“ดี ๆ เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ ขอบใจพวกเจ้ามากนะที่ไม่ใจร้ายมากนัก” ซุนถงเอ่ยขอบใจเหล่าชาวบ้านทุกคนที่มา“ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน พวกข้าถึงแม้ว่าจะเป็นคนธรรมดาแต่พวกเราไม่ไร้น้ำใจ อีกอย่าง บ้านจางดูจะเสียเปรียบด้วยซ้ำ พวกข้าอยากให้บุตรหลานรู้หนังสือ แต่จะให้ส่งไปเรียนในเมืองคงเป็นไปไม่ได้ พวกเราต้องขอขอบคุณบ้านจางด้วยซ้ำที่ยินดีสอนหนังสือให้ หากบ้านจางต้องการสิ่งใดตอบแทนมากกว่านี้ พวกเราก็ยินดีทำให้”“พวกท่านกล่าวหนักไปแล้ว เอาเป็นว่าพวกเราต่างได้ในสิ่งที่ต้องการ พึ่งพาซึ่งกันและกัน แบบนี้ถึงเรียกว่ารักกันดั่งครอบครัว ใช่หรือไม่” จางอี้เทาแย้มรอยยิ้ม เขาก้มหัวให้กับชาวบ้านทุกคน ซึ่งก็ได้รับการกระทำเช่นเดียวกันกลับมาหลังจากข้อแลกเปลี่ยนประสบความสำเร็จ ชาวบ้านจึงเริ่มเดินจากไป เหลือเพียงจางอี้เทาที่อยู่คุยกับบ้านซุนเรื่องพะโล้แห้งต่อ“ท่านลุงถง ท่านพี่เย่ ได้ชิมพะโล้แห้งสูตรบ้านข้าแล้ว เป็นเช่นใดบ้างขอรับ” เขาเอ่ยถาม“อาเทา ข้าก็นึกว่าเจ้าจะลืมไปแล้ว มันอร่อยมาก ข้าก็ไม่เคยได้กินพะโล้ที่เหลาอาหารในเมืองหรือที่ไหน ๆ ทำมาก่อน ข้าจึงเปรียบเทียบไม่ได้ แต่ในความเห็นข้าคือ มันอร่อยมาก อร่อยกว่าน้ำแก
จางอี้หมิงยกยิ้มตื่นตาตื่นใจ เขามองไปด้านหน้าที่เต็มไปด้วยต้นวัชพืชหลากสีสัน ไม่ว่าจะเป็นสีแดง สีม่วง สีชมพู สีน้ำเงิน สีเขียว สีส้ม สีน้ำตาล พวกมันมีลักษณะเป็นพุ่มเตี้ย สูงไม่ถึงหนึ่งเมตร สลับสูงต่ำลดหลั่นกันไปสุดลูกหูลูกตาจนมองไม่เห็นว่าสิ้นสุดตรงไหน ตามแหล่งทุ่งหญ้านั้นมีน้ำทะเลกว้างราวไม่เกินสองเมตรพาดผ่าน สวยสะดุดตาจนทำให้จางอี้หมิงถึงกับเกือบลืมหายใจ เขาไม่รอช้า วิ่งเข้าไปในดงทุ่งวัชพืชนั่น เด็ดใบที่มีลักษณะอวบน้ำและสีเขียวสดออกมาชิม แต่เมื่อขอบใบแค่สัมผัสปลายลิ้น เด็กน้อยก็ถ่มทิ้งอย่างรวดเร็ว“อี้ เค็มอิ๊บอ๊าย” จางอี้หมิงลืมตัวอุทานออกมาเป็นภาษาโลกเดิมซุนซูลี่กับซุนหมิงเย่เมื่อเห็นจางอี้หมิงวิ่งเข้าไปที่ทุ่งหญ้าสายรุ้งก็แปลกใจ ทั้งสองตัดสินใจวิ่งตามเข้ามาด้วยและพอมาทันก็ได้ยินน้องชายคนใหม่อุทานภาษาประหลาดออกมา“หมิงหมิงน้อย เกิดอะไรขึ้น เหตุใจเจ้าจึงวิ่งเข้าทุ่งหญ้าสายรุ้งเช่นนี้” ซุนซูลี่เอ่ยถาม“ทุ่งหญ้าสายรุ้งหรือขอรับพี่ซูลี่”“ก็ใช่นะสิ หญ้าสายรุ้งสวยใช่ไหมล่ะ มันเป็นหญ้าที่ขึ้นเอง ไม่มีใครปลูก ชาวบ้านเห็นว่ามันสวยดี มีหลายสีคล้ายสายรุ้ง จึงเรียกกันว่าหญ้าสายรุ้ง ชาวบ้านก
