“โรงแรมอธีนาค่ะ” หญิงสาวอ่านตามกระดาษในมือ ด้วยน้ำเสียงสดใส ภาษากรีซของเธอฟังดูไม่เลวนัก “มันตั้งอยู่บนถนน...”
“ไม่มีปัญหาครับคุณผู้หญิง กระผมจะพาคุณไปเดี๋ยวนี้”
โชคดีจัง ดูเหมือนแท็กซี่จะรู้จักที่นั่นเป็นอย่างดี
“ขอบคุณค่ะ” แล้วรถคันงามก็พาหญิงสาวเดินทางผ่านความงดงามของตึกสวยและอาคารเก่าแก่สุดวิจิตรที่ปลุกให้ดวงตาซุกซนของเธอตื่นตลอดเวลา บางตึกเธอเคยเห็นจากในหนังสือ หรือแม้แต่ในโปสการ์ดที่แม้นมาศได้รับจากน้องสาว ซึ่งมาใช้ชีวิตถาวรกับสามีชาวกรีซที่นี่ มันทำให้ระดับความตื่นเต้นของมาลินีสูงขึ้นเมื่อได้มาเห็นกับตาในวันนี้
“สวย สงบ และคลาสสิค” สิ้นสุดคำนั้น รถที่เธอโดยสารมาก็จอดสนิท บริเวณหน้าตึกสูงลิ่วขนาดใหญ่ ที่ออกแบบได้อย่างสวยงามตระกรานตา ผสมผสานความงดงามของศิลปะแบบกรีก-โรมัน และความทันสมัยของโลกในยุคปัจจุบันได้อย่างลงตัว เธอตกตะลึงกับภาพนั้นจนอ้าปากค้างไปเลยทีเดียว
“ที่นี่คือ...”
“ถึงแล้วครับ โรงแรมอธีนา” เธอคิดว่าตัวเองฝันไปแน่ๆ หากต้องพักอยู่ในโรงแรมระดับไฮคลาสที่มีแต่มหาเศรษฐีจากทั่วโลกมาเช็คอิน “พี่แม้น จดที่อยู่ให้ผิดรึเปล่า”
ศจีมาศ เป็นน้องสาวฝาแฝดของแม้นมาศ เจ้านายของพ่อเธอนั่นเอง ศจีมาศแต่งงานกับหนุ่มกรีซ ย้ายมาอยู่ที่เอเธนส์ประมาณสิบห้าปีแล้ว พวกเขามีร้านขนมปังเก่าแก่ที่สืบทอดจากบรรพบุรุษและมีลูกชายเป็นพยานความรักด้วยกันหนึ่งคน
“ชื่อโรงแรมนี้ชัดเจนนี่นา” มาลินีมีสีหน้ากังวลเล็กน้อย ขณะหันมองไปจนทั่ว เธอเก้ๆ กังๆ จนดูออกว่าเธอน่าจะเป็นนักท่องเที่ยวเงินน้อยที่บอกชื่อโรงแรมผิด เธอเหมือนเด็กบ้านนอกที่หลงอยู่ในเมืองกรุงจนหาทางออกไม่เจอ “หมายความว่า เราจะได้นอนเล่นในอ่างอาบน้ำจากุดชี่อย่างนั้นหรือ เราจะมีวันนั้นจริงๆ หรือ ไม่อยากจะเชื่อเลย”
ระหว่างที่หญิงสาวกำลังหมุนตัวไปมา เพื่อจะมองให้ทั่วทุกซอกมุมของโรงแรมหรู อยู่ๆ รถคันยาวสีดำมันวับก็แล่นเข้ามาจอดตรงหน้าของเธอ ชายฉกรรจ์ประมาณห้าคน เดินลงจากรถด้วยความรวดเร็วและเป็นระเบียบอย่างกับทหารที่กำลังเตรียมตัวจะออกรบ
หนึ่งในชายฉกรรจ์ตัวสูง ร่างใหญ่ สวมสูทหรูสีดำ สวมแว่นตาดำดูลึกลับ เดินตรงมาทางเธอ แล้วออกปากไล่เธอให้ขยับไปให้พ้นทาง ด้วยภาษาอังกฤษ ในน้ำเสียงกระด้างดุดัน
“ออกไป อย่ามายืนเกะกะอยู่ตรงนี้”
คนถูกไล่ ถึงกับงง
