เขาพูดกับเธอด้วยสี่ภาษา แต่ส่งเธอเข้าเรียนโรงเรียนวัดใกล้บ้าน เขาเล่าเรื่องราวของกรีซให้เธอฟังทุกวัน แต่ไม่เคยพาเธอไปที่นั่น เขาไม่เคยตีเธอเมื่อทำผิด แต่จะใช้วิธีวิธีการลงโทษ โดยการให้เธออ่านหนังสือฉบับภาษาอังกฤษหนึ่งเล่มต่อคดี เช่นนี้แล้ว การที่เธอเรียนจบทางด้านประวัติศาสตร์ ก็มิได้หมายความว่าเธอจะพร่องทักษะและวิชาการในด้านอื่นๆ
“ญาญ่า...ญาญ่า” อเลสซานโดร ดาเนียเล่ ผันตัวเองมาเป็นเชฟหนุ่มในร้านอาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนของสาวใหญ่ผู้ใจดีที่ชื่อแม้นมาศ แม้นมาศเปรียบประดุจแม่ของเธอ และเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของบิดา พวกเขาไม่ได้มีอะไรลึกซึ้งต่อกัน เป็นเพียงเพื่อนร่วมงานเท่านั้น “อย่าซนนะลูก”
ญาญ่า มาลินี ดาเนียเล่ รู้สึกเหมือนว่าจะได้ยินเสียงเรียกของบิดาดังแว่วมา ขณะที่เธอกำลังนั่งอยู่บนเที่ยวบินล่าสุดที่เพิ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเหนือสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ เธอหลับตาลงจนสนิทแน่น ความคิดคำนึงเกี่ยวกับพ่อแม่ยังคงไหลเวียนอยู่ในหัวไม่หยุด ริมฝีปากของเธอขยับ ราวกับกำลังกระซิบกับตัวเอง
“แม่คือผู้หญิงที่พ่อรักมากเหลือเกินนะคะ”
แม้ลมหายใจสุดท้าย เขายังคงเอ่ยถึงคนรัก
“แล้วแม่ล่ะคะ รักพวกเราบ้างไหม” ในวันนี้ บิดาของเธอต้องเดินทางไกลไปสู่ดินแดนที่เธอมิอาจมองเห็น แต่เธอก็สัมผัสได้ว่าเขาอยู่ใกล้เธอเสมอ อเลสซานโดรไม่เคยทิ้งลูกสาวคนนี้ไปไหน
“พ่อคะ หนูสัญญาว่าจะทำให้ดีที่สุด” บิดามอบของสำคัญเอาไว้ให้แก่เธอมากมาย ทั้งหมีสีน้ำตาลตัวเล็กอันเป็นตัวแทนของเขา เปรียบดั่งเทพผู้พิทักษ์ประจำตัวของเธอ มีจดหมายภาษากรีซหนึ่งฉบับ เขียนถึงมารดาชาวกรีซ
ผู้หญิงชาวกรีซที่มีญาณวิเศษหยั่งรู้อนาคต เธอยังคงปักหลักอยู่ที่เกาะแห่งนั้น ส่วนสามีของเธอ ปัจจุบัน เขาใช้ชีวิตเรียบสงบอยู่ ณ ที่ใดสักแห่งในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งบิดาเชื่อมั่นว่าลูกสาวจะได้พบกับบิดาของเขาอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ เธอยังมีจดหมายอีกหนึ่งฉบับ อเลสซานโดรทิ้งไว้ให้แก่หญิงสาวที่เคยเป็นคู่รักของเขามาก่อน เธอมีชื่อว่า ‘เฮเลน’ เธอพำนักอยู่บนแผ่นดินใหญ่ของกรีซ ข้อนี้ย่าของเธอจะเป็นคนบอกแก่เธอเองว่าจะไปพบกับเฮเลนได้ที่ไหน
และท้ายที่สุด สมุดบันทึกที่บิดาเขียนถึงหญิงสาวชาวไทยที่เขารักอย่างสุดซึ้ง บิดาไม่ได้ต้องการจะมอบให้แก่เธอ ทั้งยังต้องการให้ทำลายทิ้งเสียด้วยซ้ำ แต่ข้อนี้ เธอฝ่าฝืนมัน มาลินีไม่เห็นด้วยที่จะทำเช่นนั้น เพราะอาจมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ช่อละดาควรจะรู้มิใช่หรือ?