จางอี้หมิงเมื่อได้ยินซุนซูลี่ดุตนเองเช่นนั้นจึงตระหนักได้ว่าตนเองวู่วามไปจริง ๆ ติดเผลอตัวเล่นมากเกินไป ด้วยตัวเขาในชีวิตก่อน สมัยตอนเป็นเด็กนั้นไม่ได้มีโอกาสได้เล่นซนแบบนี้ เพราะเติบโตมาจากบ้านเด็กกำพร้า ไหนเลยจะได้มีโอกาสไปเที่ยวทะเล พอมีโอกาสได้กลับมาเป็นเด็กอีกครั้ง เขาจึงได้เผลอตัวไปจริง ๆ “พี่ซูลี่ พี่หมิงเย่ ข้าขอโทษขอรับที่ไม่ฟังคำเตือน ข้าผิดไปแล้ว พี่ ๆ ยกโทษให้ข้าได้หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงหน้าสลด ลดมือที่ถือปูตัวใหญ่ลง น้ำเสียงสำนึกผิดอย่างจริงใจทำให้ซุนซูลี่ถึงกับโกรธไม่ลง ว่าไปแล้วหมิงหมิงน้อยอายุเพียงห้าขวบเท่านั้น จะเล่นซนไปบ้างก็ตามประสาเด็ก แต่คงต้องเตือนให้ระวังไว้จะดีที่สุด“ช่างมันเถอะ ต่อไปหมิงหมิงน้อยต้องสัญญาว่าจะเชื่อฟังพี่สาว ตกลงไหม หาไม่แล้วต่อไปพี่สาวจะไม่พามาเล่นที่นี่อีก”“ข้าสัญญาขอรับ” จางอี้หมิงเงยหน้าขึ้นรับปากด้วยรอยยิ้มกว้างเฮ้อ! ทำหน้าเช่นนี้แล้วพวกข้าจะโกรธลงได้อย่างไรซุนซูลี่และซุนหมิงเย่ได้แต่คิดในใจ ด้วยดวงตาใส รอยยิ้มน่ารัก พวกเขาจะโกรธเคืองเด็กคนนี้ได้อย่างไรเล่า“อาเย่ ไปบอกพี่ชิงชิงให้พี่สาวที พวกเราจะกลับบ้านกัน หมิงหมิงน้อยตัวเปียกทั้
“ท่านพี่ ไม่ได้การแล้วเจ้าค่ะ หมิงเอ๋อร์คงเป็นไข้แน่แล้ว ท่านพี่ไปตามท่านหมอผิงมาดูอาการหมิงเอ๋อร์หน่อยเถอะเจ้าค่ะ ท่านพี่รีบไปตอนนี้เถิด จะได้ทันเวลาค่ำ” เสียงของหลี่อ้ายดังก้องไปทั่วทั้งบ้าน นางกำลังร้อนใจเป็นอย่างมากเมื่อหนึ่งเค่อก่อนตอนที่กำลังเย็บผ้าอยู่ นางได้ยินเสียงบุตรชายครางอืออาจึงรีบเดินมาดู หลังจากที่ใช้หลังมือแตะหน้าผากถึงได้รู้ว่าจางอี้หมิงตัวร้อนราวกับไฟ มารดาเช่นนางรีบจัดการเช็ดตัวให้เจ้าตัวเล็กด้วยความเป็นห่วงเป็นใย แต่ดูเหมือนตอนนี้เด็กชายจะขัดขืนไม่หยุด ถึงแม้ว่าจะกำลังหลับอยู่ก็ตามที“หนาว ข้าหนาว” อี้หมิงครางออกมา “หมิงเอ๋อร์ อดทนอีกนิด บิดาของเจ้าไปตามทานหมอผิงแล้ว” หลี่อ้ายเอ่ยปลอบบุตรชายพลางเอาผ้าชุบน้ำอุ่นบิดพอหมาดเช็ดไปตามใบหน้า ไล่ลงมาตั้งแต่หน้าผากถึงซอกคอและลำตัวของบุตรชาย“เจ็บคอ...” เด็กน้อยไอออกมาเสียงแหบ อี้หมิงหลับตาทว่ายังขมวดคิ้ว คงจะคอแดงไม่น้อยจึงบ่นพึมพำออกมาเช่นนั้น ซึ่งนั้นทำให้หัวใจคนเป็นแม่ยิ่งวิตก “สะใภ้ หมิงเอ๋อร์เป็นเช่นใดบ้าง” นางหูที่นั่งอยู่ข้างนอกได้ยินบทสนทนาจึงเดินเข้ามาดูหลานชาย“คงเป็นไข้เจ้าค่ะ ข้ากำลังเช็ดตัวให้อยู่ ท่านแม่..
