หน้าหลัก / แฟนตาซี / บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ / บทที่21 รูปลักษณ์ที่แท้จริง

แชร์

บทที่21 รูปลักษณ์ที่แท้จริง

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-02-26 09:48:10

หนิงอ้ายปลดผ้าคลุมที่ปกปิดออกเผยให้เห็นใบหน้างดงามประหนึ่งนางเซียนในเรื่องเล่า สิ่งที่ปรากฏให้เห็นอยู่ตรงหน้าของทุกคนราวกับว่ามีมนต์สะกดบางอย่างที่ทำให้ทุกสิ่งในรอบตัวหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ความงดงามเช่นนี้เพียงแค่ได้มองก็ทำให้ผู้คนต่างลุ่มหลงไม่อาจละสายตา ความงามของหนิงอ้ายได้ฉายชัดเหมาะสมไปตามช่วงวัยอายุสิบห้าปีที่ว่ากันว่าเป็นช่วงผันผ่านเข้าสู่การเป็นผู้ใหญ่ หากคิดว่าใบหน้ายามเด็กนั้นฉายแววความงดงามน่าเอ็นดููแล้ว เเต่ในตอนนี้ยิ่งปรากฏเค้าโครงความงดงามกว่าเดิมหลายเท่ายิ่ง ใบหน้ายาวเรียวรูปไข่รับกับคิ้วที่เรียงเส้นโก่งดั่งคันศรสีปีกกาส่งเสริมให้ดวงตากลมโตเปล่งประกายสดใส

ผิวกายของหนิงอ้ายกระจ่างใสไร้ซึ่งมลทินใดทั้งสิ้น นอกจากนั้นแล้วกลิ่นอายของร่างบางที่แผ่ออกมาให้ความรู้สึกสูงศักดิ์ไม่ธรรมดาสามัญ ดวงตาเรียวงามสีฟ้าราวกับอัญมณีล้ำค่าที่ดึงดูดสายตาแก่ผู้พบเห็นได้โดยง่าย เมื่อพินิจเลื่อนลงมาก็จะพบริมฝีปากที่บางเรียวเป็นรูปกระจับสีชมพูระเรื่อน่าหลงไหล เส้นผมสีขาวเงินที่ถูกปล่อยยาวสยายไปกลางหลังนั่นยิ่งทำให้สัมผัสได้ว่าเป็นความงามที่ไม่มีจริงในโลกใบนี้

ทางฝั่งของหวังจิ่งหลงกับเหมยฮวาเมื่อหายตกใจกับภาพของเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าพลันรู้สึกภูมิใจไม่น้อยที่ตนมีหลายชายที่หน้าตางดงามเช่นนี้ ขณะเดียวกันที่หวังจิ่งลงกำลังคิดว่าตนควรที่จะไว้หนวดเคราเสียเเต่ตอนนี้จะดีหรือไม่? เพราะหน้าตาของหลานตนงดงามจนเกินไปในอนาคตต้องมีเรื่องการส่งเทียบเชิญสู่ขอเข้ามาวุ่นวายตระกูลหวังอย่างแน่นอน

''ซินเอ๋อร์ เหตุใดหนิงอ้ายจึงมีสีของเส้นผมที่เเปลกตาเช่นนี้ได้เล่า?''

''กล่องสมบัติท่านบรรพบุรุษที่ท่านพ่อมอบให้แก่ข้าเพื่อส่งมอบให้แก่หนิงเอ๋อร์ในวันที่เหมาะสม ภายในนั้นมีโอสถทิพย์ หยกวิชาตระกูลหวังฉบับจริงสองสามเคล็ดวิชา เครื่องรางจี้หยกป้องกันและมีกระดูกวิญญาณของ 'อสรพิษเหมันต์บรรพกาล'ที่หนิงเอ๋อร์ได้ดูดซับประสานเข้ากับร่างกายไป ด้วยเพราะกระดูกวิญญาณชิ้นนี้มีอายุถึงล้านปีจึงทำให้รูปลักษณ์ภายนอกเปลี่ยนไปเช่นนี้เจ้าค่ะ...'' เยว่ซินตอบกลับหวังจิ่งหลงไป

''ไม่คาดคิดว่ากระดูกวิญญาณชิ้นนั้นจะมีอายุล้านปีเยี่ยงนี้ การดูดซับประสานข้ามขั้นเกินระดับพลังวิญญาณนี้หลานรู้สึกผิดปกติตรงที่ใดบ้างหรือไม่?'' หวังจิ่งหลงถามหนิงอ้ายด้วยความเป็นห่วง

''ข้าไม่ได้รู้สึกผิดปกติตรงที่ใดเลยขอรับด้วยเพราะอสรพิษเหมันต์บรรพกาล เป็นถึงสัตว์บรรพกาลชั้นสูงดั่งราชาแห่งพิษทั้งปวง ดังนั้นจึงส่งผลให้ปราณธาตุน้ำของข้าแฝงไปด้วยปราณธาตุพิษเช่นกันขอรับ”

“นอกจากนั้นแล้วกระดูกวิญญาณชิ้นนี้ยังแปรเปลี่ยนเป็นวิญญาณยุทธ์ที่สามให้แก่ข้า และส่งผลให้อายุของกระดูกวิญญาณที่ข้าได้ดูดซับในทุกวิญญาณยุทธิ์จะเพิ่มขึ้นตามขีดจำกัดสูงสุดที่ร่างกายของข้าสามารถรองรับได้ หรือกล่าวได้ว่ากระดูกวิญญาณของทุกชิ้นในร่างกายของข้าล้วนสามารถพัฒนาได้ไม่จบสิ้นคงไม่เกินจริงไปนัก...” เมื่อหนิงอ้ายพูดจบต่างสร้างความตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก

''…''

''…''

''…''

“ช่างยอดเยี่ยมเสียจริง ไม่คิดว่ากระดูกวิญญาณจะสามารถแปรเปลี่ยนเป็นวิญญาณยุทธ์และพัฒนาอายุของกระดูกวิญญาณส่วนอื่นที่ร่างกายได้ดูดซับตามขีดจำกัดสูงสุดที่ระดับพลังวิญญาณสามารถรองรับได้เช่นนี้ สมกับเป็นกระดูกวิญญาณของสัตว์อสูรระดับบรรพกาลอายุล้านปีเสียจริง!!” หวังจิ่งหลงเอ่ยขึ้นด้วยความชื่นชม ไม่คาดคิดว่ากระดูกวิญญาณชิ้นนี้ที่ได้รับการสืบต่อจากรุ่นสู่รุ่นตลอดหลายร้อยปี จะมากไปด้วยความลึกล้ำพิศดารยิ่ง

''หลานบอกว่ากระดูกวิญญาณชิ้นนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นวิญญาณยุทธ์ที่สาม นั่นย่อมหมายความว่าเจ้าเป็นผู้ใช้ราชทินนามผู้ใช้วิญญาณยุทธ์มากกว่าหนึ่ง อย่างไรรบกวนเจ้าแสดงให้ตาเห็นวิญญาณยุทธ์ทั้งสามของหลานได้หรือไม่?''

''ได้ขอรับ...''

“วิญญาณยุทธ์แรกของข้าเป็นปราณสุริยะธาตุอย่างที่ท่านตาทราบ...”

วิญญาณยุทธ์ปักษาสวรรค์เพลิงศักดิ์สิทธิ์ จงสถิตร่าง!!

วูบ!

“วิญญาณยุทธ์ปักษาสวรรค์เพลิงศักดิ์สิทธิ์เป็นเปลวเพลิงแห่งชีวิตและการทำลายล้างที่ปราณธาตุน้ำทั่วไปไม่อาจดับเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ นอกจากนั้นแล้วเพลิงนี้ยังสามารถเพิ่มพูนและดูดกลืนพลังชีวิตได้เช่นกันขอรับ...”

หนิงอ้ายยกมือประสานขึ้นพร้อมกับปล่อยพลังลมปราณระดับจักรพรรดิวิญญาณออกมา หมอกควันสีแดงทองผนึกขึ้นเป็นปีกปักษาเพลิงขนาดใหญ่ตรงด้านหลัง กลิ่นอายความเข้มข้นของชีวิตแผ่ซ่านกำจายอหังการทำให้ห้วงอากาศบริเวณนั้นสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง โลหิตในกายของหวังจิ่งหลงพลันสั่นสะท้านอย่างรุนแรงคล้ายว่ามีสิ่งใดปลุกกระตุ้น กระแสเพลิงศักดิ์สิทธิ์ลึกลับพิศดารนี้ระเบิดแผ่ซ่านปกคลุมไปทั่วทั้งจวนตระกูลหวัง ผู้อาวุโสระดับสูงในตระกูลรวมไปถึงลูกหลานตระกูลหวังที่มีสายเลือดเข้มข้นมากกว่าสามส่วนต่างรู้สึกได้ถึงแรงกระตุ้นนี้ทั้งสิ้น บางคนถึงกับเสียอาการไปเลยทีเดียว

“สำหรับวิญญาณยุทธ์ที่สองของข้าเป็นปราณธาตุน้ำสายโจมตี...”

วิญญาณยุทธ์พัดหยกห้าเซียนวิถีเร้นลับ จงสถิตร่าง!!

วูบ!

สิ้นเสียงของหนิงอ้ายปรากฏเป็นเสาแสงพลังปราณธาตุน้ำบริสุทธิ์ยิ่งยวดที่เข้มข้นหนาแน่นกว่าผู้ฝึกตนปราณธาตุน้ำทั่วไป รัศมีแสงสีน้ำเงินขาวลอยฟุ้งผลึกเป็นมีดเล่มเล็กจำนวนทั้งหมดหกเล่ม ก่อนที่จะสลายกลายเป็นพัดหยกสีน้ำเงินเขียวลวดลายงดงามลอยค้างอยู่เหนือมือของหนิงอ้ายให้ความรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายเป็นคุณชายเจ้าสำราญยิ่ง

“วิญญาณยุทธ์พัดหยกห้าเซียนวิถีเร้นลับของข้าเป็นปราณธาตุน้ำที่มีความเข้มข้นระดับสูงสุดที่แฝงด้วยปราณธาตุลมอันแข็งแกร่ง นอกจากนี้แล้วพัดหยกห้าเซียนวิถีเร้นลับยังสามารถแบ่งออกเป็นมีดบินที่สามารถเพิ่มขึ้นตามพลังวิญญาณของข้าได้สูงสุดถึงเก้าเล่มเลยทีเดียว...”

“และวิญญาณยุทธ์ที่สามของข้า อันเกิดจากกระดูกวิญญาณของอสรพิษเหมันต์บรรพกาล แน่นอนว่าย่อมเป็นวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุพิษขอรับ...”

วิญญาณยุทธ์จักรพรรดิหมื่นพิษปลิดวิญญาณ จงสถิตร่าง!!

วูบ!

รัศมีแสงสีม่วงดำประกายพวยพุ่งเป็นเสาแสงระยิบระยับ กลิ่นคาวเลี่ยนของพิษอันเข้มข้นกระจายไปทั่วทั้งบริเวณ แรงสะกดข่มระเบิดพรวดออกมาอหังการทาบทับจนไม่สามารถขยับตัวได้ คลื่นกระเพื่อมหนาแน่นสะท้านสะเทือนสี่ทิศแปดทางใส่ห้วงอากาศสลายมอดไหม้ ก่อนที่เพียงชั่วครู่หนิงอ้ายจะสลายไปในที่สุด

“วิญญาณยุทธ์จักรพรรดิหมื่นพิษปลิดวิญญาณ เป็นปราณธาตุพิษที่มีความเข้มข้นระดับสูงสุดตามทำเนียบ ร่างกายของข้าสามารถต้านทานพิษในทุกรูปแบบทุกชนิด อีกทั้งโลหิตของข้าหากกล่าวว่าเป็นโอสถทิพย์ที่สามารถแก้พิษได้ทั้งปวงคงไม่เกินจริงไปนักเช่นกันขอรับ...”

แปะ! แปะ! แปะ!

''ยอดเยี่ยมยิ่งหลานของตา!!'' หวังจิ่งหลงเอ่ยขึ้นพร้อมกับปรบมือชื่นชม ไม่คาดคิดว่าหลานชายของเขาคนนี้จะครอบครองถึงสามวิญญาณยุทธ์ที่หลากหลายและโดดเด่นเช่นนี้

วิญญาณยุทธ์ทั้งสามปราณธาตุของหนิงอ้ายกล่าวได้ว่ามะรรมดาสามัญอย่างแท้จริง ในอดีตท่านบรรพชนตระกูลหวังก็เป็นผู้ฝึกตนที่มีวิญญาณยุทธ์มากกว่าหนึ่งเช่นกัน การที่หนิงอ้ายสามารถปลุกพลังวิญญาณยุทธ์ปราณสุริยะธาตุได้นั้นย่อมหมายความว่าอีกฝ่ายมีความเข้มข้นของสายเลือดต้นกำเนิดตระกูลหวัง หากคาดเดาไม่ผิดคงมากกว่าสักสี่สักห้าส่วนเป็นอย่างน้อย แรงกระตุ้นจากสายโลหิตเมื่อครู่ เป้นดั่งสัญญาณให้รู้ได้ว่าในสักวันหนึ่งตระกูลหวังย่อมสามารถหวนคืนสู่มาตุภูมิต้นตระกูลดั้งเดิมได้อย่างแน่นอน...

การเพิ่มรายชื่อของหนิงอ้ายกับลู่ซีเข้าเเผนผังตระกูลหวังสายหลัก ด้วยระยะเวลากระชั้นชิดเช่นนี้คงไม่อาจเตรียมงานได้โดยง่าย ด้วยเพราะพิธีดังกล่าวเป็นพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมากและต้องใช้เวลาจัดเตรียมพิธีการนี้อยู่ไม่น้อย หวังจิ่งหลงในฐานะของประมุขตระกูลหวังสายหลัก จึงตัดสินใจว่าหลังจบงานประลองระหว่างแคว้นสิ้นสุดลงแล้วค่อยกำหนดพิธีการนี้อีกครั้งเป็นวาระสำคัญของตระกูล

หวังจิ่งหลง หรือประมุขตระกูลหวังแห่งแคว้นเต่าดำนับได้ว่าเป็นผู้ฝึกตนราชทินนามราชันวิญญาณสายโจมตีระดับที่ 59 ฐานะตำแหน่งความสามารถที่ไม่ธรรมดาประจักษ์แก่แวดวงของผู้ฝึกตนทั่วทั้งมหาทวีป และได้รับการยอมรับว่าหวังจิ่งหลงเป็นหนึ่งในยี่สิบผู้นำตระกูลใหญ่ที่มีอิทธิพลอยู่ในมือน่าหวั่นเกรงไม่แพ้ผู้ใด ด้วยระดับพลังวิญญาณราชันวิญญาณขั้นสูงที่อีกเพียงไม่นานย่อมทะละถึงเขตขั้นเทพยุทธ์วิญญาณเขตขั้นที่มีเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้นที่ก้าวถึง

ที่ว่ากันว่ามีน้อยผู้ฝึกตนนักที่ถึงระดับดังกล่าวเพราะต้องใช้เวลาการฝึกตนดูดซับลมปราณฟ้าดินหลายร้อยปี อีกทั้งต้องใช้ทรัพยากรระดับสูงอีกเป็นจำนวนจำนวนมหาศาล ด้วยเหตุนี้ผู้ฝึกตนที่เพียบพร้อมไปด้วยพลังลมปราณระดับเทพยุทธ์วิญญาณนี้จึงมักจะละทิ้งทางโลกไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องราวในยุทธภพ โดยสนใจเพียงมุ่งฝึกตนบำเพ็ญเพียรโดยว่ากันว่าเป็นหนทางไปสู่พลังวิญญาณระดับเทพสวรรค์วิญญาณ ตัวตนที่ไม่ปรากฏอยู่ในการรับรู้ของมหาทวีปนี้นับร้อยนับพันปีที่ผ่านมา…

''ที่ผ่านมาหลานทั้งสองได้ศึกษาบทเวทย์ใดกันบ้างรึ?''

''ข้าศึกษาบทเวทย์ที่เน้นการป้องกันและการโจมตีไว้เป็นเวทย์ประจำตัวสองถึงสามบทเวทย์ แม้จะปลุกพลังวิญญาณมาหลายปีเเต่ข้าพึ่งได้ศึกษาจริงจังในช่วงปีที่ผ่านมานี้เองขอรับ...'' ลู่ซีเอ่ยตอบไปเป็นคนเเรก

''สำหรับข้าหลังจากศึกษาเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาและเคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้เเล้ว ข้าได้ศึกษาบทเวทย์ป้องกันและบทเวทย์โจมตีจนมีเวทย์ประจำตัวอยู่บ้างสองสามบทเวทย์เช่นกันขอรับ...''

''ไม่เลว ไม่เลวเลยทีเดียว อย่างไรให้ตาช่วยสอนพวกเจ้าดีหรือไม่? เพราะตายังมีอีกหลายบทเวทย์ระดับสูงที่อาจเป็นประโยชน์แก่พวกเจ้าทั้งสองคนได้...'' หวังจิ่งหลงเอ่ยขึ้น

''พวกข้าเกรงใจท่านตาขอรับ...'' หนิงอ้ายกับลู่ซีเอ่ยขึ้นพร้อมกัน

''หลานทั้งสองต่างขึ้นชื่อว่าเป็นคนตระกูลหวัง อีกทั้งยังเป็นหลานของตากับยายเช่นนี้แล้ว ยิ่งสมควรที่พวกเจ้าต้องเรียนรู้กับท่านตาของพวกเจ้า สิ่งเหล่านี้ย่อมหล่อหลอมเพิ่มพูนความสามารถให้เพิ่มากขึ้นยิ่งนัก เข้าใจหรือไม่?'' เหมยฮวาเอ่ยเสริมขึ้น

''แต่ว่า...''

''มารดาว่าพวกเจ้าทั้งสองไม่ควรปฏิเสธในเรื่องนี้ ท่านตาของพวกเจ้าเก่งกาจในเรื่องบทเวทย์และมากไปด้วยฝีมืออย่างแท้จริง หากพวกเจ้าได้เรียนรู้โดยตรงนอกเหนือจากในตำราเพียงอย่างเดียวแล้ว ย่อมเข้าถึงหัวใจหลักในยามบัญชาการเช่นกัน...''

เยว่ซินที่พอคาดเดาได้ถึงความลำบากใจของลู่ซี นางจึงเอ่ยเสริมไปว่า ''เจ้าถือว่าเป็นคนสกุลหวังแล้ว จงอย่าได้มีความเกรงใจและด้อยค่าตนเองอีกเลย เจ้ามีสิทธิ์ศึกษาเรียนรู้เคล็ดวิชาของตระกูลหวังของเราทั้งสิ้น เข้าใจหรือไม่?'' เยว่ซินเอ่ยแจ้งอีกครั้ง

''ขอรับฮู...เอ่อ ท่านแม่'' ลู่ซีพยักหน้ายอมรับในที่สุด

''เช่นนั้นพวกข้าทั้งสองต้องรบกวนท่านตาหลังจากนี้อีกมากขอรับ...''

''ฮ่าฮ่าฮ่า ตาของเจ้าผู้นี้ล้วนเต็มใจเป็นอย่างมาก เอาหล่ะ! อีกไม่กี่วันข้างหน้าจะถึงงานประลองระหว่างแคว้นแล้ว ซึ่งในปีนี้สถานที่จัดงานได้เวียนมาสู่แคว้นเต่าดำของพวกเรารับเป็นเจ้าภาพอีกครั้ง และกว่าจะถึงวันประลองตาคาดการณ์ว่าเจ้าทั้งสองคงได้ฝึกฝนไปไม่น้อยเป็นแน่...'' หวังจิ่งหลงหัวเราะออกมาด้วยความสุขใจ

หนิงอ้ายเฝ้ารอที่จะถึงวันรุ่งขึ้นเพื่อที่จะได้ศึกษาบทเวทย์ระดับสูงโดยตรงกับหวังจิ่งหลงหรือท่านตาของเขา สิ่งนี้หนิงอ้ายมองว่าเป็นเรื่องราวที่ดีมาก เพราะในก่อนหน้าเขาได้มีการศึกษาบทเวทย์ต่าง ๆ ด้วยตนเองถึงจะโชคดีที่สามารถเรียนรู้จดจำบทเวทย์ต่าง ๆ ได้อย่างไม่ง่ายนักก็จริง เเต่ว่าหากมีผู้เชี่ยวชาญสั่งสอนบอกเคล็ดลับเล็กน้อยแล้ว ย่อมทำให้ทุกอย่างนั้นง่ายดายกว่าเดิมหลายเท่า เพราะแม้ว่าบทเวทย์ที่ศึกษาจะเป็นบทเดียวกันก็จริง ทว่าผลลัพธ์ของบทเวทย์ย่อมแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับประสบการ์ณ ระดับพลังวิญญาณรวมไปถึงวิธีการร่ายบทเวทย์ที่เฉพาะจึงจะสามารถดึงเอาศักยภาพสูงสุดของบทเวทย์ดังกล่าวได้

หลังจากพูดคุยกันในเรื่องราวต่าง ๆ ไปจนถึงยามโหย่วแล้ว ลู่ซีกับหนิงอ้ายต่างถูกบ่าวรับใช้ของจวนตระกุลหวังพาไปพักยังเรือนพักรับรองที่อยู่ทางเรือนปีกซ้ายมือของเรือนหลัก ต้องบอกว่าแม้ฐานะของลู่ซีจะเปลี่ยนเป็นบุตรบุญธรรมของเยว่ซิน หรือเด็กหนุ่มมีศักดิ์เป็นพี่ชายของหนิงอ้ายก็จริงเเต่ตัวคนนั้นไม่เคยลืมตัวตนว่ามาจากที่ใด เพราะอย่างไรแล้วลู่ซียังคงรับดูแลจัดเตรียมสิ่งของเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้แก่หนิงอ้ายเสมอด้วยเพราะคุ้นเคยกันตั้งแต่อายุยังน้อย สำหรับงานหนักส่วนอื่นอีกฝ่ายก็จะสั่งการให้บ่าวรับใช้เข้ามาจัดเตรียมทำให้หนิงอ้ายตามปกติเช่นเดิม

''ลูเกอ ข้าอยากให้ถึงวันรุ่งขึ้นเร็ว ๆ แล้วขอรับ'' หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น

''เกอก็ตื่นเต้นเหมือนกัน ท่านตาหวังจิ่งหลงได้ขึ้นเป็นประมุขตระกูลหวังตั้งเเต่อายุยังน้อย เเต่ด้วยเพราะมากไปด้วยสามารถจึงจัดการทุกสิ่งอย่างได้สมบูรณ์ อีกทั้งยังใช้เวลาพิสูจน์ตนว่าเหมาะสมกับตำแหน่งประมุขตระกูลหวังในเวลาไม่ถึงห้าเพียงเท่านั้น...'' ลู่ซีเอ่ยตอบไปด้วยน้ำเสียงที่ทั้งเคารพนับถือ

''นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ตระกูลหวังยังคงยืนหยัดเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำมาอย่างยาวนานสืบทอดกันรุ่นสู่รุ่น...''

''สำหรับท่านยายเหมยฮวาแล้ว แม้ท่านจะไม่ได้มาจากตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงของแคว้น ภูมิหลังท่านเกิดจากครอบครัวขุนนางน้ำดีสกุลหนึ่งที่เคยถูกโจรป่าปล้นฆ่าสังหาร เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้บิดามารดาและน้องชายเพียงคนเดียวของท่านยายได้ตายตกไปสิ้นเหลือเพียงคนเดียวในตระกูลซ่ง..."

"ครั้นเมื่อท่านยายได้ตกลงปลงใจตบแต่งกับท่านตาเข้าตระกูลหวังสายหลัก ผู้อาวุโสของตระกูลหวังต่างคัดค้านเป็นอย่างมากด้วยเพราะท่านยายไม่ได้มีตระกูลใหญ่คอยหนุนหลังอีกทั้งเป็นตระกูลรองเสียด้วยซ้ำ เเต่สุดท้ายท่านตาและท่านยายต่างคอยจับมือกันฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ จนมีวันนี้ได้...'' ลู่ซีนั้นเอ่ยให้หนิงอ้ายได้ฟังด้วยความภาคภูมิใจ

หนิงอ้ายกับลู่ซียังคงพูดคุยกันอีกเล็กน้อย ก่อนที่ลู่ซีจะบอกกับเด็กหนุ่มว่าสมควรแก่การพักผ่อนเสียที เพราะวันนี้พวกเขาต่างใช้เวลาเดินทางมาเกือบทั้งวัน โดยเฉพาะกับหนิงอ้ายที่มีการต่อสู้กับนักฆ่าก่อนหน้า หนิงอ้ายที่รับรู้ถึงความหวังดีของอีกฝ่ายจึงรับคำอย่างแข็งขัน ก่อนที่ลู่ซีจะแยกตัวกลับเรือนพักอีกหลังที่อยู่ไม่ห่างไปนักด้านข้างกัน

นี่ถือว่าเป็นครั้งเเรกของหนิงอ้ายกับการเดินทางมายังตระกูลหวังที่แคว้นเต่าดำอันเป็นครอบครัวทางฝั่งมารดา แม้จะเกิดความรู้สึกไม่คุ้นชินเล็กน้อย ทว่าในใจกลับสัมผัสได้ถึงความสงบปลอดภัยราวกลับว่าอยู่ในอ้อมกอดที่เเข็งแกร่งอบอุ่น อย่างไรก็ตามหนิงอ้ายยังคงใช้วิหคสอดแนมเพื่อสังเกตการณ์โดยรอบพื้นที่ของจวนตระกูลหวังเพื่อป้องกันสิ่งที่ไม่คาดคิดที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เรียกได้ว่าเป็นการตอบสนองตามสัญชาติญาณอาชีพนักฆ่าของตนในโลกเดิมเสียมากกว่า

การเดินทางจากแคว้นหงส์เเดงมายังแคว้นเต่าดำ แม้ว่าเส้นทางสามารถกล่าวได้ว่าไม่ลำบากสักเท่าไหร่นัก เเต่ก็ทำให้เขาที่ไม่เคยนั่งรถม้ามาก่อนพลันรู้สึกเมื่อยล้าทั้งตัวอยู่บ้าง อีกทั้งระหว่างทางได้มีกลุ่มนักฆ่ารับจ้างโดยหวังเอาชีวิตของเขาและทุกคนที่ร่วมเดินทางในครั้งนี้ แม้จะไม่เกิดการต่อสู้ด้วยความรุนแรงด้วยเพราะหนิงอ้ายเลือกทดสอบทักษะวิญญาณจากปราณธาตุพิษของตนที่พึ่งถูกกระตุ้นตื่นขึ้น เเต่เพราะยังไม่คุ้นชินจึงทำเอาเขาเสียพลังปราณไปไม่น้อย ยังดีที่หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นขณะที่นั่งรถม้าเดินทางมุ่งตรงมายังแคว้นเต่าดำ เขาได้ทำการดูดซับพลังปราณฟ้าดินเข้าไปทดแทนจึงพอช่วยบรรเทาอาการดังกล่าวนี้ได้เป็นอย่างมากเลยทีเดียว...

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม ปฐมบท 3.2- ) บทที่ 174 ความวุ่นวายที่สิ้นสุดลง

    ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 173 สมบัติเทพมารจุติ

    ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 172 การปรากฎตัวของผู้ขายวิญญาณ

    คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 171 ผู้ท้าทายที่กล้าหาญ

    การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 170 กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

    หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 169 ผู้ผ่านการทดสอบ

    ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status