#หลายวันต่อมา
ไพลินมาทำงานตามปกติ วันนี้เป็นคืนวันศุกร์ ลูกค้าก็ค่อนข้างที่จะเยอะกว่าปกติ แต่มันเป็นเรื่องที่ดีสำหรับนักร้องกลางคืนอย่างเธอ คืนนี้เจ๊สวยคนดูแลนักร้องในผับเลยจัดชุดพิเศษให้ไพลิน เพื่อให้เธอรีดเงินจากลูกค้าให้ได้เยอะที่สุด
เมื่อถึงเวลาขึ้นโชว์ ไพลินก็ก้าวขึ้นเวทีด้วยความเฉิดฉาย ทุกสายตาจับจ้องมาที่เธอเป็นสายตาเดียวกัน เช่นเดียวกับวนิดาที่กำลังเหยียดยิ้มมองกาฝากของบ้านด้วยสายตาชิงชัง
“พี่นนท์ดูสิคะ ยัยเด็กกาฝากเป็นอย่างที่คุณแม่พูดจริงๆ ด้วยค่ะ” วนิดาพูดพร้อมกับชี้ไปยังร่างสวยที่กำลังร้องเพลงอยู่บนเวที
วรานนท์มองไปตามที่น้องสาวบอก แต่ก็ไม่ได้ออกความคิดเห็นอะไร เขามองคนที่อยู่บนเวทีด้วยสายตานิ่งๆ เหมือนไม่ได้สนใจอะไร แต่ข้างในกลับรู้สึกหงุดหงิดและคาดโทษหญิงสาวที่กำลังเต้นเย้ายวนโดยไม่แคร์สายตาใคร
“นั่นน้องสาวนายไม่ใช่หรอ” ชาญวิทย์หันไปถามวรานนท์สลับกับมองสาวสวยที่อยู่บนเวที ที่ชาญวิทย์รู้จักไพลินก็เพราะเคยเห็นตอนไปงานศพพ่อของวรานนท์
“อืม” วรานนท์ตอบเสียงเรียบ แต่สายตายังคงจ้องไปยังร่างสาวสวยที่อยู่บนเวที เพราะแบบนี้สินะเธอถึงออกจากบ้านแทบทุกคืน
“ทำไมไม่บอกกันเลยว่ะ ว่าเธอร้องเพลงอยู่ที่นี่ ถ้ารู้ว่าน้องลินคนสวยมาร้องเพลงอยู่นี่ ฉันจะมาทุกคืนเลย” ชาญวิทย์พูดขึ้นมาแล้วมองคนที่อยู่บนเวทีด้วยสายตาหยาดเยิ้ม ความสวยของไพลินสะกดใจของเขาจนละสายตาไม่ได้
“พี่นนท์จะบอกได้ยังไงล่ะคะ พี่นนท์เองก็พึ่งรู้เหมือนกันค่ะ” วนิดาพูดแทนพี่ชาย
“จริงเหรอ อยู่บ้านเดียวกันทำไมถึงไม่รู้ล่ะ” ชาญวิทย์ขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัย
“ก็นัง... ยัยลินชอบทำตัวแบบนี้ไงคะ คุณแม่ก็เลยไม่ชอบ แล้วยังสั่งห้ามไม่ให้ดากับพี่นนท์ไปยุ่งด้วย”
“ร้องเพลงมันไม่ดีตรงไหน?”
