Home / อื่น ๆ / บุปผาพันธนาการ / ตอนที่ 3 ผู้ตรวจสอบหน้านิ่ง

Share

ตอนที่ 3 ผู้ตรวจสอบหน้านิ่ง

Author: Bosskerr
last update Huling Na-update: 2025-09-08 21:23:17

รุ่งเช้าในเรือนจำเงาหยกยังคงมืดสลัว แม้แสงตะวันด้านนอกจะส่องแรงเพียงใด แต่กำแพงหินหนาทึบก็กลืนทุกแสงสว่างให้หายวับไป เหลือไว้เพียงไอเย็นและกลิ่นอับที่ไม่มีวันจาง

เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้นอีกครั้ง ซูฮวาอิ๋นที่เพิ่งหลับตาพักผ่อนกลับลืมตาขึ้นทันที ร่างสูงในชุดขุนนางสีกรมท่าก้าวเข้ามาพร้อมกับบันทึกมากมายในมือ

“วันนี้ก็มาแต่เช้าเชียวนะ ท่านขุนนาง” ซูฮวาอิ๋นเอ่ยขึ้น เสียงของนางนุ่มนวลแต่แฝงรอยล้อเลียนเล็กน้อย

เจิ้งหลินอวี่วางบันทึกลงบนโต๊ะไม้หน้าห้องขัง ดวงตาคมเรียวทอดมองนางอย่างนิ่งงัน ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีอารมณ์ไหววูบใด ๆ ให้จับได้ ราวกับใบหน้าของเขาเป็นหน้ากากหิน

“อย่าได้คิดว่าคำพูดเล่นลิ้นเช่นนี้จะช่วยเจ้าได้” เขากล่าวเสียงเรียบ ก่อนจะค่อย ๆ เปิดบันทึกในมือ

“ในคืนงานเลี้ยง มีพยานสองคนยืนยันว่าเห็นเจ้าถือถาดสุราเข้าใกล้โต๊ะของฝ่าบาท”

ซูฮวาอิ๋นหัวเราะเบา ๆ “พยาน? หรือผู้ที่ถูกซื้อตัวมาให้เป็นพยานกันแน่”

เจิ้งหลินอวี่ไม่ตอบ เขาเพียงหยิบแผ่นบันทึกอีกฉบับขึ้นมาอ่านต่อ น้ำเสียงมั่นคงไม่ต่างจากกระดิ่งเหล็ก

“นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานระบุว่า ข้ารับใช้ในจวนสกุลซูหลายคนหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอยในคืนเดียวกัน เจ้ายังคิดว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญอีกหรือไม่”

แววตาของซูฮวาอิ๋นสั่นไหวเพียงชั่ววูบ ก่อนที่นางจะคลี่ยิ้มบาง

“ท่านพูดได้เก่งจริง ๆ ราวกับผู้ชนะที่ปักหมุดชัยชนะลงตรงหน้าโดยไม่ต้องออกรบ”

เจิ้งหลินอวี่ขยับเข้าใกล้เล็กน้อย แววตาคมจ้องจับราวกับจะเจาะทะลุเกราะบาง ๆ ของนาง

“แต่เจ้าเองกลับทำให้ข้าสงสัย”

“ท่านขุนนางสงสัยว่าอะไรเล่า” ซูฮวาอิ๋นยกคิ้วถาม

เขานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบสั้นและชัดเจน “สงสัยว่าเหตุใดสตรีที่ถูกตราหน้าว่าเป็นกบฏ จึงยังคงนั่งสบตาข้าอย่างไม่สะทกสะท้าน”