“หมิงเอ๋อร์ กลั้นใจกินหน่อยนะ” หลี่อ้ายตักโจ๊กขึ้นมาพอดีคำ นางใช้ปากเป่าโจ๊กจนเย็นลงเล็กน้อย ป้อนโจ๊กหมูที่ต้มจนหอมกรุ่นจ่อไปที่ริมฝีปากของบุตรชายพร้อมส่งยิ้มให้กำลังใจ เกลี้ยกล่อมให้อี้หมิงยอมกินอาหารอีกสักหน่อยจางอี้หมิงอ้าปากรับโจ๊กเข้าไป ตอนนี้ลิ้นของเขาไม่รับรสใด ๆ แล้วนอกจากความขมอย่างเดียว ต่อให้เป็นโจ๊กหมูที่หอมกรุ่นแบบที่มารดาว่า เขาก็ไม่มีความอยากเลยสักนิด“อีกคำนะหมิงเอ๋อร์ แม่ขออีกคำ” หลี่อ้ายเอ่ยปากบอกบุตรชายหลังจากที่จางอี้หมิงกินโจ๊กไปได้แค่สิบคำเท่านั้น เด็กน้อยต้องกินอีกสักหน่อย ไม่เช่นนั้นนางก็กลัวว่าร่างกายจะยิ่งอ่อนแรง แต่นอกจากจะไม่อ้าปากแล้วเด็กชายยังเบือนหน้าหนี “แม่ขออีกคำเถอะนะ หมิงเอ๋อร์...” แต่ทว่าพอนางยิ่งคะยั้นคะยอ ลูกชายก็แบะปากทำท่าจะร้องไห้เสียแล้ว“พอเถอะน้องหญิง หมิงเอ๋อร์กินได้เยอะมากแล้ว อย่าบังคับลูกอีกเลย” เป็นจางอี้เทาที่ทนเห็นบุตรชายทรมานจากการกินข้าวไม่ได้จึงเอ่ยทัดทานภรรยาออกไป“กินข้าวแล้ว หมิงเอ๋อร์ของย่าต้องดื่มยาก่อนนะ จะได้หาย แล้วค่อยนอนพัก” หูไป๋หงยกถ้วยยาต้มสีน้ำตาลเข้มเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ หลานชาย“ท่านย่า มันขม ข้าไม่ชอบ”“ไม่ได้นะ
เด็กน้อยเริ่มกลับมาสดใสหลังจากนอนป่วยอยู่สองวันเต็ม จางอี้หมิงสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ยอมป่วยอีกเด็ดขาด เขาเกลียดการกินยาต้มเป็นที่สุด ถึงแม้ว่าจะมีน้ำตาลผักมาช่วยแล้วก็ตาม มันก็ยังขมจนเคลือบลิ้นอยู่ดี เช้าวันใหม่มาเยือน แสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมากระทบพื้นหญ้า ดวงอาทิตย์ยังไม่ทันพ้นขอบฟ้าในยามเฉิน (07.00 – 08.59) สมาชิกบ้านจางคนอื่น ๆ ต่างก็ตื่นนอนและกินมื้อเช้ากันหมดแล้ว เหลือเพียงเด็กน้อยคนเดียวของบ้านที่ยังคงนอนอุตุอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนาอย่างสบายใจ“ท่านพี่อี้เทาขอรับ ท่านพี่อี้เทา...” เสียงเรียกชื่อจางอี้เทาตรงหน้าประตูบ้านดังติดต่อกันหลายครั้ง ส่งผลให้จางอี้หมิงลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย เขาใช้หลังมือขยี้ตาอยู่สักพักจึงตื่นเต็มตา แต่ก็ยังไม่ได้ลุกขึ้น “ใครมาส่งเสียงดังอยู่หน้าบ้าน” นางหูเอ่ยปากถามออกไป“นั่นสิเจ้าคะ ข้าก็อยากรู้เช่นกัน”หลี่อ้ายเองก็สงสัยไม่แพ้กัน ปกติแล้วบ้านสกุลจางของพวกนางมีคนแวะเวียนมาหาบ่อย ๆ เสียเมื่อไหร่ น่าแปลกใจนัก“เดี๋ยวข้าออกไปดูเอง” จางอี้เทาเอ่ยบอกมารดาและภรรยา เขาเดินออกไปดูที่หน้าประตูบ้าน “ผู้ใดกันที่มาเยือนแต่เช้าเช่นนี้ อ้าว อาคุนนั่นเอง มีอ
