Share

Chapter 20. เดินทาง

last update Last Updated: 2024-11-18 13:58:30

“เจ้าค่ะคุณหนู” ชุนเอ๋อร์รับคำสั่งแล้วเดินเร็วๆ ไปหยิบชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนหวานราวกับดอกอิงฮวา (ดอกซากุระ) ที่คุณหนูเคยใส่ครั้งเดียวออกมาส่งให้มู่ฟางเหนียง หญิงสาวทำตาโตส่ายหน้าไปมา มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าชุดนี้งามหรูขนาดไหน 

“ถ้าเจ้าไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า ข้าจะไม่กินยาใดๆ ทั้งสิ้น”

“พี่หลิ่งหลิน” มู่ฟางเหนียงส่งเสียงประท้วง คนป่วยจะมาเอาแต่ใจอย่างนี้ได้อย่างไรกันนะ

“ท่านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิดเจ้าค่ะ” ชุนเอ๋อร์ช่วยพูดสำทับไปอีกแรง “ข้าจะไปต้มยาให้เอง รบกวนท่านช่วยดูแลคุณหนูของข้าด้วย”

ชุนเอ๋อร์ผลักเสื้อผ้าชุดนั้นใส่มือของมู่ฟางเหนียงแล้วรีบไปหยิบห่อยาขึ้นมา หันมายิ้มให้เล็กน้อยก่อนจะรีบเดินเร็วๆ ออกไป หญิงสาวหันไปทางคนป่วยที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ เห็นสีหน้าของนางแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ คงต้องตามใจคนป่วยเสียหน่อย ซึ่งปกตินางไม่ชอบเอาใจคนป่วยนักหรอก หญิงสาวหอบชุดสวยไว้ในวงแขนแล้วเดินไปที่ฉากกั้นถอดเสื้อผ้าที่เลอะคราบเลือดออก เปลี่ยนใส่ชุดใหม่ด้วยอาการเก้อเขินเล็กน้อย

“พี่สาว ข้าตัวเล็กกว่าท่าน เกรงว่าจะใส่เสื้อผ้าของท่านไม่พอดี”

“ไม่พอดีอย่างไร ไหนออกมาให้ข้าดูก่อน”

เสียงถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะพาร่างบางของตนเองออกมายืนเบื้องหน้า เคอหลิ่งหลินยิ้มออกมา ที่ผ่านมานางเห็นมู่ฟางเหนียงเป็นเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง ด้วยความที่นางติดตามบิดาตรวจรักษาคนเจ็บคนป่วยโดยไม่สนใจฐานะของอีกฝ่าย มู่ฟางเหนียงมักจะสวมเสื้อผ้าเก่าๆ โดยให้เหตุผลว่านางมักทำเสื้อผ้าเลอะเทอะ ซักแล้วก็ยังทิ้งคราบ จึงไม่อยากใส่เสื้อผ้าชุดใหม่นัก ผิดกับบิดาของนาง แม้จะเป็นเสื้อผ้าชุดเก่าแต่สะอาดสะอ้าน รอยปะชุนก็ประณีตเรียบร้อย

เคอหลิ่งหลินพยักหน้าอย่างพอใจ สมกับที่เป็นชุนเอ๋อร์ รู้ใจราวกับเป็นพยาธิในท้องนางเสียนี่กระไร ชุดนี้ได้เป็นของขวัญเมื่อหลายปีก่อน นางเคยใส่หนเดียวแล้วรู้สึกกระดากเขินอาย ซ้ำยังรู้สึกว่าเสื้อผ้าชุดนี้เล็กกว่ารูปร่างของนางอีก นางจึงให้ชุนเอ๋อร์พับเก็บไว้จนลืมไปเสียสนิท

“พี่สาว”

“อ้อ! ชุดนี้ข้าใส่ไม่ได้แล้ว เจ้าเอาไปเถอะนะ”

“ไม่ได้หรอก ข้าจะรับของมีราคาเช่นนี้ได้อย่างไรกัน” มู่ฟางเหนียงส่ายหน้าไปมา “ความจริงฮูหยินอี้ซิ่วก็มอบเสื้อผ้าให้ข้ามาสองสามชุดแล้ว”