บรรยากาศในห้องเงียบงัน ราวกับแม้แต่ลมหายใจก็หยุดฟังคำตอบของนาง

ลมเย็นจากช่องระบายอากาศเหนือเพดานหินพัดลอดลงมาเป็นระยะ กลิ่นชื้นและคราบศักดิ์ศรีของผู้คนที่ถูกพรากออกจากตนเองลอยวนอยู่ทั่วโถง เรือนจำเงาหยกเหมือนค่อย ๆ กลืนเสียงโลกภายนอกไปทีละน้อย เหลือเพียงเสียงฝีเท้าและเงาของตะเกียงที่โยกไหวตามลมหายใจ

เจิ้งหลินอวี่หยิบบันทึกจากพนักงานคุมคนหนึ่ง พลางกล่าวเพียงสั้น ๆ

“นำตัวพยานที่อ้างว่าเห็นนางถือถาดสุราเข้าใกล้โต๊ะฝ่าบาทมายังห้องสอบสวน”

ไม่นาน หญิงสาวในชุดนางกำนัลวังหลวงผู้หนึ่งก็ถูกพามา ใบหน้าของนางผู้นั้นซีดเผือดดั่งกระดาษ ขาแทบทรุดลงเมื่อได้สบตาขุนนางกรมสอบสวนอย่างเจิ้งหลินอวี่ ผู้คุมผลักให้นางนั่งลง นางกอบมือแน่นพยายามประครองสติ

“ชื่อ” เจิ้งหลินอวี่เอ่ยขึ้นสั้นและห้วน

“อวี้เจียวเจ้าค่ะ” เสียงของนางสั่นเครือ

“ในคืนงานเลี้ยง เจ้ากล่าวว่าเห็นซูฮวาอิ๋นถือถาดสุราเข้าใกล้โต๊ะเสวยของฝ่าบาท บอกข้ามาทีละคำ อย่าให้คลาดเคลื่อนจากที่เจ้าเคยให้การไว้”

น้ำเสียงของเขาเรียบ ดุจปากกระบอกปืนไร้ควัน อวี้เจียวสูดหายใจยาว ดวงตาทอดขึ้นอย่างลังเล

“ขะ...ข้าเห็นนางถือถาดเดินไปทางโต๊ะเสวย ละ...แล้วก็...เอ่อ...ก็...”

“แล้วก็อย่างไร” เจิ้งหลินอวี่เอ่ยเสียงเฉียบคมไม่กะพริบตา

“แล้วก็มีขันทีคนหนึ่งรับถาดไปอีกที หลังจากนั้นข้าก็ไม่เห็นแล้วเจ้าค่ะ” นางหลุบตาลง

“ขันทีคนใด”

เขาให้คนส่งแผ่นบัญชีรายชื่อขันทีประจำท้องพระโรงมาให้ อวี้เจียวชี้ปลายนิ้วสั่นไปยังชื่อ ๆ หนึ่งที่วงไว้ด้วยหมึกสีจาง

“เจียงเต๋อเจ้าค่ะ”

เจิ้งหลินอวี่กดปลายพู่กันไว้กับแผ่นบันทึก ค้างไว้ชั่วอึดใจ

“ในคำให้การเดิม เจ้ากล่าวว่าเจ้าเห็นซูฮวาอิ๋นยกถ้วยให้ฝ่าบาทด้วยมือตนเอง เหตุใดวันนี้จึงเปลี่ยนเป็นว่าขันทีที่รับถาดไป”

อวี้เจียวหน้าถอดสีแทบจะในบัดดล นางเอ่ยตอบอ่างตะกุกตะกัก

“ขะ...ข้า วันนั้นข้าตื่นกลัว เห็นทุกคนต่างวุ่นวาย อาจจะจำสับสนเจ้าค่ะ”

“อาจจะ? หรือถูกสั่งให้ทำเช่นนั้นกันแน่”

เขาเอ่ยเสียงเรียบ ใบหน้าไม่แปรเปลี่ยน แต่แรงกดดันกลับถาโถมจนห้องเล็ก ๆ นี้ดูคับแคบลงหลายส่วน

หยดเหงื่อผุดตรงขมับของนางกำนัลผู้นั้น “ไม่...ไม่เลยเจ้าค่ะ ขะ...ข้าแค่กลัวจะให้การผิด”

