ความเงียบของเรือนจำใต้ดินนั้นหนักหน่วงจนราวกับกดทับทุกสรรพชีวิตให้หายใจลำบาก ทุกก้าวเดินของเจิ้งหลินอวี่ดังก้องสะท้อนในโถงหิน ราวกับจังหวะที่คอยชี้วัดชะตากรรมของนักโทษตรงหน้า
ซูฮวาอิ๋นมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่หลังประตูเหล็กด้วยแววตาเย้ยหยันเล็กน้อย นางมิได้ยกมือไหว้อ้อนวอนหรือแสดงความหวาดกลัวเหมือนนักโทษทั่วไป แต่ตรงกันข้าม ร่างบางนั่งพิงผนังห้องขังอย่างสง่างาม แววตาอ่อนช้อยกลับเฉียบคม
“ขุนนางกรมสอบสวนผู้เลื่องชื่อแห่งราชสำนักอย่างท่าน จะลดตัวมาถามไถ่สตรีอับโชคอย่างข้าถึงเพียงนี้เลยหรือ” เสียงของนางนุ่มละมุนแต่ปนกลิ่นปรามาส
เจิ้งหลินอวี่ปรายตามองเพียงครู่ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าถูกกล่าวหาว่าวางยาพิษในสุราของฝ่าบาท คำให้การของเจ้าจะตัดสินว่าตระกูลของเจ้าจะถูกกวาดล้างจนสิ้น หรือยังมีโอกาสรักษาไว้ซึ่งเงาของเกียรติยศ”
คำพูดของเขาคมชัดราวกับดาบสั้นที่แทงเข้าตรงเข้าอก ทว่าใบหน้าของซูฮวาอิ๋นกลับไม่ไหวเอนแม้เพียงเสี้ยว นางเพียงหัวเราะเบา ๆ จนสะท้อนก้องในกำแพงหิน
“หากสิ่งที่ท่านต้องการคือคำสารภาพ เกรงว่าเรือนจำนี้คงได้ขังข้าไปจนสิ้นอายุขัยแล้วกระมัง”
ความเงียบปกคลุมอีกครั้ง สายตาของทั้งสองประสานกันผ่านช่องเหล็กเล็ก ๆ แววตาของเขาเย็นยะเยือกเหมือนคมมีดส่องแสงภายใต้จันทร์มืด ขณะที่แววตาของนางกลับมีประกายไฟเล็ก ๆ ราวกับบุปผาที่แม้จะถูกกักขัง แต่ก็ยังหาญกล้าผลิบานท่ามกลางโซ่ตรวน
เสียงเหล็กเสียดสีกันดังขึ้นเมื่อเจิ้งหลินอวี่ยกกุญแจขึ้นไขประตู เขาก้าวเข้าไปภายในห้องขัง ความเงียบที่กดดันยิ่งทวีเมื่อสองสายตาสอดประสานใกล้ขึ้นเพียงคืบ
“ข้าจะมาที่นี่ทุกวัน จนกว่าเจ้าจะพูดความจริง” เจิ้งหลินอวี่เอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ
ซูฮวาอิ๋นยกริมฝีปากขึ้นน้อย ๆ คล้ายรอยยิ้มที่มิใช่รอยยิ้ม
“เช่นนั้นก็แล้วแต่ท่านเถิด ข้าเองก็จะทำให้ทุกวันที่ท่านมาเยือนเรือนจำแห่งนี้ มิใช่วันของผู้ชนะ”
คำพูดนั้นของนางเหมือนคำท้าทายที่แฝงไว้ด้วยกลิ่นหอมของบุปผาในพายุฝน
เสียงหยดน้ำจากเพดานตกกระทบพื้นหินทีละหยด คล้ายกับเสียงนาฬิกาที่นับเวลายืดยาว
เจิ้งหลินอวี่นั่งบนเก้าอี้ไม้ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามซูฮวาอิ๋น โดยมีเพียงโต๊ะเล็ก ๆ กั้นกลาง ทั้งห้องมีเพียงตะเกียงดวงน้อยวางบนโต๊ะนั้น เผยให้เห็นดวงหน้าทั้งสองครึ่งสว่างครึ่งมืด
สายตาของเจิ้งหลินอวี่เฉียบคมดุจดาบที่ใช้สอบสวนผู้ต้องหา เขาเคยเผชิญนักโทษมามากมาย บางคนร่ำไห้ บางคนกรีดร้องด้วยความกลัว บางคนรีบสารภาพเพื่อเอาชีวิตรอด ทว่าไม่เคยมีใครกล้าสบตากับเขาตรง ๆ เช่นซูฮวาอิ๋นมาก่อน
“ในคืนงานเลี้ยง เจ้าอยู่ใกล้สุราที่ฝ่าบาทเสวยที่สุด เหตุใดจึงไม่ยอมชี้แจง” เจิ้งหลินอวี่เอ่ยถามเสียงเรียบ
ซูฮวาอิ๋นเอียงศีรษะเล็กน้อย สายตาของนางคล้ายกับกำลังเล่นสนุกกับคำถาม
“ท่านเชื่อคำของเฉินกุ้ยเฟย หรือเชื่อสิ่งที่ตนเห็นกับตากันเล่า?”
