Home / อื่น ๆ / บุปผาพันธนาการ / ตอนที่ 5 พยานปากสำคัญถูกพบเป็นศพ

Share

ตอนที่ 5 พยานปากสำคัญถูกพบเป็นศพ

Author: Bosskerr
last update Huling Na-update: 2025-09-08 21:23:53

ค่ำมืดโปรยคลุมเหนือหลังคาอิฐสีครามของกองคลังตำหนัก กลิ่นยางสนจากตะเกียงน้ำมันผสานกลิ่นกระดาษเก่าลอยแตะจมูก เจิ้งหลินอวี่ขอ บันทึกป้ายตรา ของไหสุราทั้งหมดในเดือนนี้ ทหารนำสมุดบัญชีหน้าหนาออกมาวาง บรรทัดลายมือเรียบร้อยตรึงตราเขียนไว้ตามกฎพิธี

เขากวาดดูทีละหน้า แล้วหยุดนิ่งตรงรายการหนึ่ง ป้ายตราไหสำรองสีแดง ชุดเดียวกับที่พบว่า ชำรุด ในคืนงานเลี้ยง บรรทัดระบุผู้รับผิดชอบว่าคือ ซิ่นกงกง แต่หมึกช่วงชื่อตรงท้าย สีซีดผิดกว่าบรรทัดข้างเคียง ราวลงหมึกคนละเวลา

เจิ้งหลินอวี่เชิดคางน้อย ๆ “ไปเรียกซิ่นกงกงมา”

ชายชราเดินโก่งหลังถือพัดกระดูกงูค่อย ๆ เข้ามา ค้อมศีรษะ

“ใต้เท้าเจิ้งเรียกคนแก่คนหนึ่งมามีอันใดหรือขอรับ”

“บันทึกบรรทัดนี้ เจ้าลงบันทึกไว้เมื่อใด”

ซิ่นกงกงกะพริบตาช้า ๆ “หลายวันก่อน ข้าน้อยแก่แล้วความจำสั้นนัก จำวันที่ชัดเจนไม่ได้”

“หมึกในบรรทัดนี้ใหม่กว่าบรรทัดอื่น นั่นหมายความว่า ไม่ได้ลงพร้อมกัน” เสียงของเจิ้งหลินอวี่นิ่ง แต่บาดผิว

“เหตุผล”

ซิ่นกงกงยิ้มแห้ง ปาดเหงื่อ “ข้าน้อยคงเติมชื่อหลังจากตรวจสอบใหม่อีกครา”

“ตรวจสอบหรือแก้ชื่อ” เจิ้งหลินอวี่ปิดสมุด แววตาเย็นเฉียบ

“ดูแลตัวเองให้ดีด้วยซิ่นกงกง คืนนี้อย่าออกจากตำหนักที่เจ้าอยู่ล่ะ”

เขาออกจากกองคลังไปด้วยจังหวะเท้าเดิม ทว่าในอกกลับก้องเสียงบางอย่าง ราวกับมีคนกำลังให้จังหวะกลองศึกเบา ๆ ความจริงไม่ได้ซ่อนอยู่ไกล หากซ่อนอยู่ใน ช่องว่างของเวลา ระหว่างหมึกเก่าและหมึกใหม่

ยามดึกสงัดมาเยือนอีกครา เขากลับมายังเรือนจำเงาหยกอย่างที่พูด ซูฮวาอิ๋นยังไม่หลับ นางนั่งพิงผนัง เงี่ยหูฟังเสียงหยดน้ำราวนับลมหายใจคนทั้งป้อม

“ท่านกลับมาแล้วจริง ๆ” นางเอ่ยเบา ๆ

“ข้าพูดแล้วว่าจะกลับมา ก็ต้องกลับมา” เขาตอบสั้น

“ข้าคิดว่าขุนนางสอบสวนที่เลื่องชื่อเช่นท่าน คงไม่เสียเวลาให้นักโทษสตรีคนหนึ่ง”

“ข้ารอคำตอบ” เจิ้งหลินอวี่ยืนพิงราวเหล็ก “ในวันฝนตกเมื่อสิบปีก่อน เจ้าอยู่ที่เชิงผาป่าสนหรือไม่”