“ผู้ใหญ่ให้ก็รับไปเถอะ” เคอหลิ่งหลินหัวเราะเบาๆ อาการเจ็บหายไปมาก ปรายตามองไปที่โต๊ะ เห็นห่อผ้าวางอยู่ก็อดถามไม่ได้

“นั่นอะไรรึ”

“อ้อ! หลายวันก่อน ฮูหยินอี้ซิ่วเมตตาให้ข้ายืมหนังสือที่หอตำราได้ ข้าเอามาคืน ไม่ทราบว่าคุณชายจ้าวอยู่หรือไม่เจ้าคะ”

“อยู่สิ เมื่อครู่เขาก็เข้ามาดูอาการข้า” นางไม่รู้ว่าจ้าวจิ่นสือเพิ่งกลับจากสอดแนม “แล้วทำไมเจ้าต้องถามหาเขาด้วยล่ะ”

“เอ่อ...” นางอึกอักหาคำพูดของตัวเองอยู่ “ตอนที่ข้าหยิบหนังสือออกมา คุณชายบอกว่าตอนมาคืนเขาจะขอตรวจหนังสือว่าข้าทำชำรุดหรือไม่”

“เอ๋?” เคอหลิ่งหลินทำหน้าประหลาดใจ ถ้าฮูหยินอี้ซิ่วอนุญาตให้ยืมหนังสือก็แสดงว่าไว้ใจคนผู้นั้น จู่ๆ เขาจะมาห่วงหนังสือทำไมกัน 

“พี่สาว” นางกลัวว่าเคอหลิ่งหลินจะคิดไปไกล “ข้ากับบิดาจะออกเดินทางกันแล้ว ที่อยู่ทุกวันนี้ก็รอให้ท่านตื่นฟื้นเท่านั้น ปกติเราไม่เคยอยู่ที่ใดนานขนาดนี้มาก่อน ซึ่งท่านก็คงทราบดีอยู่แล้ว เมื่อข้าจะต้องเดินทาง ข้าจึงอยากคืนสิ่งของที่ยืมมาเพื่อจะได้เดินทางอย่างสบายใจ”

“เดินทาง? เจ้ากับท่านหมอจะไปที่ใดกัน” นางทำหน้าเศร้า “แล้วใครจะสอนข้าเป่าขลุ่ยล่ะอาจารย์น้อย”

มู่ฟางเหนียงได้ยินก็หัวเราะออกมา “ท่านเล่นเพลงนั้นได้ไพเราะแล้ว ข้าไม่ต้องสอนอะไรท่านอีกแล้วละ”

เคอหลิ่งหลินรู้อยู่แล้วว่าวันหนึ่งทั้งสองพ่อลูกก็ต้องออกเดินทาง นี่อุตส่าห์อยู่รอจนนางฟื้นก็คงกินเวลาของพวกเขามากแล้ว 

“รอชุนเอ๋อร์กลับมาก่อน ค่อยให้นางพาเจ้าไปก็แล้วกัน”

“ยาต้องเคี่ยวนาน ข้าไปเองก็ได้” 

“เจ้าไปถูกรึ” นางจะไปส่งก็ไม่มีแรงลุกเดินไหว

“ข้าจำได้ว่าเดินไปไม่ไกลจากห้องของท่านนัก”

“ใช่...ออกจากห้องของข้าไป เดินตรงตามทางไปเรื่อยๆ ถึงทางแยกแล้วเลี้ยวซ้ายเดินต่อไปอีกหน่อยก็ถึงแล้ว”

“เดี๋ยวข้ามานะ”

มู่ฟางเหนียงยิ้มกว้าง เดินไปหยิบห่อผ้าที่มีหนังสือทั้งสามเล่มแล้วรีบเดินออกไป  คิดเพียงว่าจะได้รีบไปรีบกลับ กลับมาก็คงพอดี เคอหลิ่งหลินมองแผ่นหลังของมู่ฟางเหนียงเดินพ้นประตูไปแล้ว นางก็นึกได้ว่าทางที่บอกไปนั้น มันห้องนอนของจ้าวจิ่นสือ!.