เขาเงียบไปอึดใจ แววตาเย็นลงอีกขั้น “สิ่งที่ข้าเชื่อ คือหลักฐาน”
“หลักฐานหรือ?” ซูฮวาอิ๋นหัวเราะเบา ๆ “หลักฐานนั้นสร้างขึ้นได้ง่ายยิ่งกว่าการเด็ดกลีบบุปผาหนึ่งดอกเสียอีก”
คำพูดของนางทำให้บรรยากาศในห้องตรึงเครียดขึ้นอีกครั้ง เจิ้งหลินอวี่ฟาดฝ่ามือลงบนโต๊ะเล็ก ๆ จนเสียงดัง ปัง! เขาโน้มตัวเข้ามาใกล้ สายตาคมกริบจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของนาง
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าคำพูดลอย ๆ เช่นนี้ หากมิอาจพิสูจน์ได้ จะยิ่งทำให้เจ้าสิ้นใจเร็วขึ้นในที่แห่งนี้”
ซูฮวาอิ๋นมิได้สะทกสะท้าน นางก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนเชิดขึ้น ริมฝีปากแดงคลี่ยิ้มเย็นเยือก
“เช่นนั้นก็ดี อย่างน้อยข้าก็จะได้ตายไปพร้อมความจริงที่ว่าข้าไม่เคยแตะต้องยาพิษนั้นเลย และความจริงที่ว่าข้าไม่เคยรู้เรื่องนี้ด้วยซ้ำ”
สายตาสองคู่สบกัน หนึ่งคือความดื้อดึงที่ไม่ยอมสยบ อีกหนึ่งคือความเย็นชาที่คล้ายกำแพงน้ำแข็ง บรรยากาศเต็มไปด้วยแรงกดดันที่แม้แต่ตะเกียงดวงเล็กยังสั่นไหวตามเปลวไฟ
เจิ้งหลินอวี่ผละตัวออกเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “งั้นก็รอดูเถิด ว่าความเงียบของเจ้าจะช่วยอะไรได้บ้าง”
เขาลุกขึ้น เดินออกไปจากห้องขังโดยไม่หันกลับมาแม้แต่น้อย เหลือไว้เพียงเงามืดที่ทอดยาวคล้ายโซ่ตรวนพันธนาการหัวใจของซูฮวาอิ๋น
หลังจากที่เจิ้งหลินอวี่เดินจากไป ความเงียบอันหนาวเหน็บก็หวนคืนสู่เรือนจำเงาหยกอีกครั้ง ซูฮวาอิ๋นยกสายตามองเพดานหินชื้นที่อยู่เหนือหัว เปลวไฟจากตะเกียงเล็ก ๆ ส่องสว่างเพียงรำไร คล้ายจะดับลงทุกเมื่อ เสียงหยดน้ำยังคงดังต่อเนื่องเหมือนบทเพลงโศกของผู้ที่ถูกกักขัง
นางยกข้อมือขึ้นมอง โซ่ตรวนเหล็กที่กดทับผิวเนื้อทิ้งรอยช้ำแดง นางหัวเราะในลำคอแผ่วเบา แม้ร่างจะถูกพันธนาการ แต่หัวใจหรือจะมีผู้ใดสามารถกักขังได้
ทว่าทันทีที่นางหลับตาลง ภาพความวุ่นวายในงานเลี้ยงก็หวนกลับมาอีกครั้ง ทั้งเสียงกล่าวหาที่เสียดแทงเหมือนหอกพันเล่มพุ่งมาปักกลางอก และแววตาอันแสนเย็นชาของผู้เป็นบิดาของนางเอง บิดาที่เลือกหันหน้าหนีแทนที่จะปกป้องนาง นั่นต่างหากคือพันธนาการที่นางเจ็บปวดที่สุด!