ซูฮวาอิ๋นเงียบไปนาน ดวงตานิ่งดุจผืนน้ำในคืนไร้เดือน แล้วจึงถามกลับ

“เหตุใดจึงถามเช่นนั้นเล่า”

“ข้าอยากรู้ว่าเสียงที่ข้าได้ยิน เป็นของเจ้าหรือไม่” คำว่า เสียงหลุดออกมาเบาจนแทบกลายเป็นลมหายใจ

ซูฮวาอิ๋นหัวเราะน้อย ๆ “ข้าเคยผ่านที่นั่นบ่อยครั้ง แต่สิบปีก่อนหลายสิ่งเลือนราง สำหรับข้าแล้ว ช่วงเวลานั้นเหมือนไฟและฝนสลับกันจนกลายเป็นเถ้าถ่าน”

เจิ้งหลินอวี่นิ่งงัน คำตอบที่มีทั้งใช่และไม่ใช่ ทำให้ฉากหิมะในหัวเขายิ่งพร่ามัว แต่ส่วนที่ชัดขึ้นกลับเป็นกลิ่นดอกเหมย และท่อนทำนองที่เขาไม่เคยลืม

ก่อนเขาจะเอ่ยสิ่งใดต่อ เสียงฝีเท้าหลายคู่รีบร้อนดังขึ้นจากโถง ทหารสองนายพาร่างคนเจ็บเลือดซึมเข้ามา

“ใต้เท้า! ข่าวร้าย พยานหญิงที่ชื่ออวี้เจียว พบเป็นศพที่บ่อน้ำข้างลานซักผ้าขอรับนางกำนัลคนอื่นพูดกันว่านางพลัดลื่นล้มแล้วตกลงไปในบ่อน้ำข้างลานซักผ้าขอรับ”

ซูฮวาอิ๋นเงยหน้าในฉับพลัน ดวงตาสั่นไหววูบเดียวแล้วกลับนิ่งสนิท

“ผู้ที่พูดมากเกินไป มักลื่นล้มในที่เปียก เป็นอุบัติเหตุที่ชอบเกิดในวังหลวง”

เจิ้งหลินอวี่หันขวับไปยังทหาร “ปิดพื้นที่ ห้ามใครแตะต้องศพและของทุกชิ้น แจ้งหมอหลวงไปตรวจพิสูจน์ทันที”

“ขอรับ!”

เงาราตรีหนาหนักลงอย่างฉับพลัน เหมือนมีมือยักษ์ฟาดทับทั้งเรือนจำ แสงตะเกียงเต้นระริกดั่งใจคนถูกสั่น เจิ้งหลินอวี่หันกลับมา สบตาซูฮวาอิ๋นผ่านราวเหล็ก

“คืนนี้ เจ้าอย่าเพิ่งนอน ข้าจะกลับมาบอกสิ่งที่ข้าพบ” เขาพูดเหมือนออกคำสั่งกับตัวเอง

ซูฮวาอิ๋นพยักหน้าน้อย ๆ “ได้ ข้าจะรอท่านกลับมาแจ้งข่าว”

เขาหันหลังออกไป เสียงเกราะกระทบกันเป็นจังหวะเรียกสติของทหารทุกนาย ยามหมุนผ่าน เขาเห็นเงาคนหนึ่งยืนอยู่หลังเสา เงาที่เลือนจากไฟ สวมชุดขันที สูงเพรียว และเมื่อไฟไหว เงานั้นก็หายไปดั่งไม่เคยมีอยู่

ครึ่งชั่วยามต่อมา ในลานซักผ้าที่มีกลิ่นหอมเหลือค้างอยู่ในอากาศ แสงตะเกียงโอบศพหญิงสาวไว้เหมือนวงแหวนหมอก อวี้เจียวดวงหน้าซีดเย็นสนิท ดวงตาปิดลงเรียบร้อยราวคนผล็อยหลับ ข้อมือไม่มีรอยดิ้นรน บริเวณส้นเท้ามีโคลนติดเพียงน้อยนิด น้อยเกินกว่าจะลื่นล้มเอง