          จ้าวจิ่นสือยืนรออย่างกระสับกระส่ายในห้องอักษรไม่นานนัก บิดาก็ก้าวเข้ามาพร้อมโบกมือไล่คนรับใช้ให้ถอยห่างออกไป

            “แม่เจ้าก็มัวตื่นเต้นดีใจที่เห็นหลิ่งหลินฟื้น ไม่ได้เอะใจที่ลูกชายเพิ่งกลับเข้าบ้าน” บิดาพูดน้ำเสียงราบเรียบทว่าเจือความห่วงใย

            “ลูกเข้าใจดี” เขายิ้มนิดๆ ที่มุมปาก ข่มความกังวลที่ยังแน่นอก แม้จะรู้ว่านางฟื้นแล้วแต่เมื่อครู่ที่ได้อุ้มนางนั้นทำให้หัวใจเขากระตุกวูบไหว

            แม่ทัพจ้าวจิ่นสือมองเห็นความกังวลในแววตาของบุตรชายเป็นอย่างดี ทำได้เพียงแค่ส่ายหน้าไปมาและตัดสินใจมอบภารกิจใหม่ให้ทันที แม้จะรู้ว่าลูกชายเพิ่งย่างเท้าเข้าประตูบ้านได้ไม่ถึงครึ่งวัน

            “หลิ่งหลินฟื้นแล้ว เจ้าก็ไม่ต้องเป็นกังวลนักหรอก”

            “ข้าแค่เป็นห่วงนาง”

            “นางเป็นพี่สาวของเจ้า” ผู้เป็นบิดาพยายามเตือนสติ

            “แต่นางก็ไม่ใช่สายเลือดเดียวกับข้า!”   

            บุรุษผู้เป็นถึงแม่ทัพใหญ่สูดลมหายใจลึก เห็นท่าทางอวดเก่งเอาแต่ใจของลูกชายแล้ว ก็ได้แต่ลอบถอนหายใจหนักหน่วง อายุยี่สิบปีแล้ว ได้เป็นถึงรองแม่ทัพ ทว่ากลับมีนิสัยใจร้อนและมุทะลุเกินไป ไม่สะกดกลั้นเก็บอารมณ์ของตนเองเลยสักนิด

            “จิ่นสือ” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยขึ้น “พ่อจะพูดกับเจ้าในฐานะที่เจ้าเป็นลูกชายของพ่อ”

            ชายหนุ่มรู้สึกแน่นหน้าอก แต่ก็ยืดอกเงยหน้าฟังสิ่งที่บิดาจะพูด

            “สิ่งที่เจ้ารู้สึก มันเกิดจากความใกล้ชิด มันไม่ใช่สิ่งที่เจ้าคิดหรอก” แม่ทัพจ้าวซื่อก่วงเอ่ยเน้นย้ำทีละคำ หวังใจให้ตอกย้ำเข้าไปในหัวใจของบุตรชาย