อีกฟากหนึ่งของเรือนจำเงาหยก เจิ้งหลินอวี่ยืนอยู่บนระเบียงหิน มองลงมายังคุกคุมขังที่อยู่เบื้องล่าง จุดที่มีตะเกียงเรียงรายเหมือนแสงวิญญาณ เขายกมือไพล่หลัง สีหน้าคมกริบแต่แววตาแฝงแววคิดลึก
“นางมิใช่สตรีธรรมดาทั่วไป” เขาพึมพำกับตนเอง เสียงเย็นต่ำสะท้อนในความมืด
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขามักเห็นนักโทษหวาดกลัวจนตัวสั่นเทาเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา แต่ซูฮวาอิ๋นกลับตรงกันข้าม นางท้าทายสายตาเขา ราวกับกำลังบอกเขาว่า “จงพิสูจน์หาความจริง หากเจ้ามั่นใจว่าตนหาญพอ”
ยิ่งนึกถึงสายตาคู่นั้น เขากลับยิ่งรู้สึกถึงความคุ้นเคยบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้ ความรู้สึกแปลกประหลาดที่ทำให้หัวใจเขาไหวเพียงชั่วครู่ และนั่นคือสิ่งที่เขาไม่เคยยอมให้เกิดขึ้นมาก่อน
เจิ้งหลินอวี่กำหมัดแน่นเพื่อกดทับความลังเลในใจ เขาคือขุนนางของกรมสอบสวน หน้าที่ของเขาคือหาหลักฐาน ไม่ใช่เปิดใจให้กับนักโทษหญิงผู้ต้องหาวางยาพิษฝ่าบาท
แต่ทว่าลึกลงไป เขารู้ดีกว่าผู้ใด ว่านับตั้งแต่วินาทีแรกที่ดวงตาทั้งคู่สบกัน หัวใจของเขาก็เริ่มถูกขังไว้ในเรือนจำเดียวกับนางแล้ว...
กลางดึกคืนนั้น ฟ้ากลับมืดครึ้มอย่างไม่ทันตั้งตัว สายลมแรงหอบเมฆดำเข้าปกคลุมหมู่บ้านสะพานบัว ฟ้าแลบสว่างวาบก่อนเสียงฟ้าร้องกึกก้องตามมา ฝนเม็ดโตโปรยลงไม่หยุดราวกับสวรรค์เทน้ำทั้งฟ้าเสียงสุนัขเห่าหอนดังระงม ผู้ใหญ่บ้านเถาเซิ่งรีบลุกขึ้นตะโกนปลุกชาวบ้านให้ช่วยกันปิดหน้าต่าง เก็บเสบียง และนำสัตว์เลี้ยงเข้าคอก ฝนถาโถมลงบนหลังคาฟางจนดังสนั่นในเรือนเล็ก ซูฮวาอิ๋นรีบจุดตะเกียง สวมเสื้อคลุมแล้วหันไปมองเจิ้งหลินอวี่ที่ยืนพิงประตู หน้าต่างไม้ถูกลมตีจนเปิดออกแทบหลุด“เจ้าคิดว่าจะร้ายแรงหรือไม่” นางถามด้วยเสียงสั่นน้อย ๆเจิ้งหลินอวี่เพ่งมองท้องฟ้ามืดสนิท ดวงตาคมวาวด้วยความเคร่งเครียด“เป็นพายุใหญ่แน่ เราต้องไปดูเขื่อนดินอีกครั้ง ไม่งั้นอาจซ้ำรอยเดิม”ซูฮวาอิ๋นใจหายวาบ “แต่กลางดึกเช่นนี้ ”เขาหันมาสบตานางตรง ๆ น้ำเสียงหนักแน่น“ข้าไม่ปล่อยให้หมู่บ้านนี้ตกอยู่ในอันตราย เจ้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไปเอง”นางก้าวเข้ามากุมแขนเขาแน่น“ไม่! เจ้าเคยเสี่ยงมาแล้วครั้งหนึ่ง ข้าไม่อาจนั่งรออยู่เฉยได้”สายตาของทั้งคู่ปะทะกันในแสงตะเกียงสลัว เสียงลมคำรามโอบล้อมรอบเรือน ราวกับฟ้ากำลังทดสอบคำมั่นที่เพิ่งให้กันกลางลานเ