ส่วนจางอี้เทา หลังจากที่ได้รับใบสั่งซื้อน้ำตาลผักมาอีกห้าร้อยไห เขาก็บอกภรรยากับมารดาว่าจะขึ้นเขาไปเก็บหญ้าหวานเพื่อนำมาตากแห้งตอนนี้เลย เนื่องจากใกล้เข้าฤดูหนาวแล้ว พระอาทิตย์ตกเร็ว ช่วงเวลากลางวันจึงสั้นตามไปด้วย เขาเกรงว่าอาจจะต้องใช้เวลาในการตากต้นหญ้าหวานมากกว่าหนึ่งวัน“ท่านพี่ ข้าไปด้วยเจ้าค่ะ หมิงเอ๋อร์หายดีแล้ว ข้าไปช่วยจะได้เสร็จเร็วขึ้น” หลี่อ้ายเมื่อนำโจ๊กมาให้บุตรชายแล้วจึงเอ่ยบอกสามี“น้องหญิง เจ้ายังไม่แข็งแรง พี่เกรงว่าจะล้มป่วยไปอีกรอบ” จางอี้เทาปฏิเสธ ถึงแม้ในตอนนี้อากาศจะไม่ร้อนมากแต่ให้หลี่อ้ายออกไปทำงานในช่วงนี้เลยคงจะไม่ดี“ท่านพี่ ให้ข้าตามขึ้นไปช่วยท่านพี่เถอะนะเจ้าคะ อย่างน้อยจะได้ไปเป็นเพื่อน วันนี้ข้าไม่อยากให้หมิงเอ๋อร์ขึ้นเขาอีก ลูกเพิ่งหายไข้ น้องอยากให้ลูกได้พักก่อนเจ้าค่ะ”“พี่ไปคนเดียวได้ ไม่หนักหนาอันใด แต่เอาเถอะ พี่ขอบใจน้องหญิงที่มีใจอยากช่วยเหลือ เช่นนั้นไปกันเถอะ” จางอี้เทาเตรียมห้ามอีกครั้ง แต่เมื่อเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวของภรรยาจึงปฏิเสธไม่ลงเอาเถอะ...ดีเหมือนกัน อย่างน้อยก็มีเพื่อนคุยระหว่างทาง เขาจะให้นางแบกตะกร้าที่ไม่หนักมากนั
“อย่าขอรับ!” จางอี้หมิงรีบตะโกนเสียงดัง “ท่านย่า อย่าเพิ่งทิ้งขอรับ”เสียงของหลานชายที่ดังก้องบ้านทำให้นางหูถึงกับชะงักค้าง ตกอกตกใจหันมามองเด็กน้อยที่ยืนอยู่ไม่ไกล เด็กน้อยหูผึ่งตั้งแต่ได้ยินคำว่าดอกหญ้าสายรุ้งแล้ว นั่นแหละคือสิ่งที่เขาหลงลืมไป ในที่สุดก็จำได้เสียทีหญ้าสายรุ้ง...อุตส่าห์คิดตั้งนาน โธ่เอ้ย“หมิงเอ๋อร์ มารดาเจ้าเห็นว่าเจ้าตั้งใจเอามาให้นาง นางจึงเก็บไว้ แต่ว่าตอนนี้มันแห้งและเหี่ยวหมดแล้ว ย่าเห็นว่าเก็บไว้ไม่มีประโยชน์อันใด” นางหูเอ่ยกับหลานชายอีกครั้ง“ท่านย่า เจ้าดอกหญ้าสายรุ้งนี่แหละขอรับที่ข้ากำลังหาอยู่ ขอบคุณท่านย่าที่ทำให้ข้าจำได้เสียที”“เจ้าหญ้าสายรุ้งนี่เองหรือที่หมิงเอ๋อร์กำลังตามหา แต่ว่าหมิงเอ๋อร์จะเอาไปทำอันใดเล่า ดูสิ ไม่เห็นจะสวยสักนิด” หูไป๋หงกล่าวกับจางอี้หมิงพลางยื่นหญ้าสายรุ้งส่งให้กับหลานชายตัวน้อยของนาง“มันคือของดีขอรับท่านย่า ยิ่งแห้งเช่นนี้ยิ่งดี” เด็กน้อยรับมาถือไว้แล้วพึมพำเสียงเบา “เพียงแต่น่าเสียดายที่ไม่ได้ล้างก่อนทำให้แห้ง”“แล้วมันคือของดีอย่างไรเล่าหมิงเอ๋อร์”“มันคือเกลือผักขอรับ เกลือที่มีรสเค็มแต่ทำมาจากผัก ถึงแม้ว่ารสจะไม่เค็มเหมือ
คุณชายรองจวนเจ้าเมืองไม่นึกสงสัยในคำบอกเล่าของเถ้าแก่หลินอีกแล้ว เมื่อเช้านี้ เถ้าแก่หลินไห่ได้ไปเชิญท่านพ่อและครอบครัวของเขาให้มาในการเปิดตัวอาหารชนิดใหม่ เห็นเถ้าแก่เล่าถึงความฉลาดและเรื่องราวของเด็กน้อยบนตักให้ทุกคนได้รับฟังด้วยความภูมิใจนักหนา เขายังแปลกใจปนสงสัยในความฉลาดเกินเด็กของหลานชายบุญธรรมเถ้าแก่ไม่น้อย แต่หลังจากที่ได้ยินข้อเสนอนี้แล้ว เขาก็ไม่สงสัยอีกต่อไปหวงห่าวหรานหันหน้าไปมองจางอี้เทา