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter  136.  จบ

    องค์ชายไท่หยางมักมีรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าซีดเซียวเสมอ ซึ่งมองเพียงผิวเผินจะเข้าใจว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ใครเลยจะรู้ว่าเบื้องหลังใบหน้าและร่างกายอ่อนแอนี้กุมความลับที่ใช้ต่อรองกับเขาได้ดียิ่งนัก เขาเองก็ได้สัญญาการซื้อขายกับทางการหลายรายการเพราะการแนะนำของคุณชายเฉิน“แล้วนี่คุณชายเฉิน อ้อ! ไม่สิ! องค์ชายไท่หยางนึกสนุกอย่างไรถึงอยากได้หน้ากากอสูรที่ดูน่ากลัวเช่นนี้”“ก็คงไม่ต่างจากเจ้าที่เบื้องหน้าเป็นคุณชายเจ้าสำราญเช่นกัน”“พระองค์กล่าวเช่นนี้ เห็นทีว่ากระหม่อมคงไม่มีทางหลีกเลี่ยงแล้วกระมัง” เหวินเฮ่าหลันกลับรู้สึกพอใจกับท่าทางเปิดเผยขององค์ชายไท่หยาง“ร่างกายของข้าไม่ค่อยแข็งแรงนัก จึงมีเรื่องที่ต้องทำให้เรียบร้อยก่อน... แต่การเคลื่อนไหวในฐานะขององค์ชายไท่หยางทำได้ลำบากนัก จึงอยากจะรบกวนเจ้าหาช่างดีๆ ทำหน้ากากอสูรนี่ให้ข้า”“พระองค์จะเอาไว้ใช้เอง?”เหวินเฮ่าหลันได้คำตอบเป็นรอยยิ้มที่มุมปาก หลังจากนั้นเขาหาช่างที่ไว้ใจได้สั่งทำหน้ากากอสูร แต่ไม่รู้สิ่งใดดลใจเขาให้ช่างทำสองอัน เมื่อส่งมอบหน้ากากอสูรนั่นให้องค์ชายไท่หยาง ไม่นานนักก็ได้ยินข่าวว่ามีบุรุษลึกลับภายใต้หน้ากากอสูรออกอาละวาดเล่น

  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter  135.  บุปผาพยศรัก

    ปีศาจน้อย! จ้าวจิ่นสือขบกรามแน่น นางเรียนรู้ที่จะหยอกล้อเขาเช่นเดียวกับที่เขาทำกับนาง เขาไม่อาจทานทนไฟปรารถนาที่เผาไหม้อยู่นี้ได้อีก ขยับร่างกายรวดเร็วรุนแรงและลึกล้ำ เป็นนางที่พาเขาให้เตลิดโบยบินไปในค่ำคืนวิวาห์ที่อุ่นร้อน ราวกับวิหคคู่ที่โบยบินในเวิ้งฟ้า หยอกล้อราวกับทั้งโลกมีเพียงแค่เขากับนางเท่านั้น ร่างสองร่างสอดประสานแทบเป็นหนึ่งเดียว ชายหนุ่มส่งเสียงคำราม ในขณะที่หญิงสาวหวีดร้องออกมาอย่างสุขสม แล้วเขาจึงผ่อนร่างนางลงนอนกอดอย่างรักใคร่นางปิดเปลือกตาหอบใจแรงแล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจตัวเองจนเกือบจะเป็นปกติจ้าวจิ่นสือมองหญิงคนในรักในวงแขน ยกมือขึ้นเกลี่ยเส้นผมของนางให้พ้นใบหน้า หนึ่งชีวิตได้พานพบผู้คนมากมาย แต่มีเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นเจ้าของเสียงในหัวใจ เขาก้มหน้าสูดกลิ่นหอมของนางให้กลิ่นกายของนางไหลเวียนในตัวเขา นางคือหญิงสาวของเขาแต่เพียงผู้เดียว“ฟางเหนียง ข้ารักเจ้า”ผ่านเรื่องราวมากมายฟันฝ่ามาด้วยกันจนมีวันนี้ แต่แท้จริงแล้วทุกอย่างมันเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น นางคิดถึงกลองป๋องแป๋งอันนั้น นางจะเก็บรักษาเอาไว้ให้ลูกๆ ได้ดู ของขวัญล้ำค่าที่เชื่อมโยงหัวใจของคนสองคนให้ได้มาใกล้ชิดกั

  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter  134.  บทส่งท้าย2. 