เจิ้งหลินอวี่คุกเข่าลงตรวจ ผมเส้นเล็กติดอยู่กับมุมถังซักหนึ่งเส้น ยาวและหยาบกว่าเส้นผมของผู้ตาย

“นี่ไม่ใช่ของนาง” เขากระซิบกับตนเอง

หมอหลวงที่ถูกเรียกมาถึงรีบค้อมตัวตรวจชีพจรและดวงตา ก่อนกล่าวเบา ๆ

“พิษอ่อนปริมาณน้อยในกระแสเลือด ไม่ถึงตาย แต่ทำให้หมดแรง วิงเวียน จากนั้นจึง...”

“ถูกจัดท่าให้เหมือนลื่นล้มตกบ่อ” เจิ้งหลินอวี่ต่อคำ แววตาเย็นจัด

สายลมกรูผ่านลานเปลือกหอย กวาดกลิ่นสบู่ให้กระจาย เขายืนขึ้น

“ตั้งเวรยามเพิ่มสามชั้น ดึงรายชื่อขันทีที่เปลี่ยนเวรในคืนนี้มาให้ข้า และ...” เขากัดคำช้า “ค้นหาตัวเจียงเต๋อ เดี๋ยวนี้!!”

คำสั่งยิงออกไปอย่างเฉียบคม ทหารเร่งรุดแยกย้าย ในเงาสะท้อนของตะเกียงกลางน้ำซักผ้า เจิ้งหลินอวี่เห็นดวงตาของตนเอง ไม่ใช่ก้อนน้ำแข็งดังก่อน หากเป็นเปลวไฟล้อมหินแข็งที่กำลังแตกเสียงแกรกจากภายใน

เขาไม่ใช่คนจะ เชื่อ ใครง่าย ๆ แต่คืนนี้ ความตายของพยานหนึ่งคนได้เขียนประโยคใหม่ลงในคดี ประโยคที่บอกว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เกมแต่งป้ายชื่อ หากคือมีดที่ปาดคอคนจริง ๆ

ก่อนฟ้าจะสาง เจิ้งหลินอวี่กลับมายังเรือนจำเงาหยกอีกครั้ง อย่างที่สัญญา ซูฮวาอิ๋นรออยู่จริง ๆ นางนั่งตรงตำแหน่งเดิม ตะเกียงดวงเดิม โซ่ตรวนเส้นเดิม แต่ในดวงตากลับมีแสงที่ไม่ใช่แค่สะท้อนเปลวไฟ มันเหมือนความตั้งใจจะมีชีวิตเพื่อรอได้ยินความจริง

“อวี้เจียว ไม่ได้ลื่นล้มเอง” เขาเอ่ยทันทีที่หยุดยืน “นางถูกพิษทำให้หมดแรงก่อนถูกจัดฉาก”

ซูฮวาอิ๋นหลับตาขึ้นช้า ๆ ราวสวดบทสวดในใจ “เช่นนั้น ก็ต้องขอบคุณที่มันยังถูกเรียกว่าความจริง”

เจิ้งหลินอวี่วางกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ที่คัดลอกด้วยลายมือเขาเองผ่านช่องเหล็ก

“นี่คือรายชื่อเวรขันทีที่สลับกันในคืนนี้ และช่องว่างช่วงหนึ่งชั่วยาม บุคคลนี้หายไปจากบันทึกทั้งสองเล่มพร้อมกัน”

ปลายนิ้วซูฮวาอิ๋นแตะกระดาษ “เจียงเต๋อ”

“ใช่” เจิ้งหลินอวี่ตอบสั้น

“และบันทึกป้ายตราที่เติมชื่อในภายหลังทำให้ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ถูกวางเส้นทางให้เราเดินอยู่ตลอด”

ซูฮวาอิ๋นยิ้มบาง รอยยิ้มที่เหมือนกลีบเหมยบานเงียบใต้หิมะ

“เช่นนั้นก็ถึงคราวท่านแล้ว ท่านจะเดินตามเส้นทางที่ถูกวางไว้ หรือว่าจะเหยียบมันให้พัง” เจิ้งหลินอวี่มองนางนิ่งแช่ ก้อนน้ำแข็งในอกละลายทีละหยด