แม้จะเป็นชาวบ้านธรรมดา แต่ความคิดความอ่านช่างดีนัก สามารถสอนบุตรชายให้เก่งกาจได้ถึงเพียงนี้ น่าคบหาเอาไว้ไม่น้อยทีเดียว“พี่ชายอี้เทา ท่านช่างสอนหมิงหมิงน้อยได้ดียิ่งนัก เช่นนั้นเจ้าก็ไปหาเถ้าแก่หลินไห่เถอะ บอกว่าเจ้าแก้ไขปัญหาได้แล้ว และข้ายินดีทำตามที่เจ้าต้องการ จะทำเช่นไรนั้นค่อยปรึกษากันทีหลัง ดีหรือไม่” หวงห่าวหรานเอ่ยชมจางอี้เทา ก่อนก้มหน้ายอมรับข้อเสนอของเด็กน้อยบนตักตนเองด้วยรอยยิ้มสมแล้วที่เป็นบุตรชายของท่านเจ้าเมือง เพียงได้ฟังคำบอกจากเขาก็เข้าใจได้ทั้งหมดจางอี้หมิงที่ได้ยินเช่นนั้นจึงยิ้มกว้างตอบ ขยับตัวลงจากตักของคุณชายหวงแล้ววิ่งไปหาท่านปู่หลินทันที“ท่านปู่ขอรับ ท่านมีท
“เมื่อถึงคราวครบกำหนดส่งเครื่องบรรณาการ ทุกเมืองในแคว้นฉินจะต้องหาเครื่องบรรณาการที่ล้ำค่าที่สุดส่งเข้าไปให้กับเมืองหลวงเพื่อคัดเลือกเป็นสิ่งของล้ำค่า ราวกับเป็นตัวแทนแคว้นฉินส่งมอบให้กับแคว้นจ้าว หากเมืองไหนได้รับเลือก เมืองนั้นจะได้รับการยกเว้นภาษีที่จะต้องส่งให้กับเมืองหลวง และยังได้เงินอีกจำนวนหนึ่งเป็นของรางวัลด้วย เมืองไห่ถังมิเคยได้รับเลือกเป็นตัวแทนสักครั้ง ท่านพ่อจึงหวังว่าในครั้งหน้า เมืองไห่ถังจะได้รับเลือก”“ท่านเจ้าเมืองช่างเป็นคนดียิ่ง” จางอี้เทาเปรยออกมาอย่างชื่นชม“แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าจะหาวิธีไหนในการหาสิ่งของที่มีมูลค่า จะประกาศออกไปก็เห็นทีจะทำไม่ได้ เพราะอาจจะเป็นการเปิดเบาะแสให้เมืองอื่นนำความคิดไปใช้ ข้าได้ข่าวลับมาว่าแคว้นจ้าวกำลังหาของขวัญเพื่อมอบให้เป็นของขวัญวันเกิดกับองค์หญิงพระองค์หนึ่งซึ่งหลงใหลในภาพวาดและงานเขียนเป็นอย่างมาก ท่านพ่อจึงคิดจะหาภาพวาดเพื่อมอบให้กับองค์หญิง” หวงห่าวหรานถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ เขาพูดออกมาเสียยืดยาวโดยลืมคิดไปเลยว่าเด็กตัวกระจ้อยแค่นี้จะมาเข้าใจอะไร“หมิงหมิงน้อย ข้าขอโทษเจ้าด้วย เจ้ายังเป็นเด็ก ข้าก็ช่างเลอะเลือน เอาปัญห
“ใช่แล้วขอรับคุณชายหวง อี้หมิง ทำความเคารพคุณชายหวงห่าวหรานเสียสิ คุณชายหวงเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านเจ้าเมือง คุณชายหวงขอรับ เด็กน้อยคนนี้เป็นหลานบุญธรรมของข้า ชื่อว่าจางอี้หมิง และนั่นจางอี้เทา บิดาของเขาขอรับ” หลินไห่เอ่ยแนะนำอี้หมิงให้รู้จักกับชายหนุ่ม“คารวะคุณชายหวง” สองพ่อลูกสกุลจางเอ่ยทักทายตามคำบอกของเถ้าแก่หลิน“ยินดีที่ได้รู้จักเด็กฉลาดเช่นเจ้านะ หมิงหมิงน้อย เห็นทีว่าเถ้าแก่หลินคงไม่สะดวกในวันนี้ เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อนดีหรือไม่” หวงห่าวหรานเอ่ยถามเสียงทุ้ม“ขอบคุณขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยตอบ แต่ในใจกลับคิดไปไกล หล่อโอ้ปป้าเกาหลีแบบนี้นี่เอง คุณหนูใหญ่ของทั้งสองจวนถึงแย่งกันขนาดนี้ แม้แต่การพูดยังคุณช๊ายคุณชาย “คุณชายหวงอย่าได้เป็นกังวล ข้าขอจัดการปัญหาสักครู่ เชิญคุณชายนั่งรอก่อนขอรับ” หลินไห่วางเด็กน้อยลงบนพื้นก่อนที่จะหันไปเชิญหวงห่าวหรานให้นั่งลงก่อน“ซีฮัน เกิดเรื่องอันใดขึ้น” เถ้าแก่หันไปถามคนงานด้วยน้ำเสียงจริงจังซีฮันจึงเริ่มเล่าเรื่องตั้งแต่เขาเปิดรับการจองลำดับอาหารทั้งหลายตามจำนวนที่เถ้าแก่ได้สั่งไว้ แต่ปรากฏว่าสามสหายท่องหล้าอันดับสุดท้ายนั้น เขาไม่รู้จะมอบ
“ขอถามท่านปู่ทั้งสอง พวกท่านสามารถเลื่อนการชิมอาหารไปในครั้งหน้าได้หรือไม่ ข้าจะให้พี่ซีฮันให้ท่านอยู่ลำดับแรก ๆ เลยขอรับ” “เด็กน้อย เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงมาแทรกการสนทนาของผู้ใหญ่” ผู้เฒ่าคนแรกเอ่ยถามขึ้นจางอี้หมิงพิจารณาการแต่งกายของคนตรงหน้าแล้ว คาดว่าคงจะไม่ใช่คหบดีหรือเศรษฐี ถ้าเดาไม่ผิดอาจจะเป็นหัวหน้าพ่อบ้านของจวนไหนสักแห่ง“ตอบท่านปู่ ข้าชื่อจางอี้หมิง เป็นหลานชายบุญธรรมของท่านปู่หลินไห่ เจ้าของเหลาอาหารซิ่งฝูขอรับ” จางอี้หมิงลุกขึ้นยืนตัวตรง ยกมือคารวะไปยังสองผู้เฒ่าพร้อมกับตอบคำถามด้วยน้ำเสียงชัดเจนฉะฉาน“หน้าตาของเจ้าช่างคุ้นนัก มิใช่เด็กน้อยที่ตะโกนขายน้ำตาลผักที่ร้านเถ้าแก่หวังหรอกหรือ”“เป็นข้าเองขอรับ” “ไม่นึกเลยว่าเด็กน้อยคนนั้นจะเป็นถึงหลานชายบุญธรรมของเถ้าแก่หลินไห่ ข้าชื่อหานอี้ เป็นหัวหน้าพ่อบ้านคหบดีหานอี้ฝาน รับคำสั่งจากคุณหนูใหญ่ให้มาทำการจองลำดับในวันนี้ แต่ไม่นึกว่าจะต้องมาเจอกับเจ้าเฒ่าหน้าเหม็นจวนผิงไปเสียได้” หานอี้อธิบาย เขามองไปยังผู้เฒ่าอีกคนด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย“เจ้าเฒ่าหาน อย่ามากล่าวหาข้าลอย ๆ เช่นนี้ นึกว่าข้าจะอยากมาเจอตาเฒ่าเช่นเจ้าหรือไร เพียงแต่
“พี่ซีฮัน ข้ากับท่านพ่อเพิ่งมาถึง เหตุใดข้าจึงเป็นสาเหตุของเรื่องราววุ่นวายได้ล่ะขอรับ”จางอี้หมิงเกาหัวตนเองอย่างสับสนมึนงง เขาไม่เข้าใจว่าตนเองไปเป็นต้นเหตุของเรื่องราวได้เช่นไร เพิ่งก้าวเท้าเข้ามาได้ไม่เท่าไรก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุเสียแล้ว เสียงดังโหวกเหวกพวกนี้มีมาก่อนหน้านี้แล้วมิใช่หรือ“เพราะรายการอาหารใหม่ที่จำกัดจำนวนการขายเป็นความเห็นของเจ้าเช่นไรเล่า ลูกค้าพวกนั้นถึงทะเลาะกันอยู่อย่างนี้” ซีฮันถึงกับเล่าไปด้วยใบหน้าแดงก่ำ เขาต้องยืนอยู่ตรงกลางชายชราทั้งสองคนมานานกว่าสองเค่อแล้วเห็นว่าเป็นชายชราเช่นนั้นหรือ ฮึ! หลอกลวงทั้งเพ ไม่รู้เอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ยื้อยุดฉุดกระชากกันไปมา ไม่เห็นใจคนที่อยู่ตรงกลางเช่นเขาเลยสักนิด“พี่ซีฮันอย่าเพิ่งโมโหไปขอรับ รบกวนพี่ซีฮันไปแจ้งแก่พวกเขาทุกคนว่าให้อยู่ในความสงบ ขอข้าได้รับฟังเรื่องราวสักนิด คงใช้เวลาไม่นานที่จะหาทางออกของปัญหาให้ขอรับ” “ได้ ๆ” เสี่ยวเอ้อร์อันดับหนึ่งของเหลาอาหารซิ่งฝูรีบไปจัดการตามที่เจ้านายตัวน้อยกล่าว เมื่อเขานำความไปแจ้งแก่ลูกค้ากลุ่มนั้น พวกเขาจึงเงียบเสียงลงและเดินไปนั่งรอคอยว่าเหลาอาหารซิ่งฝูจะจัดการปัญหาเช่นไร
“เถ้าแก่เอาน้ำตาลผักกับเกลือผักมาเปรียบเทียบกันไม่ได้ขอรับ เพราะเกลือผัก ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนในการทำ ระยะเวลาในการทำ รวมถึงการดูแลรักษายุ่งยากกว่าน้ำตาลผักมาก แต่ถ้าหากว่าเถ้าแก่คิดว่าแพงเกินไป กลุ่มการค้าหลัวถงก็คงต้องขอนำเกลือผักไปเสนอให้กลุ่มการค้าอื่นแทน ท่านว่าดีหรือไม่ขอรับ”“มะ ไม่ดีหมิงหมิงน้อย ข้าเพียงล้อเล่นเท่านั้นเอง ได้ฟังเจ้าอธิบายมาเช่นนี้แล้ว ข้าพอจะเข้าใจและยอมรับได้ เช่นนั้นก็ตกลงที่ราคาสิบอีแปะเท่าราคาเครื่องเทศนั่นแหละ” ฮึ! ช่างเป็นเด็กที่เจ้าเล่ห์เสียจริง เห็นรูปร่างเป็นเด็กน้อยเช่นนี้ ประมาทไม่ได้เสียแล้ว ในเรื่องการต่อรอง เขาต้องระวังตัวเช่นนี้เชียวหรือ เฮ้อ! หมดกันกับฉายาเถ้าแก่หวังผู้ไม่เคยพ่าย เถ้าแก่ร้านขายของชำถึงกับยกมือขึ้นซับเหงื่อตรงบริเวณหน้าผากทั้งที่ไม่มีเหงื่อออกมาเลยสักหยด“ท่านพ่อ ข้าขอตัวอย่างเกลือผักด้วยขอรับ” จางอี้หมิงขอเกลือผักจากบิดา เด็กน้อยได้คาดการณ์ไว้แล้วว่าเกลือผักต้องขายได้หลังจากที่ได้ยินเถ้าแก่หวังบอกเหตุผลตั้งแต่วันที่มาคุยเรื่องการค้าครั้งใหญ่ อีกอย่าง ในฐานะพ่อค้า เหตุใดจะไม่หาหนทางให้ขายได้ ถ้าเกลือผักนำออกขายไม่ได้ นั่นล่ะที่
เมื่อเช้าวันใหม่มาเยือน สุริยายังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า แต่สมาชิกตระกูลจางต่างก็พากันลุกขึ้นมาจัดการหน้าที่ของตนเองแล้ว แม้แต่เด็กน้อยอย่างจางอี้หมิงก็ตื่นนอนมาเตรียมตัวด้วยเมื่อวานตอนเย็นหลังจากที่ได้พูดคุยตกลงกัน พวกเขาได้ข้อสรุปแล้วว่าจะลงหลักปักฐานเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่หมู่บ้านหลัวถงนี้ดังนั้นแล้ว จางอี้หมิงจึงได้ขอโฉนดที่ดินมาจากท่านย่าเพื่อนำมาวางแผนผังการใช้สอยที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด ที่ดินของตระกูลจางมีทั้งหมดสามสิบหมู่และอยู่ท้ายหมู่บ้าน บ้านที่ชาวบ้านช่วยกันสร้างให้ตอนนี้อยู่ห่างจากลำธารพอสมควร จางอี้หมิงจึงเสนอให้แบ่งที่ดินออกเป็น 5 ส่วน ในเมื่อสกุลจางตกลงที่จะเป็นพ่อค้าคนกลางแล้ว ที่ดินที่จะใช้ในการปลูกพืชผักจึงตัดออกไปเสียมาก เหลือเพียงไว้ใช้ปลูกพืชผักเพื่อกินเองเท่านั้นบริเวณหน้าบ้าน อี้หมิงตั้งใจจะสร้างเป็นสถานศึกษาในอนาคต ที่ดินจึงถูกกันไว้มากหน่อย บ้านที่กำลังจะสร้างในอีกไม่กี่วันนี้เป็นแบบชั่วคราวเพื่อรอให้ชาวบ้านร่ำรวยและสร้างไปพร้อมกัน จึงจัดไว้ตรงกลาง เหลือพื้นที่หลังสุดที่อยู่ใกล้ลำธารสำหรับสร้างบ้านที่สวยงามและมีขนาดใหญ่ในภายหลังเมื่อวาดแบบออกมาอย่างคร่าว ๆ