“พี่ชาญยังไม่รู้อะไร คุณแม่เล่าให้ดาฟังว่ายัยลินขายตัวด้วยนะคะ แค่ร้องเพลงบังหน้าเฉยๆ”
“จริงหรอว่ะนนท์” ได้ยินวนิดาพูดแบบนี้ ชาญวิทย์ถึงกับอยากรู้เข้าไปใหญ่
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้หญิงสวยๆ อย่างไพลินจะทำอะไรแบบนี้”
“ไม่รู้สิ อยากรู้ก็ไปถามเอง” วรานนท์พูดออกไปด้วยอารมณ์หงุดหงิด เขาเองก็สงสัยจนอยากจะเดินไปลากคนที่อยู่บนเวทีลงมาถามให้รู้แล้วรู้รอด
เมื่อเห็นเพื่อนทำท่าทางไม่สบอารมณ์ ชาญวิทย์ก็ไม่เซ้าซี้เรื่องแค่นี้เขาจัดการเอาเองก็ได้ เพราะเขาก็รู้จักกับเจ้าของผับนี้อยู่แล้ว
…
หลังจากร้องเพลงเสร็จ ไพลินก็ลงมาพักที่ห้องพักแล้วก็รอรับเงินค่าตัวจากเจ๊สวย
“ลินจ้ะ วันนี้หนูรีบหรือเปล่า มีธุระที่ไหนมั้ย” เจ๊สวยถามด้วยท่าทางเกรงใจ
“ไม่มีค่ะ เจ๊มีอะไรหรือเปล่าคะ” ไพลินถามออกไปด้วยท่าทางอยากรู้ เพราะเจ๊สวยไม่เคยมีท่าทีแบบนี้สักครั้ง
“พอดีว่าวันนี้คุณกฤษพาลูกค้าคนสำคัญมาเที่ยวแล้วลูกค้าเกิดถูกใจหนู แล้วอยากให้หนูไปนั่งด้วย หนูสะดวกหรือเปล่า” เจ๊สวยพูดออกไปด้วยท่าทางเกรงใจ เพราะรู้ดีว่าไพลินไม่รับงานนอก แล้วยังเป็นเด็กดีมากๆ แต่ที่เจ๊สวยมาขอให้ไพลินไปนั่งกับแขกวันนี้เพราะเป็นลูกค้าคนสำคัญของเจ้านาย
“ก็ได้ค่ะ” ไพลินเห็นท่าทางของเจ๊สวยที่เหมือนจะลำบากใจ ก็เลยอยากจะช่วย ก็แค่ไปนั่งกับลูกค้าคงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง
“ขอบใจนะ เจ๊รับลองว่ามันคุ้มแน่นอน ลูกค้าแบบนี้กระเป๋าหนัก”
“ค่ะ”
“ถ้างั้นตามเจ๊มาเลย” เจ๊สวยเดินนำนักร้องสาวมายังโต๊ะวีไอพีที่มีนักธุรกิจหนุ่มนั่งอยู่สามคน หนึ่งในนั้นคือเจ้านายของเธอ
สามหนุ่มมองมาที่นักร้องสาวเป็นตาเดียว สายตาบ่งบอกความต้องการอย่างเห็นได้ชัด แต่คนที่ถูกมองกลับไร้เดียงสาเกินที่จะดูออก
“สวัสดีค่ะท่าน” เจ๊สวยกล่าวทักทายแขกคนสำคัญของเจ้านายอย่างสุภาพ แต่พวกเขากลับไม่สนใจที่จะมองเจ๊สวยแม้แต่น้อย สายตายังคงอยู่ที่ร่างสวย ที่อยู่ในชุดเดรสสั้นสีแดงช้ำ
“ชื่ออะไรครับ?” ชายคนแรกถามขึ้นมา
“ไพลินค่ะ” หญิงสาวตอบไปตามมารยาท
“ดูแลลูกค้าคนสำคัญของท่านให้ดีนะ” เจ๊สวยบอกไพลินก่อนจะขอตัวเดินออกมา
ส่วนไพลินก็นั่งอยู่เงียบๆ ไม่รู้จะทำอะไร เพราะเธอไม่เคยเป็นเด็กนั่งดริ้งมาก่อน
“ไม่ต้องเกร็ง ทำตัวตามสบายเลย” กฤษณะเจ้านายหนุ่มพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ แต่สายตาก็แสดงออกว่าต้องการในตัวหญิงสาวอยู่ไม่น้อย
ไพลินยังคงนั่งอยู่อย่างนั้น แต่ก็มีพูดคุยบ้างเวลาโดนถาม แต่ที่เธอไม่ชอบคือสายตาของเพื่อนเจ้านายที่กำลังลวนลามเธอผ่านสายตา
“มานั่งตรงนี้สิ ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ”
