หนิงอ้ายกับลู่ซีและเหล่าองค์รักษ์ทั้งสี่คนนั้นต่างทะยานตัวออกจากขบวนรถม้าพร้อมกับพุ่งเข้าหากลุ่มของอสูรวานรพันตะนิลกาฬในทันที ในครานี้หนิงอ้ายไม่ได้ทำการร่ายบทเวทย์เขตแดนของตนออกไปเนื่องจากว่าเขานั้นเฝ้ารอบางอย่างอยู่นั่นเองและเฝ้ารอให้อีกฝ่ายนั้นตกหลุมพลางที่ตนได้วางเอาไว้
เสียงย่ำเท้าของสัตว์อสูรขนาดใหญ่ดังขึ้นทำเอาพวกเขาทุกคนต่างรู้สึกตกใจอยู่ในไม่น้อย แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะสังหารสัตว์อสูรบริวารเหล่านี้ทั้งหมด ทว่าจิตสังหารที่สัมผัสได้คงเป็นสัตว์อสูรระดับสูงที่มีอายุหลายพันปีหากเป็นเช่นนั้นคงไม่ดีเป็นแน่
สิ่งที่พวกเขากังวลได้ปรากฏขึ้นอยู่ตรงหน้า ปรากฏเป็นอสูรวานรพันตะนิลกาฬตัวหนึ่งที่มีอายุไม่เกินสี่พันปี นับได้ว่าเป็นสัตว์อสูรนภาขั้นสูง กลิ่นอายอหังการล้ำลึกเช่นนี้คาดว่าคงเป็นอสูรราชันย์วานรพันตะนิลกาฬนายเป้นแน่ สัตว์อสูรตรงหน้ามีความสูงใหญ่ถึงห้าเมตรที่เต็มไปด้วยจิตสังหารฆ่าฟัน แม้น่าหวั่นเกรงเพียงใดคงมีเพียงหนิงอ้ายเท่านั้นที่ยังคงรักษารอยยิ้มบนใบหน้าของตนเอาไว้ได้
"เจ้ามนุษย์ชั้นต่ำ!!! กล้าสังหารลูกน้องของข้านายแห่งเผ่าพันธ์อสูรวานรพันตะนิลกาฬเช่นนั้นรึ?? " สิ้นเสียงดังกึกก้อง พวกเขาทั้งห้าคนต่างตกตะลึงยิ่ง สัตว์อสูรที่พูดได้ย่อมมีความเป็นมาไม่ธรรมดาสามัญ เพราะหากไม่เป็นสัตว์อสูรระดับสูงจนสามารถปลุกสติปัญญาได้ อีกฝ่ายอาจเป็นสัตว์อสูรที่มีความพิเศษของสายเลือดก็เป็นไปได้เช่นเดียวกัน
ปราการวารีอหังการ!
พรึบ!
พื้นที่โดยรอบของอสูรราชันย์วานรพันตะนิลกาฬปรากฎเป็นม่านปราการวารีสีฟ้าขาวที่มีเเข็งแกร่งเป็นอย่างมาก กลิ่นอายความเย็นบริสุทธิ์สุดขั้วพวยพุ่งออกมากดดันอย่างเต็มที่ตามบัญชาการของหนิงอ้ายผู้ร่ายบทเวทย์เขตแดนนี้ แน่นอนว่าเขาไม่ลืมแฝงปราณธาตุพิษต้นกำเนิดเพื่อลดทอนขุมพลังของอีกฝ่ายให้ได้มากที่สุด เพราะพิษไร้ลักษณ์นี้สามารถแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายโดยที่ไม่อาจสังเกตได้
แม้ว่าอสูรราชันย์วานรพันตะนิลกาฬจะเป็นสัตว์อสูรระดับนภาขั้นสูง เทียบเท่าได้กับราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณในผู้ฝึกตนก็ตาม แต่ด้วยเพราะบทเวทย์นี้ของหนิงอ้ายอันเป็นเวทย์ระดับเทวะที่ผสานเข้ากดับอักขระเวทย์โบราณและปราณธาตุพิษอันเข้มข้น ดังนั้นแล้วหากว่าพลังลมปราณไม่เทียบเท่าหรือมากกว่าผู้บัญชาการเช่นหนิงอ้ายแล้ว คงยากที่จะฝ่าทะลุออกมาได้โดยง่าย
เนตรแห่งสวรรค์ส่งข้อมูลให้หนิงอ้ายรับรู้ว่าอสูรราชันย์วานรพันตะนิลกาฬนี้มีสายเลือดบรรพกาลไหลเวียนอยู่แม้จะอ่อนจางไปบ้างตามความเสื่อมถอยของเผ่าพันธ์แล้วก็ตาม กระดูกวิญญาณอายุสี่พันปีชิ้นนี้สามารถให้ลู่ซีทำการประสานดูดซับเข้ากับร่างกายได้อย่างพอดี ด้วยรากฐานบ่มเพาะปราณธาตุลมเช่นเดียวกันย่อมส่งเสริมทักษะวิญญาณและระดับปราณธาตุลมต้นกำเนิดของลู่ซีให้เหนือชั้นได้อย่างไม่ยากนัก
"ข้าจะทำให้เจ้าเจ็บปวดน้อยที่สุด ถือเสียว่าเป็นการขอบคุณสำหรับข้าแล้วกัน" หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นท่ามกลางความไม่เข้าใจของทั้งห้าคนที่เหลือที่ไม่รู้ว่าหนิงอ้ายนั้นกำลังจะทำสิ่งใด
มหาบุปผชาติเหมันต์จำแลงลักษณ์!!