“ข้าคือผู้สอบสวน ไม่ใช่ผู้ถูกกำกับ” เขาพูดชัดทุกพยางค์

“ดี” นางพยักหน้า ดวงตาสว่างขึ้นน้อย ๆ “ข้าจะร้องให้ท่านฟังคืนนี้ บทเพลงนั้นที่ข้าร้องในคืนฝนตก”

สายลมยามเช้าลอดเข้ามา แผ่วเหมือนปลายนิ้วแตะสายพิณที่ไม่มีอยู่จริง เจิ้งหลินอวี่ไม่เอ่ยตอบ เพียงยืนสงบ ฟังความเงียบที่เริ่มมีทำนองบาง ๆ และในความเงียบนั้น เสียงรองเท้าหนักของทหารดังใกล้เข้ามาอีกครั้ง

“ใต้เท้า! พบเบาะแสที่โรงล้างภาชนะ มีรอยฝ่าเท้าเปียก สองรอย สลับกันเข้าออกในช่วงยามใกล้เสวย อีกทั้งมีผงสีขาวติดใต้คานไม้”

“เก็บทุกสิ่ง ห้ามให้ใครแตะต้อง” เจิ้งหลินอวี่หันไปออกคำสั่งโดยไม่ลังเล ก่อนหันกลับมาสบตาซูฮวาอิ๋นชั่วครู่

“พรุ่งนี้ข้าจะลากผู้ที่เขียนเรื่องนี้ออกจากหลังฉากให้ได้!”

เปลวไฟตะเกียงสะท้อนในดวงตาทั้งสองคู่ ราวสัญญาที่มิได้เอ่ยสาบาน แต่หนักแน่นเทียบเท่าคำสัตย์ใต้พระอาทิตย์

Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • บุปผาพันธนาการ   ตอนที่ 37 เช้าวันใหม่หลังพายุ

    กลางดึกคืนนั้น ฟ้ากลับมืดครึ้มอย่างไม่ทันตั้งตัว สายลมแรงหอบเมฆดำเข้าปกคลุมหมู่บ้านสะพานบัว ฟ้าแลบสว่างวาบก่อนเสียงฟ้าร้องกึกก้องตามมา ฝนเม็ดโตโปรยลงไม่หยุดราวกับสวรรค์เทน้ำทั้งฟ้าเสียงสุนัขเห่าหอนดังระงม ผู้ใหญ่บ้านเถาเซิ่งรีบลุกขึ้นตะโกนปลุกชาวบ้านให้ช่วยกันปิดหน้าต่าง เก็บเสบียง และนำสัตว์เลี้ยงเข้าคอก ฝนถาโถมลงบนหลังคาฟางจนดังสนั่นในเรือนเล็ก ซูฮวาอิ๋นรีบจุดตะเกียง สวมเสื้อคลุมแล้วหันไปมองเจิ้งหลินอวี่ที่ยืนพิงประตู หน้าต่างไม้ถูกลมตีจนเปิดออกแทบหลุด“เจ้าคิดว่าจะร้ายแรงหรือไม่” นางถามด้วยเสียงสั่นน้อย ๆเจิ้งหลินอวี่เพ่งมองท้องฟ้ามืดสนิท ดวงตาคมวาวด้วยความเคร่งเครียด“เป็นพายุใหญ่แน่ เราต้องไปดูเขื่อนดินอีกครั้ง ไม่งั้นอาจซ้ำรอยเดิม”ซูฮวาอิ๋นใจหายวาบ “แต่กลางดึกเช่นนี้ ”เขาหันมาสบตานางตรง ๆ น้ำเสียงหนักแน่น“ข้าไม่ปล่อยให้หมู่บ้านนี้ตกอยู่ในอันตราย เจ้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไปเอง”นางก้าวเข้ามากุมแขนเขาแน่น“ไม่! เจ้าเคยเสี่ยงมาแล้วครั้งหนึ่ง ข้าไม่อาจนั่งรออยู่เฉยได้”สายตาของทั้งคู่ปะทะกันในแสงตะเกียงสลัว เสียงลมคำรามโอบล้อมรอบเรือน ราวกับฟ้ากำลังทดสอบคำมั่นที่เพิ่งให้กันกลางลานเ