“เกะกะอะไรกัน ฉันก็เป็นแขกของโรงแรมนี้เหมือนกันนะยะ” แต่การทวงสิทธิ์ของเธอสูญเปล่า ขาดคำนั้น หมอนั่นจัดการถีบกระเป๋าใบโตของเธอไปจนสุดแรง หญิงสาวอ้าปากค้าง ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น แถมเธอยังถูกหมอนั่นดันหลังด้วยความแรง จนร่างเธอเซไปล้มลงบนกระเป๋าใบยักษ์ของเธอ
“อย่าลุกขึ้นมา ถ้าไม่อยากตาย”
“อะไรกันวะเนี่ย” หญิงสาวหน้าค้างงัน หัวใจเต้นเร็วรี่ เลือดลมในกายเดือดพลุ่งพล่าน เธอไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะมันรวดเร็วมาก ไม่มีใครสักคนมาช่วยพยุงเธอให้ลุกขึ้นยืน เหล่าพนักงานของโรงแรม ยืนนิ่งเหมือนหุ่น เงียบกริบแม้เสียงหายใจก็ไม่เล็ดรอด ราวกับถูกสาปเป็นหินไปแล้ว
“มีแบบนี้ด้วยเหรอ” เธอเป่าลมออกปาก ระงับใจ ระงับอารมณ์ที่พุ่งปรี๊ดไว้ให้สงบ สะบัดตัวสะบัดไหล่ ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เธอคว้ากระเป๋าที่ล้มนอนอยู่บนพื้นหินอ่อนให้ตั้งยืนเหมือนเดิม เธอหันหน้าไปมองพนักงานของโรงแรมที่ยืนอยู่บริเวณนั้นอีกครั้ง เหมือนกับว่าพวกเขากำลังมองเห็นพระราชาของแคว้นไหนสักแคว้น หรือไม่ก็ประธานาธิบดีของประเทศกำลังยืนอยู่ตรงหน้าอย่างนั้นแหละ
“ทุเรศจริงๆ เลย ไม่เห็นรึไงว่าสุภาพสตรีถูกรังแก” เธอเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน หันกลับไปมองไอ้ตัวร้ายที่มันไร้ความเป็นสุภาพบุรุษที่ควรถูกประณาม
“ฮึ...ไอ้ยักษ์เอ๊ย คิดว่าคนอย่างมาลินีจะยอมถูกรังแกฝ่ายเดียวหรือ?”
เธอเท้าสะเอว มองตาขวาง จับจ้องไปที่กลุ่มของชายฉกรรจ์ในชุดสูทดำ ที่ยืนเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบต่อหน้ารถคันยาว ผู้หนึ่งทำหน้าที่เปิดประตูให้แก่ผู้ที่กำลังจะก้าวลงจากรถ
“ทำร้ายผู้หญิงได้ คิดว่าเจ๋งแล้วสิ” หมอนั่นไม่หันมาทางเธออีกเลย เขาเอาแต่สนใจเจ้านาย ชายหนุ่มผู้สูงสง่าผ่าเผย หุ่นล่ำสันงดงามภายใต้สูทหรูสีดำเน้นรูปร่างที่ปราดเปรียวชวนมอง เขาก้าวลงจากรถด้วยท่วงท่างดงาม มั่นใจ และเชิดหยิ่ง ดูนิ่ง แต่เต็มไปด้วยพลังอย่างยากจะหยั่งถึง ราวกับได้รับการปลูกฝังมาอย่างดีตั้งแต่เกิด ใบหน้าที่ไร้รอยยิ้ม และดวงตาที่ถูกซ่อนเร้นไว้อย่างดีภายใต้แว่นดำยี่ห้อแพงจากปารีส เมื่อรองเท้าหนังมันวับคู่แพงระยับ ย่างเหยียบลงบนพื้นหินอ่อนอิตาลี เขายืนนิ่งอย่างกับรูปปั้น เหมือนมนุษย์ที่ไร้วิญญาณ
“ก็แค่...”