ตู้ม!
สิ้นเสียงของหนิงอ้ายตรงด้านหน้าของเด็กหนุ่มปรากฏเป็นบุปผาเหมันต์ดอกใหญ่ที่ผนึกขึ้นจากปราณธาตุน้ำอันบริสุทธิ์ ก่อนพุ่งเข้าตัดส่วนหัวของอสูรราชันย์วานรพันตะนิลกาฬที่ถูกกักขังในม่านปราการวารีอย่างแม่นยำ ร่างกายอันใหญ่โตเมื่อไร้การควบคุมแล้วจึงทรุดลงพื้นส่งเสียงดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณ เมื่อม่านปราการสลายหายไป เหนือร่างไร้วิญญาณของสัตว์อสูรได้ปรากฏเป็นกระดูกวิญญาณรัศมีแสงสีเหลืองก่อนที่จะลอยเข้ามาในมือของหนิงอ้ายพร้อมกันนั้นเด็กหนุ่มได้หันไปทางตัวคนที่ตนนับถือไม่ต่างไปจากพี่ชายร่วมสายเลือด
"กระดูกวิญญาณอายุสี่พันปีพร้อมให้ลู่เกอประสานเข้ากับร่างกายแล้วขอรับ..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับหันหน้าไปทางฝั่งของลู่ซี
"เจ้าเก็บกระดูกวิญญาณชิ้นนี้ไว้เองเถอะมันล้ำค่าเกินไปกว่าที่เกอจะรับไว้ได้..." ลู่ซีปฏิเสธหนิงอ้ายไปทันที แม้ว่าเขาจะเข้าใจได้ว่าเพราะเหตุใดหนิงอ้ายจึงต้องการให้เขาทำการประสานร่างกายเข้ากับกระดูกวิญญาณชิ้นนี้
กระดูกวิญญาณของอสูรราชันย์วานรพันตะนิลกาฬมีสังกัดปราณธาตุลมที่มีความบริสุทธิ์หายาก อีกทั้งกระดูกวิญญาณของอสูรราชันย์วานรพันตะนิลกาฬนั้นมีอายุถึงสี่พันปีและเป็นอีกหนึ่งเผ่าพันธ์ของสัตว์อสูรที่มีสายเลือดบรรพกาลไหลเวียนอยู่ หากเขาทำการประสานเข้ากับร่างกายไปแล้วจะส่งผลให้ปราณธาตุลมต้นกำเนิดในตัวของเขาพัฒนาเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม
ด้วยเหตุนี้หนิงอ้ายจึงต้องการให้ลู่ซีนั้นทำการประสานกระดูกวิญญาณของอสูรราชันย์วานรพันตะนิลกาฬเข้ากับร่างกายโดยเร็วที่สุด เพราะกระดูกวิญญาณนี้จะเสริมปราณธาตุลมต้นกำเนิดในร่างกายให้มีความบริสุทธิ์ ลู่ซียังสามารถใช้ทักษะการโจมตีที่แฝงไปด้วยเจตจำนงค์แห่งธาตุลม รวมไปถึงทักษะการหลบหลีกที่มีความว่องไวเหนือประสาทสัมผัสการรับรู้ดังเช่นที่อสูรวานรพันตะนิลกาฬนั้นทำได้