  • บุปผาพันธนาการ   ตอนที่ 36 คำมั่นกลางลานเหมย

    ฤดูใบไม้ผลิผ่านไปอย่างงดงาม ต้นเหมยที่หน้าสวนแตกกิ่งใบอ่อนสีเขียวชอุ่ม ดอกสีขาวและชมพูโรยลงบนลานดินจนดูราวกับปูพรมจากฟ้า เด็ก ๆ ที่มาเรียนหนังสือต่างวิ่งเล่นท่ามกลางกลีบเหมยร่วงด้วยเสียงหัวเราะสดใสวันนี้เป็นวันพักการสอน ซูฮวาอิ๋นจึงเตรียมกาน้ำชาและขนมถั่วตัดมานั่งเล่นกลางลานใต้ต้นเหมยใหญ่ นางสวมชุดผ้าฝ้ายสีอ่อน ผมถูกรวบขึ้นอย่างเรียบง่าย ใบหน้าที่เคยผ่านทุกข์ยากกลับฉายความสงบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเจิ้งหลินอวี่เดินเข้ามาเงียบ ๆ ในมือถือหนังสือเก่าเล่มหนึ่ง เขานั่งลงเคียงข้าง มองเด็ก ๆ ที่วิ่งไล่จับกันอยู่ไกล ๆ ก่อนเอ่ยเสียงทุ้ม“นานมาแล้ว ข้าเคยคิดว่าชีวิตข้ามีไว้เพียงแบกหน้าที่ แต่วันนี้ ข้ารู้แล้วว่าหน้าที่ของข้าจริง ๆ คือการอยู่เคียงข้างเจ้า”ซูฮวาอิ๋นยกถ้วยชาให้เขา ดวงตาสุกใสสะท้อนแสงแดดอุ่น“ท่านพูดเหมือนจะสารภาพคำมั่นอะไรสักอย่าง”เจิ้งหลินอวี่ยกคิ้วเล็กน้อย “ก็ใช่ วันนี้ข้าอยากให้เจ้าได้ฟัง”ซูฮวาอิ๋นหัวเราะเบา ๆ มือบางประคองถ้วยชาของตนไว้แนบอก“งั้นข้าจะฟังอย่างตั้งใจ”สายลมอ่อนพัดกลีบเหมยปลิวลงมาราวกับฝนโปรย เจิ้งหลินอวี่วางหนังสือลงแล้วหันมาสบตานางตรง ๆ“ซูฮวาอิ๋น ข้าสาบานต

  • บุปผาพันธนาการ   ตอนที่ 35 งานแต่งเล็ก ๆ กลางหมู่บ้าน

    ฤดูใบไม้ผลิปีนั้นหมู่บ้านสะพานบัวอบอวลด้วยกลิ่นหอมของดอกเหมยที่บานสะพรั่งทั้งทุ่ง แสงแดดยามเช้าอาบไล้หลังคาฟางและรั้วไม้ไผ่จนเป็นสีทองอุ่น ผู้คนในหมู่บ้านต่างพูดคุยกันอย่างตื่นเต้น เพราะวันนี้มิใช่วันธรรมดา แต่เป็นวันที่ทุกคนรอคอย...วันแต่งของแม่นางซูกับคุณชายเจิ้ง...แต่เดิมซูฮวาอิ๋นเคยเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ หากแต่งงานย่อมต้องหรูหราในจวนขุนนาง มีแขกเหรื่อนับร้อยนับพัน แต่ครานี้งานแต่งกลับเรียบง่ายที่สุดในชีวิต และนั่นคือสิ่งที่นางปรารถนาที่สุดเช้าตรู่ สตรีชาวบ้านหลายคนพากันมาช่วยแต่งตัวให้นางในเรือนเล็ก ๆ ผมยาวดำสนิทถูกรวบขึ้นอย่างเรียบง่าย ประดับด้วยปิ่นไม้ไผ่แทนปิ่นทองคำ เสื้อคลุมผ้าฝ้ายสีชมพูอ่อนถูกเย็บปักด้วยลายดอกบัวโดยมือของหญิงชราในหมู่บ้านเด็กหญิงตัวน้อยร้องอุทานเสียงใส“ท่านอาจารย์สวยราวกับเทพธิดาเลย!”ซูฮวาอิ๋นหัวเราะเบา ๆ แก้มแดงระเรื่อ“ไม่หรอก ข้าเป็นเพียงสตรีธรรมดา แต่วันนี้เป็นวันที่หัวใจข้าเบิกบานที่สุด”ด้านนอกเรือน เจิ้งหลินอวี่สวมชุดผ้าป่านสีขาวสะอาด ผูกสายคาดเอวผ้าไหมที่ชาวบ้านช่วยกันทอ มือใหญ่ยังไม่คุ้นกับการยืนให้ใครแต่งองค์ทรงเครื่อง แต่เมื่อเขาเงยหน้ามองทุ่งท