เจิ้งหลินอวี่ไม่ซักต่อทันที เขาส่งสัญญาณ ผู้คุมพาตัวชายวัยกลางคนเข้ามาคนหนึ่งที่สวมชุดขันที ข้อมือถูกมัดด้วยเชือกปอหยาบเข้ามา

“เจ้าคือเจียงเต๋อใช่หรือไม่”

ชายผู้นั้นเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตาดุดันแฝงความหวาดระแวง

“ขอรับ”

“ในคืนงานเลี้ยง เจ้าเป็นผู้นำสุราไปถวายที่โต๊ะเสวยหรือไม่”

“ขอรับ แต่สุราทั้งหมดตรวจโดยกองครัวและตำหนักพิธีแล้ว ข้าน้อยเพียงทำตามหน้าที่”

เสียงของเขาราบเรียบ แต่อยู่ในระนาบที่คุมไว้ดีเกินกว่าจะเป็นเพียงขันทีธรรมดา

“ถ้วยสุราของฝ่าบาทได้รับการเปลี่ยนเมื่อใดและโดยผู้ใด” เจิ้งหลินอวี่จงใจเน้นคำ

เจียงเต๋อชะงักวูบเพียงเดียวเท่านั้น “ในท้องพระโรง มิอาจมีเรื่องเปลี่ยนแปลงโดยพลการ ทุกอย่างทำตามบันทึกพิธี ข้าน้อยจำไม่ได้ชัดนัก”

“จำไม่ได้หรือตั้งใจไม่จำกันแน่”

เจิ้งหลินอวี่วางพู่กันลง เสียงแผ่วเบา แต่คมกว่าใบมีด

“ข้าให้ทหารไปที่กองครัว ตรวจไหสุราหยกขาวทุกไห พบว่าไหชุดสำรองหนึ่งไห ป้ายตราสีแดงชำรุด ถูกเปิดก่อนเวลา ใครเป็นผู้รับผิดชอบป้ายตรานั้น”

เจียงเต๋อสูดลมหายใจลึกก่อนตอบ “เป็นขันทีประจำกองครัว ซิ่นกงกงเป็นผู้ดูแลขอรับ”

“เช่นนั้นก็ดี” เจิ้งหลินอวี่ลุกขึ้น “ไป พาข้าไปที่โรงล้างภาชนะเสวย เดี๋ยวนี้!”

โรงล้างภาชนะเสวยตั้งอยู่หลังกำแพงท้องพระโรง แสงสลัวลอดช่องหน้าต่างไม้เข้ามาเป็นริ้ว เสียงน้ำไหลและผ้าชุบน้ำถูกขยี้เบา ๆ ให้ความรู้สึกสะอาดที่แฝงด้วยความลับ

เจิ้งหลินอวี่สวมถุงมือผ้า หยิบถ้วยกระเบื้องเคลือบที่กองไว้ขึ้นตรวจ ใต้ปากถ้วยบางใบมีคราบขาวที่แทบมองไม่เห็น เขาขยี้ด้วยปลายนิ้ว กลิ่นฉุนบาง ๆ แตะปลายจมูก นั่นไม่ใช่กลิ่นสุราปรกติ

“เจ้า” เขาพยักพเยิดเรียกคนล้างถ้วยที่เป็นหญิงสูงวัย

“ในคืนงานเลี้ยง ถ้วยเสวยของฝ่าบาทล้างต่างกับวันอื่นหรือไม่”

หญิงนั้นเงยหน้าตอบตรง “ต่างเจ้าค่ะ ถ้วยของฝ่าบาทถูกนำมาโดยกล่องแยก มีผ้าขาวห่อไว้แน่นกว่าทุกครั้ง ข้าน้อยมิอาจแกะดูได้ จึงเพียงล้างถ้วยอื่น ๆ”