นับว่าทักษะเหล่านี้สามารถนำมาพลิกแพลงให้เกิดประโยชน์ได้มากมายหลากหลายด้าน แต่อย่างไรก็ตามที่ลู่ซีได้เอ่ยปฏิเสธตอบกลับหนิงอ้ายไปนั้นด้วยเพราะเขาคิดว่ากระดูกวิญญาณชิ้นนี้ล้ำค่าเกินไปที่เขานั้นจะครอบครองได้อีกทั้งในการโจมตีครั้งสุดท้ายนั้นเขาเองไม่ได้ลงแรงอะไรไปมากเมื่อเทียบกับหนิงอ้ายที่เป็นผู้วางแผนการทั้งหมดและสามารถสังหารสัตว์อสูรนี้ได้สำเร็จ
"ลู่เกออย่าปฏิเสธเลยขอรับ ข้าตั้งใจพาทุกคนมาที่นี่เพื่อสังหารอสูรราชันย์วานรพันตะนิลกาฬเพื่อช่วงชิงกระดูกวิญญาณของมันเพราะข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของกระดูกวิญญาณอยู่ไม่ไกลจากพวกเรามากนัก แต่ข้าเองก็ไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนด้วยเพราะเนตรสวรรค์ที่ข้าใช้นั้นยังถูกจำกัดด้วยพลังวิญญาณระดับจักรพรรดิวิญญาณ ข้าจึงต้องอาศัยญาณสัมผัสที่มีแล้วเลือกนำพาทุกคนเดินทางมายังที่แห่งนี้ทำให้ทุกคนต้องแบกรับความเสี่ยงไปด้วยกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้าต้องขออภัยทุกคนด้วยอีกครั้งนะขอรับ..." หนิงอ้ายเอ่ยจบลงพร้อมกับโค้งตัวลงเล็กน้อยให้กับลู่ซีและเหล่าองค์รักษ์ทั้งสี่คนด้วยความรู้สึกผิดจากใจจริง
แม้ว่าในกลุ่มของพวกเขานั้นจะมีผู้ฝึกตนระดับสูงและถึงแม้ว่าทุกคนในที่นี้จะมากไปด้วยฝีมือและประสบการณ์ก็จริงแต่ถึงอย่างไรนั้นการต้องปะทะกับสัตว์อสูรระดับนภาขั้นสูงย่างก้าวระดับมายานั้นนับว่าเหนือความคาดหมายของเขาไปมากเลยทีเดียว
"ข้าต้องการให้ลู่เกอรับกระดูกวิญญาณนี้ด้วยเหตุผลสำคัญคือเกอยังไม่ได้ประสานกระดูกวิญญาณเข้ากับร่างกายเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น หลังจากนี้พวกเราต้องเข้าทดสอบของสำนักศึกษาไม่รู้ว่าจะต้องพบสิ่งอันตรายร้ายแรงจนถึงชีวิตหรือไม่... "
"ดังนั้นข้าคิดว่าช่วงเวลาไม่กี่วันที่เหลือก่อนเข้าร่วมการทดสอบเกอควรใช้โอสถที่ท่านตามอบให้เพื่อเลื่อนขั้นเป็นระดับจักรพรรดิให้สำเร็จจากนั้นค่อยทำการประสานร่างกายเข้ากับกระดูกวิญญาณนี้ เพราะกระดูกวิญญาณของอสูรราชันย์วานรพันตะนิลกาฬนั้นครบถ้วนไปด้วยช่วงอายุที่เหมาะสมกับระดับพลังวิญญาณและพลังปราณธาตุลมของเกอนะขอรับ..." หนิงอ้ายพยามยามเกลี้ยกล่อมให้ลู่ซีนั้นรับกระดูกวิญญาณชิ้นนี้ไปเสีย
"เช่นนั้นก็ขอบใจเจ้ามาก..."
