาแฟล็กชิปที่เมืองหลวงเป็นที่เรียบร้อย และได้กลายเป็นแบรนด์แฟชั่นระดับชาติที่ทรงอิทธิพลทว่าณ อำเภอหลิวอันที่ห่างไกล ช่วงนี้ได้มีข่าวลือระลอกใหม่เกิดขึ้นในวงน้ำชาของเหล่าแม่บ้าน ข่าวลือที่เกี่ยวกับบุคคลที่แทบจะถูกลบหายไปจากความทรงจำของผู้คนแล้ว“นี่เธอได้ยินเรื่องนั้นหรือยัง?” หญิงคนหนึ่งกระซิบกับเพื่อนบ้าน “เห็นว่านังหนูซูเหม่ยลี่อะไรนั่นกำลังจะกลับมาแล้วนะ”“หา?! กลับมาอะไรกัน?” อีกคนถามด้วยความไม่ใส่ใจ“ก็ฉันได้ยินมาว่าเธอไปเจอผู้อุปถัมภ์คนใหม่ เป็นถึงเถ้าแก่จากต่างเมืองที่ร่ำรวยมากเลยล่ะ เห็นว่าเธอกำลังจะกลับมาทวงทุกอย่างคืน เธอบอกกับคนไปทั่วว่าความจริงทั้งหมดกำลังจะถูกเปิดโปง ที่แท้หลินเยว่ซินนั่นแหละคืออสรพิษตัวจริง!”ในอดีต ข่าวลือที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้คงจะกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดไปแล้ว แต่ในวันนี้ปฏิกิริยาของผู้คนกลับแตกต
วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ท่านนายพลลู่และภรรยาเดินทางกลับไปแล้ว บ้านของตระกูลหลินก็ยังคงอบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุขและความตื่นเต้นไม่จางหาย ทุกคนต่างพูดคุยกันถึงเรื่องงานมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขท่ามกลางความชื่นมื่นนั้น หลินเยว่ซินกลับรู้สึกว่าหัวใจของตนเองยังคงมีม่านหมอกบาง ๆ ปกคลุมอยู่ เธอยอมรับการสู่ขอ แต่ทว่าเธอยังไม่เคยได้ให้คำตอบแก่เขาจากหัวใจของเธออย่างแท้จริงเลยบ่ายวันนั้น ขณะที่เธอกำลังนั่งออกแบบเสื้อผ้าชุดใหม่อยู่ในห้องทำงาน ลู่เฟิงในชุดลำลองสบาย ๆ ก็เดินเข้ามาหาอย่างเงียบ ๆ“เยว่ซิน” เขาเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “ไปเดินเล่นกับฉันหน่อยได้ไหม?”แม้จะเป็นคำเชิญที่เรียบง่าย แต่กลับแฝงไว้ด้วยความหมายอันลึกซึ้ง นี่คือการนัดหมายครั้งแรกของพวกเขาในฐานะคู่หมั้นอย่างเป็นทางการเยว่ซินพยักหน้ารับเบา ๆ เธอรู้ดีว่าถึงเวลาแล้วที่เธอจะต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตัวเองเสียทีทั้งสองเดินเคียงข้างกันออกจากตัวเมือง ไม่ได้มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่สวยงามหรือโรแมนติกใด ๆ แต่กลับเดินไปตามเส้นทางดินสายเก่าที่ทอดตัวมุ่งตรงไปยังหมู่บ้านหงซิง จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดส
ฤดูสารทของปี 1988 ได้นำพาสายลมเย็นสบายและใบไม้สีทองโปรยปรายมาสู่เมืองหลิวอัน ครอบครัวหลินกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่เปี่ยมสุขและวุ่นวายที่สุด พวกเขากำลังเตรียมการใหญ่สำหรับการย้ายไปตั้งรกรากที่เมืองหลวงของต้าเฉียง ซิวอิง และเยว่ซินในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าท่ามกลางความวุ่นวายนั้นเอง จดหมายฉบับหนึ่งจากลู่เฟิงก็ได้ถูกส่งมาถึง ซึ่งเนื้อหาข้างในนั้นก็ค่อนข้างที่จะสั้นกระชับ แต่ทว่ากลับทำให้หัวใจของเยว่ซินเต้นไม่เป็นส่ำ เขาเขียนว่าเขาจะกลับมาเยี่ยมบ้านในสัปดาห์หน้า และครั้งนี้เขาจะไม่ได้มาคนเดียวสัญชาตญาณของเยว่ซินร้องบอกว่าการมาเยือนในครั้งนี้จะต้องมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด และดูเหมือนว่าทุกคนในบ้านก็จะรู้สึกได้เช่นเดียวกัน แม่หลินถึงกับลงมือทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่และสั่งให้พ่อหลินไปซื้อใบชาต้าหงเผาชั้นดีที่สุดมาเตรียมไว้ต้อนรับแขกเช้าวันหนึ่งที่อากาศแจ่มใส รถยนต์เก๋งหงฉีสีดำมันวาวสองคันแล่นเข้ามาจอดเทียบที่หน้าประตูบ้านทรงลานสี่ทิศของตระกูลหลินอย่างเงียบเชียบแต่แฝงไว้ด้วยบารมีอันน่าเกรงขาม การปรากฏตัวของรถยนต์ระดับผู้นำประเทศเช่นนี้ทำให้เพื่อนบ้านที่สัญจรผ่านไปมาถึงกับต้องหยุดยืนมองด้วยความตก
