เขาจ้างเธอมานอน... ผู้หญิงที่เขาเคยตราหน้าว่าเป็น “ขยะ” ชนชั้นต่ำ และไม่คู่ควร เธอไม่อยากนอนกับเขา เพราะหมอนี่ มีข่าวลือว่า “ซาดิสถ์” ป่าเถื่อน ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ “คุณเปลือยได้ไหมมาลินี” เขาพูดไปแล้ว หญิงสาวเงยหน้ามองเขา ด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป จากที่ดูยั่วนิดๆ เป็นนิ่งงัน นั่นเพราะเขาไม่รู้ว่าเธออยากจะถอดมาตั้งนานแล้ว เขาควรจะทำตัวไวไฟเหมือนกับหลายครั้งที่เกือบจะมีอะไรกัน “ผมรับรองว่าผมจะดูอย่างเดียว ผมสา...” “อย่าสาบานนะคะ” แม้ฝนจะหยุดตกไปแล้วก็ตาม ราตรีนี้อีกยาวไกลนัก สำหรับเธอและเขา “คุณถอดให้ฉันได้ไหมคะ”
Lihat lebih banyak“ตอนนี้ ฉันมาถึงสนามบินแล้วค่ะ อีกสองชั่วโมงก็จะขึ้นเครื่องแล้ว แล้วเจอกันนะคะ”
เธอวางโทรศัพท์กลับไปที่เดิม โทรศัพท์สาธารณะที่บริการอยู่ภายในสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ หญิงสาวเพิ่งจะลงจากเครื่องบินลำเล็กจากต้นทางภูเก็ตเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา และเธอมีเป้าหมายจะขึ้นเครื่องบินจัมโบ้เจ็ตลำยักษ์ของสายการบินไทยสู่ประเทศกรีซต่อจากนี้
เธอกำลังจะเดินทางออกนอกประเทศ เป็นครั้งแรกในชีวิต!
เธอกำลังจะไปยังบ้านเกิดของบิดา ไปหาปู่ หาย่า หาความสุขแต่เยาว์วัยของหนุ่มกรีซผู้รักอิสระและหลงใหลทะเลอันดามันจนไม่เคยหวนกลับไป กระทั่งวันนี้ ลูกสาวของเขากำลังทำหน้าที่นั้น
“พ่อคะ ญาญ่ากำลังจะเดินทางแล้วนะคะ”
หญิงสาววัยยี่สิบเอ็ด ผู้มีใบหน้างดงามหมดจด สดใส ใบหน้าเอเชีย แต่มีดวงตาสีน้ำเงินเข้มเป็นอัญมณีคู่ชีวิต ดวงตาอันเป็นมรดกที่เธอได้รับจากบิดาผู้จากไป
“พ่อตื่นเต้นไหมคะ เพราะนี่ก็จะเป็นครั้งแรกในรอบยี่สิบกว่าปีที่พ่อจากมา หนูจะพาพ่อไปเอง หนูรู้นะคะว่าพ่อดีใจ หนูเองก็ดีใจเหมือนกัน หนูอยากเจอพวกเขามากๆ เลย”
ญาญ่า มาลินี ดาเนียเล่ สาวน้อยลูกครึ่งไทย-กรีซ เธอเพิ่งจะสูญเสียบิดาผู้เป็นที่รักไปเมื่อสามเดือนก่อน มนุษย์เพียงคนเดียวในโลกที่เธอมีอยู่และเชื่อมั่นว่าเขารักเธออย่างจริงจัง เธอไม่มีมารดามาตลอดชีวิต จนกระทั่งเมื่อตอนอายุสิบห้า บิดาเห็นว่าเธอโตพอจะฟังเรื่องของตนเอง จึงเล่าโศกนาฎกรรมความรักเรื่องหนึ่งให้เธอฟัง
อเลสซานโดร ดาเนียเล่ เริ่มต้นเล่าเรื่องนั้นตรงประโยคที่ว่า...หากทอดสายตามองผ่านหน้าต่างบานใหญ่ ก็จะเห็นทะเลสีฟ้าครามจนจดเส้นแนวขอบฟ้า พระอาทิตย์ดวงเดิม สาดแสงร้อนแรง กระจัดกระจายไปทุกอณูพื้นผิว
ที่นั่นเอง ภายในบ้านเช่าริมทะเล บ้านเก่าขาดการดูแล ทรุดโทรม รกเรื้อ หากแต่สะอาดเอี่ยม แต่งแต้มดอกไม้หลากสีทุกซอกมุม บนโซฟาบุนวมตัวยาว ขาดปะคร่ำครึ ไส้ในทะลัก หญิงสาวแรกรุ่น ผิวพรรณผุดผ่อง เรือนร่างสมส่วน อวดโฉมนมเนื้อ เปลือยเปล่าล่อนจ้อน นอนเหยียดยาวบนนั้น ตรงข้ามกัน ชายหนุ่มรูปงาม ย่างวัยเบญจเพส เชื้อสายยุโรป หล่อราวเทพบุตร กำลังละเลงดินสอบนกระดาษเนื้อดี ด้วยมือที่มั่นคง แต่หัวใจเต้นระรัว
เขาวาดภาพเธอ เด็กสาววัยสิบแปด คนรักที่เขาช้อนร่างขึ้นมาจากทะเล เธอกำลังจะจมน้ำตาย บริเวณชายหาดแห่งหนึ่งของเกาะกลางอันดามัน เธอซาบซึ้งในตัวเขาและหลงใหลรูปโฉมของเขาทันทีที่ฟื้นคืน เฉกเช่นนั้น ชายหนุ่มก็เชื่อในสัญชาตญาณของตนเองว่าเธอคือผู้หญิงของเขา
ชายหนุ่มผู้สมัครเข้าสู่โลกแห่งศิลปะเป็นการถาวร ใช้พรสวรรค์ปั้นชีวิตจิตกรอิสระ ระหว่างที่อยู่หน้าขาตั้ง ทำงานอย่างมืออาชีพ ไม่เคยล่วงล้ำร่างกายอันเย้ายวนนั้นแม้ปลายก้อย แต่พอวางดินสอ สองร่างก็กอดเกี่ยว วาดลีลาบทรักอันเร่าร้อน ร่วมหลับนอนกันในบ้านเช่าริมทะเลอันเปรียบเป็นสวรรค์ ผ่านคืนวันอันแสนสุข จนกระทั่ง หญิงสาวตั้งครรภ์...
“แม่ของเราสวยจริงๆ สวยขนาดนี้ พ่อถึงได้รักปักใจ”
มาลินีมองภาพถ่ายของหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่ง ด้วยสายตาแห่งความชื่นชม ภาพใบนี้ บิดาของเธอพกติดตัวตลอดเวลา จนเมื่อสามเดือนก่อน เทพบุตรกรีกผู้หลงมนต์เสน่ห์สาวไทย ได้หลับตาลงตลอดกาล เธอในฐานะลูกสาวเพียงคนเดียวของเขา จึงรับมรดกทุกอย่างของพ่อเข้ามาในชีวิต
เธอมิอาจจดจำวันแรกที่ลืมตาดูโลกได้หรอก ก็เหมือนเด็กทั่วๆ ไป แต่เธอก็มีนิทานส่วนตัวที่บิดาเล่าให้ฟังจนขึ้นใจ เกี่ยวกับชีวิตรักอันสดสวยและคละเคล้าไปด้วยความขมขื่นของชายหญิงคู่หนึ่ง หากก็เต็มไปด้วยความประทับใจที่ฝังรากลึกอยู่ในหัวใจอันบริสุทธิ์ เรื่องจริงก็คือ เมื่อประมาณยี่สิบปีก่อน ชายผมดำจากเกาะครีตแห่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนได้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาพบรักกับหญิงสาวชาวไทยผู้มีรูปโฉมงดงามดั่งเทพธิดา
หญิงสาวผู้นั้น เธอยังไร้เดียงสา ยังไม่เหมาะจะเป็นแม่คน การตั้งครรภ์ของเธอเป็นความลับ เธออยู่กับจิตกรหนุ่มจนกระทั่งคลอดลูกสาว หลังจากทารกน้อยลืมตาดูโลกได้เพียงวันเดียวเท่านั้น เธอก็จากไป กลับไปเป็นนางเอกละครที่มีชื่อเสียงดังเดิม
หนุ่มกรีซเสียใจอย่างสุดซึ้ง แต่เขาก็เข้าใจคนรัก เธอเป็นสาวน้อยผู้ทะเยอทะยานที่หลงผิดไปชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น นั่นเพราะตัวเขาเอง ก็เป็นเพียงจิตกรตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่มีเพียงเป้ใบเดียวสะพายติดตัว มองหาอนาคตไม่เจอ สิ่งดีสิ่งเดียวของผู้ชายคนนี้ก็คือ
“เขาหล่อเหลาคมเข้มราวกับเทพบุตรกรีก” ริมฝีปากสวยอิ่มได้รูปแย้มยิ้มนิดๆ เมื่อนึกถึงใบหน้าของบิดา “พ่อคะ หนูขอบคุณพ่อมากนะคะ ที่พ่อเลี้ยงดูหนูมาอย่างดี หนูจะเป็นคนยอดเยี่ยมอย่างที่พ่อต้องการให้ได้ หนูสัญญาว่าจะไม่ทำให้พ่อผิดหวังเด็ดขาด เหมือนกับที่...”