"ขอบคุณพวกท่านด้วยนะขอรับ ในวันหน้าหากว่ามีสิ่งใดที่ข้าลู่ซีผู้นี้สามารถตอบแทนได้และขอเพียงสิ่งที่ท่านต้องการนั้นไม่ไร้ซึ่งศีลธรรมตัวข้าย่อมยินดีตอบแทนอย่างแน่นอน..." ลู่ซีเอ่ยขอบคุณองครักษ์ทั้งสี่คนพร้อมกับโค้งคำนับให้กับอีกฝ่ายไปเล็กน้อยตามมารยาทวิถี
"อีกหนึ่งเค่อพวกเราควรที่จะออกเดินทางกันได้แล้วเพราะกว่าจะถึงเมืองหมอกทมิฬตะวันคงสิ้นแสงพอดี..." หนิงอ้ายไม่รอช้าจัดการเก็บร่างไร้วิญญาณของราชันย์อสูรวานรพันตะนิลกาฬไว้ในแหวนมิติที่ท่านตาหวังจิ่งหลงมอบให้ ร่างไร้วิญาณนี้ย่อมไม่ต่างจากอาหารอันโอชะที่ส่งผลดีกับเจียว
"เผ่าพันธ์อสูรวานรพันตะนิลกาฬพวกนี้สังกัดปราณธาตุลมดังนั้นจึงมีการโจมตีที่ว่องไวเป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าระดับพลังวิญญาณของพวกมันส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากแต่ด้วยจำนวนเท่านี้ถือว่าเป็นอันตรายได้เช่นกันหากไม่ระวังตัว..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นอีกครั้งคล้ายที่จะย้ำให้กับตนเองเสียเป็นส่วนใหญ่
ครั้งนี้ถือว่าเป็นโชคดีที่พวกเขาต้องรับมือกับสัตว์อสูรในจำนวนที่ไม่มากและอสูรราชันย์วานร พันตะนิลกาฬนั้นแม้จะอยู่ในระดับนภาขั้นสูงย่างก้าวระดับมายาแต่เพราะประมาทให้กับเขาจึงทำให้อีกฝ่ายต้องตายตกไปอย่างง่ายดาย แต่ในอนาคตนั้นหากเขาต้องการตามล่าเสาะหากระดูกวิญญาณแล้วนั้นต้องวางแผนให้รัดกุมกว่านี้อีกหลายเท่าเลยทีเดียว...
สำหรับการที่ผู้ฝึกตนที่มีความแข็งแกร่งและมีระดับพลังวิญญาณระดับสูง นอกจากจะสามารถดูดซับปราณฟ้าดินในธรรมชาติเข้ามาในร่างกายเพื่อบ่มเพาะรากฐานในการฝึกตนได้แล้ว ยังสามารถดูดซับผลึกธาตุบริสุทธิ์ที่ตรงกันกับปราณธาตุในร่างกายได้อีกด้วย
นอกเหนือนั้นการประสานร่างกายเข้ากับกระดูกวิญญาณทั้งเจ็ดส่วนในร่างกายก็สามารถทำได้เช่นกัน ยิ่งหากว่าผู้ฝึกตนคนใดที่มีโอกาสในการประสานร่างกายเข้ากับกระดูกวิญญาณไปได้ครบถ้วนทั้งเจ็ดส่วนหรือสามารถประสานกระดูกวิญญาณเข้ากับร่างกายได้มากเท่าใดก็จะทำให้ร่างกายของผู้ฝึกตนคนนั้นย่อมมีความแข็งแกร่งมากกว่าผู้ฝึกตนในระดับเดียวกันหลายเท่ายิ่งนัก
แต่ถึงอย่างไรก็ตามแต่กระดูกวิญญาณที่ได้มาจากสัตว์อสูรหาใช่เป็นสิ่งที่หาได้ง่ายดายเหมือนที่เมื่อต้องการก็จะพบเจอได้เลยปานนั้น เพราะหากว่ากระดูกวิญญาณพบเจอได้ง่ายดายแล้วในยุทธภพนี้คงมีแต่ผู้ฝึกตนมากไปด้วยฝีมือเป็นแน่ ในความเป็นจริงแล้วกระดูกวิญญาณเป็นสิ่งที่พบเจอได้ยากยิ่ง
ไม่ใช่ว่าสัตว์อสูรระดับสูงทุกตัวหรือทุกเผ่าพันธุ์ที่จะสามารถมีได้ ต้องอาศัยความพิเศษทางสายเลือดของเผ่าพันธ์หรือความพิเศษของถิ่นที่อยู่ที่ส่งผลผันแปรต่อระดับพลังวิญญาณจึงจะมีโอกาสพบเจอ มีผู้กล้านักพเนจรท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่าต่อให้ต้องเข่นฆ่าสัตว์อสูรระดับสูงไปมากมายเพียงใด แต่หากไร้ซึ่งวาสนาก็ไม่อาจพบกระดูกวิญญาณได้เช่นกัน
