LOGINอรุณแห่งวันใหม่เข้ามาเยือน นิลลนายกมือกุมศีรษะ เพราะอาการปวดตุบบริเวณขมับ เปลือกตาค่อยๆ เปิดออกรับแสง ภาพทุกอย่างเริ่มชัดเจน ร่างบางลุกนั่งดวงตาเบิกกว้าง สีหน้าตื่นตระหนก กวาดตามองโดยรอบด้วยความสับสน ที่นี่ที่ไหน มาอยู่ได้ยังไง แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่
ห้องกว้างเตียงสีเสา พื้นถูกปูด้วยกำมะหยี่ปักลวดลายงดงาม เครื่องเรือนเป็นทองคำแทบทั้งหมด ผ้าม่านสีไข่ไก่ เธอลุกยืนสะบัดศีรษะไล่ความมึนงง ก้าวยาวมาถึงหน้าต่างรูดม่านออก มองเบื้องหน้าเป็นโอเอซิสขนาดใหญ่ เห็นสาวๆ ทั้งผิวขาว ผิวน้ำผึ้ง กำลังเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน บางคนสวมชุดราวกับนักเต้นระบำ ในดินแดนภารตะ รูปร่างอรชรอ้อนแอ้นน่ามอง มือบางยกทาบอก นี่ตนเองกำลังฝันอยู่หรือเปล่า
แอด...
เสียงประตูห้องเปิดออกนิลลนาหันมอง เห็นชายรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้านี่เคยเห็นมาก่อน นัยน์ตาสีอำพันยังคงมีมนต์ขลัง อย่างน่าประหลาดเช่นเคย วันนี้เขาสวมชุด คล้ายชุดประจำชาติชาวอินเดีย เรียกว่ากรุต้า ยิ่งทำให้ชวนมองมากขึ้น แต่ทว่าเธอไม่เคยคิดสนใจเลยสักนิด ว่าชายคนนี้จะหล่อเหลา หรือเป็นใครมาจากไหน เพราะเหตุการณ์ที่เผชิญคือการถูกกักขังอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้
"คุณจับฉันมาใช่ไหม ที่นี่ที่ไหน ทำไมต้องจับฉันมาด้วย ปล่อยฉันออกไปนะ!” หญิงสาวพ่นถ้อยคำออกมาด้วยความเดือดดาล
ทรงยกพระหัตถ์เพื่อห้ามปราม เห็นนางหอบโยนเมื่อยิงคำถามชุดใหญ่ ผิวแก้มเริ่มแดงปลั่งเพราะความโกรธ กษัตริย์มาซาฮาฟทรงแย้มพระโอษฐ์
“ไม่ต้องยิงคำถามกับเราขนาดนั้นก็ได้ เรายินดีตอบทุกคำถามอยู่แล้ว”
นิลลนากรอกตาเล็กน้อย จ้องมองชายแปลกหน้าอย่างจับผิด เธอเคยตบหน้าเขา หรือนี่คิอการแก้แค้น ทำยังไงดีจะโดนฆ่าหมกทรายอยู่ที่ซากวัยอย่างนั้นเหรอ ไม่ได้แล้วเธอต้องอ่อนเข้าไว้
“ฉันอยากรู้ว่าคุณเป็นใคร แล้วฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“อยากรู้ว่าเราเป็นใครนะเหรอ” พระองค์ทรงย้อนถามแล้วเลิ่กพระขนง
“ก็ใช่นะสิ”
กษัตริย์มาซาฮาฟทรงยกพระกรกอดพระอุระ ดูท่าสาวน้อยคนนี้จะดื้อดึงกว่าที่คิด
“เราเป็นคนพาตัวเจ้ามาที่นี่เอง ที่นี่คือพระราชวังแวนเดอเลีย”
“อะไรนะ!” นิลลนาร้องลั่นด้วยความตกใจ นี่เธออยู่ในวังแวนเดอเลียเหรอ สถานที่ที่ไม่มีนักท่องเที่ยวคนไหนสามารถมาเยือน เพราะไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้า