เธอรู้แล้วละว่าทำไมแววตาของพนักงานหญิงพวกนี้จึงเต็มไปด้วยความคลั่งไคล้ หื่นกระหายและทึ่งอย่างที่สุด พวกหล่อนกำลังมองมนุษย์ที่ถูกปั้นมาอย่างงดงามจนน่าอัศจรรย์ ยิ่งพอเขาถอดแว่นกันแดดออก เผยใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา เขายิ่งดูไม่เหมือนมนุษย์ เพราะเขาน่าจะเป็นเทพบุตรเสียมากกว่า
“ก็แค่...ไอ้ขี้เก๊กคนหนึ่ง”
เธอเผลอมองหน้าเขา ด้วยความไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งนั่นอาจจะเป็นมนต์สะกดของพ่อมดหมอผี รึไม่ก็ปิศาจ ที่ทำให้เธอรู้สึกประหลาดขึ้นมาอย่างท่วมท้น ทันทีที่ชายผู้นั้นเบนสายตามาทางเธอ แววตาคมกริบอันแสนลึกลับ หยามเหยียด ยโส แม้ยืนไกลสักพันไมล์ก็คงมองเห็น แต่ดึงดูดให้รู้สึกต้องสงสัยจนน่าขนลุก เขาจ้องเธอเพียงเสี้ยววินาทีเดียว ก่อนจะหันกลับไปในทิศทางเดิม นั่นคือการมองสูง
วิเศษมาก หมอนี่ทำให้เธอรู้สึกหายใจไม่ออกไปประมาณสิบวินาทีทีเดียว
“ใครกัน?”
ใครก็ไม่รู้ แต่คำเดียวเลยที่โผล่เข้ามาในใจของเธอ
“แต่ต้อง ไม่ใช่ คนดี ชัวร์”
ชายหนุ่มผู้นั้น เสียบแว่นตาดำไว้ในเสื้อเชิ้ตชั้นใน เขานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินนำหน้าขบวนมนุษย์สวมสูทสีดำที่คาดว่าน่าจะเป็นบอดี้การ์ด ผ่านโถงประตูอันวิจิตรตรงหน้าไป เมื่อพวกนั้นหายไปจากที่ตรงนี้ โลกที่หยุดค้างเติ่งของทุกคนก็มีอันสลายเช่นกัน ดูเหมือนพนักงานสาวๆ มีความใฝ่ฝันจะเป็นคู่รักของหมอนั่นทั้งนั้น เพราะพากันพร่ำบ่นไม่ขาดปาก
“โรงแรมนี้ เขาต้อนรับแขกกันอย่างนี้หรือเนี่ย ไม่อยากจะเชื่อเลย ไม่คิดจะให้เกียรติกันเลยรึไง” เธออดบ่นไม่ได้ ทั้งที่ไม่ใช่นิสัย
“คงจะใหญ่โตมากสินะ” เธอพูดประชดประชันสนุกปากเท่านั้นเอง ก่อนจะถอนหายใจด้วยความระอาเอือม เธอจับหูกระเป๋าเตรียมลากผ่านประตูโถง “สงสัยจะเป็นลูกของนักการเมือง หรือไม่ก็พวกมาเฟีย ถึงได้ทำตัวกร่างขนาดนี้ ให้ตาย หมอนี่ทำให้วัฒนธรรมที่แข็งแกร่งของกรีซต้องสั่นคลอนอย่างไม่น่าให้อภัย”
สาวไทยอดหันไปมองรถคันนั้นอีกไม่ได้ ไม่ใช่เพราะความสวยโดดเด่นสะดุดตา แต่เป็นเพราะเธอรู้สึกรังเกียจเจ้าของมันจนอยากจะหาก้อนหินมาขว้างใส่ให้กระจกยับ คิดแล้วก็สะใจพิลึก
“ชาตินี้ ขออย่าให้เจอะเจอกันอีกเลย”
เธอไม่รู้หรอกว่าคำขอนี้จะบรรลุผลหรือไม่ แต่เธอก็ขอภาวนาให้ชีวิตอยู่ห่างไกลจากคนพวกนี้ แม้ต้องใช้ชีวิตช่วงหนึ่งในโรงแรมเดียวกัน เมื่อระงับโทสะได้บ้าง ครานี้ ถึงตาที่เธอจะเชิดหน้าบ่าตั้งบ้าง การเดินอย่างสง่างามเหมือนนางแบบบนแคทวอล์ก เธอก็ทำเป็นเหมือนกัน เธอเดินทอดน่องเข้าไปยังบริเวณหน้าฟร้อนต้อนรับอันโอ่อ่า เลือกนั่งตรงชุดรับแขกแสนหรูที่นุ่มสบายก้น