กฤษณะพูดขึ้นพร้อมตบลงที่ข้างๆ แล้วมองหญิงสาวเชิงออกคำสั่ง เห็นอย่างนั้นไพลินก็ยอมลุกไปอย่างขัดไม่ได้ เพราะเธอต้องอาศัยอาชีพนี้ไปอีกสักพัก จนกว่าเธอจะตั้งตัวได้ และไม่คิดว่าวนิดากับพี่ชายจะเห็น
“หน้าไม่อายจริงๆ เห็นทีต้องถ่ายรูปไปให้คุณแม่ดูซะแล้ว คุณแม่จะได้ไล่มันออกจากบ้านสักที”
วนิดาพูดขึ้นมาพร้อมล้วงมือถือออกมาจากกระเป๋า
“เธอจะทำอะไรมันก็เรื่องของเธอ จะไปสนใจทำไม”
วรานนท์พูดขึ้นมาพร้อมกระดกเหล้าเข้าปาก แต่สายตายังคงจับจ้องไปยังร่างสวยที่นั่งให้ผู้ชายแทะโลมอย่างไม่วางตา
- สองวันต่อมา -@บ้านกิตติคุณเวลา 10.00 น.หลังจากที่วรานนท์ได้ออกจากโรงพยาบาลก็กลับมาพักฟื้นที่บ้าน คุณหญิงวรมลต่างให้แม่บ้านจัดเตรียมอาหารต้อนรับลูกชายกลับบ้าน มีทั้งอาหารคาวหวานต่างๆ มากมายหลายเมนู พร้อมกับจัดเตรียมห้องไว้สำหรับไพลินกับวรานนท์หลังจากที่เรื่องไม่ดีต่างๆ ผ่านไปก็ย่อมมีเรื่องราวดีๆ เกิดขึ้น อย่างที่เขาว่ากันว่า... ฟ้าหลังฝนย่อมสวยงามเสมอ... ชีวิตของไพลินก็เช่นกันบนโต๊ะอาหารที่มีอาหารต่างๆ หลากหลายเมนูให้เลือกทานที่ถูกจัดแต่งไว้บนโต๊ะอย่างสวยงาม ที่โต๊ะอาหารกลับมีคนนั่งอยู่แค่เพียงสี่คน แต่กลับทำอาหารเยอะแยะมากมายราวกับทำเอาไว้เลี้ยงคนทั้งซอยไพลินนั่งมองอาหารด้วยท่าทางตื่นเต้น เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้มานั่งร่วมโต๊ะอาหารกับคุณหญิงวรมลและวนิดา ครั้งก่อนเธอยังได้ทำหน้าที่เป็นสาวใช้ของบ้านหลังนี้อยู่เลย แต่ทำไมครั้งนี้ถึงได้...ไพลินยังคงตื่นเต้นอยู่ภายในใจไม่หาย“ทานเยอะๆ นะตานนท์... ไพลินก็ด้วยนะ” คุณหญิงบอกลูกชายอย่างห่วงใย ก่อนที่จะหันไปบอกไพลินด้วยความเป็นห่วงหลานที่อยู่ในท้องของเธอ“ค่ะ... คุณหญิง” ไพลินพูดออกมาอย่างอ่อนน้อม“คุณหญิงอะไรหล่ะ เรียกคุณแม่แบบตา
- สองเดือนต่อมา -ไพลินนั่งมองวรานนท์อย่างอ่อนใจ วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เธออยู่ดูแลวรานนท์แทบจะตลอดเวลา ใช้ชีวิตทุกอย่างอยู่ที่โรงพยาบาลไม่ว่าจะกินข้าว จะนอน จะอาบน้ำ เธอแทบจะไม่ได้ออกไปไหน เรียกได้ว่าโรงพยาบาลจนแทบจะเป็นบ้านของเธอกับวรานนท์อีกหลังเลยก็ว่าได้ไพลินไม่อยากออกไปไหนเพราะกลัวว่าวรานนท์จะตื่นมาไม่เจอเธอ ในทุกๆ วันจะมีคุณหมอและพยาบาลเข้ามาตรวจและดูแลวรานนท์อยู่ตลอด ไพลินก็จะจัดดอกไม้ภายในห้องให้ดูสดใสและสวยงามอยู่ตลอดเช่นกัน เพราะเธอเชื่อว่าดอกไม้จะทำให้วรานนท์สดชื่นและจะได้รีบฟื้นขึ้นมาหาเธอกับลูกในเร็วๆส่วนคุณหญิงวรมลกับวนิดาก็วิ่งวุ่นอยู่กับเรื่องงาน เพราะตั้งแต่ที่วรานนท์เกิดอุบัติเหตุ หุ้นในบริษัทก็ลดลง จนคุณหญิงกับวนิดาต้องเข้าไปช่วยกันบริหารต่อจากวรานนท์ ส่วนเรื่องที่โรงพยาบาลไพลินอาสาที่จะดูแลวรานนท์ให้ ในตอนแรกคุณหญิงไม่ยอมเพราะเป็นห่วงหลานคนแรกทีี่อยู่ในท้องของไพลิน แต่ไพลินก็ดื้อไม่ยอม ยังคงยืนยันที่จะเป็นคนดูแลวรานนท์ คุณหญิงวรมลจึงจำยอมอย่างขัดไม่ได้ แต่คุณหญิงกับวนิดาก็เข้ามาหาไพลินกับวรานนท์ที่โรงพยาบาลทุกวัน“ลินอยากให้พี่นนท์ตื่นขึ้นมาเร็วๆ จัง อีกไม่กี
