“ดอกไม้สวยมากเลย”
แถมเธอยังได้เห็นถนนเส้นใหญ่ที่สุขสงบตรงหน้า ซึ่งทอดตัวอย่างสวยงาม สะอาดเอี่ยม เลี้ยวลดไปตามเขตแดนของความหรูหรา ร่ำรวย “ไม่น่าเชื่อเลยนะ ว่าท่ามกลางความหรูหราทันสมัย จะมีบ้านน่ารักๆ หลังนี้และดอกไม้สวยๆ ซ่อนตัวอยู่ วิเศษมาก”
เจ้าหนูเดินไปยืนใกล้ๆ สอดมือกอดอก ทำหน้าตาเหมือนผู้มีความรู้
“นี่เป็นดอกไม้ประจำห้องนี้ฮะ แม่ดูแลพวกมันเป็นอย่างดี”
“จริงเหรอ หมายความว่า ที่ห้องอื่นก็มีดอกไม้ประจำห้องเหมือนกันสิจ๊ะ”
“หลายชนิดฮะ ถ้าพี่อยากไปดู ผมจะพาไป ช่วงนี้ยังไม่มีใครมาเข้าพักเลยฮะ ทางสะดวก อย่างห้องติดกับพี่ เป็นดอกไฮเดรนเยียสีม่วงฮะ ถัดไปก็เดซี่ หลังสุดเป็นพิ้งค์ไลแลคฮะ”
“พิ้งค์ไลแลค” หญิงสาวส่งยิ้มหวาน สวยยิ่งกว่าดอกไม้ทุกดอกในบ้านหลังนี้เสียอีก เธอโชคดีจังที่ได้มาพักที่นี่ ได้มารู้จักกับครอบครัวนี้ ที่นี่เป็นบ้านที่วิเศษมากๆ
“เอาไว้หลังจากที่พี่จัดกระเป๋าก่อนดีกว่านะจ๊ะ” หญิงสาวเดินไปนั่งลงบนเตียงนอนแล้วจัดการเปิดกระเป๋าหยิบจับเสื้อผ้าออกวางบนฟูกอย่างช้าๆ เด็กชายเดินมานั่งลงที่ปลายเตียง มองพี่สาวคนสวยตาปริบๆ
“ทำไมจ๊ะ ทำไมมองพี่อย่างนั้นละ”
“พี่สวยจังเลยฮะ พี่มีแฟนรึยัง”
ทำเอาผู้ใหญ่เกือบพรวดเสียงหัวเราะ
“พี่ยังไม่มีแฟนหรอก กะว่าจะมาหาเอาที่นี่แหละ”
“ผมก็ยังไม่มีแฟนเหมือนกัน”
“เพราะต้องเรียนหนังสือแล้วก็รอให้โตเป็นผู้ใหญ่ซะก่อน”
เด็กชายทำหน้าเซ็ง
“เฮ่อ...ผมจะลงไปช่วยแม่ทำเค้กฮะ วันนี้อายุของผมครบแปดขวบ พี่ญาญ่าอย่าลืมลงไปเลี้ยงฉลองวันเกิดและอวยพรให้ผมด้วยนะฮะ”
เจ้าหนูตั้งท่าจะลุกไป
“เดี๋ยวก่อนจะ” เธอเรียกไว้ด้วยเสียงดังกังวาน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงกระซิบกระซาบ แฝงความใคร่รู้นิดๆ “เธอเคยเห็นหน้าเจ้าของโรงแรมที่อยู่ข้างๆ บ้านเธอรึเปล่า เขาเป็นคนหนุ่มหรือคนแก่”
เด็กชายทำหน้าฉงน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงปกติ
“ผมเคยเห็นเขา หมอนั่นหน้าเหมือนยักษ์มากกว่าฮะ เขาดูไม่เหมือนคนหรอก” หญิงสาวเกือบจะพรวดเสียงหัวเราะอีกหน ก่อนจะพยักหน้า เพราะหมายความว่าคนที่ไล่เธอออกจากโรงแรมก็น่าจะเป็นเจ้าของที่นั่นจริงๆ
“พี่อย่าไปเข้าใกล้เขานะครับ เขาเป็นผีดิบดูดเลือด”
“ผีดิบดูดเลือด” ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้าง ก่อนจะหันไปมองทิศทางที่ตึกสูงตั้งตระหง่าน “ความจริง เขาก็ดูเหมือนอยู่หรอกนะ”