“ใครเป็นผู้นำกล่องนั้นมา”

“เป็นขันทีผู้หนึ่ง ข้าน้อยจำหน้าได้ไม่ชัดเจ้าค่ะ”

เจิ้งหลินอวี่นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนให้ทหารยกถังผงซักล้างออกทั้งถัง

“อย่าให้ใครแตะต้องของของที่นี่จนกว่าข้าจะสั่ง”

เขากลับสู่เรือนจำเงาหยกในยามใกล้ย่ำค่ำ ความคิดเรียงร้อยกันแน่นหนาเหมือนเครือเถาวัลย์ที่คว้าเกี่ยวทุกจุดเชื่อมต่อ พยานที่เปลี่ยนคำ ขันทีที่พูดในกรอบเดียวกัน ถ้วยแยกห่อ มีมือที่มองไม่เห็นจัดวาง เส้นเรื่อง ให้ทุกอย่างจิ้มปลายดาบไปที่สตรีคนเดียว

Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • บุปผาพันธนาการ   ตอนที่ 37 เช้าวันใหม่หลังพายุ

    กลางดึกคืนนั้น ฟ้ากลับมืดครึ้มอย่างไม่ทันตั้งตัว สายลมแรงหอบเมฆดำเข้าปกคลุมหมู่บ้านสะพานบัว ฟ้าแลบสว่างวาบก่อนเสียงฟ้าร้องกึกก้องตามมา ฝนเม็ดโตโปรยลงไม่หยุดราวกับสวรรค์เทน้ำทั้งฟ้าเสียงสุนัขเห่าหอนดังระงม ผู้ใหญ่บ้านเถาเซิ่งรีบลุกขึ้นตะโกนปลุกชาวบ้านให้ช่วยกันปิดหน้าต่าง เก็บเสบียง และนำสัตว์เลี้ยงเข้าคอก ฝนถาโถมลงบนหลังคาฟางจนดังสนั่นในเรือนเล็ก ซูฮวาอิ๋นรีบจุดตะเกียง สวมเสื้อคลุมแล้วหันไปมองเจิ้งหลินอวี่ที่ยืนพิงประตู หน้าต่างไม้ถูกลมตีจนเปิดออกแทบหลุด“เจ้าคิดว่าจะร้ายแรงหรือไม่” นางถามด้วยเสียงสั่นน้อย ๆเจิ้งหลินอวี่เพ่งมองท้องฟ้ามืดสนิท ดวงตาคมวาวด้วยความเคร่งเครียด“เป็นพายุใหญ่แน่ เราต้องไปดูเขื่อนดินอีกครั้ง ไม่งั้นอาจซ้ำรอยเดิม”ซูฮวาอิ๋นใจหายวาบ “แต่กลางดึกเช่นนี้ ”เขาหันมาสบตานางตรง ๆ น้ำเสียงหนักแน่น“ข้าไม่ปล่อยให้หมู่บ้านนี้ตกอยู่ในอันตราย เจ้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไปเอง”นางก้าวเข้ามากุมแขนเขาแน่น“ไม่! เจ้าเคยเสี่ยงมาแล้วครั้งหนึ่ง ข้าไม่อาจนั่งรออยู่เฉยได้”สายตาของทั้งคู่ปะทะกันในแสงตะเกียงสลัว เสียงลมคำรามโอบล้อมรอบเรือน ราวกับฟ้ากำลังทดสอบคำมั่นที่เพิ่งให้กันกลางลานเ