“หนูไม่รู้จริงๆ ค่ะพ่อ ว่าหนูควรจะไปพบกับเธอดีไหม” มาลินีกอดหมีสีน้ำตาลตัวเล็กๆ ขนาดกำมือมิดเอาไว้ด้วยความรัก เธอใคร่ครวญเรื่องนี้มาราวๆ หนึ่งเดือนมาแล้ว “แต่ถ้าหนูไป หนูก็คงจะแสดงตัวไม่ได้หรอก ว่าหนูเป็นลูกสาวของเธอ แต่หนูแค่อยากจะ...เห็นหน้าเธอ...เท่านั้นเอง”
วันนี้ เธอสูญเสียสุภาพบุรุษที่รักที่สุดของชีวิตไป แต่เธอเก็บเถ้ากระดูกของเขา เพื่อจะนำวิญญาณอันสวยงามของเขากลับไปยังอ้อมกอดของครอบครัว ที่ซึ่งเธอจะได้พบกับย่า หรือแม้แต่ปู่ มนุษย์ที่เธอได้ยินแต่ชื่อมาตลอดชีวิต ตามที่บิดาปรารถนามาตราบเท่าที่เธอจำความได้
เรื่องสำคัญที่สุดที่บิดาย้ำกับเธอในห้วงสุดท้ายของชีวิตก็คือ ขอให้เธอเป็นตัวแทนเขา นำคำว่าขอโทษไปบอกกล่าวต่อมารดาของเขาด้วย
“หนูคิดถึงพ่อจังเลยค่ะ” หญิงสาวสูดลมหายใจ อย่างเปี่ยมสุขและเต็มความหวัง “ยังไงซะ สามเดือนนี้ หนูจะใช้ชีวิตให้คุ้มค่า เหมือนกับวัยเด็กของพ่อที่พ่อเคยเล่าให้ฟังนะคะ”
ญาญ่า มาลินี ดาเนียเล่...หญิงสาวสองเชื้อชาติผู้มีผิวพรรณงดงามนวลเนียน ผิวสีน้ำผึ้งที่ทรงเสน่ห์ ผมยาวเป็นลอนสวยสีนิลแวววาวเงางาม ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้ม ล้นเหลือไปด้วยแววฉลาด อวดดี แต่แฝงไว้ด้วยความอ่อนโยน สดใส รอยยิ้มของเจ้าหล่อน ดูอวดดีนิดๆ หากแต่ก็งดงาม จริงใจ และเต็มไปด้วยพลัง
เธอเพิ่งเรียนจบ เธอยังไม่ได้ทำงานที่ไหน แต่ตั้งใจจะทำงานในห้องสมุดหรือพิพิธภัณฑ์สักแห่งในโลก
“ต่อจากนี้ไป ชีวิตของหนูคงจะเต็มไปด้วยสีสันและความตื่นเต้นจนหาที่สิ้นสุดไม่ได้เลยใช่ไหมคะ”
สาวสวยหยิบหมีสีน้ำตาลตัวเล็กๆ ออกมาดูอีกครั้ง แล้วแววตาของเธอก็เปล่งประกายราวกับแสงดาวที่เจิดจรัสบนฟากฟ้าในคืนเดือนมืด...หมีสีน้ำตาลเป็นของที่ย่ามอบไว้ให้แก่บิดา เขานำติดตัวตลอด ก่อนจะส่งทอดมาให้เธอ พ่อบอกว่า ย่าเล่าให้ฟังเสมอ ว่าที่บ้านของย่า อยู่ในเทือกเขาสูง ที่เต็มไปด้วยต้นไม้และสัตว์ป่า ท่านเคยมีเพื่อนเป็นหมีสีน้ำตาลตัวเท่ายักษ์ นั่นไม่ใช่เรื่องน่าอัศจรรย์หรือ?