นางเอกละครผู้นั้นหลงลืมคำมั่นว่าจะกลับมาเยี่ยมลูกสาวในทุกวันเกิด เด็กน้อยไม่เคยได้ของขวัญจากแม่แม้แต่ชิ้นเดียว สิ่งเดียวเท่านั้นที่ได้มา นั่นคือชื่อ ‘มาลินี’ ชื่อที่เธอตั้งให้...โดยสี่ปีให้หลัง ช่อละดา กุลวงศ์โลดแล่นอยู่ในเส้นทางมายาไม่นาน สาวน้อยไร้เดียงสาของจิตรกรหนุ่มก็ได้แต่งงานกับชายหนุ่มผู้เพียบพร้อม พ่อม่ายลูกติดสัญชาติกรีซที่ร่ำรวย เดินทางไปใช้ชีวิตอันหรูหราฟู่ฟ่าที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ
ดาราสาวมีคฤหาสน์หลังสวยที่เอเธนส์ ใช้สำหรับพักผ่อนกับลูกสาวที่เพิ่งจบดีไซน์เน่อมาจากสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงระดับโลกที่ปารีส สาวน้อยคนนั้นอยากเป็นดีไซน์เนอร์ นั่นเป็นบทให้สัมภาษณ์ของเธอในตอนหนึ่งของนิตยสารของผู้มีระดับฉบับหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ มันก็อยู่ในมือของมาลินีด้วย
หญิงสาวคิดว่า หนังสือเล่มนี้น่าจะเป็นเครื่องฆ่าเวลาชั้นดี ระหว่างที่เธอกำลังบินอยู่เหนือฟากฟ้าและทิวเมฆฟูฟ่องอันกว้างใหญ่ เธอซื้อมันในร้านขายหนังสือชั้นนำ ภายในสนามบิน และนำมันติดตัวขึ้นเครื่องมาด้วยเมื่อประมาณห้านาทีก่อนนี่เอง
“อีกหนึ่งซินเดอเรล่าของเมืองไทย ผู้หญิงที่ควรค่าแก่การอิจฉา ช่อละดา จิลาร์ดิโน่ อดีตดารานางแบบชื่อดังที่คุณเคยประทับใจในบทบาทการแสดงของเธอ”
มาลินีไล่สายตาอ่านนิตยสารฉบับนั้นด้วยความสนใจ ทุกบรรทัด ทุกประโยค จากการสัมภาษณ์ของอดีตดาราที่กลายเป็นมาดามผู้มีเกียรติยศในต่างแดน คำสัมภาษณ์เหล่านั้นกล่าวเตือนว่า ครอบครัวของเธอสุขสันต์และมีความสุขเกินกว่าจะถูกใครทำลายด้วยข่าวลือที่ไม่เป็นจริงในอดีต เกี่ยวกับการแอบคลอดลูกของเธอ เธอย้ำชัดถ้อยชัดคำว่าเธอมีลูกสาวเพียงคนเดียวเท่านั้น
“ช่อดาว จิลาร์ดิโน่ ลูกสาวที่น่ารัก ลูกสาวเพียงคนเดียวของช่อละดา จิลาร์ดิโน่ และมาเชล จิลาร์ดิโน่ เศรษฐีผู้มีเชื้อสายราชสกุลในเอเธนส์”
หญิงสาวปิดหนังสือ วางลงบนตัก ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตฉายความเศร้าแผ่วบาง เพราะเธอกำลังนึกถึงเด็กหญิงลูกครึ่งไทยกรีซตัวมอมแมมแสนซนที่ชอบทำความวุ่นวายและนำเรื่องเดือดร้อนมาให้บิดาจนเป็นความเคยชิน เด็กหญิงผู้นั้นไม่มีแม่ เธอถูกเลี้ยงดูด้วยวิธีมหัศจรรย์ของบิดาชาวกรีซมาตลอดยี่สิบเอ็ดปีเต็ม