  • บุปผาพันธนาการ   ตอนที่ 36 คำมั่นกลางลานเหมย

    ฤดูใบไม้ผลิผ่านไปอย่างงดงาม ต้นเหมยที่หน้าสวนแตกกิ่งใบอ่อนสีเขียวชอุ่ม ดอกสีขาวและชมพูโรยลงบนลานดินจนดูราวกับปูพรมจากฟ้า เด็ก ๆ ที่มาเรียนหนังสือต่างวิ่งเล่นท่ามกลางกลีบเหมยร่วงด้วยเสียงหัวเราะสดใสวันนี้เป็นวันพักการสอน ซูฮวาอิ๋นจึงเตรียมกาน้ำชาและขนมถั่วตัดมานั่งเล่นกลางลานใต้ต้นเหมยใหญ่ นางสวมชุดผ้าฝ้ายสีอ่อน ผมถูกรวบขึ้นอย่างเรียบง่าย ใบหน้าที่เคยผ่านทุกข์ยากกลับฉายความสงบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเจิ้งหลินอวี่เดินเข้ามาเงียบ ๆ ในมือถือหนังสือเก่าเล่มหนึ่ง เขานั่งลงเคียงข้าง มองเด็ก ๆ ที่วิ่งไล่จับกันอยู่ไกล ๆ ก่อนเอ่ยเสียงทุ้ม“นานมาแล้ว ข้าเคยคิดว่าชีวิตข้ามีไว้เพียงแบกหน้าที่ แต่วันนี้ ข้ารู้แล้วว่าหน้าที่ของข้าจริง ๆ คือการอยู่เคียงข้างเจ้า”ซูฮวาอิ๋นยกถ้วยชาให้เขา ดวงตาสุกใสสะท้อนแสงแดดอุ่น“ท่านพูดเหมือนจะสารภาพคำมั่นอะไรสักอย่าง”เจิ้งหลินอวี่ยกคิ้วเล็กน้อย “ก็ใช่ วันนี้ข้าอยากให้เจ้าได้ฟัง”ซูฮวาอิ๋นหัวเราะเบา ๆ มือบางประคองถ้วยชาของตนไว้แนบอก“งั้นข้าจะฟังอย่างตั้งใจ”สายลมอ่อนพัดกลีบเหมยปลิวลงมาราวกับฝนโปรย เจิ้งหลินอวี่วางหนังสือลงแล้วหันมาสบตานางตรง ๆ“ซูฮวาอิ๋น ข้าสาบานต

  • บุปผาพันธนาการ   ตอนที่ 35 งานแต่งเล็ก ๆ กลางหมู่บ้าน

    ฤดูใบไม้ผลิปีนั้นหมู่บ้านสะพานบัวอบอวลด้วยกลิ่นหอมของดอกเหมยที่บานสะพรั่งทั้งทุ่ง แสงแดดยามเช้าอาบไล้หลังคาฟางและรั้วไม้ไผ่จนเป็นสีทองอุ่น ผู้คนในหมู่บ้านต่างพูดคุยกันอย่างตื่นเต้น เพราะวันนี้มิใช่วันธรรมดา แต่เป็นวันที่ทุกคนรอคอย...วันแต่งของแม่นางซูกับคุณชายเจิ้ง...แต่เดิมซูฮวาอิ๋นเคยเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ หากแต่งงานย่อมต้องหรูหราในจวนขุนนาง มีแขกเหรื่อนับร้อยนับพัน แต่ครานี้งานแต่งกลับเรียบง่ายที่สุดในชีวิต และนั่นคือสิ่งที่นางปรารถนาที่สุดเช้าตรู่ สตรีชาวบ้านหลายคนพากันมาช่วยแต่งตัวให้นางในเรือนเล็ก ๆ ผมยาวดำสนิทถูกรวบขึ้นอย่างเรียบง่าย ประดับด้วยปิ่นไม้ไผ่แทนปิ่นทองคำ เสื้อคลุมผ้าฝ้ายสีชมพูอ่อนถูกเย็บปักด้วยลายดอกบัวโดยมือของหญิงชราในหมู่บ้านเด็กหญิงตัวน้อยร้องอุทานเสียงใส“ท่านอาจารย์สวยราวกับเทพธิดาเลย!”ซูฮวาอิ๋นหัวเราะเบา ๆ แก้มแดงระเรื่อ“ไม่หรอก ข้าเป็นเพียงสตรีธรรมดา แต่วันนี้เป็นวันที่หัวใจข้าเบิกบานที่สุด”ด้านนอกเรือน เจิ้งหลินอวี่สวมชุดผ้าป่านสีขาวสะอาด ผูกสายคาดเอวผ้าไหมที่ชาวบ้านช่วยกันทอ มือใหญ่ยังไม่คุ้นกับการยืนให้ใครแต่งองค์ทรงเครื่อง แต่เมื่อเขาเงยหน้ามองทุ่งท