“หรูหราคลาสิกขนาดนี้ ต้องแพงมากแน่ๆ เลย”
เธอปล่อยหลังพิงพนักบนเบาะกำมะหยี่เนื้อดีอย่างสบายใจ
เธอหันกลับมาเผชิญหน้ากับเขา เขย่งปลายเท้าแล้วจูบแก้มสากหอมๆของเขาด้วยความรัก ชายหนุ่มน้อมรับความรู้สึกแสนสวยนั่นด้วยการก้มลงจูบแก้มแดงเรื่ออย่างอ่อนโยน ทะนุถนอม เมื่อผละจาก ดวงตาสีเขียวคมกริบ จ้องมองใบหน้านวลในอุ้งมืออย่างมีความหมาย“แต่ใจผมเหมือนจะระเบิดทุกครั้งที่ได้เห็นหน้าคุณ ผมถึงไม่อนุญาตให้คุณอยู่ใกล้ๆเวลาผมทำงานยังไงล่ะ”หญิงสาวยิ้มนิดๆ ดวงตาเต้นระยิบ“ทำไมคะ”เธอแสร้งถามไร้เดียงสา“เพราะผมอาจจะมีเซ็กกับคุณบนโต๊ะทำงานไง”“บ้า” เธอเขิน เขาหัวเราะ“ผมรักคุณนะ”“พูดแบบนี้อีกแล้ว” เขาพูดพลางยกร่างบางขึ้นอุ้ม แล้วพาเธอไปวางลงบนเตียงนอนแสนนุ่ม “คราวหลังพูดคำอื่นบ้างก็ได้ค่ะ”“เพราะถึงยังไง คุณก็ยอมผมอยู่ดี” แม้จนถึงวินาทีนี้ หัวใจของเขาและเธอก็ยังคงเต้นแรงทุกครั้ง การร่วมรักกันครั้งแล้วครั้งเล่าอาจหวานชื่น สดใส และเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขสมซาบซ่านหัวใจ แต่เขารู้ว่าครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งไหน ๆ เพราะที่นี่คือเตียงแห่งความทรงจำ“forget me not”เขากระซิบบนปลายจมูกของเธอ หญิงสาวยิ้มหวาน“แต่ฉันกินมัสมั่นเข้าไปเยอะเลยนะคะ”เธอท้าทายเขา แต่เขาก็กลั้นใจยิ้ม“แต่ผมจะกินมัสมั่นจากปากของคุณ”หญิ
เมื่อเสร็จสิ้นมื้ออาหารอันเลิศรสของครอบครัวที่แสนอบอุ่นมั่งคั่ง คู่พ่อแม่ก็แยกไปทำธุระสำคัญในฐานะนักการเมืองใหญ่ ส่วนคู่หนุ่มสาวที่มีหน้าที่หลักในการช่วยกันบริหารธุรกิจของออปเปนไฮน์ให้เจริญก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป พวกเขาเขียนใบลาพักร้อนเป็นเวลาสองสัปดาห์เพื่อจะไปฮันนีมูนที่เมืองไทย วางงานไว้ให้ผู้ช่วยได้สร้างผลงานบ้าง“ฉันดีใจจังเลยค่ะ ฉันจะได้กลับบ้านแล้ว” ชายหนุ่มจูงมือเธอไว้แน่น ดวงตาเปล่งประกายขณะพาเธอเข้าลิฟต์แล้วกดลงชั้นต้อนรับของโรงแรม ทั้งที่ควรจะขึ้นไปยังห้องสวีตรูมอันเป็นห้องพักผ่อนส่วนตัวของท่านซีอีโอ เขามีโต๊ะทำงานอยู่บนห้อง เขามีเอกสารหลายอย่างที่ต้องเซ็นก่อนจะออกเดินทางในเช้าวันพรุ่งนี้“จะไปไหนหรือคะ” ประตูลิฟต์เปิดออก เธอถูกเขาลากไปราวกับเป็นของไร้น้ำหนัก “วิกเตอร์ คุณกำลังทำอะไรคะ ทำไมไม่รีบขึ้นไปเคลียร์งาน”เมื่อถึงบริเวณหน้าฟร้อน เธอก็ได้เห็นเหล่าบอร์ดี้การ์ดของเขา ยืนเรียงเป็นแถว เหมือนพนักงานต้อนรับ เจ้านายหนุ่มวางก้ามทันที เขาหันไปพยักพเยิดบอกลุยจิและแอนเดรียให้ทำตามแผนการที่วางไว้สองหนุ่มเดินเข้ามา หยุดต่อหน้าเจ้านาย“คิดจะทำอะไรกันแน่คะ”“เชิญครับ” ลุยจิยิ้มบางๆ พร