ฟ้าหลังฝนสำหรับครอบครัวหลินแล้ว ท้องฟ้าของพวกเขาในตอนนี้ไม่เพียงแต่จะสดใสไร้เมฆหมอกบดบัง แต่มันยังประดับประดาไปด้วยดวงดาวแห่งเกียรติยศที่ส่องประกายเจิดจรัสอีกด้วยเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนของปี 1988 หนึ่งปีกว่านับตั้งแต่การล่มสลายของตระกูลซู ช่วงเวลาที่ปราศจากมารผจญนี้เองที่ทำให้ธุรกิจใบไหวดีไซน์ได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดราวกับมังกรทะยานขึ้นสู่สรวงสวรรค์บัดนี้ หลิวเยว่ แฟชั่นกรุ๊ป ไม่ได้เป็นเพียงร้านค้าในอำเภอเล็ก ๆ อีกแล้ว แต่ได้กลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีโรงงานตัดเย็บเป็นของตัวเอง มีสาขากระจายอยู่ตามหัวเมืองใหญ่ ๆ ทั่วทั้งมณฑล และกำลังจะเริ่มขยายตลาดไปยังเมืองหลวงอย่างปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ แบรนด์ใบไหวได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของแฟชั่นที่ทันสมัย คุณภาพดี และเป็นความภาคภูมิใจของสินค้าที่ผลิตในประเทศอย่างแท้จริงครอบครัวหลินเองก็ได้ย้ายออกจากบ้านหลังเดิมมาอาศัยอยู่ในบ้านทรงลานสี่ทิศ หลังใหญ่ที่เยว่ซินทุ่มเงินซื้อมันมาแล้วตกแต่งใหม่ทั้งหมด ที่นี่กว้างขวางและงดงามราวกับจวนของขุนนางในสมัยก่อน กลางลานบ้านมีสวนหย่อมที่จัดแต่งอย่างสวยงาม มีสระปลาคาร์ปเล็ก ๆ และต้นไหวที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ปร
หากคิดจะจับ ก็ต้องแสร้งปล่อยไปก่อนนี่คือกลยุทธ์ที่หลินเยว่ซินและลู่เฟิงได้วางไว้ร่วมกัน...สองวันหลังจากที่ซูเหม่ยลี่ได้จ่ายเงินก้อนสุดท้ายของเธอไป บทความชิ้นเอกอันแสนสกปรกของเฒ่าเหมาก็ได้ถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ใต้ดินฉบับหนึ่ง มันถูกนำไปแจกจ่ายตามร้านน้ำชาและแผงลอยต่าง ๆ ทั่วทั้งเมือง เรื่องราวที่ถูกปรุงแต่งขึ้นอย่างสุดฝีมือได้สร้างความสับสนให้กับผู้คนอีกครั้ง ความสงสัยระลอกใหม่เริ่มซัดสาดเข้าใส่ชื่อเสียงของหลินเยว่ซินอีกคราทางฝั่งร้านใบไหวดีไซน์ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัด ยอดขายตกลงเล็กน้อย และมีเสียงซุบซิบนินทาจากลูกค้ามากขึ้น หลินเยว่ซินดูเหมือนจะตกอยู่ในภาวะตั้งรับ เธอเก็บตัวเงียบ ไม่ได้ออกมาโต้ตอบใด ๆ ท่าทีที่ดูเหมือนยอมจำนนนี้เองที่ทำให้ซูเหม่ยลี่หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งด้วยความสะใจ แต่แล้ว ในขณะที่ข่าวลือกำลังคุกรุ่นถึงขีดสุด ร้านใบไหวดีไซน์ก็ได้เคลื่อนไหวในแบบที่ไม่มีใครคาดคิดบัตรเชิญที่ถูกออกแบบอย่างสวยหรูได้ถูกส่งไปยังสำนักข่าวทุกแขนง ทั้งสื่อท้องถิ่นและสื่อสิ่งพิมพ์ระดับมณฑล เนื้อหาในบัตรเชิญระบุว่าทางร้านจะจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวเสื้อผ้าคอลเลกชันฤดูใบไม้ผลิ
ลมหนาวในช่วงปลายปี พัดพาเอากลิ่นอายของเทศกาลตรุษจีนที่กำลังจะมาถึงให้ลอยอบอวลไปทั่วทั้งเมือง บนถนนหนทางประดับประดาไปด้วยโคมไฟสีแดงสดใส ผู้คนต่างมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสจับจ่ายซื้อของเพื่อเตรียมเฉลิมฉลองวันปีใหม่ แต่สำหรับตระกูลซูแล้วฤดูหนาวในปีนี้มันช่างหนาวเหน็บและโหดร้ายเสียเหลือเกินธุรกิจที่เคยยิ่งใหญ่ของพวกเขาได้ล่มสลายลงโดยสมบูรณ์แล้ว...การที่ข่าวในหนังสือพิมพ์ถูกระงับไปอย่างรวดเร็วผิดปกติ เป็นดั่งสิ่งสุดท้ายที่ทำให้คู่ค้าและธนาคารต่างหมดสิ้นความเชื่อมั่นในตระกูลซู พวกเขารู้ดีว่าตระกูลซูไม่เพียงแต่กำลังจะล้มละลาย แต่ยังไปเหยียบตาปลาของผู้มีอำนาจระดับสูงเข้าให้อีกด้วย ทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกเขาอีกตอนนี้พวกเขาอยู่ในสภาวะสิ้นไร้ไม้ตอกอย่างแท้จริง คฤหาสน์หลังงามกำลังจะถูกยึดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ทรัพย์สินเงินทองที่เคยมีก็ร่อยหรอลงไปจนแทบไม่เหลือ พวกเขาไม่มีทางไปอีกแล้วค่ำคืนหนึ่ง ท่ามกลางความเงียบงันอันน่าสมเพชภายในคฤหาสน์ที่เคยโอ่อ่า ซูเจิ้งกั๋วที่บัดนี้ดูแก่ชราลงไปนับสิบปีได้เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ“เรายังเหลือหนทางสุดท้าย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งแ
Comments