  • บุปผาพันธนาการ   ตอนที่ 34 แขกจากวังหลวง

    เช้าวันหนึ่ง ท้องฟ้าเหนือหมู่บ้านสะพานบัวแจ่มใสเป็นพิเศษ ลมฤดูร้อนพัดเอื่อย กลีบดอกเหมยที่ปลิวจากสวนเล็ก ๆ ของซูฮวาอิ๋นโปรยลงตามทางดินราวกับโรยเกล็ดหิมะสีชมพูซูฮวาอิ๋นกำลังนั่งสอนเด็ก ๆ ที่ สวนที่ไม่มีประตู อย่างตั้งใจ เสียงหัวเราะเจื้อยแจ้วคลอไปกับเสียงพู่กันขีดลงบนกระดานไม้ทันใดนั้น เสียงเกือกม้าดังใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว ตึก ตึก ตึก ทำให้ทุกคนเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน เด็กชายคนหนึ่งอุทานเสียงดัง“มีแขกมา!”กลุ่มทหารในชุดเกราะเบาม้าสีน้ำตาลเข้มปรากฏขึ้นตรงทางเข้าหมู่บ้าน ฝุ่นแดงคลุ้งขึ้นตามฝีเท้า พวกชาวบ้านเริ่มแตกตื่นเพราะไม่คุ้นเคยกับภาพเช่นนี้“พวกเขามาจากวังหลวงหรือ” เสียงกระซิบดังระงมผู้นำขบวนคือชายหนุ่มสง่างามในชุดผ้าไหมสีกรมท่า ปักลายมังกรเงินประดับไหล่ ใบหน้าอ่อนเยาว์แต่แฝงความเด็ดขาด ดวงตาแหลมคมกวาดมองไปรอบ ๆซูฮวาอิ๋นเพียงเห็นเสี้ยวหน้า ก็จำได้ทันที หัวใจสั่นไหว องค์ชายรององค์ชายรองหยุดม้าที่กลางลาน แววตาคมกริบเมื่อสบเข้ากับซูฮวาอิ๋น ริมฝีปากยกยิ้มบาง“ในที่สุดข้าก็หาพบเจ้าแล้ว ฮวาอิ๋น”เด็ก ๆ รีบวิ่งไปหลบหลังเจิ้งหลินอวี่ที่ยืนอยู่ด้านข้างโดยไม่รู้ตัว ชาวบ้านต่างก้าวถอยเล็กน้