เธอหันกลับมาเผชิญหน้ากับเขา เขย่งปลายเท้าแล้วจูบแก้มสากหอมๆของเขาด้วยความรัก ชายหนุ่มน้อมรับความรู้สึกแสนสวยนั่นด้วยการก้มลงจูบแก้มแดงเรื่ออย่างอ่อนโยน ทะนุถนอม เมื่อผละจาก ดวงตาสีเขียวคมกริบ จ้องมองใบหน้านวลในอุ้งมืออย่างมีความหมาย“แต่ใจผมเหมือนจะระเบิดทุกครั้งที่ได้เห็นหน้าคุณ ผมถึงไม่อนุญาตให้คุณอยู่ใกล้ๆเวลาผมทำงานยังไงล่ะ”หญิงสาวยิ้มนิดๆ ดวงตาเต้นระยิบ“ทำไมคะ”เธอแสร้งถามไร้เดียงสา“เพราะผมอาจจะมีเซ็กกับคุณบนโต๊ะทำงานไง”“บ้า” เธอเขิน เขาหัวเราะ“ผมรักคุณนะ”“พูดแบบนี้อีกแล้ว” เขาพูดพลางยกร่างบางขึ้นอุ้ม แล้วพาเธอไปวางลงบนเตียงนอนแสนนุ่ม “คราวหลังพูดคำอื่นบ้างก็ได้ค่ะ”“เพราะถึงยังไง คุณก็ยอมผมอยู่ดี” แม้จนถึงวินาทีนี้ หัวใจของเขาและเธอก็ยังคงเต้นแรงทุกครั้ง การร่วมรักกันครั้งแล้วครั้งเล่าอาจหวานชื่น สดใส และเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขสมซาบซ่านหัวใจ แต่เขารู้ว่าครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งไหน ๆ เพราะที่นี่คือเตียงแห่งความทรงจำ“forget me not”เขากระซิบบนปลายจมูกของเธอ หญิงสาวยิ้มหวาน“แต่ฉันกินมัสมั่นเข้าไปเยอะเลยนะคะ”เธอท้าทายเขา แต่เขาก็กลั้นใจยิ้ม“แต่ผมจะกินมัสมั่นจากปากของคุณ”หญิ
เมื่อเสร็จสิ้นมื้ออาหารอันเลิศรสของครอบครัวที่แสนอบอุ่นมั่งคั่ง คู่พ่อแม่ก็แยกไปทำธุระสำคัญในฐานะนักการเมืองใหญ่ ส่วนคู่หนุ่มสาวที่มีหน้าที่หลักในการช่วยกันบริหารธุรกิจของออปเปนไฮน์ให้เจริญก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป พวกเขาเขียนใบลาพักร้อนเป็นเวลาสองสัปดาห์เพื่อจะไปฮันนีมูนที่เมืองไทย วางงานไว้ให้ผู้ช่วยได้สร้างผลงานบ้าง“ฉันดีใจจังเลยค่ะ ฉันจะได้กลับบ้านแล้ว” ชายหนุ่มจูงมือเธอไว้แน่น ดวงตาเปล่งประกายขณะพาเธอเข้าลิฟต์แล้วกดลงชั้นต้อนรับของโรงแรม ทั้งที่ควรจะขึ้นไปยังห้องสวีตรูมอันเป็นห้องพักผ่อนส่วนตัวของท่านซีอีโอ เขามีโต๊ะทำงานอยู่บนห้อง เขามีเอกสารหลายอย่างที่ต้องเซ็นก่อนจะออกเดินทางในเช้าวันพรุ่งนี้“จะไปไหนหรือคะ” ประตูลิฟต์เปิดออก เธอถูกเขาลากไปราวกับเป็นของไร้น้ำหนัก “วิกเตอร์ คุณกำลังทำอะไรคะ ทำไมไม่รีบขึ้นไปเคลียร์งาน”เมื่อถึงบริเวณหน้าฟร้อน เธอก็ได้เห็นเหล่าบอร์ดี้การ์ดของเขา ยืนเรียงเป็นแถว เหมือนพนักงานต้อนรับ เจ้านายหนุ่มวางก้ามทันที เขาหันไปพยักพเยิดบอกลุยจิและแอนเดรียให้ทำตามแผนการที่วางไว้สองหนุ่มเดินเข้ามา หยุดต่อหน้าเจ้านาย“คิดจะทำอะไรกันแน่คะ”“เชิญครับ” ลุยจิยิ้มบางๆ พร