“อย่าคิดว่าจะลอยหน้าลอยตาอยู่ได้นาน คนอย่างเธอ...”“คนอย่างฉันมันยังไงหรือคะ ขอโทษเถอะคุณหนู คนอย่างฉันไม่เคยดูถูกใคร ไม่เคยคิดจะทำให้ใครเดือดร้อน เว้นก็แต่พวกเขาจะหาเรื่องเองทั้งนั้น”คุณหนูสะบัดมือจากการเกาะกุม หายใจฟืดฟาดๆ จนอกกระเพื่อม“ตอนนี้เธอคงจะสะใจละสินะ ที่เห็นครอบครัวของฉันต้องหมดเนื้อหมดตัว”“อย่าเอาความคิดของตัวเองมาตัดสินคนอื่นสิคะ ฉันไม่เคยคิดว่าความเดือดร้อนของคนอื่นเป็นของหวานหรอกนะคะ โดยเฉพาะกับคุณและคุณแม่ของคุณ”“อย่ามาสร้างภาพหน่อยเลยน่า คอยดูเถอะ ฉันจะทวงของๆฉันคืนจากเธอให้หมดเลย”มาลินียิ้มบางๆ เธออดตำหนิมารดาไม่ได้ ถึงมันจะเป็นบาปก็เถอะ ท่านเลี้ยงดูบุตรสาวให้เป็นคนแบบนี้ได้อย่างไรกัน นอกจากจะมีนิสัยชอบดูถูกคนอื่น ชอบใช้กำลัง และขี้อิจฉาแล้ว เธอยังเป็นคนที่ไม่ยอมรับความจริงอีกด้วย นี่ถ้าเอามาให้เธออบรม เธอจะบ่มเสียใหม่ตั้งแต่หัวจรดเท้า“เอาเถอะค่ะ ถ้าคิดว่าทำได้ ก็ลองดู”“ฉันทำได้แน่ แล้วเธอจะได้รู้จักฉันดีขึ้น” มาลินีผละจากช่อดาวมา โดยไม่หันไปมองอีกเลย แม้เธอจะรู้สึกเป็นห่วงเจ้าหล่อนอยู่บ้างก็เถอะ เธอสั่งพนักงานให้จัดการดูแลหญิงสาวเป็นอย่างดี ก่อนจะเดินไปหาสาม
“ผมคงไม่ได้มาเยี่ยมท่านอีก ขอให้มีความสุขกับคุก ลาตลอดชาตินะครับ”เมื่อจบธุระที่แดนคุมขังนักโทษ ชายหนุ่มเดินทางไปยังสถานที่จอดเครื่องบินส่วนตัวของอธีน่ากรุ๊ป เพื่อพบกับภรรยาที่รออยู่ จากนั้นพวกเขาก็ขึ้นเครื่อง ออกเดินทางไปยังครีตในวันนี้ คฤหาสน์อันน่าสะพรึงกลัวถูกบูรณะซ่อมแซมเสียใหม่จนกลายเป็นคฤหาสน์แสนสวยที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ สวนไม้ยืนต้นขนาดใหญ่และทุ่งดอกไม้สีม่วงสดได้รับการปรับปรุงดูแลอย่างเหมาะสม มีการตกแต่งสวนหย่อมภายในรั้วเหล็กและปลูกดอกไม้เพิ่มเติมจนเต็มแน่นทุกพื้นที่ ตกแต่งด้วยลานน้ำพุ รูปปั้นเทพเจ้าต่างๆ มีผีเสื้อบินว่อนสร้างความมีชีวิตชีวาที่ซึ่งเคยเปรียบดั่งนรก บัดนี้กลับกลายเป็นสวรรค์ราวกับถูกเสก“สวยถูกใจคุณไหม” เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงด้านหลังของเธอ “ที่โยนเหรียญส่วนตัวของคุณ”หญิงสาวยังคงมองสิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าด้วยความทึ่ง“คุณทำได้ยังไง สวยจนจำบรรยากาศเดิมแทบไม่ได้”“บอกแล้วว่าเงินบันดาลได้ทุกสิ่ง”“นอกจากมีเงินแล้ว ต้องเจ้าเล่ห์ขี้โกงด้วย”“ผมจะถือว่าเป็นคำชมก็แล้วกัน”“ฉันด่าต่างหาก”“ถ้างั้น เมียด่า แปลว่าจะเจริญ”เธอหัวเราะกับความกะล่อนของสามี เขาหัวเราะตาม ความส