  • บุปผาพันธนาการ   ตอนที่ 33 ชายทุ่งในยามพระจันทร์เต็มดวง

    คืนเดือนเพ็ญแรกของฤดูร้อน หมู่บ้านสะพานบัวสว่างด้วยแสงจันทร์กลมโตที่ลอยเหนือขอบเขา แสงสีเงินสาดลงบนทุ่งข้าวสาลีที่กำลังตั้งท้องเป็นระลอกคลื่นราวกับทะเลสีทอง เสียงแมลงกลางคืนขับขานประสานกับเสียงน้ำไหลใต้สะพานบัว เกิดเป็นท่วงทำนองสงบที่โอบกอดหัวใจผู้คนในหมู่บ้านเล็ก ๆ นี้หลังมื้อค่ำ เถาเซิ่งผู้ใหญ่บ้านจุดกองไฟกลางทุ่ง ชาวบ้านต่างมานั่งล้อมเป็นวงใหญ่ เด็ก ๆ วิ่งไล่จับกันจนเสียงหัวเราะดังลั่น บางคนร้องเพลงพื้นบ้าน บางคนตีกลองไม้ตามจังหวะสนุกสนาน กลายเป็นงานเล็ก ๆ ที่ทุกคนร่วมกันสร้างขึ้นเองซูฮวาอิ๋นยืนอยู่ริมทุ่ง ผ้าคลุมบางสะบัดไหวตามลม นางเงยหน้ามองดวงจันทร์ที่ส่องสว่าง พลันรู้สึกได้ถึงความเงียบสงบที่ต่างจากวังหลวงโดยสิ้นเชิง นี่คือความสุขแท้จริง เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความหมายเจิ้งหลินอวี่เดินเข้ามาข้าง ๆ ร่างสูงสง่างามในชุดผ้าป่านสีเข้ม ดวงตาคมสะท้อนแสงจันทร์ เขายื่นถ้วยน้ำชาสมุนไพรให้นาง“ดื่มสิ คืนนี้อากาศแม้จะอุ่น แต่ลมก็ยังแรง”ซูฮวาอิ๋นรับถ้วยมา ดื่มคำเล็ก ๆ แล้วเงยหน้ามองเขา แสงจันทร์ทำให้ใบหน้าของเขาดูอ่อนโยนกว่าเคย“เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าเราจะมีวันที่ได้ยืนอยู่ที่ทุ่งเช่นนี้ โด

  • บุปผาพันธนาการ   ตอนที่ 32 อาจารย์กับศิษย์ตัวน้อย

    แสงเช้าส่องลอดม่านหมอกบางเหนือหมู่บ้านสะพานบัว ไก่ขันตอบกันจากคอกโน้นถึงคอกนี้ เสียงครกตำข้าวดัง ตึก ตึก ตึก ประสานกับเสียงหัวเราะเด็ก ๆ ที่วิ่งเล่นริมทางดินในสวนที่ไม่มีประตู วันนี้คึกคักกว่าทุกวัน ซูฮวาอิ๋นนั่งอยู่ตรงโต๊ะไม้เตี้ย ๆ ข้างกระดานดำที่ชาวบ้านช่วยกันทำขึ้น นางถือพู่กัน ขีดเส้นอักษรตัวใหญ่ ๆ ช้า ๆ แล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยน“วันนี้เราจะเรียนเขียนคำว่าบ้านกันนะ”เด็ก ๆ ร้องตามเป็นเสียงเดียวกัน “บ้าน!”นางยิ้มบาง มองดวงตาใส ๆ ที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น“บ้าน ไม่ใช่แค่เรือนที่มีหลังคา หากคือที่ที่มีคนรอเรา มีเสียงหัวเราะ และมีความอบอุ่นอยู่ข้างใน”เด็กหญิงตัวน้อยที่เคยเขียนชื่อแม่ได้แล้ว ยกมือถาม“แล้วบ้านของท่านน้าซูอยู่ที่ไหนหรือเจ้าคะ”คำถามนั้นทำให้นางชะงักไปครู่หนึ่ง แต่แล้วริมฝีปากก็คลี่ยิ้มอ่อนโยน“บ้านของข้า...อยู่ที่ตรงนี้ อยู่กับทุกคน และอยู่กับคน ๆ หนึ่งที่ข้าคอยให้กลับมาทุกค่ำวัน”เสียงเด็ก ๆ หัวเราะคิกคัก บางคนหันไปแซว“ต้องเป็นคุณชายเจิ้งแน่ ๆ ใช่ไหม!”ใบหน้าของซูฮวาอิ๋นขึ้นสีแดงระเรื่อ แต่ดวงตานางกลับเป็นประกายสว่างอย่างที่ไม่อาจปฏิเสธได้ขณะเดียวกัน เจิ้งหลิน

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status