“หวังว่าการเดินทางจะสะดวกสบายหายห่วงนะคะ ขออย่าให้หนูต้องเจอกับคนชั่วร้ายเลยนะคะ”
เธอหลับตาลง นานหลายชั่วโมง ถึงได้ตื่นขึ้นมาแล้วก็พบว่าเครื่องบินกำลังทะยานอยู่เหนือเมืองใหญ่สุดคลาสิค เอเธนส์ที่แสนกลมกล่อมไปด้วยประวัติศาสตร์ ศิลปะ อารยธรรม เทพเจ้าและกลิ่นไวน์
กัปตันแจ้งด้วยน้ำเสียงสุภาพแสนนุ่มว่าอีกประมาณยี่สิบนาทีนับจากนี้ เครื่องจะลงจอดยังท่าอากาศยานอันหรูหรา ขอให้ผู้โดยสารทุกท่านเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเผชิญกับอุณหภูมิราวๆ สี่องศา หญิงสาวสะดุ้งตื่นจากความฝันอันแสนหวาน
“พระเจ้า เกือบได้รับการจุมพิตจากเจ้าชายอยู่แล้ว กัปตันทำเสียเรื่องหมดเลย”
แต่แล้ว โลกแห่งความเป็นจริง ก็มีเสน่ห์กว่าเป็นไหน ๆ เมื่อเธอรับรู้ได้ว่า การเดินทางข้ามทวีปของสาวน้อยได้สิ้นสุดลงแล้ว
เธอหันกลับมาเผชิญหน้ากับเขา เขย่งปลายเท้าแล้วจูบแก้มสากหอมๆของเขาด้วยความรัก ชายหนุ่มน้อมรับความรู้สึกแสนสวยนั่นด้วยการก้มลงจูบแก้มแดงเรื่ออย่างอ่อนโยน ทะนุถนอม เมื่อผละจาก ดวงตาสีเขียวคมกริบ จ้องมองใบหน้านวลในอุ้งมืออย่างมีความหมาย“แต่ใจผมเหมือนจะระเบิดทุกครั้งที่ได้เห็นหน้าคุณ ผมถึงไม่อนุญาตให้คุณอยู่ใกล้ๆเวลาผมทำงานยังไงล่ะ”หญิงสาวยิ้มนิดๆ ดวงตาเต้นระยิบ“ทำไมคะ”เธอแสร้งถามไร้เดียงสา“เพราะผมอาจจะมีเซ็กกับคุณบนโต๊ะทำงานไง”“บ้า” เธอเขิน เขาหัวเราะ“ผมรักคุณนะ”“พูดแบบนี้อีกแล้ว” เขาพูดพลางยกร่างบางขึ้นอุ้ม แล้วพาเธอไปวางลงบนเตียงนอนแสนนุ่ม “คราวหลังพูดคำอื่นบ้างก็ได้ค่ะ”“เพราะถึงยังไง คุณก็ยอมผมอยู่ดี” แม้จนถึงวินาทีนี้ หัวใจของเขาและเธอก็ยังคงเต้นแรงทุกครั้ง การร่วมรักกันครั้งแล้วครั้งเล่าอาจหวานชื่น สดใส และเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขสมซาบซ่านหัวใจ แต่เขารู้ว่าครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งไหน ๆ เพราะที่นี่คือเตียงแห่งความทรงจำ“forget me not”เขากระซิบบนปลายจมูกของเธอ หญิงสาวยิ้มหวาน“แต่ฉันกินมัสมั่นเข้าไปเยอะเลยนะคะ”เธอท้าทายเขา แต่เขาก็กลั้นใจยิ้ม“แต่ผมจะกินมัสมั่นจากปากของคุณ”หญิ
เมื่อเสร็จสิ้นมื้ออาหารอันเลิศรสของครอบครัวที่แสนอบอุ่นมั่งคั่ง คู่พ่อแม่ก็แยกไปทำธุระสำคัญในฐานะนักการเมืองใหญ่ ส่วนคู่หนุ่มสาวที่มีหน้าที่หลักในการช่วยกันบริหารธุรกิจของออปเปนไฮน์ให้เจริญก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป พวกเขาเขียนใบลาพักร้อนเป็นเวลาสองสัปดาห์เพื่อจะไปฮันนีมูนที่เมืองไทย วางงานไว้ให้ผู้ช่วยได้สร้างผลงานบ้าง“ฉันดีใจจังเลยค่ะ ฉันจะได้กลับบ้านแล้ว” ชายหนุ่มจูงมือเธอไว้แน่น ดวงตาเปล่งประกายขณะพาเธอเข้าลิฟต์แล้วกดลงชั้นต้อนรับของโรงแรม ทั้งที่ควรจะขึ้นไปยังห้องสวีตรูมอันเป็นห้องพักผ่อนส่วนตัวของท่านซีอีโอ เขามีโต๊ะทำงานอยู่บนห้อง เขามีเอกสารหลายอย่างที่ต้องเซ็นก่อนจะออกเดินทางในเช้าวันพรุ่งนี้“จะไปไหนหรือคะ” ประตูลิฟต์เปิดออก เธอถูกเขาลากไปราวกับเป็นของไร้น้ำหนัก “วิกเตอร์ คุณกำลังทำอะไรคะ ทำไมไม่รีบขึ้นไปเคลียร์งาน”เมื่อถึงบริเวณหน้าฟร้อน เธอก็ได้เห็นเหล่าบอร์ดี้การ์ดของเขา ยืนเรียงเป็นแถว เหมือนพนักงานต้อนรับ เจ้านายหนุ่มวางก้ามทันที เขาหันไปพยักพเยิดบอกลุยจิและแอนเดรียให้ทำตามแผนการที่วางไว้สองหนุ่มเดินเข้ามา หยุดต่อหน้าเจ้านาย“คิดจะทำอะไรกันแน่คะ”“เชิญครับ” ลุยจิยิ้มบางๆ พร
“อย่าคิดว่าจะลอยหน้าลอยตาอยู่ได้นาน คนอย่างเธอ...”“คนอย่างฉันมันยังไงหรือคะ ขอโทษเถอะคุณหนู คนอย่างฉันไม่เคยดูถูกใคร ไม่เคยคิดจะทำให้ใครเดือดร้อน เว้นก็แต่พวกเขาจะหาเรื่องเองทั้งนั้น”คุณหนูสะบัดมือจากการเกาะกุม หายใจฟืดฟาดๆ จนอกกระเพื่อม“ตอนนี้เธอคงจะสะใจละสินะ ที่เห็นครอบครัวของฉันต้องหมดเนื้อหมดตัว”“อย่าเอาความคิดของตัวเองมาตัดสินคนอื่นสิคะ ฉันไม่เคยคิดว่าความเดือดร้อนของคนอื่นเป็นของหวานหรอกนะคะ โดยเฉพาะกับคุณและคุณแม่ของคุณ”“อย่ามาสร้างภาพหน่อยเลยน่า คอยดูเถอะ ฉันจะทวงของๆฉันคืนจากเธอให้หมดเลย”มาลินียิ้มบางๆ เธออดตำหนิมารดาไม่ได้ ถึงมันจะเป็นบาปก็เถอะ ท่านเลี้ยงดูบุตรสาวให้เป็นคนแบบนี้ได้อย่างไรกัน นอกจากจะมีนิสัยชอบดูถูกคนอื่น ชอบใช้กำลัง และขี้อิจฉาแล้ว เธอยังเป็นคนที่ไม่ยอมรับความจริงอีกด้วย นี่ถ้าเอามาให้เธออบรม เธอจะบ่มเสียใหม่ตั้งแต่หัวจรดเท้า“เอาเถอะค่ะ ถ้าคิดว่าทำได้ ก็ลองดู”“ฉันทำได้แน่ แล้วเธอจะได้รู้จักฉันดีขึ้น” มาลินีผละจากช่อดาวมา โดยไม่หันไปมองอีกเลย แม้เธอจะรู้สึกเป็นห่วงเจ้าหล่อนอยู่บ้างก็เถอะ เธอสั่งพนักงานให้จัดการดูแลหญิงสาวเป็นอย่างดี ก่อนจะเดินไปหาสาม
“ผมคงไม่ได้มาเยี่ยมท่านอีก ขอให้มีความสุขกับคุก ลาตลอดชาตินะครับ”เมื่อจบธุระที่แดนคุมขังนักโทษ ชายหนุ่มเดินทางไปยังสถานที่จอดเครื่องบินส่วนตัวของอธีน่ากรุ๊ป เพื่อพบกับภรรยาที่รออยู่ จากนั้นพวกเขาก็ขึ้นเครื่อง ออกเดินทางไปยังครีตในวันนี้ คฤหาสน์อันน่าสะพรึงกลัวถูกบูรณะซ่อมแซมเสียใหม่จนกลายเป็นคฤหาสน์แสนสวยที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ สวนไม้ยืนต้นขนาดใหญ่และทุ่งดอกไม้สีม่วงสดได้รับการปรับปรุงดูแลอย่างเหมาะสม มีการตกแต่งสวนหย่อมภายในรั้วเหล็กและปลูกดอกไม้เพิ่มเติมจนเต็มแน่นทุกพื้นที่ ตกแต่งด้วยลานน้ำพุ รูปปั้นเทพเจ้าต่างๆ มีผีเสื้อบินว่อนสร้างความมีชีวิตชีวาที่ซึ่งเคยเปรียบดั่งนรก บัดนี้กลับกลายเป็นสวรรค์ราวกับถูกเสก“สวยถูกใจคุณไหม” เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงด้านหลังของเธอ “ที่โยนเหรียญส่วนตัวของคุณ”หญิงสาวยังคงมองสิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าด้วยความทึ่ง“คุณทำได้ยังไง สวยจนจำบรรยากาศเดิมแทบไม่ได้”“บอกแล้วว่าเงินบันดาลได้ทุกสิ่ง”“นอกจากมีเงินแล้ว ต้องเจ้าเล่ห์ขี้โกงด้วย”“ผมจะถือว่าเป็นคำชมก็แล้วกัน”“ฉันด่าต่างหาก”“ถ้างั้น เมียด่า แปลว่าจะเจริญ”เธอหัวเราะกับความกะล่อนของสามี เขาหัวเราะตาม ความส