ฤดูใบไม้ผลิผ่านไปอย่างงดงาม ต้นเหมยที่หน้าสวนแตกกิ่งใบอ่อนสีเขียวชอุ่ม ดอกสีขาวและชมพูโรยลงบนลานดินจนดูราวกับปูพรมจากฟ้า เด็ก ๆ ที่มาเรียนหนังสือต่างวิ่งเล่นท่ามกลางกลีบเหมยร่วงด้วยเสียงหัวเราะสดใสวันนี้เป็นวันพักการสอน ซูฮวาอิ๋นจึงเตรียมกาน้ำชาและขนมถั่วตัดมานั่งเล่นกลางลานใต้ต้นเหมยใหญ่ นางสวมชุดผ้าฝ้ายสีอ่อน ผมถูกรวบขึ้นอย่างเรียบง่าย ใบหน้าที่เคยผ่านทุกข์ยากกลับฉายความสงบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเจิ้งหลินอวี่เดินเข้ามาเงียบ ๆ ในมือถือหนังสือเก่าเล่มหนึ่ง เขานั่งลงเคียงข้าง มองเด็ก ๆ ที่วิ่งไล่จับกันอยู่ไกล ๆ ก่อนเอ่ยเสียงทุ้ม“นานมาแล้ว ข้าเคยคิดว่าชีวิตข้ามีไว้เพียงแบกหน้าที่ แต่วันนี้ ข้ารู้แล้วว่าหน้าที่ของข้าจริง ๆ คือการอยู่เคียงข้างเจ้า”ซูฮวาอิ๋นยกถ้วยชาให้เขา ดวงตาสุกใสสะท้อนแสงแดดอุ่น“ท่านพูดเหมือนจะสารภาพคำมั่นอะไรสักอย่าง”เจิ้งหลินอวี่ยกคิ้วเล็กน้อย “ก็ใช่ วันนี้ข้าอยากให้เจ้าได้ฟัง”ซูฮวาอิ๋นหัวเราะเบา ๆ มือบางประคองถ้วยชาของตนไว้แนบอก“งั้นข้าจะฟังอย่างตั้งใจ”สายลมอ่อนพัดกลีบเหมยปลิวลงมาราวกับฝนโปรย เจิ้งหลินอวี่วางหนังสือลงแล้วหันมาสบตานางตรง ๆ“ซูฮวาอิ๋น ข้าสาบานต
ฤดูใบไม้ผลิปีนั้นหมู่บ้านสะพานบัวอบอวลด้วยกลิ่นหอมของดอกเหมยที่บานสะพรั่งทั้งทุ่ง แสงแดดยามเช้าอาบไล้หลังคาฟางและรั้วไม้ไผ่จนเป็นสีทองอุ่น ผู้คนในหมู่บ้านต่างพูดคุยกันอย่างตื่นเต้น เพราะวันนี้มิใช่วันธรรมดา แต่เป็นวันที่ทุกคนรอคอย...วันแต่งของแม่นางซูกับคุณชายเจิ้ง...แต่เดิมซูฮวาอิ๋นเคยเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ หากแต่งงานย่อมต้องหรูหราในจวนขุนนาง มีแขกเหรื่อนับร้อยนับพัน แต่ครานี้งานแต่งกลับเรียบง่ายที่สุดในชีวิต และนั่นคือสิ่งที่นางปรารถนาที่สุดเช้าตรู่ สตรีชาวบ้านหลายคนพากันมาช่วยแต่งตัวให้นางในเรือนเล็ก ๆ ผมยาวดำสนิทถูกรวบขึ้นอย่างเรียบง่าย ประดับด้วยปิ่นไม้ไผ่แทนปิ่นทองคำ เสื้อคลุมผ้าฝ้ายสีชมพูอ่อนถูกเย็บปักด้วยลายดอกบัวโดยมือของหญิงชราในหมู่บ้านเด็กหญิงตัวน้อยร้องอุทานเสียงใส“ท่านอาจารย์สวยราวกับเทพธิดาเลย!”