เขาพูดจบก็หันหลังขวับ จะเดินจาก หญิงสาวเอ่ยขึ้นอย่างเร่งร้อน“เดี๋ยวค่ะ” เธอประคองตัวลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วจนร่างเซเกือบจะล้ม ชายหนุ่มอีกคนรีบเข้ามาจับตัวเธอไว้ แต่เธอไม่ได้สนใจเขาสักเท่าไหร่ เธอผละจากเขา เดินไปหาผู้ชายที่กำลังจะจากไป “ฉันต้องขอโทษแทนพ่อของฉันด้วยนะคะ ที่มีส่วนทำให้คุณต้องเป็นทุกข์และมีชีวิตที่เดียวดายมาโดยตลอด”เขาหยุดฝีเท้า แต่ไม่ได้หันกลับมามองหญิงสาว“ได้โปรด อย่าเป็นทุกข์อีกเลยนะคะ เริ่มต้นชีวิตใหม่และมีความสุขกับทุกวัน”เขาหัวเราะในลำคอเบาๆราวกับเพิ่งฟังเรื่องตลก เขาตัดสินใจหันกลับมาเผชิญหน้ากับหญิงสาวอีกครั้ง เขายิ้มมุมปาก สีหน้ามีกลิ่นเย้ยหยันนิดๆติดอยู่อย่างจับได้ ครานี้แหละ เธอถึงตระหนักว่าสองหนุ่มหน้าเหมือนกันไม่น้อย“ถ้านี่เป็นคำอวยพร ก็ขอบคุณ แต่ถ้าอยากให้ผมมีความสุขจริงๆละก็ คุณก็เลิกกับหมอนั่นเสียสิ แล้วมาอยู่กับผมที่นี่แทน”วิกเตอร์รีบเดินมาดึงตัวเธอไปอยู่ข้างๆทันที เหมือนกลัวจะถูกโฉบไป“มันจะมากไปแล้วนะโว้ย เธอเป็นเมียฉัน เป็นน้องสะใภ้ของนายนะ”นีโอนาสทำหน้าหยัน“ใครจะสน”น้องชายชี้หน้าพี่ชาย หญิงสาวรีบจับแขนคนใจร้อนไว้เพราะกลัวเขาจะเปลี่ยนจากชี้เป็นก
“ช่วยไม่ได้ มันอยากโง่เองนี่นา” วิกเตอร์ไม่แปลกใจเลย เขาพอจะเดาเรื่องนี้ออกตั้งแต่ที่รู้ความจริงแล้ว สำหรับหญิงสาวก็เช่นเดียวกัน เธอนึกไม่ถึงเลยว่าหมอนี่จะเห็นความซื่อสัตย์ของปู่เป็นเครื่องมือในการแก้แค้น เธออยากจะทุบหัวหมอนี่ให้ยุบไปเลย“เขาไม่รู้หรอก ว่าฉันแอบมองมาจากตู้เสื้อผ้า ด้วยสายตาแน่วแน่ เพื่อจะจดจารรายละเอียดทั้งหมด เพื่อฝังเอาไว้ในหัวสมอง” ภาพในอดีตย้อนกลับมาให้เขาคลั่ง เขาเล่าเหมือนกำลังมองเห็นเหตุการณ์ในตอนนั้นอยู่ “ตอนที่เขาตบหน้าลูกชายของเขาด้วยความแรง และประกาศตัดขาดความเป็นพ่อลูก ฉันเฝ้ามองด้วยความสะใจ และบอกกับตัวเองว่าให้ใจเย็นๆเข้าไว้ และรอคอยให้เวลานี้มาถึง พระเจ้า และเธอก็มาที่นี่ มาเพื่อฉันจริงๆด้วย”น้ำเสียงของเขาน่ากลัวนัก วิกเตอร์หายใจไม่ค่อยทั่วท้องสักเท่าไหร่ หัวใจเต้นเร่า หวาดหวั่นว่าหญิงสาวจะได้รับอันตรายจากคนสติหลุด เขาจ้องมองหญิงสาวชนิดไม่ยอมกระพริบตา แต่เจ้าหล่อนกลับมีสีหน้าสงสัยมากกว่าจะหวาดกลัว นั่นเพราะเธอสัมผัสได้ว่าหัวใจของชายหนุ่มผู้กำความแค้น เต้นถี่ยิบและรุนแรงเหมือนจะระเบิดออกมา มันกระทุ้งลำตัวของเธอจนรู้สึกได้เป็นไปได้ไหมที่หมอนี่กำลังหวาดก