“สวัสดี... ไพลิน” อยู่ๆ ก็มีเสียงแหบของผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยทักทายไพลินขึ้นมา“อะ เอ่อ... สวัสดีค่ะ”ไพลินตกใจเมื่อได้ยินเสียงและเห็นบุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้าทั้งสองคน จนเธอรู้สึกกลัวขึ้นมาเพราะคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอนั้นคือคุณหญิงวรมลกับวนิดานั่นเอง“ทำไมเธอถึง...” คุณหญิงวรมลพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด แต่ยังพูดไม่ทันจบก็ต้องหยุดพูดเสียก่อน“ลินไม่ได้เป็นคนบอกเรื่องนี้ให้คุณชาญรู้นะคะ... ลินจะไม่กลับไปหาคุณนนท์อีก ลินสัญญาค่ะ แต่...” ไพลินรีบพูดสวนขึ้นมาทันที เพราะกลัวคุณหญิงวรมลจะเข้าใจผิด ก่อนที่เธอจะเว้นระยะของคำพูดไว้“ลินอยากรู้แค่ว่า... ตอนนี้คุณนนท์เป็นยังไงบ้างคะ” ไพลินก้มหน้าก้มตาพูดออกมาด้วยความกลัวคุณหญิง“ตานนท์จะเป็นหนักกว่านี้ก็เพราะเธอนั้นแหละ!!” คุณหญิงวรมลพูดออกมาเสียงเรียบ พร้อมกับมองหน้าของไพลินด้วยสีหน้าและท่าทางเคร่งเครียด“คุณแม่คะ...” วนิดารีบพูดขึ้นเพื่อเตือนให้คนเป็นแม่ใจเย็นๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะไม่เป็นไปตามแผนที่เธอวางไว้ แต่คุณหญิงก็ทำหูทวนลมไม่ได้ยินในสิ่งที่เธอพูดเลยแม้แต่น้อย“ลินขอโทษนะคะ” ไพลินพูดออกมาเสียงเบา ด้วยท่าทางที่รู้สึกผิด“ขอโทษเหรอ... ขอโทษแล้ว
หลังจากที่ชาญวิทย์นั่งคุยเรื่องแผนการที่จะทำให้ไพลินกลับมา กับวนิดาและคุณหญิงวรมลอย่างเข้าใจกันในทุกฝ่ายแล้ว ชาญวิทย์จึงขอตัวกลับก่อน ถึงแม้คุณหญิงวรมลกับวนิดาจะยังไม่อยากให้กลับและขอร้องให้เขาอยู่จนไพลินโทรกลับมาก็ตาม ชาญวิทย์จึงจำเป็นต้องโกหกว่าต้องเข้าไปทำงานที่บริษัท คุณหญิงวรมลจึงให้เขากลับก่อน ได้เรื่องยังไงให้รีบโทรมาบอกวนิดากับคุณหญิงวรมลทันที...ชาญวิทย์ขับรถออกจากโรงพยาบาลได้ไม่นานเสียงโทรศัพท์ของชาญวิทย์ก็ดังขึ้น...สายตาคมมองทางข้างหน้าอย่างตั้งใจ มือหนารีบควานหาโทรศัพท์เพื่อจะได้ดูว่าใครที่โทรมา และชาญวิทย์ก็รีบกดรับสายทันทีที่เห็นว่าเป็นไพลินโทรมา“ครับน้องลิน” ชาญวิทย์ไม่รอช้ารีบพูดทักทายขึ้นมาทันที(พี่นนท์เป็นยังไงบ้างคะ?) ไพลินเองก็รีบถามออกมาทันทีด้วยความเป็นห่วงคนรัก“เอ่อ... คือว่า...” ชาญวิทย์พูดออกมาตะกุกตะกัก เพราะยังไม่ได้เตรียมคำพูดที่จะพูดกับไพลิน(คืออะไรคะ... พี่นนท์เป็นอะไร?) ไพลินคิดไปไกลกับท่าทางและคำพูดที่ฟังดูไม่ค่อยสู้ดีนักของชาญวิทย์ จึงรีบถามขึ้นมาทันที“น้องลินว่างมั้ยครับ... ออกมาเจอพี่ที่ร้านกาแฟxxxหน่อยได้มั้ย พี่จะบอกอาการของไอ้นนท์ให้น้องลินฟ