  • บุปผาพันธนาการ   ตอนที่ 34 แขกจากวังหลวง

    เช้าวันหนึ่ง ท้องฟ้าเหนือหมู่บ้านสะพานบัวแจ่มใสเป็นพิเศษ ลมฤดูร้อนพัดเอื่อย กลีบดอกเหมยที่ปลิวจากสวนเล็ก ๆ ของซูฮวาอิ๋นโปรยลงตามทางดินราวกับโรยเกล็ดหิมะสีชมพูซูฮวาอิ๋นกำลังนั่งสอนเด็ก ๆ ที่ สวนที่ไม่มีประตู อย่างตั้งใจ เสียงหัวเราะเจื้อยแจ้วคลอไปกับเสียงพู่กันขีดลงบนกระดานไม้ทันใดนั้น เสียงเกือกม้าดังใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว ตึก ตึก ตึก ทำให้ทุกคนเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน เด็กชายคนหนึ่งอุทานเสียงดัง“มีแขกมา!”กลุ่มทหารในชุดเกราะเบาม้าสีน้ำตาลเข้มปรากฏขึ้นตรงทางเข้าหมู่บ้าน ฝุ่นแดงคลุ้งขึ้นตามฝีเท้า พวกชาวบ้านเริ่มแตกตื่นเพราะไม่คุ้นเคยกับภาพเช่นนี้“พวกเขามาจากวังหลวงหรือ” เสียงกระซิบดังระงมผู้นำขบวนคือชายหนุ่มสง่างามในชุดผ้าไหมสีกรมท่า ปักลายมังกรเงินประดับไหล่ ใบหน้าอ่อนเยาว์แต่แฝงความเด็ดขาด ดวงตาแหลมคมกวาดมองไปรอบ ๆซูฮวาอิ๋นเพียงเห็นเสี้ยวหน้า ก็จำได้ทันที หัวใจสั่นไหว องค์ชายรององค์ชายรองหยุดม้าที่กลางลาน แววตาคมกริบเมื่อสบเข้ากับซูฮวาอิ๋น ริมฝีปากยกยิ้มบาง“ในที่สุดข้าก็หาพบเจ้าแล้ว ฮวาอิ๋น”เด็ก ๆ รีบวิ่งไปหลบหลังเจิ้งหลินอวี่ที่ยืนอยู่ด้านข้างโดยไม่รู้ตัว ชาวบ้านต่างก้าวถอยเล็กน้