    “ท่าน...” นางถูกดวงตาร้อนแรงของเขาจ้องมองจนลืมคำพูดตัวเองไปเสียสิ้น “อืม”เขาจ้องมองนาง ไม่เคยรู้สึกเบื่อหน่ายที่ได้มองใบหน้านี้เลยสักคราเดียว คิดไม่ออกเลยว่าหากไม่มีนางเคียงข้างแล้ว เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร เห็นทีเรื่องนี้คงต้องเก็บเป็นความลับไว้ให้ลึกที่สุด ไม่เช่นนั้นนางจะเอาแต่ใจตัวเองเกินไป รู้ว่าอย่างไรเขาก็ต้องจำนนยอมแพ้พ่ายต่อสายตาคู่นี้ของนาง “ข้า... ข้าต้องปรนนิบัติท่าน... พี่” คืนนี้นางเป็นภรรยาของเขาอย่างถูกต้องแล้ว ควรทำหน้าที่ของตนเองถึงจะถูก แต่มือเล็กก็สั่นเทา ยื่นไปหมายจะช่วยเขาเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่อาการเงอะงะของนางเรียกเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมา ทำให้นางฉุนกึกขึ้นมา แล้วเงยหน้าขึงตาใส่อย่างดุดัน “ใช่สิ! ข้าทำไม่เก่งนี้ เรื่องแบบนี้ข้าคุ้นเคยเสียเมื่อไหร่ล่ะ” นางหงุดหงิดโมโห อารมณ์นางช่วงนี้ขึ้นๆ ลงๆ แปรปรวนชอบกล “ไม่เป็นไร น้องหญิงอยากทำอะไรก็ตามใจเจ้าเถิด” เขากลั้นหัวเราะแต่กลายเป็นยิ้มกรุ้มกริ่มแทน ปล่อยให้มือเล็กช่วยถอดเสื้อตัวนอก พอนางลุกขึ้นจะเอาเสื้อของเขาไปแขวน ตัวเองก็เสียหลักเพราะนั่งตัวเกร็งอยู่ตั้งนา

  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter   133.  บทส่งท้าย 1.

    หญิงสาวนั่งก้มหน้า มองปลายเท้าที่สวมรองเท้าสีแดงสดสวยปักรูปหงส์อย่างงดงามประณีต เสียงครื้นเครงด้านนอกไม่ได้ช่วยให้นางลดอาการตื่นเต้นลงได้เลย ยามมองผ่านผ้าคลุมหน้าสีแดงสดนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องหอราวกับถูกย้อมด้วยสีแดง นางจึงหลุบตาลงก้มมองปลายเท้าของตนแทน เพียงหนึ่งเดือนหลังเสร็จภารกิจลับของจ้าวจิ่นสือ ด้วยความช่วยเหลือขององค์ชายไท่หยาง ทำให้ทั้งสองได้รับราชโองการพระราชทานสมรส แม้มู่ฟางเหนียงจะเป็นเพียงหญิงสาวสามัญชน แต่ด้วยความรักใคร่ที่รองแม่ทัพจ้าวจิ่นสือมีให้นางนั้นเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่ว นางทั้งเขินทั้งอาย แต่ก็ดีใจที่ฮูหยินอี้ซิ่วรักและเอ็นดูนางราวกับเป็นลูกสาวแท้ๆ ท่านพ่อของนางก็พลอยวางใจว่านางจะอยู่ที่จวนแม่ทัพจ้าวได้อย่างไม่ทุกข์ร้อนใจอันใด “เจ้าไม่ใช่เด็กแล้ว ต่อไปนี้ทำอะไรก็เชื่อฟังพ่อแม่สามีของเจ้าให้ดี” “ท่านพ่อ” นางกลั้นน้ำตา คราวนี้ได้แยกกันอยู่แล้วจริงๆ ท่านพ่อของนางมีใจรักใคร่น้าเสี่ยวหลิว เสร็จงานแต่งงานของนางแล้วก็จะกลับไปเมืองหลวง ช่วยน้าเสี่ยวหลิวดูแลโรงเตี๊ยมหมื่นบุปผาและรักษาคนเจ็บป่วยเช่นเคย ส่วนนางเองก็ได้รั