@โรงพยาบาลxxx“คิดอะไรอยู่เหรอยัยดา?” คุณหญิงวรมลเอ่ยถามวนิดาออกมาด้วยความสงสัย เพราะเห็นวนิดาเอาแต่นั่งเหม่อ ไม่สนใจอะไรอยู่สักพักแล้ว“คะคุณแม่...” วนิดาถึงกับสะดุ้งตกใจเมื่อได้ยินเสียงของคุณหญิงวรมลพูดขึ้น แต่ด้วยใจที่เหม่อลอยจึงทำให้เธอไม่ได้ยินในสิ่งที่คุณหญิงวรมลพูดออกมาสักเท่าไหร่ เธอจึงถามออกไปทันทีที่มีสติขึ้นมา“แม่ถามว่าเป็นอะไร... คิดอะไรอยู่ถึงได้นั่งเหม่อขนาดนี้” คุณหญิงวรมลจึงถามออกมาด้วยความสงสัยอีกครั้ง“คือ... ดากำลังคิดอยู่ค่ะว่าจะไปตามหาไพลินที่ไหนได้บ้าง” วนิดาพูดออกมาด้วยท่าทางที่คิดหนัก เพราะเธอไม่รู้ว่าไพลินจะไปอยู่ที่ไหนหรือว่าจะไปอยู่กับใคร นอกจากบ้านของเธอกับคอนโดของวรานนท์แล้วไพลินก็ไม่เคยไปอยู่ที่ไหนกับใครเลยสักครั้ง“จริงด้วยสิ...” คุณหญิงวรมลพูดออกมาเสียงเบา ก่อนที่จะเดินไปหาวรานนท์ที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง“แม่จะทำยังไงดีตานนท์...” คุณหญิงนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ เตียง ก่อนที่จะเอื้อมมือไปจับมือของวรานนท์เอาไว้ด้วยความหนักใจ ไม่รู้ว่าจะไปตามหาไพลินที่ไหน..ก๊อก!! ก๊อก!! ก๊อก!!“สวัสดีครับ...”ทันทีที่เสียงเคาะประตูเงียบลง ก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำของชาญวิทย์ดังขึ้
- วันต่อมา -“เป็นยังไงบ้างยัยดา?”คุณหญิงวรมลเอ่ยถามลูกสาวออกมาเสียงเรียบ ทันทีที่เดินเข้ามายังห้องที่วรานนท์พักฟื้นอยู่“อาการก็ยังเหมือนเดิมค่ะคุณแม่” วนิดาพูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ ไม่อยากให้คุณหญิงวรมลต้องเป็นห่วง“ถ้าตานนท์ตื่นขึ้นมาเร็วๆ ก็คงจะดี...” คุณหญิงวรมลพูดออกมาเสียงเศร้า“คุณแม่คะ... ดามีเรื่องจะคุยกับคุณแม่ค่ะ” วนิดาพูดออกมาด้วยท่าทางที่จริงจัง“เรื่องอะไร?” คุณหญิงวรมลถามออกมาด้วยความสงสัยเมื่อได้เห็นท่าทางของลูกสาว“เรื่อง... ลินค่ะ” วนิดาพูดออกมาเสียงเรียบ“ดา... แม่ว่าเราอย่า...” คุณหญิงวรมลที่กำลังจะห้ามลูกสาวไม่ให้พูดถึงไพลิน แต่คุณหญิงพูดยังไม่ทันจบ วนิดาก็พูดสวนขึ้นมาทันที“คุณแม่ไม่อยากช่วยให้พี่นนท์ฟื้นเหรอคะ” วนิดาพูดออกมาด้วยความอยากรู้คุณหญิงวรมลนิ่งเงียบไม่พูดอะไรออกมา เพราะรู้ดีว่าวนิดากำลังคิดจะทำอะไร“คุณแม่ลองคิดดูดีๆ นะคะ ที่พี่นนท์ต้องเป็นแบบนี้เพราะใคร” วนิดาพูดออกมาพร้อมกับมองหน้าผู้เป็นแม่อย่างรอคำตอบ“ก็เพราะนังลินไง!! ตานนท์ถึงต้องเป็นแบบนี้!!” คุณหญิงวรมลพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจงเกลียดจงชัง“คุณแม่คะ…” วนิดามองหน้าคุณแม่อย่างไม่เข้าใจคุณหญิง