ซูฮวาอิ๋นหัวเราะเบา ๆ แก้มแดงระเรื่อ“ไม่หรอก ข้าเป็นเพียงสตรีธรรมดา แต่วันนี้เป็นวันที่หัวใจข้าเบิกบานที่สุด”ด้านนอกเรือน เจิ้งหลินอวี่สวมชุดผ้าป่านสีขาวสะอาด ผูกสายคาดเอวผ้าไหมที่ชาวบ้านช่วยกันทอ มือใหญ่ยังไม่คุ้นกับการยืนให้ใครแต่งองค์ทรงเครื่อง แต่เมื่อเขาเงยหน้ามองทุ่งท
เช้าวันหนึ่ง ท้องฟ้าเหนือหมู่บ้านสะพานบัวแจ่มใสเป็นพิเศษ ลมฤดูร้อนพัดเอื่อย กลีบดอกเหมยที่ปลิวจากสวนเล็ก ๆ ของซูฮวาอิ๋นโปรยลงตามทางดินราวกับโรยเกล็ดหิมะสีชมพูซูฮวาอิ๋นกำลังนั่งสอนเด็ก ๆ ที่ สวนที่ไม่มีประตู อย่างตั้งใจ เสียงหัวเราะเจื้อยแจ้วคลอไปกับเสียงพู่กันขีดลงบนกระดานไม้ทันใดนั้น เสียงเกือกม้าดังใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว ตึก ตึก ตึก ทำให้ทุกคนเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน เด็กชายคนหนึ่งอุทานเสียงดัง“มีแขกมา!”กลุ่มทหารในชุดเกราะเบาม้าสีน้ำตาลเข้มปรากฏขึ้นตรงทางเข้าหมู่บ้าน ฝุ่นแดงคลุ้งขึ้นตามฝีเท้า พวกชาวบ้านเริ่มแตกตื่นเพราะไม่คุ้นเคยกับภาพเช่นนี้“พวกเขามาจากวังหลวงหรือ” เสียงกระซิบดังระงมผู้นำขบวนคือชายหนุ่มสง่างามในชุดผ้าไหมสีกรมท่า ปักลายมังกรเงินประดับไหล่ ใบหน้าอ่อนเยาว์แต่แฝงความเด็ดขาด ดวงตาแหลมคมกวาดมองไปรอบ ๆซูฮวาอิ๋นเพียงเห็นเสี้ยวหน้า ก็จำได้ทันที หัวใจสั่นไหว องค์ชายรององค์ชายรองหยุดม้าที่กลางลาน แววตาคมกริบเมื่อสบเข้ากับซูฮวาอิ๋น ริมฝีปากยกยิ้มบาง“ในที่สุดข้าก็หาพบเจ้าแล้ว ฮวาอิ๋น”เด็ก ๆ รีบวิ่งไปหลบหลังเจิ้งหลินอวี่ที่ยืนอยู่ด้านข้างโดยไม่รู้ตัว ชาวบ้านต่างก้าวถอยเล็กน้
คืนเดือนเพ็ญแรกของฤดูร้อน หมู่บ้านสะพานบัวสว่างด้วยแสงจันทร์กลมโตที่ลอยเหนือขอบเขา แสงสีเงินสาดลงบนทุ่งข้าวสาลีที่กำลังตั้งท้องเป็นระลอกคลื่นราวกับทะเลสีทอง เสียงแมลงกลางคืนขับขานประสานกับเสียงน้ำไหลใต้สะพานบัว เกิดเป็นท่วงทำนองสงบที่โอบกอดหัวใจผู้คนในหมู่บ้านเล็ก ๆ นี้หลังมื้อค่ำ เถาเซิ่งผู้ใหญ่บ้านจุดกองไฟกลางทุ่ง ชาวบ้านต่างมานั่งล้อมเป็นวงใหญ่ เด็ก ๆ วิ่งไล่จับกันจนเสียงหัวเราะดังลั่น บางคนร้องเพลงพื้นบ้าน บางคนตีกลองไม้ตามจังหวะสนุกสนาน กลายเป็นงานเล็ก ๆ ที่ทุกคนร่วมกันสร้างขึ้นเองซูฮวาอิ๋นยืนอยู่ริมทุ่ง ผ้าคลุมบางสะบัดไหวตามลม นางเงยหน้ามองดวงจันทร์ที่ส่องสว่าง พลันรู้สึกได้ถึงความเงียบสงบที่ต่างจากวังหลวงโดยสิ้นเชิง นี่คือความสุขแท้จริง เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความหมายเจิ้งหลินอวี่เดินเข้ามาข้าง ๆ ร่างสูงสง่างามในชุดผ้าป่านสีเข้ม ดวงตาคมสะท้อนแสงจันทร์ เขายื่นถ้วยน้ำชาสมุนไพรให้นาง“ดื่มสิ คืนนี้อากาศแม้จะอุ่น แต่ลมก็ยังแรง”ซูฮวาอิ๋นรับถ้วยมา ดื่มคำเล็ก ๆ แล้วเงยหน้ามองเขา แสงจันทร์ทำให้ใบหน้าของเขาดูอ่อนโยนกว่าเคย“เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าเราจะมีวันที่ได้ยืนอยู่ที่ทุ่งเช่นนี้ โด
แสงเช้าส่องลอดม่านหมอกบางเหนือหมู่บ้านสะพานบัว ไก่ขันตอบกันจากคอกโน้นถึงคอกนี้ เสียงครกตำข้าวดัง ตึก ตึก ตึก ประสานกับเสียงหัวเราะเด็ก ๆ ที่วิ่งเล่นริมทางดินในสวนที่ไม่มีประตู วันนี้คึกคักกว่าทุกวัน ซูฮวาอิ๋นนั่งอยู่ตรงโต๊ะไม้เตี้ย ๆ ข้างกระดานดำที่ชาวบ้านช่วยกันทำขึ้น นางถือพู่กัน ขีดเส้นอักษรตัวใหญ่ ๆ ช้า ๆ แล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยน“วันนี้เราจะเรียนเขียนคำว่าบ้านกันนะ”เด็ก ๆ ร้องตามเป็นเสียงเดียวกัน “บ้าน!”นางยิ้มบาง มองดวงตาใส ๆ ที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น“บ้าน ไม่ใช่แค่เรือนที่มีหลังคา หากคือที่ที่มีคนรอเรา มีเสียงหัวเราะ และมีความอบอุ่นอยู่ข้างใน”เด็กหญิงตัวน้อยที่เคยเขียนชื่อแม่ได้แล้ว ยกมือถาม“แล้วบ้านของท่านน้าซูอยู่ที่ไหนหรือเจ้าคะ”คำถามนั้นทำให้นางชะงักไปครู่หนึ่ง แต่แล้วริมฝีปากก็คลี่ยิ้มอ่อนโยน“บ้านของข้า...อยู่ที่ตรงนี้ อยู่กับทุกคน และอยู่กับคน ๆ หนึ่งที่ข้าคอยให้กลับมาทุกค่ำวัน”เสียงเด็ก ๆ หัวเราะคิกคัก บางคนหันไปแซว“ต้องเป็นคุณชายเจิ้งแน่ ๆ ใช่ไหม!”ใบหน้าของซูฮวาอิ๋นขึ้นสีแดงระเรื่อ แต่ดวงตานางกลับเป็นประกายสว่างอย่างที่ไม่อาจปฏิเสธได้ขณะเดียวกัน เจิ้งหลิน