“อย่าคิดว่าจะลอยหน้าลอยตาอยู่ได้นาน คนอย่างเธอ...”“คนอย่างฉันมันยังไงหรือคะ ขอโทษเถอะคุณหนู คนอย่างฉันไม่เคยดูถูกใคร ไม่เคยคิดจะทำให้ใครเดือดร้อน เว้นก็แต่พวกเขาจะหาเรื่องเองทั้งนั้น”คุณหนูสะบัดมือจากการเกาะกุม หายใจฟืดฟาดๆ จนอกกระเพื่อม“ตอนนี้เธอคงจะสะใจละสินะ ที่เห็นครอบครัวของฉันต้องหมดเนื้อหมดตัว”“อย่าเอาความคิดของตัวเองมาตัดสินคนอื่นสิคะ ฉันไม่เคยคิดว่าความเดือดร้อนของคนอื่นเป็นของหวานหรอกนะคะ โดยเฉพาะกับคุณและคุณแม่ของคุณ”“อย่ามาสร้างภาพหน่อยเลยน่า คอยดูเถอะ ฉันจะทวงของๆฉันคืนจากเธอให้หมดเลย”มาลินียิ้มบางๆ เธออดตำหนิมารดาไม่ได้ ถึงมันจะเป็นบาปก็เถอะ ท่านเลี้ยงดูบุตรสาวให้เป็นคนแบบนี้ได้อย่างไรกัน นอกจากจะมีนิสัยชอบดูถูกคนอื่น ชอบใช้กำลัง และขี้อิจฉาแล้ว เธอยังเป็นคนที่ไม่ยอมรับความจริงอีกด้วย นี่ถ้าเอามาให้เธออบรม เธอจะบ่มเสียใหม่ตั้งแต่หัวจรดเท้า“เอาเถอะค่ะ ถ้าคิดว่าทำได้ ก็ลองดู”“ฉันทำได้แน่ แล้วเธอจะได้รู้จักฉันดีขึ้น” มาลินีผละจากช่อดาวมา โดยไม่หันไปมองอีกเลย แม้เธอจะรู้สึกเป็นห่วงเจ้าหล่อนอยู่บ้างก็เถอะ เธอสั่งพนักงานให้จัดการดูแลหญิงสาวเป็นอย่างดี ก่อนจะเดินไปหาสาม
“ผมคงไม่ได้มาเยี่ยมท่านอีก ขอให้มีความสุขกับคุก ลาตลอดชาตินะครับ”เมื่อจบธุระที่แดนคุมขังนักโทษ ชายหนุ่มเดินทางไปยังสถานที่จอดเครื่องบินส่วนตัวของอธีน่ากรุ๊ป เพื่อพบกับภรรยาที่รออยู่ จากนั้นพวกเขาก็ขึ้นเครื่อง ออกเดินทางไปยังครีตในวันนี้ คฤหาสน์อันน่าสะพรึงกลัวถูกบูรณะซ่อมแซมเสียใหม่จนกลายเป็นคฤหาสน์แสนสวยที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ สวนไม้ยืนต้นขนาดใหญ่และทุ่งดอกไม้สีม่วงสดได้รับการปรับปรุงดูแลอย่างเหมาะสม มีการตกแต่งสวนหย่อมภายในรั้วเหล็กและปลูกดอกไม้เพิ่มเติมจนเต็มแน่นทุกพื้นที่ ตกแต่งด้วยลานน้ำพุ รูปปั้นเทพเจ้าต่างๆ มีผีเสื้อบินว่อนสร้างความมีชีวิตชีวาที่ซึ่งเคยเปรียบดั่งนรก บัดนี้กลับกลายเป็นสวรรค์ราวกับถูกเสก“สวยถูกใจคุณไหม” เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงด้านหลังของเธอ “ที่โยนเหรียญส่วนตัวของคุณ”หญิงสาวยังคงมองสิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าด้วยความทึ่ง“คุณทำได้ยังไง สวยจนจำบรรยากาศเดิมแทบไม่ได้”“บอกแล้วว่าเงินบันดาลได้ทุกสิ่ง”“นอกจากมีเงินแล้ว ต้องเจ้าเล่ห์ขี้โกงด้วย”“ผมจะถือว่าเป็นคำชมก็แล้วกัน”“ฉันด่าต่างหาก”“ถ้างั้น เมียด่า แปลว่าจะเจริญ”เธอหัวเราะกับความกะล่อนของสามี เขาหัวเราะตาม ความส