เด็กชายปิดประตู เดินออกจากห้องพักของเธอไป หญิงสาวมองประตูด้วยสายตาเอ็นดู สบายใจ ก่อนจะถอนเอาความหนักหน่วงที่ซ่อนอยู่ในอกออกด้วยการพ่นลมเบาๆ ออกจากปาก เมื่อมองไปจนทั่วห้องที่แสนสะอาด หากจะหยุดก็ที่หน้าต่างบานนั้น
“บ้านสวยแบบนี้ นี่ถ้าไม่มีตึกสูงของโรงแรมบังไว้ คงจะทำให้บรรยากาศดีกว่านี้นะ” เธอหยิบตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลออกมาจากกระเป๋าสะพาย แล้วนำไปแขวนไว้ที่ขอบหน้าต่าง เพราะบิดาบอกว่านี่เป็นเครื่องรางสำหรับป้องกันอันตรายทุกชนิด “เจ้าหมี ช่วยคุ้มครองด้วยนะ เข้าใจไหม อย่าให้สิ่งชั่วร้ายลอยผ่านหน้าต่างเข้ามาได้เด็ดขาด”
เธออดยื่นตัวออกไปนอกหน้าต่าง แล้วชะโงกมองตึกสูงที่ตั้งตระหง่านอยู่เคียงข้างอีกครั้งมิได้ ดวงตาสวยมองความงดงามของสถาปัตยกรรมสุดทันสมัย ด้วยสายตาหยันหยามนิดๆ
“คิดว่าวิเศษนักหรือ ไอ้โรงแรมนี่ สักวันจะเจ๊ง เพราะเจ้าของเฮงซวย คอยดูเถอะ จะเอาความทุเรศไปประจานให้รู้กันทั้งเมืองไทยเลย”
เธอหดตัวกลับมายืนในท่าปกติ ยื่นนิ้วมือไปแตะหมีเบาๆ ก่อนจะหมุนตัวกลับมาที่เตียง จัดเก็บเสื้อผ้าเข้าตู้จนเรียบร้อย โดยใช้เวลาไม่นานนัก จากนั้นก็ตั้งใจว่าจะอาบน้ำเสียหน่อย แม้ว่าอากาศจะค่อนข้างหนาวก็ตาม เธออยากจะล้างความล้าจากการเดินทางไกลให้สะอาดเอี่ยม
เจ้าหล่อนแช่ตัวใต้น้ำอุ่นเกือบสามสิบนาที อ่างขนาดเล็กพอดีตัวก็ช่วยให้ผ่อนคลายไม่น้อยเหมือนกัน ครั้งนี้ นับเป็นการอาบน้ำที่นานเป็นประวัติการณ์ของมาลินีเลยทีเดียว
เมื่อชำระคราบไคลหมดจด เธอก็รีบจัดการแต่งองค์ทรงเครื่องจนเรียบร้อย ตามสไตล์เคยชิน เสื้อยืดสีขาวสวมทับด้วยเสื้อกันหนาวไหมพรมสีเหลืองสดและกางเกงยีนขาดปะรัดรูปที่เน้นรูปร่างงดงาม ความจริงแล้ว เธอตั้งใจจะลงไปช่วยพี่ศจีมาศทำอาหารสำหรับตอนเย็นเสียหน่อย แต่ป่านนี้คงไม่ทันเสียแล้ว เพราะเธอได้กลิ่นหอมวานิลลาของเค้กก้อนโต กลิ่นแกงกะหรี่ กลิ่นมัสมั่น กลิ่นขนมปังอบที่หอมกรุ่นไปทั้งบ้าน ลอยละลิ่วมาถึงชั้นสาม
“สงสัยงานเลี้ยงใกล้จะเริ่มแล้ว รีบลงไปดีกว่า”
หญิงสาวร้องเพลงเบาๆ คลอเคล้า ขณะก้าวลงบันไดมาอย่างมีความสุข เธอกระชับผ้าพันคอสีชมพูที่ห่อพันลำคอระหงจนมิดชิดเพื่อให้ผ่อนคลายความหนาวอีกชั้น เธอก้าวลงมายังชั้นล่างของบ้านขนมปังอบ ด้วยอารมณ์ตื่นเต้น สนุก และสดชื่นสดใส ไร้กังวล
“ขอโทษนะคะ ลงมาช้าไปหน่อย” เมื่อเธอยืนอยู่บนพื้นกระเบื้องเย็นเฉียบของชั้นหนึ่ง เธอกวาดสายตามองไปจนทั่วทุกมุม ซึ่งเธอก็ได้เห็นบรรยากาศของงานปาร์ตี้ที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น โต๊ะใหญ่ยาวที่วางอยู่กลางร้าน เค้กก้อนยักษ์แสนสวย อาหารและขนมน่ารัก เครื่องดื่มและดอกไม้สด ที่เก้าอี้ตรงหัวโต๊ะ มีหมีสีน้ำตาลตัวใหญ่วางอยู่
เธอหันกลับมาเผชิญหน้ากับเขา เขย่งปลายเท้าแล้วจูบแก้มสากหอมๆของเขาด้วยความรัก ชายหนุ่มน้อมรับความรู้สึกแสนสวยนั่นด้วยการก้มลงจูบแก้มแดงเรื่ออย่างอ่อนโยน ทะนุถนอม เมื่อผละจาก ดวงตาสีเขียวคมกริบ จ้องมองใบหน้านวลในอุ้งมืออย่างมีความหมาย“แต่ใจผมเหมือนจะระเบิดทุกครั้งที่ได้เห็นหน้าคุณ ผมถึงไม่อนุญาตให้คุณอยู่ใกล้ๆเวลาผมทำงานยังไงล่ะ”หญิงสาวยิ้มนิดๆ ดวงตาเต้นระยิบ“ทำไมคะ”เธอแสร้งถามไร้เดียงสา“เพราะผมอาจจะมีเซ็กกับคุณบนโต๊ะทำงานไง”“บ้า” เธอเขิน เขาหัวเราะ“ผมรักคุณนะ”“พูดแบบนี้อีกแล้ว” เขาพูดพลางยกร่างบางขึ้นอุ้ม แล้วพาเธอไปวางลงบนเตียงนอนแสนนุ่ม “คราวหลังพูดคำอื่นบ้างก็ได้ค่ะ”“เพราะถึงยังไง คุณก็ยอมผมอยู่ดี” แม้จนถึงวินาทีนี้ หัวใจของเขาและเธอก็ยังคงเต้นแรงทุกครั้ง การร่วมรักกันครั้งแล้วครั้งเล่าอาจหวานชื่น สดใส และเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขสมซาบซ่านหัวใจ แต่เขารู้ว่าครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งไหน ๆ เพราะที่นี่คือเตียงแห่งความทรงจำ“forget me not”เขากระซิบบนปลายจมูกของเธอ หญิงสาวยิ้มหวาน“แต่ฉันกินมัสมั่นเข้าไปเยอะเลยนะคะ”เธอท้าทายเขา แต่เขาก็กลั้นใจยิ้ม“แต่ผมจะกินมัสมั่นจากปากของคุณ”หญิ
เมื่อเสร็จสิ้นมื้ออาหารอันเลิศรสของครอบครัวที่แสนอบอุ่นมั่งคั่ง คู่พ่อแม่ก็แยกไปทำธุระสำคัญในฐานะนักการเมืองใหญ่ ส่วนคู่หนุ่มสาวที่มีหน้าที่หลักในการช่วยกันบริหารธุรกิจของออปเปนไฮน์ให้เจริญก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป พวกเขาเขียนใบลาพักร้อนเป็นเวลาสองสัปดาห์เพื่อจะไปฮันนีมูนที่เมืองไทย วางงานไว้ให้ผู้ช่วยได้สร้างผลงานบ้าง“ฉันดีใจจังเลยค่ะ ฉันจะได้กลับบ้านแล้ว” ชายหนุ่มจูงมือเธอไว้แน่น ดวงตาเปล่งประกายขณะพาเธอเข้าลิฟต์แล้วกดลงชั้นต้อนรับของโรงแรม ทั้งที่ควรจะขึ้นไปยังห้องสวีตรูมอันเป็นห้องพักผ่อนส่วนตัวของท่านซีอีโอ เขามีโต๊ะทำงานอยู่บนห้อง เขามีเอกสารหลายอย่างที่ต้องเซ็นก่อนจะออกเดินทางในเช้าวันพรุ่งนี้“จะไปไหนหรือคะ” ประตูลิฟต์เปิดออก เธอถูกเขาลากไปราวกับเป็นของไร้น้ำหนัก “วิกเตอร์ คุณกำลังทำอะไรคะ ทำไมไม่รีบขึ้นไปเคลียร์งาน”เมื่อถึงบริเวณหน้าฟร้อน เธอก็ได้เห็นเหล่าบอร์ดี้การ์ดของเขา ยืนเรียงเป็นแถว เหมือนพนักงานต้อนรับ เจ้านายหนุ่มวางก้ามทันที เขาหันไปพยักพเยิดบอกลุยจิและแอนเดรียให้ทำตามแผนการที่วางไว้สองหนุ่มเดินเข้ามา หยุดต่อหน้าเจ้านาย“คิดจะทำอะไรกันแน่คะ”“เชิญครับ” ลุยจิยิ้มบางๆ พร
“อย่าคิดว่าจะลอยหน้าลอยตาอยู่ได้นาน คนอย่างเธอ...”“คนอย่างฉันมันยังไงหรือคะ ขอโทษเถอะคุณหนู คนอย่างฉันไม่เคยดูถูกใคร ไม่เคยคิดจะทำให้ใครเดือดร้อน เว้นก็แต่พวกเขาจะหาเรื่องเองทั้งนั้น”คุณหนูสะบัดมือจากการเกาะกุม หายใจฟืดฟาดๆ จนอกกระเพื่อม“ตอนนี้เธอคงจะสะใจละสินะ ที่เห็นครอบครัวของฉันต้องหมดเนื้อหมดตัว”“อย่าเอาความคิดของตัวเองมาตัดสินคนอื่นสิคะ ฉันไม่เคยคิดว่าความเดือดร้อนของคนอื่นเป็นของหวานหรอกนะคะ โดยเฉพาะกับคุณและคุณแม่ของคุณ”“อย่ามาสร้างภาพหน่อยเลยน่า คอยดูเถอะ ฉันจะทวงของๆฉันคืนจากเธอให้หมดเลย”มาลินียิ้มบางๆ เธออดตำหนิมารดาไม่ได้ ถึงมันจะเป็นบาปก็เถอะ ท่านเลี้ยงดูบุตรสาวให้เป็นคนแบบนี้ได้อย่างไรกัน นอกจากจะมีนิสัยชอบดูถูกคนอื่น ชอบใช้กำลัง และขี้อิจฉาแล้ว เธอยังเป็นคนที่ไม่ยอมรับความจริงอีกด้วย นี่ถ้าเอามาให้เธออบรม เธอจะบ่มเสียใหม่ตั้งแต่หัวจรดเท้า“เอาเถอะค่ะ ถ้าคิดว่าทำได้ ก็ลองดู”“ฉันทำได้แน่ แล้วเธอจะได้รู้จักฉันดีขึ้น” มาลินีผละจากช่อดาวมา โดยไม่หันไปมองอีกเลย แม้เธอจะรู้สึกเป็นห่วงเจ้าหล่อนอยู่บ้างก็เถอะ เธอสั่งพนักงานให้จัดการดูแลหญิงสาวเป็นอย่างดี ก่อนจะเดินไปหาสาม
“ผมคงไม่ได้มาเยี่ยมท่านอีก ขอให้มีความสุขกับคุก ลาตลอดชาตินะครับ”เมื่อจบธุระที่แดนคุมขังนักโทษ ชายหนุ่มเดินทางไปยังสถานที่จอดเครื่องบินส่วนตัวของอธีน่ากรุ๊ป เพื่อพบกับภรรยาที่รออยู่ จากนั้นพวกเขาก็ขึ้นเครื่อง ออกเดินทางไปยังครีตในวันนี้ คฤหาสน์อันน่าสะพรึงกลัวถูกบูรณะซ่อมแซมเสียใหม่จนกลายเป็นคฤหาสน์แสนสวยที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ สวนไม้ยืนต้นขนาดใหญ่และทุ่งดอกไม้สีม่วงสดได้รับการปรับปรุงดูแลอย่างเหมาะสม มีการตกแต่งสวนหย่อมภายในรั้วเหล็กและปลูกดอกไม้เพิ่มเติมจนเต็มแน่นทุกพื้นที่ ตกแต่งด้วยลานน้ำพุ รูปปั้นเทพเจ้าต่างๆ มีผีเสื้อบินว่อนสร้างความมีชีวิตชีวาที่ซึ่งเคยเปรียบดั่งนรก บัดนี้กลับกลายเป็นสวรรค์ราวกับถูกเสก“สวยถูกใจคุณไหม” เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงด้านหลังของเธอ “ที่โยนเหรียญส่วนตัวของคุณ”หญิงสาวยังคงมองสิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าด้วยความทึ่ง“คุณทำได้ยังไง สวยจนจำบรรยากาศเดิมแทบไม่ได้”“บอกแล้วว่าเงินบันดาลได้ทุกสิ่ง”“นอกจากมีเงินแล้ว ต้องเจ้าเล่ห์ขี้โกงด้วย”“ผมจะถือว่าเป็นคำชมก็แล้วกัน”“ฉันด่าต่างหาก”“ถ้างั้น เมียด่า แปลว่าจะเจริญ”เธอหัวเราะกับความกะล่อนของสามี เขาหัวเราะตาม ความส