  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter 132. ไม่อยากเชื่อ

    “ท่าน... ระ.. รักข้า..” นางแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเขาหัวเราะเบาๆ อาศัยจังหวะที่นางไม่เป็นตัวของตัวเองลอกคราบเสื้อผ้าออกเหลือเพียงเอี๊ยมปิดบังทรวงอกที่สะท้อนหอบหายใจแรงกับกางเกงชั้นในตัวน้อย มือกร้านลูบไล้เรียวขาของนาง ไอร้อนจากกายของเขาทำให้นางแทบไม่รู้สึกว่าตัวเองเกือบจะเปลือยเปล่าอยู่แล้ว“ข้า... เข้าใจว่า... ท่าน ระ รัก พี่หลิ่งหลิน” นางรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีพูดออกไปเขาผงกศีรษะรับแล้วกลับยิ้มให้นาง “ก่อนนั้นข้าคิดเช่นนั้น แต่เมื่อเจอเจ้า ข้าก็รู้ว่าความรักที่แท้จริงเป็นเช่นไร”หัวใจของนางแทบหยุดเต้นไป แต่กระนั้นก็ยังหวาดหวั่นอยู่ “แต่ท่านเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ ท่านจะรับข้าไว้ในฐานะใดเล่า”“ข้าย่อมให้เจ้าเป็นภรรยา” มือใหญ่เลื่อนขึ้นจากต้นขาด้านในสู่กลีบบุปผาอ่อนบาง “ข้าจ้าวจิ่นสือจะมีภรรยาเพียงผู้เดียวก็คือเจ้า”“ท่านจะไม่มีหญิงอื่นอีกหรือ?” นางกะพริบตามองหน้าเขา ค้นหาความจริงใจในทุกถ้อยคำ “ข้าไม่ได้หวังตำแหน่งใด ข้าเพียงไม่อาจแบ่งสามีกับผู้อื่นได้”“เจ้าทำให้ข้ารักเจ้าจนไม่มีที่ว่างให้ผู้อื่นแล้ว” แตะกลีบดอกไม้เบาๆ แล้วกระซิบเสียงพร่า แท่งศิลาใต้ตักของนางเริ่มร้อนระอุ“อย

  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter 131. อย่ามายุ่งกับข้า 

    “นึกแล้วเชียว” นางพึมพำ ไม่รอถามอะไรเขาทั้งนั้น ขยับเสื้อของเขาออกกว้างเพื่อจะได้จัดการล้างแผลและใส่ยาให้ใหม่ ขณะนั้นเอง เสียงเรียกชื่อนางอย่างเกรงใจก่อนที่จะเปิดประตูเข้ามา เสี่ยวเอ้อที่รอพานางไปส่งที่พักก็ต้องตกใจเพราะเห็นมู่ฟางเหนียงกำลังเปลื้องผ้าชายหนุ่มอยู่ แต่เขามองไม่เห็นบาดแผลจึงคิดไปเองว่าทั้งสองกำลัง...“ข้าจะรอข้างนอก แม่นางมู่เสร็จธุระแล้วโปรดเรียก”นางเพียงหันไปพยักหน้ารับ เพราะใจจดจ่อกับบาดแผล พอเหลือบตาขึ้นมองก็เห็นสายตาของเขาก้มมองนางอยู่ก่อนแล้วผู้หญิงคนนี้ วุ่นวายกับเขานัก! จ้าวจิ่นสือได้แต่บ่นในใจ แต่ก็ยอมให้นางแกะผ้าพันแผลและทำความสะอาดที่บริเวณชายโครงซ้ายของเขา“โรคทางใจรักษายากนัก” นางรำพึง“อย่ามาทำเป็นรู้ดี” เขาแค่นเสียงในลำคอ รินสุราใส่จอกให้ตนเอง แต่นางกลับยื่นมือไปคว้าแย่งไว้“ระหว่างที่รักษาแผลนี้อยู่ งดดื่มสุราทุกชนิด” นางถลึงตาสั่งเขา “ข้ารักษาให้ท่านได้เพียงบาดแผลภายนอก แต่ในใจที่เจ็บปวดของท่านนั้น ท่านคงต้องใช้เวลาเยียวยารักษาเอง”“ข้าจะดื่ม” เขาท้าทายนาง“ถือว่าข้าเตือนแล้ว ท่านอยากให้แผลเน่าอยู่ภายในก็ตามใจท่านเถิด” นางปิดบาดแผลให้เขาเรียบร้อย “ท่าน

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status