เขาพูดจบก็หันหลังขวับ จะเดินจาก หญิงสาวเอ่ยขึ้นอย่างเร่งร้อน“เดี๋ยวค่ะ” เธอประคองตัวลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วจนร่างเซเกือบจะล้ม ชายหนุ่มอีกคนรีบเข้ามาจับตัวเธอไว้ แต่เธอไม่ได้สนใจเขาสักเท่าไหร่ เธอผละจากเขา เดินไปหาผู้ชายที่กำลังจะจากไป “ฉันต้องขอโทษแทนพ่อของฉันด้วยนะคะ ที่มีส่วนทำให้คุณต้องเป็นทุกข์และมีชีวิตที่เดียวดายมาโดยตลอด”เขาหยุดฝีเท้า แต่ไม่ได้หันกลับมามองหญิงสาว“ได้โปรด อย่าเป็นทุกข์อีกเลยนะคะ เริ่มต้นชีวิตใหม่และมีความสุขกับทุกวัน”เขาหัวเราะในลำคอเบาๆราวกับเพิ่งฟังเรื่องตลก เขาตัดสินใจหันกลับมาเผชิญหน้ากับหญิงสาวอีกครั้ง เขายิ้มมุมปาก สีหน้ามีกลิ่นเย้ยหยันนิดๆติดอยู่อย่างจับได้ ครานี้แหละ เธอถึงตระหนักว่าสองหนุ่มหน้าเหมือนกันไม่น้อย“ถ้านี่เป็นคำอวยพร ก็ขอบคุณ แต่ถ้าอยากให้ผมมีความสุขจริงๆละก็ คุณก็เลิกกับหมอนั่นเสียสิ แล้วมาอยู่กับผมที่นี่แทน”วิกเตอร์รีบเดินมาดึงตัวเธอไปอยู่ข้างๆทันที เหมือนกลัวจะถูกโฉบไป“มันจะมากไปแล้วนะโว้ย เธอเป็นเมียฉัน เป็นน้องสะใภ้ของนายนะ”นีโอนาสทำหน้าหยัน“ใครจะสน”น้องชายชี้หน้าพี่ชาย หญิงสาวรีบจับแขนคนใจร้อนไว้เพราะกลัวเขาจะเปลี่ยนจากชี้เป็นก
“ช่วยไม่ได้ มันอยากโง่เองนี่นา” วิกเตอร์ไม่แปลกใจเลย เขาพอจะเดาเรื่องนี้ออกตั้งแต่ที่รู้ความจริงแล้ว สำหรับหญิงสาวก็เช่นเดียวกัน เธอนึกไม่ถึงเลยว่าหมอนี่จะเห็นความซื่อสัตย์ของปู่เป็นเครื่องมือในการแก้แค้น เธออยากจะทุบหัวหมอนี่ให้ยุบไปเลย“เขาไม่รู้หรอก ว่าฉันแอบมองมาจากตู้เสื้อผ้า ด้วยสายตาแน่วแน่ เพื่อจะจดจารรายละเอียดทั้งหมด เพื่อฝังเอาไว้ในหัวสมอง” ภาพในอดีตย้อนกลับมาให้เขาคลั่ง เขาเล่าเหมือนกำลังมองเห็นเหตุการณ์ในตอนนั้นอยู่ “ตอนที่เขาตบหน้าลูกชายของเขาด้วยความแรง และประกาศตัดขาดความเป็นพ่อลูก ฉันเฝ้ามองด้วยความสะใจ และบอกกับตัวเองว่าให้ใจเย็นๆเข้าไว้ และรอคอยให้เวลานี้มาถึง พระเจ้า และเธอก็มาที่นี่ มาเพื่อฉันจริงๆด้วย”น้ำเสียงของเขาน่ากลัวนัก วิกเตอร์หายใจไม่ค่อยทั่วท้องสักเท่าไหร่ หัวใจเต้นเร่า หวาดหวั่นว่าหญิงสาวจะได้รับอันตรายจากคนสติหลุด เขาจ้องมองหญิงสาวชนิดไม่ยอมกระพริบตา แต่เจ้าหล่อนกลับมีสีหน้าสงสัยมากกว่าจะหวาดกลัว นั่นเพราะเธอสัมผัสได้ว่าหัวใจของชายหนุ่มผู้กำความแค้น เต้นถี่ยิบและรุนแรงเหมือนจะระเบิดออกมา มันกระทุ้งลำตัวของเธอจนรู้สึกได้เป็นไปได้ไหมที่หมอนี่กำลังหวาดก
Komen