เขาพูดจบก็หันหลังขวับ จะเดินจาก หญิงสาวเอ่ยขึ้นอย่างเร่งร้อน“เดี๋ยวค่ะ” เธอประคองตัวลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วจนร่างเซเกือบจะล้ม ชายหนุ่มอีกคนรีบเข้ามาจับตัวเธอไว้ แต่เธอไม่ได้สนใจเขาสักเท่าไหร่ เธอผละจากเขา เดินไปหาผู้ชายที่กำลังจะจากไป “ฉันต้องขอโทษแทนพ่อของฉันด้วยนะคะ ที่มีส่วนทำให้คุณต้องเป็นทุกข์และมีชีวิตที่เดียวดายมาโดยตลอด”เขาหยุดฝีเท้า แต่ไม่ได้หันกลับมามองหญิงสาว“ได้โปรด อย่าเป็นทุกข์อีกเลยนะคะ เริ่มต้นชีวิตใหม่และมีความสุขกับทุกวัน”เขาหัวเราะในลำคอเบาๆราวกับเพิ่งฟังเรื่องตลก เขาตัดสินใจหันกลับมาเผชิญหน้ากับหญิงสาวอีกครั้ง เขายิ้มมุมปาก สีหน้ามีกลิ่นเย้ยหยันนิดๆติดอยู่อย่างจับได้ ครานี้แหละ เธอถึงตระหนักว่าสองหนุ่มหน้าเหมือนกันไม่น้อย“ถ้านี่เป็นคำอวยพร ก็ขอบคุณ แต่ถ้าอยากให้ผมมีความสุขจริงๆละก็ คุณก็เลิกกับหมอนั่นเสียสิ แล้วมาอยู่กับผมที่นี่แทน”วิกเตอร์รีบเดินมาดึงตัวเธอไปอยู่ข้างๆทันที เหมือนกลัวจะถูกโฉบไป“มันจะมากไปแล้วนะโว้ย เธอเป็นเมียฉัน เป็นน้องสะใภ้ของนายนะ”นีโอนาสทำหน้าหยัน“ใครจะสน”น้องชายชี้หน้าพี่ชาย หญิงสาวรีบจับแขนคนใจร้อนไว้เพราะกลัวเขาจะเปลี่ยนจากชี้เป็นก
“ช่วยไม่ได้ มันอยากโง่เองนี่นา” วิกเตอร์ไม่แปลกใจเลย เขาพอจะเดาเรื่องนี้ออกตั้งแต่ที่รู้ความจริงแล้ว สำหรับหญิงสาวก็เช่นเดียวกัน เธอนึกไม่ถึงเลยว่าหมอนี่จะเห็นความซื่อสัตย์ของปู่เป็นเครื่องมือในการแก้แค้น เธออยากจะทุบหัวหมอนี่ให้ยุบไปเลย“เขาไม่รู้หรอก ว่าฉันแอบมองมาจากตู้เสื้อผ้า ด้วยสายตาแน่วแน่ เพื่อจะจดจารรายละเอียดทั้งหมด เพื่อฝังเอาไว้ในหัวสมอง” ภาพในอดีตย้อนกลับมาให้เขาคลั่ง เขาเล่าเหมือนกำลังมองเห็นเหตุการณ์ในตอนนั้นอยู่ “ตอนที่เขาตบหน้าลูกชายของเขาด้วยความแรง และประกาศตัดขาดความเป็นพ่อลูก ฉันเฝ้ามองด้วยความสะใจ และบอกกับตัวเองว่าให้ใจเย็นๆเข้าไว้ และรอคอยให้เวลานี้มาถึง พระเจ้า และเธอก็มาที่นี่ มาเพื่อฉันจริงๆด้วย”น้ำเสียงของเขาน่ากลัวนัก วิกเตอร์หายใจไม่ค่อยทั่วท้องสักเท่าไหร่ หัวใจเต้นเร่า หวาดหวั่นว่าหญิงสาวจะได้รับอันตรายจากคนสติหลุด เขาจ้องมองหญิงสาวชนิดไม่ยอมกระพริบตา แต่เจ้าหล่อนกลับมีสีหน้าสงสัยมากกว่าจะหวาดกลัว นั่นเพราะเธอสัมผัสได้ว่าหัวใจของชายหนุ่มผู้กำความแค้น เต้นถี่ยิบและรุนแรงเหมือนจะระเบิดออกมา มันกระทุ้งลำตัวของเธอจนรู้สึกได้เป็นไปได้ไหมที่หมอนี่กำลังหวาดก