เขาพูดจบก็หันหลังขวับ จะเดินจาก หญิงสาวเอ่ยขึ้นอย่างเร่งร้อน“เดี๋ยวค่ะ” เธอประคองตัวลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วจนร่างเซเกือบจะล้ม ชายหนุ่มอีกคนรีบเข้ามาจับตัวเธอไว้ แต่เธอไม่ได้สนใจเขาสักเท่าไหร่ เธอผละจากเขา เดินไปหาผู้ชายที่กำลังจะจากไป “ฉันต้องขอโทษแทนพ่อของฉันด้วยนะคะ ที่มีส่วนทำให้คุณต้องเป็นทุกข์และมีชีวิตที่เดียวดายมาโดยตลอด”เขาหยุดฝีเท้า แต่ไม่ได้หันกลับมามองหญิงสาว“ได้โปรด อย่าเป็นทุกข์อีกเลยนะคะ เริ่มต้นชีวิตใหม่และมีความสุขกับทุกวัน”เขาหัวเราะในลำคอเบาๆราวกับเพิ่งฟังเรื่องตลก เขาตัดสินใจหันกลับมาเผชิญหน้ากับหญิงสาวอีกครั้ง เขายิ้มมุมปาก สีหน้ามีกลิ่นเย้ยหยันนิดๆติดอยู่อย่างจับได้ ครานี้แหละ เธอถึงตระหนักว่าสองหนุ่มหน้าเหมือนกันไม่น้อย“ถ้านี่เป็นคำอวยพร ก็ขอบคุณ แต่ถ้าอยากให้ผมมีความสุขจริงๆละก็ คุณก็เลิกกับหมอนั่นเสียสิ แล้วมาอยู่กับผมที่นี่แทน”วิกเตอร์รีบเดินมาดึงตัวเธอไปอยู่ข้างๆทันที เหมือนกลัวจะถูกโฉบไป“มันจะมากไปแล้วนะโว้ย เธอเป็นเมียฉัน เป็นน้องสะใภ้ของนายนะ”นีโอนาสทำหน้าหยัน“ใครจะสน”น้องชายชี้หน้าพี่ชาย หญิงสาวรีบจับแขนคนใจร้อนไว้เพราะกลัวเขาจะเปลี่ยนจากชี้เป็นก
“ช่วยไม่ได้ มันอยากโง่เองนี่นา” วิกเตอร์ไม่แปลกใจเลย เขาพอจะเดาเรื่องนี้ออกตั้งแต่ที่รู้ความจริงแล้ว สำหรับหญิงสาวก็เช่นเดียวกัน เธอนึกไม่ถึงเลยว่าหมอนี่จะเห็นความซื่อสัตย์ของปู่เป็นเครื่องมือในการแก้แค้น เธออยากจะทุบหัวหมอนี่ให้ยุบไปเลย“เขาไม่รู้หรอก ว่าฉันแอบมองมาจากตู้เสื้อผ้า ด้วยสายตาแน่วแน่ เพื่อจะจดจารรายละเอียดทั้งหมด เพื่อฝังเอาไว้ในหัวสมอง” ภาพในอดีตย้อนกลับมาให้เขาคลั่ง เขาเล่าเหมือนกำลังมองเห็นเหตุการณ์ในตอนนั้นอยู่ “ตอนที่เขาตบหน้าลูกชายของเขาด้วยความแรง และประกาศตัดขาดความเป็นพ่อลูก ฉันเฝ้ามองด้วยความสะใจ และบอกกับตัวเองว่าให้ใจเย็นๆเข้าไว้ และรอคอยให้เวลานี้มาถึง พระเจ้า และเธอก็มาที่นี่ มาเพื่อฉันจริงๆด้วย”น้ำเสียงของเขาน่ากลัวนัก วิกเตอร์หายใจไม่ค่อยทั่วท้องสักเท่าไหร่ หัวใจเต้นเร่า หวาดหวั่นว่าหญิงสาวจะได้รับอันตรายจากคนสติหลุด เขาจ้องมองหญิงสาวชนิดไม่ยอมกระพริบตา แต่เจ้าหล่อนกลับมีสีหน้าสงสัยมากกว่าจะหวาดกลัว นั่นเพราะเธอสัมผัสได้ว่าหัวใจของชายหนุ่มผู้กำความแค้น เต้นถี่ยิบและรุนแรงเหมือนจะระเบิดออกมา มันกระทุ้งลำตัวของเธอจนรู้สึกได้เป็นไปได้ไหมที่หมอนี่กำลังหวาดก