“ท่านพ่ออย่าได้เป็นกังวลไปเลยขอรับ ต้นหญ้าหวานมีเป็นภูเขา ถึงแม้จะมีใบสั่งซื้อจำนวนมาก ทว่าในการทำหัวเชื้อ เราใช้ต้นหญ้าหวานนิดเดียวเท่านั้น ท่านพ่อลืมแล้วหรือขอรับว่าเราไม่ต้องตากต้นหญ้าหวานแล้ว ในเมื่อเราใช้ใบสดในการทำน้ำตาลผัก ปริมาณที่ใช้จึงลดลงตามไปด้วย อีกอย่างหนึ่งคือใบหญ้าหวานสดหนึ่งจินใช้ทำหัวเชื้อได้ประมาณสิบไหเลยนะขอรับ”“จริงเช่นหมิงเอ๋อร์พูด พ่อช่างเป็นคนขี้ลืม หมิงเอ๋อร์บอกว่าจะปรับสูตรการทำหัวเชื้อเช่นนั้นหรือ ในเมื่อวันนี้ไม่มีวัตถุดิบที่จะทดลองแล้ว เช่นนั้นค่อยทดลองวันอื่นกันเถอะ”“หมิงเอ๋อร์ พรุ่งนี้หลังจากที่เราส่งน้ำตาลผักรอบสุดท้ายและตกลงจ้างงานกับเถ้าแก่หวังเสร็จแล้ว พ่อว่าเราไปหาท่านปู่หลินให้ช่วยเรื่องการสร้างบ้านกันเถอะ เรื่องสร้างบ้านพ่อไม่ถนัด เกรงว่าจะพูดคุยกับช่างไม่รู้เรื่อง แล้วหมิงเอ๋อร์พอรู้เรื่องการสร้างบ้านหรือไม่” จางอี้เทาปรึกษาบุตรชายอีกหนึ่งเรื่อง ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญเร่งด่วนอันดับหนึ่ง“ข้าเป็นเพียงเด็กน้อยห้าขวบ ไหนเลยจะรู้เรื่องการสร้างบ้านเล่าท่านพ่อ แต่ข้ารู้ว่าบ้านหลังนี้ ข้าต้องการสิ่งใดบ้าง ในวันที่คุยกับช่าง ข้าจะอธิบายให้ท่านพ่อและช่า
“หมิงเอ๋อร์ แล้วถ้าเกลือผักสามารถทำออกมาขายได้เล่า เจ้าได้วางแผนไว้เช่นไรบ้าง” หลังจากที่เอ่ยชมกันไปมาแล้ว อี้เทาจึงถามบุตรชายด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ท่านพ่อ เกลือผักข้าจะไม่หวงสูตรขอรับ เพราะเกลือผักใช้เวลาในการทำนานกว่า ขั้นตอนยุ่งยากกว่า แต่ข้าจะขอส่วนแบ่งจากการขายแทนขอรับ อีกหนึ่งเหตุผลคือหากเราคิดค่าสูตรทุกอย่าง ชาวบ้านอาจจะต่อต้านเราเหมือนกับท่านพี่หลวนซาน เราแค่ขอส่วนแบ่งเล็กน้อยเท่านั้นก็พอ”“แต่ท่านพ่ออย่าลืมนะขอรับ ถึงแม้จะเพียงแค่หนึ่งอีแปะ แต่ถ้าปริมาณการขายเป็นหมื่นเป็นแสนห่อ ท่านพ่อคิดว่ามันจะมีรายได้เกิดขึ้นเท่าไรขอรับ”“หมิงเอ๋อร์ เจ้าช่างเหมือนกับท่านปู่ของเจ้ายิ่งนัก” นางหูเอ่ยชมออกมาหลังจากที่ได้ฟังความคิดของหลานชายสามีของนางทั้งเป็นคนดี รักครอบครัวและเก่งกาจในการทำการค้ายิ่งนัก เมื่อเห็นว่าอี้เทาชื่นชอบการเป็นอาจารย์ในสำนักศึกษา ก็ไม่เคยบังคับให้สืบต่อกิจการค้าผ้า น่าเสียดายที่สามีของนางอายุสั้น ไม่ทันได้เห็นความน่ารักและเฉลียวฉลาดของหลานชาย“ข้าเก่งเหมือนท่านพ่อแล้ว ข้ายังเก่งเหมือนท่านปู่ด้วยขอรับ ฮิฮิ” “เจ้าเด็กหลงตัวเอง” นางหูถึงกับส่ายหน้าแต่ก็ยกยิ้มกว้าง นางเพ