  • บุปผาพันธนาการ   ตอนที่ 33 ชายทุ่งในยามพระจันทร์เต็มดวง

    คืนเดือนเพ็ญแรกของฤดูร้อน หมู่บ้านสะพานบัวสว่างด้วยแสงจันทร์กลมโตที่ลอยเหนือขอบเขา แสงสีเงินสาดลงบนทุ่งข้าวสาลีที่กำลังตั้งท้องเป็นระลอกคลื่นราวกับทะเลสีทอง เสียงแมลงกลางคืนขับขานประสานกับเสียงน้ำไหลใต้สะพานบัว เกิดเป็นท่วงทำนองสงบที่โอบกอดหัวใจผู้คนในหมู่บ้านเล็ก ๆ นี้หลังมื้อค่ำ เถาเซิ่งผู้ใหญ่บ้านจุดกองไฟกลางทุ่ง ชาวบ้านต่างมานั่งล้อมเป็นวงใหญ่ เด็ก ๆ วิ่งไล่จับกันจนเสียงหัวเราะดังลั่น บางคนร้องเพลงพื้นบ้าน บางคนตีกลองไม้ตามจังหวะสนุกสนาน กลายเป็นงานเล็ก ๆ ที่ทุกคนร่วมกันสร้างขึ้นเองซูฮวาอิ๋นยืนอยู่ริมทุ่ง ผ้าคลุมบางสะบัดไหวตามลม นางเงยหน้ามองดวงจันทร์ที่ส่องสว่าง พลันรู้สึกได้ถึงความเงียบสงบที่ต่างจากวังหลวงโดยสิ้นเชิง นี่คือความสุขแท้จริง เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความหมายเจิ้งหลินอวี่เดินเข้ามาข้าง ๆ ร่างสูงสง่างามในชุดผ้าป่านสีเข้ม ดวงตาคมสะท้อนแสงจันทร์ เขายื่นถ้วยน้ำชาสมุนไพรให้นาง“ดื่มสิ คืนนี้อากาศแม้จะอุ่น แต่ลมก็ยังแรง”ซูฮวาอิ๋นรับถ้วยมา ดื่มคำเล็ก ๆ แล้วเงยหน้ามองเขา แสงจันทร์ทำให้ใบหน้าของเขาดูอ่อนโยนกว่าเคย“เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าเราจะมีวันที่ได้ยืนอยู่ที่ทุ่งเช่นนี้ โด

  • บุปผาพันธนาการ   ตอนที่ 32 อาจารย์กับศิษย์ตัวน้อย

    แสงเช้าส่องลอดม่านหมอกบางเหนือหมู่บ้านสะพานบัว ไก่ขันตอบกันจากคอกโน้นถึงคอกนี้ เสียงครกตำข้าวดัง ตึก ตึก ตึก ประสานกับเสียงหัวเราะเด็ก ๆ ที่วิ่งเล่นริมทางดินในสวนที่ไม่มีประตู วันนี้คึกคักกว่าทุกวัน ซูฮวาอิ๋นนั่งอยู่ตรงโต๊ะไม้เตี้ย ๆ ข้างกระดานดำที่ชาวบ้านช่วยกันทำขึ้น นางถือพู่กัน ขีดเส้นอักษรตัวใหญ่ ๆ ช้า ๆ แล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยน“วันนี้เราจะเรียนเขียนคำว่าบ้านกันนะ”เด็ก ๆ ร้องตามเป็นเสียงเดียวกัน “บ้าน!”นางยิ้มบาง มองดวงตาใส ๆ ที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น“บ้าน ไม่ใช่แค่เรือนที่มีหลังคา หากคือที่ที่มีคนรอเรา มีเสียงหัวเราะ และมีความอบอุ่นอยู่ข้างใน”เด็กหญิงตัวน้อยที่เคยเขียนชื่อแม่ได้แล้ว ยกมือถาม“แล้วบ้านของท่านน้าซูอยู่ที่ไหนหรือเจ้าคะ”คำถามนั้นทำให้นางชะงักไปครู่หนึ่ง แต่แล้วริมฝีปากก็คลี่ยิ้มอ่อนโยน“บ้านของข้า...อยู่ที่ตรงนี้ อยู่กับทุกคน และอยู่กับคน ๆ หนึ่งที่ข้าคอยให้กลับมาทุกค่ำวัน”เสียงเด็ก ๆ หัวเราะคิกคัก บางคนหันไปแซว“ต้องเป็นคุณชายเจิ้งแน่ ๆ ใช่ไหม!”ใบหน้าของซูฮวาอิ๋นขึ้นสีแดงระเรื่อ แต่ดวงตานางกลับเป็นประกายสว่างอย่างที่ไม่อาจปฏิเสธได้ขณะเดียวกัน เจิ้งหลิน

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status