ความล้ำค่าของกระดูกวิญญาณในยุทธภพกล่าวได้ว่ามากมายมหาศาล ยิ่งกับกระดูกวิญญาณอายุสามหมื่นปีเป็นต้นไปนับว่าหาได้ยากยิ่งและวิธีการที่จะได้มาไม่ใช่เรื่องง่ายดาย อย่างที่ทุกคนรู้กันดีอยู่แล้วว่าสัตว์อสูรทั้งหลายต่อให้มีพลังวิญญาณเทียบเท่าระดับเดียวกัน แต่ใช่ว่าผู้ฝึกตนคนเดียวจะสามารถคร่ากุมสังหารได้โดยง่าย ต้องอาศัยผู้ฝึกตนระดับสูงที่มากฝีมือและอาศัยของวิเศษบางชนิดที่สามารถสัมผัสกลิ่นอายของกระดูกวิญญาณได้เท่านั้น เพราะหากว่าไม่อาศัยทั้งสองสิ่งนี้แล้วนั้นการที่ผู้ฝึกตนคนหนึ่งจะสามารถครอบครองกระดูกวิญญาณสักชิ้นได้นับว่าเป็นเรื่องที่ไกลตัวมากเลยทีเดียว
การที่หนิงอ้ายตัดสินใจมอบกระดูกวิญญาณอายุสี่พันปีนี้ให้กับคุณชายลู่ซีอย่างง่ายดายเช่นนี้ จึงทำให้ทุกคนต่างตกใจกันไปไม่น้อย เพราะความล้ำค่าของกระดูกวิญญาณหากเอ่ยตามตรงมันเป็นสิ่งที่ไม่เข้าใครออกใคร ต่อให้มีสายเลือดเดียวกันแต่ก็ถึงกับเข่นฆ่าแย่งชิงกระดูกวิญญาณก็มีให้พบเห็นอยู่บ่อยครั้งจนนับไม่ถ้วน แต่สำหรับหนิงอ้ายเขาไม่เคยคิดถึงสิ่งเหล่านี้เสียด้วยซ้ำ เพราะสำหรับเขาแล้วการให้ไม่มีอะไรที่มากเกินไปสำหรับคนที่รู้สึกว่าตนยอมรับว่าเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน
เพราะหากพูดตามความจริงแล้วเขาที่ได้ทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของหนิงอ้ายที่เป็นแฝดน้องของตนที่อยู่ในโลกนี้ ตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาก็มีลู่ซีที่คอยอยู่เคียงข้างอยู่เสมอ คอยให้คำปรึกษาและเป็นกำลังใจที่ดีในการฝึกตนในวันต่อไป
แน่นอนว่าสำหรับหนิงอ้ายคนเก่าก็รู้สึกไปไม่ต่างจากเขาสักเท่าไหร่นักเพราะว่าตัวของลู่ซีคอย อยู่เคียงข้างหนิงอ้ายคนเก่าในทุกช่วงเหตุการณ์ของชีวิตไม่ว่าจะยามทุกข์หรือยามสุข ลู่ซีนั้นเป็นทุกอย่างสำหรับหนิงอ้ายคนเก่าเสียด้วยซ้ำ หรือแม้กระทั้งเป็นอีกสถานะพิเศษอีกหนึ่งที่หนิงอ้ายคนเดิมนั้นรู้ดีว่าไม่มีทางเป็นไปได้หากเขานั้นยังขึ้นชื่อว่าเป็นคุณชายใหญ่ของจวนนี้
ดังนั้นหนิงอ้ายคนเก่าจึงเลือกที่จะละทิ้งวิถีแห่งผู้ฝึกตนทั้ง ๆ ที่ตัวคนก็รู้อยู่แก่ใจว่าหากเขาต้องการมารดาของเขาจะต้องขอความช่วยเหลือจากท่านตาอย่างแน่นอน การที่หนิงอ้ายคนเก่านิ่งเงียบและทำตัวให้ไม่โดดเด่นเขาหวังเพียงว่าหากเขาไม่สามารถเป็นผู้ฝึกตนได้และมีชื่อเสียงด่างพร้อยแล้ว ตำแหน่งของว่าที่ประมุขของตระกูลอันสมควรเป็นของตนในฐานะของคุณชายใหญ่ที่เป็นบุตรของฮูหยินเอกควรที่จะถูกส่งมอบให้กับบุตรชายคนอื่นของบิดาของตน และเมื่อถึงตอนนั้นเขาที่เป็นเพียงคุณชายใหญ่ของจวนที่ไร้ซึ่งอำนาจไม่ต่างจากคนทั่วไปแล้ว