“ตกใจอะไรรึ ปกติเจ้าชอบไม่ใช่หรือสถานที่ต้องห้าม”
“ฉันไม่เข้าใจเลย...” คนตัวเล็กส่ายหน้าสับสน “คุณพาตัวฉันมาที่นี่ทำไม แล้วตกลงคุณเป็นใครกันแน่”
กษัตริย์มาซาฮาฟนิ่งครู่หนึ่งแล้วทอดพระเนตรหญิงสาว ยิ่งพิศยิ่งแปลกใจ คราแรกพระองค์ต้องการสั่งสอน เพราะนางบังอาจตบพระพักตร์ แต่ตอนนี้กลับคิดอีกอย่าง ริมฝีปากบางแต่ช่างพูดหากจุมพิตจะหวานหรือไม่ ผิวแก้มแดงปลั่งจนน่าสูดกลิ่นหอม
ปกติพระองค์ไม่เคยพาตัวสตรีนางใดมา โดยไม่ได้รับความยินยอมพร้อมใจ แต่สำหรับนางเป็นกรณิพิเศษ นางคงดีใจหากรู้ว่าพระองค์คือผู้ใด
“เราต้องการตัวเจ้าเป็นนางสนม ที่นี่เจ้าจะได้ทุกอย่างที่ต้องการ ทั้งทรัพย์สมบัติ และตัวข้า แค่เพียงเจ้าเอ่ยปากออกมาเท่านั้น เราจะให้”
นะ...นางสนม บ้าบอคอแตกอะไร ตกลงผู้ชายคนนี้เป็นใครกันแน่
“คุณพูดอะไรออกมา นางสนมอะไรฉันไม่เข้าใจ!” นิลลนาถามเสียงสั่น
“เจ้ายังไม่รู้อีกรึว่าเราเป็นใคร เราคือกษัตริย์แห่งประเทศซากวัย มาซาฮาฟ จาเมียร์”
ไม่จริงใช่ไหม มือบางยกขึ้นปิดปากหากฝันขอให้ตื่นขึ้นเถิด เพราะตอนนี้หัวใจมันสั่น ใช่จากใบหน้าหล่อเหลาของชายแปลกหน้า แต่มาจากความกลัวต่างหาก เธอจ้องมองดวงตาเบิกกว้าง ส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อคำพูดนั้น
“ไม่จริงหรอกคุณโกหก!”
ก่อนพระองค์ได้ตรัส เสียงฝีเท้าดังแว่วพร้อมด้วยราชองครักษ์อัสลันหยุดยืน เขาก้มศีรษะทำความเคารพสายตาชำเลืองมองสาวชาวไทยเล็กน้อย แล้วให้ความสนใจต่อองค์กษัตริย์
“ฝ่าบาทวันนี้ตอนบ่ายสามโมง ท่านรัฐมนตรีอาริกมันขอเข้าเฝ้าพะยะค่ะ”
“อืม เรารู้แล้ว”
“เกล้ากระหม่อมขอทูลลาพะยะค่ะ” อัสลันเดินเลี่ยงออกมา ใจอดเป็นห่วงหญิงชาวไทยไม่น้อย
ทรงหันมาสนพระทัยต่อนางอีกครั้ง
ร่างบางสั่นเทาด้วยความหวาดหวั่น บุรุษผู้นี้คือกษัตริย์แห่งซากวัยจริงๆ ไม่อยากเชื่อ เหมือนฝันนี่เธอกำลังเผชิญหน้ากับพระองค์อยู่
“เราคุยกันมาหลายประโยคแล้ว ข้าอยากรู้ว่าเจ้าชื่ออะไร” พระสุรเสียงทุ้มแต่ทรงอำนาจ ทำเอาคนถูกถามจำต้องมองสบตา
“เอ่อ... หม่อมฉันชื่อนิลลนาเพคะ” เธอตอบตะกุกตะกักเพราะไม่เชี่ยวชาญคำราชาศัพท์มากนัก
“อืม” ทรงสาวพระบาทเข้าหา ร่างบางผงะถอยหลังตามสัญชาตญาณ ทรงหยุดแล้วทอดพระเนตร “คำตอบของเจ้าล่ะคืออะไร”
“พระองค์หมายถึงเรื่องอะไรเพคะ”
“เรื่องที่เราต้องการให้เจ้าเป็นสนมน่ะสิ”
สนมงั้นเหรอ เธอรู้สึกเหมือนตนเองถูกตบหน้า ต่อให้หล่อปานเทพบุตรมาจุติจากสวรรค์ หากต้องเป็นนางเล็กนางน้อยเพื่อสนองตัณหาผู้ชายแล้วได้ทรัพย์ ยอมกัดก้อนเกลือหรือโสดจนตาย อีกอย่างเธอไม่ใช่หมูในอวยเห็นเงินทองหรือคนหล่อแล้วกระโจนเข้าหา ต่อให้เป็นกษัตริย์ใหญ่สักแค่ไหนก็ไม่สนหรอก ไม่ได้รักใคร่ชอบพอกันมาก่อน แถมยังลักพาตัวตามอำเภอใจใครจะยอม ศักดิ์ศรีถึงมันกินไม่ได้แต่ไม่ยอมเสียเด็ดขาด
“หม่อมฉันขอทูลตามตรงนะเพคะ หม่อมฉันไม่ต้องการเป็นสนมของพระองค์” เธอยืนยันหนักแน่น สบพระเนตรอย่างไม่เกรงกลัว
กษัตริย์มาซาฮาฟรู้สึกราวกับพระองค์ถูกตบพระพักตร์ครั้งที่สอง ขนาดรู้ว่าพระองค์เป็นใครนางก็ยังคงยืนกรานปฏิเสธ แถมยังแสดงสีหน้าหนักแน่น ไม่เคยมีสตรีนางใดทำกับพระองค์เช่นนี้มาก่อนเลย
“เจ้าแน่ใจรึที่พูดออกมา”
“หม่อมฉันแน่ใจเพคะ”
พระวรกายสูงใหญ่ก้าวประชิดอย่างรวดเร็ว คว้าเรียวแขนกระชากจนร่างบางปะทะแผงพระอุระกว้าง นิลลนาตระหนกใช้มือผลักดันสุดแรงแล้วดิ้นรน
“พระองค์จะทำอะไรหม่อมฉัน!” เธอร้องถาม
“หากเราเข้าใกล้เจ้ามากกว่านี้ บางที... เจ้าอาจจะเปลี่ยนคำพูด” สุรเสียงทุ้มกระซิบข้างใบหู
“หม่อมฉันไม่มีวันเปลี่ยนคำพูดเด็ดขาด ปล่อยหม่อมฉันนะเพคะ พระองค์ไม่มีสิทธิ์ทำอะไรหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่ใช่ประชาชนของประเทศนี้ พระองค์ไม่แม้แต่จะมีสิทธิ์กักขังหน่วงเหนียวหม่อมฉันด้วย!”
คำพูดแสดงถึงเจตนา นึกโมโหครามครั้นเหตุใดนางถึงได้ดื้อดึงนัก แค่พระองค์พึงใจ ไม่ว่าสตรีนางใดต่างปรารถนาในตัวพระองค์ทั้งนั้น
“ต่อให้เจ้าไม่ใช่ประชาชนของประเทศนี้ แต่ถ้าหากเจ้าเหยียบย่างเข้ามาบนผืนแผ่นดินเรา เราก็มีสิทธิ์ทำอะไรตามใจเหมือนกัน!”
นิลลนากัดฟันข่มความกลัว นี่หรือกษัตริย์ที่ทุกคนพากันพูดถึง ทำไมมันช่างแตกต่างจากที่ได้ยินมามากนัก พระองค์ทรงเอาแต่พระหทัย แถมยังไม่มีเหตุผลเสียอีก
“พระองค์ทรงต้อนรับแขกจากประเทศอื่นเช่นนี้หรือเพคะ ฉุดมาเมื่อต้องการ อยากทำอะไรก็ทำ พระองค์ทรงปกครองประชาชนได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีความเมตตาเลยสักนิด!"
กษัตริย์มาซาฮาฟทรงกริ้ว เมื่อได้ยินถ้อยคำไม่รื่นพระกันต์ ไม่เคยมีหญิงใดต่อปากต่อคำแถมยังวิจารณ์การปกครองของพระองค์มาก่อน
“นี่เจ้ากล้าว่าข้างั้นหรือ”
“หม่อนฉันกล้าสิเพคะ ในเมื่อพระองค์ทำไม่ถูกต้อง!”
“นิลลนา!” ทรงตวาด พระพักตร์เริ่มแดงเพราะทรงกริ้ว
คนตัวเล็กสั่นสะท้านเมื่อพระกรรัดร่างกายเธอแน่นขึ้น หญิงสาวหาทางเอาตัวรอดด้วยการดิ้นรน แต่ทว่าพระวรกายพระองค์ไม่สะท้านสะเทือน
“ปล่อยหม่อมฉันนะเพคะ หากพระองค์ไม่ต้อนรับ หม่อมฉันจะกลับประเทศไทย!”
“ข้าไม่ให้เจ้ากลับหรอกนิลลนา เจ้าจะต้องอยู่ที่นี่ ในเมื่อเจ้าเลือกปฏิเสธข้า ข้าก็มีวิธีอื่น” ทรงกัดพระทนต์แล้วปล่อยร่างบางรั้งข้อมือให้เดินตาม
นิลลนากวาดตามองรอบๆ เห็นนางกำนัลพากันมองมาแล้วก้มศีรษะทำความเคารพ พระองค์กำลังพาเธอไปยังที่แห่งใด เสียงฝีเท้านับร้อย เสียงปืนดังก้องจนเธอสะดุ้งยกมือปิด ฝ่าบาททรงหันพระเศียรแววพระเนตรดุดัน
“จะพาหม่อมฉันไปไหนเพคะ หม่อมฉันไม่ไป!” คนตัวเล็กดื้อดึงพยายามแกะพระหัตถ์ออก
พระองค์ไม่ฟังเสียงลากร่างบางมายังลานกว้างด้านหน้า รั้งให้ขึ้นเวทีไว้สำหรับสอนทหาร อัสลันยกมือเพื่อหยุดการฝึกก้มศีรษะทำความเคารพแล้วหลบมายืนอยู่ด้านหลัง อดแปลกใจเหตุใดพระองค์ถึงพาตัวหญิงไทยมายังสถานที่แห่งนี้แถมดูท่าทางนางหวาดกลัวนัก
ไมค์ถูกส่งมา กษัตริย์ซาฮาฟจอใกล้พระโอษฐ์หันมองคนตัวเล็กกำลังขัดขืน เพื่อให้ข้อมือหลุดพ้นจากพันธนาการ พระวรกายสูงใหญ่ทรงยืนสง่าท่ามกลางทหารนับพัน
“เรามีเรื่องจะประกาศ เนื่องจากพวกเจ้าทุกคนฝึกหนักมาตลอดปี เรามีของขวัญพิเศษจะมอบให้”
ร่างบางถูกรั้งให้มายืนด้านหน้า “สตรีนางนี้จะเป็นเครื่องผ่อนคลายสำหรับพวกเจ้า”
เสียงทหารโห่ร้องกึกก้องด้วยความยินดี นิลลนาตาโตหันมองเห็นมุมพระโอษฐ์กระตุกขึ้น
“พระองค์ทรงตรัสอะไรออกไป!” เธอถามน้ำตาเริ่มคลอ ภาษาที่ใช้เป็นภาษาถิ่นซึ่งเธอไม่เข้าใจเลย
อัสลันอดรนทนไม่ได้เลยขยับใกล้กระซิบแผ่ว พอเธอได้ยินน้ำตาไหลรินออกมาไม่ขาด ร่างกายแทบทรุดกองกับพื้น
“ข้าให้เจ้าเลือกแล้วนิลลนา แต่เจ้าเลือกจะปฏิเสธ มันช่วยไม่ได้”
“พระองค์ไม่มีสิทธิ์ทำกับหม่อมฉันเยี่ยงนี้ หม่อนฉันไม่ใช่ทาส หม่อมฉันไม่ใช่ประชาชนของพระองค์” หญิงสาวตัดพ้อทั้งน้ำตา
“เจ้าหายไปคนเดียว ประเทศอื่นคงไม่มีใครมานั่งสงสัยข้าหรอก” กษัตริย์ทรงตรัสแล้วแย้มสรวลเยือกเย็น
ร่างบางถูกแบกออกมาจากเรือนกลางน้ำ เวลานี้เธอไม่รู้สึกตัวไม่รับรู้ถึงอันตรายกำลังคืบคลานเข้าหา สองนางกำนัลวางร่างบนเตียงกว้างพลางหอบโยนด้วยความเหนื่อย อารีมากอดอกมองสภาพศัตรูแล้วยิ้มเยาะ“ถอดเสื้อผ้านางซะ!”“แน่ใจหรือเพคะพระสนม ฝ่าบาทอาจทรงกริ้วหากทราบความจริง!” ยารีค้านขึ้นมาทันที“นี่แกกล้าขัดคำสั่งข้าเหรอ!” อารีมาชี้นิ้วแววตาแข็งกร้าว ความโกรธแล่นเป็นริ้วๆ เมื่อนางกำนัลในตำหนักกล้าขัดใจ“เปล่าเพคะ หม่อมฉันแค่คิดว่าไม่เหมาะสม หากฝ่าบาททรงทราบเราทั้งหมดอาจต้องโทษหนักเพคะ”“แล้วพวกเจ้าจะปากโป้งหรืออย่างไร เก็บมันเป็นความลับให้ได้เสียสิ หรือข้าจะต้องให้พวกเจ้าหายไปเงียบๆ ถึงจะไม่เปิดปาก”ยารีหน้าซึดเผือด อันจาเลยลากมือเพื่อนให้จัดการทำตามคำสั่งพระสนมเสียหากยังรักชีวิตตน สองคนเลยจัดการถอดเสื้อผ้า อารีมาเห็นสภาพศัครูแล้วอดอิจฉาไม่ได้ ผิวพรรณผุดผ่อง แถมรูปร่างยังคงเต่งตึงราวกับกุหลาบแรกแย้มไม่มีสิ่งใดดอมดม นี่สินะฝ่าบาทถึงได้หลงนักหนา“พวกเจ้าเฝ้านางไว้ดีๆ” เธอสั่งแล้วก้าวออกมานอกห้องเพื่อจัดการกับเป้าหมายต่อไปเสียงซุบซิบในห้อง ทำให้นาเดียชะงักจ้องมองด้วยสีหน้าอยากรู้ ใบหน้านางกำนัลเหล่าน
หญิงสาวขึ้นเกี้ยวเดินทางตามคำขอ เมื่อถึงหน้าตำหนักเห็นคนเชิญยืนรอพร้อมรอยยิ้ม นิลลนาตระหนกตรงที่เธอถูกจูงข้อมือลากเข้าด้านในอย่างรวดเร็ว ไม่ได้ตั้งตัวพูดคุยซักถามอะไรกันสักคำ นาเดียวิ่งตามแทบไม่ทัน“ข้าจัดที่สวยๆ ให้เจ้าได้ชมความงามเพียงคนเดียว รู้หรือเปล่านิลลนา” อารีมาสาธยายเพื่อให้อีกฝ่ายไว้ใจ“ขอบใจท่านมาก” เธอตอบรีบเสียงแผ่วครู่หนึ่งร่างบางมาถึงห้องกลางน้ำ สถานที่นั้นถูกตั้งอยู่กลางสระน้ำมีปลาหลากหลายชนิดแหวกว่ายมันสงบและเย็นสบายซึ่งถูกจริตเธอทีเดียว เพราะปกติไม่ชอบสังสรรค์คนหมู่มากอยู่แล้ว“ข้าจะให้นางกำนัลยกสำรับมาให้ ส่วนนาเดียข้าขอยืมตัวนางไปช่วยงานเสียหน่อยเจ้าคงไม่ว่าอะไร” อารีมาดักทางทันทีนิลลนาเหลือบมองข้ารับใช้เป็นเหมือนเพื่อนสนิท เห็นนางแสดงสีหน้าหนักใจ แต่เธอไว้ใจในตัวอารีมาและคาดว่าคงไม่เกิดเหตุการณ์วุ่นวายอะไรอีก“ได้สิ” เธอยิ้ม แล้วหันไปบอกนาเดีย “นาเดียไปช่วยงานที่นี่ก่อนนะ”“เพคะพระสนม” นาเดียตอบรับเสียงเบาอารีมาหันมองอันจาส่งสายตาเพื่อบอกความนัย นางกำนัลเลยรีบรั้งข้อมือนาเดียให้ก้าวตามเพื่อหลีกให้พ้นทางนายตน“เจ้าพักผ่อนก่อนเถอะ ข้าขอตัวไปรับแขกสักครู่แล้วจะมา
ทหารยามยืนหน้าประตู นาเดียเดินออกมาเพื่อสอบถามในทันใด เมื่อรู้ข้อความจึงกลับเข้าด้านในเพื่อรายงานแก่พระสนม“ทหารมาทำไมเหรอนาเดีย” เธอถามสีหน้าสงสัย“มีนางกำนัลจากตำหนักพระสนมอารีมามาขอเข้าเฝ้าค่ะ” นาเดียรายงาน“มาทำไมกันแปลก พระสนมอารีมาไม่ยิ่งไม่ชอบฉันอยู่”“คงมีเรื่องสำคัญน่ะสิคะ คนไม่ชอบกันปกติไม่มายุ่งกันหรอกค่ะ” นาเดียบอกความคิดตนเอง“แล้วจะให้เข้าเฝ้าดีหรือเปล่า”“แล้วแต่คุณค่ะ” เธอไม่กล้าออกความคิดเห็นในเรื่องนี้สักเท่าไหร่นักนิลลนาครุ่นคิด ถึงแม้ถูกข่มขู่แต่พระสนมอารีมายังไม่เคยลงมือจริงๆ นางกำนัลตำหนักนั้นคงมาเพราะมีเรื่อง“ถ้าอย่างนั้นก็ให้เข้ามาเถอะ ฉันไม่อยากถูกกล่าวหาว่าหยิ่ง”“ได้ค่ะ”นาเดียออกมาด้านนอกเห็นนางกำนัลรูปร่างอวบรออยู่ท่าทางร้อนรน เธอก้าวหยุดยืนตรงหน้านาง อันจาคลี่ยิ้ม“ข้านำสาสน์ของพระสนมอารีมามาถวายแก่พระสนม” อันจาอธิบาย“พระสนมให้เจ้าเข้าเฝ้าได้ เข้ามาสิ” นาเดียเดินนำเข้ามาด้านในอันจาก้าวตาม กวาดตามองรอบๆ นึกกังวลครามครัน พระสนมองค์ใหม่ในฝ่าบาทใจดีจริงหรือเปล่า หากเกิดขัดพระทัยคงไม่โดนลงอาญาดั่งเช่นพระสนมอารีมาใช่ไหมมาถึงห้องพักผ่อนนางกำนัลตำหนักพระสนมอา
เมื่อรู้สึกว่าบทสนทนาระหว่างสองพระองค์อาจมีการกล่าวถึงตัวเธอ นิลลนาเลยหาทางหลีกเลี่ยง เธอไม่ชอบถูกมองเป็นสิ่งของ“ถ้าไม่มีอะไรแล้วหม่อมฉันขอตัวเพคะ” นิลลนาก้มศีรษะแล้วก้าวเลี่ยงออกมา โดยมีนาเดียติดตามอารีมาหันมองตาม ในใจร้อนระอุราวกับมีไฟเผา เหตุใดนางถึงได้รับความสนใจจากฝ่าบาทและเจ้าชายเซบา นับวันนิลลนายิ่งมีอิทธิพลต่อพระทัยฝ่าบาทมากขึ้น คงปล่อยไว้ไม่ได้เสียแล้วไม่เช่นนั้นเธอคงสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างแม้กระทั่งตำแหน่งมเหสีสองร่างก้าวมาถึงสวนหย่อมภายในวัง นาเดียยกมือทาบอกราวกับตนเองเจอเรื่องนากลัว แต่นิลลนากับวางสีหน้าเรียบเฉย“น่ากลัวมากเลยเพคะ หม่อมฉันนึกว่าจะเกิดเรื่องเสียแล้ว” นาเดียทูล อยู่ด้านนอกเธอจำเป็นต้องใช้คำราชาศัพท์เพื่อไม่ให้พระสนมถูกมองไม่ดี“เกิดเรื่องอะไรเหรอนาเดีย”“เจ้าชายเซบาสทรงพอพระทัยพระสนมน่ะสิเพคะ โชคดีที่ฝ่าบาทแก้ต่างให้ ไม่เช่นนั้นคงถูกทาบทามให้ถวายงานเจ้าชายคืนนี้แน่นอน”“ไม่มีทางหรอก ต่อให้ฉันไม่ได้เป็นพระสนมก็ตาม คนนะไม่ใช่สิ่งของจะถูกหิ้วไปไหนก็ได้” คนตัวเล็กยกมือกอดอกไม่สบอารมณ์“อย่าทรงตรัสเช่นนี้สิเพคะเดี๋ยวใครมาได้ยินเข้า” นาเดียเตือนสีหน้าตระหนก“ฉัน
“อย่านะเพคะ อย่าทรงทำเช่นนี้กับหม่อมฉันเลย หม่อมฉันไม่มีอะไรจะทูลฝ่าบาทจริงๆ” นิลลนาร้อง พยายามดันตนเองออกห่างพระวรกาย“ในเมื่อเจ้าไม่ให้คำตอบเรา เราจะหามันเอง”นิลลนาอ้าปากเพื่อค้านแต่ริมฝี่ปากกลับถูกปิด ปลายนิ้วเรียวจิกพระปฤษฎางค์เพื่อลดทอนความหวาดหวั่นในอก รสสัมผัสแนบแน่โหยหาเช่นนี้มันทำให้เธอรู้สึกล่องลอย ร่างกายโปร่งเบาลมหายใจแผ่วหนักสลับกัน เรียวลิ้นน้อยกระหวัดตามการนำของพระองค์ ร่างกายเบียดแน่นกับพระวรกายอย่างโหยหา ใช่แล้ว... นิลลนารู้ตัวเองดี เธอกำลังตกหลุมรักฝ่าบาทเข้าเสียแล้วทรงถอนพระโอษฐ์พยุงร่างบางไว้เพื่อไม่ให้เสียหลักล้มลง นิลลนาหอบสะท้านราวกับคนออกกำลังกายหนักมา เห็นฝ่าบาทแย้มสรวล อยากลงโทษพระองค์เสียเหลือเกินหากไม่ติดว่าเธออาจต้องอาญา“เหตุใดฝ่าบาททรงทำเช่นนี้เล่าเพคะ” นิลลนาตัดพ้อ“เพราะเราต้องการรู้ว่าเจ้าคิดเช่นไรกันแน่นิลลนา หลายวันมานี้เราคิดเรื่องเจ้าจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ วันนี้เราได้รู้ความจริงแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเรายังยืนยันเช่นเดิม เราต้องการเจ้าทั้งหัวใจและร่างกายนิลลนา”คนฟังหน้าแดงซ่าน ทรงตรัสเช่นนี้ได้อย่างไร“ฝ่าบาททรงเอาแต่พระทัยเกินไปแล้วเพคะ ไม่ถ
ร่างบางยืนทอดอาลัย จนถึงบัดนี้ฝ่าบาทยังไม่เสด็จมาหายังตำหนัก ลมหายใจแผ่วเบาถูกทอดถอน ออกมาหลายต่อหลายครั้ง นิลลนามองเงาสะท้อนของตนเอง เธอ... หลงลืมบางสิ่งไป ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะแสดงความเป็นเจ้าของพระองค์ได้ และที่สำคัญ ควรตระหนักถึงสถานะตนเอง ฝ่าบาทอยู่สูงเกินเอื้อม ณ เวลานี้ ควรหาทางติดต่อครอบครัวเพื่อให้ทุกอย่างมันจบลงเสียทีนาเดียยืนมองเจ้านายตนแล้วหนักใจ ไม่เคยเห็นนางเป็นเช่นนี้มาก่อน หลังจากวันที่ฝ่าบาทเสด็จมาตำหนัก อาการพระองค์ทรุดลง พระสนมเองใจแข็งเหลือเกิน ไม่ยอมเข้าเฝ้าเพื่อเยี่ยม ยังคงอยู่ตำหนักไม่ยอมออกไปไหน แววตาเศร้าหมอง เธอรู้ดีว่าเพราะอะไร แต่หากนางได้รับรู้ว่า โดยปกติแล้วฝ่าบาทไม่เคยปฏิบัติเยี่ยงนี้กับใคร นางจะคิดเช่นไรบ้าง“เป็นห่วงฝ่าบาทเหรอคะ” เธอเอ่ยถาม เพราะอยากหาเรื่องพูดคุย และนี้คือคำถามตรงประเด็นที่สุด นิลลนาหันมองแววตาหม่นเศร้า“นิดหน่อยน่ะนาเดีย แต่ฝ่าบาทมีคนเป็นห่วงมากมายอยู่แล้ว ข้าคงเป็นแค่... ส่วนหนึ่งกระมัง”“หากฝ่าบาททรงทราบว่า คุณเป็นห่วงเช่นนี้คงดีพระทัย ถ้าหากฝ่าบาทไม่ปรารถนาต่อคุณแล้ว คงไม่เสด็จมา คุณรู้หรือเปล่าว่า ฝ่าบาทไม่เคยทำเช่นนี้กับพระสนมอ