เส้นทางความรักของเขาคงมีความเป็นไปได้มากกว่านี้ แต่ถึงอย่างไรก็ตามหนิงอ้ายคนเก่าก็เลือกที่จะเก็บความรู้สึกที่พิเศษนี้เก็บซ่อนไว้ลึกอยู่ในใจไม่ให้ลู่ซีได้รับรู้ ด้วยเพราะกลัวว่าหากลู่ซีรู้ว่าตนได้คิดเกินเลยกับอีกฝ่ายนั้นจะทำให้ทุกสิ่งที่เขาเคยได้รับจากอีกฝ่ายหายไปไม่เหมือนเดิมและแน่นอนว่าหนิงอ้ายคนเก่านั้นไม่ยินยอมที่จะเสียความสุขนี้ไปอย่างแน่นอน
เมื่อตัวเขาได้เข้ามาอยู่ในร่างกายของหนิงอ้ายที่อยู่ในโลกนี้ ทุกความทรงจำ ทุกเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นหรือแม้กระทั่งกับความรู้สึกที่ถูกเก็บซ่อนอยู่ส่วนลึกในใจของหนิงอ้ายคนเก่า ทุกความรู้สึก ทุกการกระทำของทั้งสองที่มีต่อกันเขาสัมผัสได้ว่าไม่ได้มีเพียงแค่หนิงอ้ายคนเก่าที่รู้สึกดีกับลู่ซีฝ่ายเดียวเพราะทางฝั่งของลู่ซีเองก็คงรู้สึกดีกับอีกฝ่ายไม่ต่างกันแต่ด้วยเพราะสถานะในตอนนั้นที่ลู่ซีเป็นเพียงบ่าวรับใช้
แม้จะเป็นเพียงเด็กแต่ลู่ซีก็มีความคิดอ่านเป็นผู้ใหญ่อยู่ไม่น้อย จึงทำให้อีกฝ่ายนั้นมองโลกตามความเป็นจริงที่ว่าในวันหนึ่งหากหนิงอ้ายขึ้นเป็นผู้นำตระกูลหวังแล้วการตบแต่งฮูหยินเข้ามาคงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้นตัวของลู่ซีจึงเลือกที่จะเก็บความรู้สึกดี ๆ ที่มีต่อหนิงอ้ายเอาไว้ในส่วน ที่ลึกสุดและตั้งใจว่าตนนั้นจะคอยอยู่ดูแลอีกฝ่ายตลอดไปแม้จะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
หลังจากที่เขาเข้ามาอยู่ในร่างนี้แล้ว จากวันนั้นถึงวันนี้ก็นับได้ว่าเวลาได้ผันผ่านมาสองปีกว่าแล้ว แน่นอนว่าลู่ซีที่อยู่กับหนิงอ้ายมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กย่อมที่จะสัมผัสได้อยู่แล้วว่าหนิงอ้ายที่อยู่ตรงหน้าตนนี้ไม่ใช่คนเดิมในความทรงจำที่งดงามของเขาซึ่งอีกฝ่ายเลือกที่จะเงียบและไม่เอ่ยถามอะไรทั้งสิ้น รวมไปถึงความรู้สึกที่ไม่ควรเกิดขึ้นก่อนหน้านี้นั้นหนิงอ้ายสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายในตอนนี้เห็นว่าตนเป็นเพียงน้องชายเท่านั้น
แต่สำหรับหนิงอ้ายคนเดิมเขาก็ไม่รู้ว่าลู่ซีนั้นยังมีความรู้สึกต่ออีกฝ่ายเหมือนเดิมอยู่หรือไม่ แล้วตัวของลู่ซีเองจะเสียใจแค่ไหนที่ได้รับรู้ว่ามีใครอีกคนมาแทนที่อยู่ในร่างกายของคนที่เขารู้สึกรัก หนิงอ้ายคิดอยู่เสมอว่าหากในวันหนึ่งที่เขาสามารถไขความลับทั้งหมดของการที่เขาได้มาอยู่ในโลกแห่งนี้และตามหาดวงวิญญาณของหนิงอ้ายคนเก่าเจอเมื่อถึงวันนั้นสิ่งใดที่เป็นของหนิงอ้ายคนเก่าและถ้าหากอีกฝ่ายต้องการสิ่งใดเขาจะไม่ลังเลที่จะตอบแทน...
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย