ในที่สุด หลี่จื้อหยวนก็ฝืนยกเท้าขึ้น ก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยใบหน้าสงบนิ่ง ทว่าภายในกลับเต็มไปด้วยคลื่นอารมณ์ที่โถมซัดไม่หยุด และเพียงก้าวเท้าเข้าไปเพียงไม่กี่ก้าว สายตาของเขาก็มองเห็นนางแต่ไกล โดยที่ไม่ต้องมองหาเลยด้วยซ้ำ หัวใจของเขากระตุกวูบ ความรู้สึกผิดปะปนกับความคิดถึงแล่นเข้ามาพร้อมกันอย่างโหดร้าย
คนที่อยู่ภายในศาลาเมื่อรู้ว่าองค์ชายห้าหลี่จื้อหยวนเสด็จมาก็รีบออกมารอรับเสด็จ ยกโขยงกันออกไปรออย่างพร้อมเพรียง หนึ่งในนั้นย่อมมีอวี้หลัน ซึ่งเพิ่งจะทรุดกายนั่งลงได้ไม่นาน นางยังไม่ทันจะได้ยกชาขึ้นจิบดับกระหายเลยด้วยซ้ำ ก็ต้องฝืนลุกขึ้นอีกครั้ง
ริมฝีปากภายใต้ผ้าคลุมหน้าจึงเม้มเข้าหากันแน่นด้วยความขัดเคืองใจปนหงุดหงิด
คนโบราณนี่ช่างยุ่งยากจริงๆ ใครจะมาใครจะไป ก็ต้องยกโขยงออกไปต้อนรับกันให้วุ่น
อวี้หลันสบถในใจอย่างเบื่อหน่าย
แต่เหตุใด นามขององค์ชายผู้นี้จึงรู้สึกคุ้นหูนัก เหมือนจะเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
คิ้วเรียวขมวดเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองฉิงหว่านที่ติดตามอยู่เบื้องหลัง คิดจะถามอีกฝ่ายว่าคนผู้นั้นเป็นใคร แต่พอเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอึดอัดคับข้องใจราวกับจะร้องไห้ของสาวใช้คนสนิทก็พลันกระจ่าง
อ้อ...องค์ชายห้าหลี่จื้อหยวน อดีตว่าที่คู่หมั้นของข้านี่เอง แต่ปัจจุบัน...กลายเป็นว่าที่พี่เขยไปเสียแล้ว
โผล่หัวมาทีก็วุ่นวายจังเลยนะ
ยอมรับว่านางไม่ใส่ใจจะจดจำชื่อของอีกฝ่าย เมื่อนึกได้ อวี้หลันก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ จนฉิงหว่านถึงกับส่งค้อนวงโตอย่างกระเง้ากระงอดมาให้
"คุณหนู ถูกผู้อื่นแย่งชิงวาสนา ยังจะหัวเราะได้อยู่อีกหรือเจ้าคะ"
อวี้หลันหันกลับมายิ้มน้อยๆ ก่อนจะเอื้อมมือแตะหลังมือของฉิงหว่านเบาๆ อย่างนึกเอ็นดู
"หวานหว่านคนดี อย่าได้เศร้าใจไปเลย ก็แค่บุรุษที่ไม่มีความหนักแน่นผู้หนึ่ง พึ่งพาสิ่งใดก็ไม่ได้ มีสิ่งใดให้ข้าต้องเสียดายกัน"
ภายในศาลาเงียบสงบลงทันที เมื่อคนที่พวกเขาเฝ้ารอปรากฏตัวขึ้น สายตาทุกคู่จ้องมองไปยังร่างสูงโปร่งขององค์ชายห้าหลี่จื้อหยวนที่ก้าวเดินเข้ามาอย่างสง่างาม
หลี่จื้อหยวนยืดตัวตรง สีหน้าเรียบนิ่งเฉยชา วางตัวเฉกเช่นเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ หากแต่หัวใจของเขาตอนนี้กลับเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ
เพราะเบื้องหน้าของเขา คือสตรีที่อยู่ในความทรงจำ คือสตรีที่เขาไม่เคยลืมหลันเอ๋อร์ นางยืนอยู่ตรงนั้น
นางยืนอยู่ทางฝั่งซ้ายมือของโต๊ะใหญ่อย่างสงบนิ่ง ใบหน้าเรียวเล็กก้มลงเล็กน้อย ยามที่นางเงยหน้าขึ้นมาช้าๆ เผยให้เห็นดวงตากลมใสเปล่งประกายที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ในชั่วขณะนั้น สายลมบางเบาวูบหนึ่งก็พลันพัดผ่านเข้ามา ปลายผ้าคลุมหน้าบางเบาพลิ้วไหว เผยให้เห็นใบหน้างดงามของนางชั่วอึดใจ
แต่เพียงแค่นั้น ก็ราวกับทุกอย่างหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ใบหน้านั้นกลับตราตรึงอยู่ภายในใจ
หลี่จื้อหยวนรู้สึกเหมือนลมหายใจติดขัด เผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว เมื่อดวงตากลมใสทอประกายเหมือนหยาดน้ำค้างยามรุ่งอรุณกำลังมองตรงมาที่เขา
เพียงแค่นางมองมา ความรู้สึกทั้งมวลก็ถาโถมเข้ามาเหมือนคลื่นทะเลคลั่ง ความคิดถึง ความปวดร้าว และความรู้สึกผิดที่กัดกินหัวใจเขาทุกครั้งที่คิดถึงนาง
เมื่อสายตาของนางกับเขาสบกัน หลี่จื้อหยวนพลันรู้สึกเหมือนหัวใจของเขาคล้ายจะหยุดเต้น เขาบอกกับตัวเองในทันที ว่าไม่อาจที่จะปล่อยมือจากนางได้
อวี้หลัน มองชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์เบื้องหน้าที่กำลังจ้องนางอย่างเอาเป็นเอาตาย จนสตรีที่ตามมาด้านหลังคล้ายจะกระโจนเข้ามาฉีกอกนางอยู่รอมร่อ อย่างเอือมระอา
ฝ่ายบุรุษก็จ้องมองมาตาหวานเชื่อมลึกซึ้ง ฝั่งสตรีก็ถลึงตามอง จนตาถลนแทบจะหลุดออกมาจากเบ้าอย่างหึงหวงเกลียดชัง
ให้ตายเถอะ นี่นางหนีไม่พ้นปัญหาโลกแตก น่ารำคาญนี่จริงๆ น่ะหรือ
อวี้หลันรู้สึกเจ็บปวดใจทุกครั้งที่คิดถึงสาเหตุการตายของตัวเอง นักฆ่าระดับตำนานอย่างนาง ต้องตายเพราะความหึงหวงไร้สาระของสตรีด้วยกันเอง
เฮ่อ! อยากจะบ้าตาย
องค์ชายห้าหลี่จื้อหยวนผู้นี้ หน้าตาก็จัดว่า ดีใช้ได้
แต่นางไม่นิยมชมชอบบุรุษที่ดูสะโอดสะอง ผิวขาว ปากแดงเช่นนี้หรอกนะ
อวี้หลันคิดอย่างเงียบๆ ขณะไล่สายตาประเมินอีกฝ่าย ตั้งแต่ปลายผมที่ถูกรวบเรียบร้อย ใบหน้าของเขาเรียวได้รูป คิ้วเรียวยาวราววาดด้วยปลายพู่กัน ดวงตาคมกริบ และสันจมูกโด่งคมราวงานแกะสลัก
ท่าทางเป็นบุรุษหนุ่มเจ้าสำอาง สำรวมกิริยาและพิถีพิถันในทุกย่างก้าว ชวนให้รู้สึกอึดอัดสิ้นดี
แต่ความทรงจำเกี่ยวกับคนผู้นี้ที่ปรากฏขึ้น ทำให้อวี้หลันเหยียดริมฝีปากน้อยๆ เป็นรอยยิ้มจางๆ นางทอดสายตามองเขาอย่างเงียบๆ ด้วยแววตาที่แฝงความดูแคลนเจืออยู่เล็กน้อย
อวี้หลันเจ้าของร่างเดิม ช่างเป็นเด็กสาวที่ไร้เดียงสายิ่งนัก นางเฝ้ารอคนผู้นี้อย่างโง่งม ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายไม่เคยที่จะปรากฏตัวหรือโผล่หัวมาเลยสักครั้งยามที่นางต้องการหรือลำบาก
เมื่อครั้งยังเยาว์ก็แล้วไปเถิด เพราะเด็กหนุ่มผู้หนึ่งคงไม่อาจทำสิ่งใดได้มาก แต่ตอนนี้เขากลายเป็นองค์ชายมากความสามารถ หากอีกฝ่ายต้องการจะเจอนางจริงๆ องค์ชายสูงศักดิ์ที่ฉลาดเฉลียวเช่นเขาย่อมไม่ไร้หนทาง
แต่คนผู้นี้กลับไม่เคยโผล่มา จนเจ้าของร่างเดิมตายจากไป
แล้วแววตาห่วงหาอาวรณ์เช่นนั้นหมายความเช่นไร มีใจแต่ไม่ใส่ใจดูแล บุรุษเช่นนี้ไม่มีค่าให้ต้องใส่ใจเลยจริงๆ
แต่กระนั้น สายตาของนางก็ไม่มีความรู้สึกใดแฝงอยู่ เรื่องความสัมพันธ์เก่าก่อนเหล่านั้นของเจ้าของร่าง นางไม่อยากเอามาใส่ใจ
ในขณะที่หลี่จื้อหยวนจ้องนางอย่างเอาเป็นเอาตาย ดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกถาโถม อวี้หลันกลับเพียงแค่ยอบกายลงอย่างสุภาพ
"คารวะองค์ชายห้าเพคะ"
เสียงของนางนุ่มนวล พอเหมาะพอดี ไม่มีความสนิทชิดเชื้อ ไม่มีแม้แต่คำทักทายนอกเหนือจากนั้น
หญิงสาวยืนนิ่ง สีหน้าสงบเฉยชา ดวงตาไร้ระลอกคลื่น ใบหน้าที่เคยอ่อนเยาว์ในความทรงจำของเขา บัดนี้เปลี่ยนเป็นความเยือกเย็นที่เขาไม่คุ้นเคย
ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีเสียงเรียก “พี่ชาย” อย่างที่เคยได้ยินมาตลอดในวัยเยาว์
เขาเองก็ยืนนิ่งไปเช่นกัน
แปดปีแล้ว นานพอที่เด็กหญิงตัวน้อยในวันนั้นจะเปลี่ยนเป็นหญิงสาวผู้สงบนิ่งและสุขุมเช่นนี้
แต่นานพอที่จะทำให้บางคนลืมอดีตไปจนหมดสิ้นเลยหรือ
"เจ้าสบายดีหรือไม่"
เขาเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน เสียงทุ้มต่ำแผ่วเบา แต่ชัดเจน
อวี้หลันเพียงสบตาเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ
"ดีเพคะ"
สั้น กระชับ และห่างเหิน
นางเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
ไม่สิ บางที นางอาจไม่ได้เปลี่ยน แต่เป็นเขาต่างหาก ที่ทิ้งนางไว้ข้างหลังมานานเกินไป
ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของความรู้จักคุ้นเคยในแววตาคู่นั้น
ในดวงตาคู่นั้น ว่างเปล่า
ราวกับว่าเขาเป็นแค่คนแปลกหน้าที่นางไม่เคยรู้จักมาก่อน หรือแม้แต่ความไม่พอใจใดๆ เป็นเพียงสายตาที่เย็นชาและเงียบงัน
หลันเอ๋อร์เกลียดเขาแล้ว...ใช่หรือไม่
หลี่จื้อหยวนเม้มริมฝีปากแน่น ความรู้สึกเจ็บแปลบแล่นผ่านกลางอก ความคิดถึงที่เคยโหยหา กลับแปรเปลี่ยนเป็นความเจ็บร้าว ความเงียบของนางทำให้เขารู้สึกร้อนรน เขาอยากเอื้อมมือไปคว้ามือเรียวคู่นั้นมากุมไว้ อยากอธิบายถึงความจำเป็นทุกอย่างให้ฟัง อยากจะอธิบายทุกสิ่งที่ฝังแน่นในใจ แต่กลับไม่กล้าพอ
"ข้า…"
เขาอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็หยุดไว้ ถ้อยคำทั้งหลายจุกคาอก พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
"เชิญองค์ชายพ่ะย่ะค่ะ"
เสียงของอวี้จิ้งดังขึ้น คลี่คลายความอึดอัดนั้น พร้อมผายมือไปยังที่นั่งตรงตำแหน่งประธาน
หลี่จื้อหยวนชะงักเล็กน้อย สีหน้าเจือความลังเล แต่สุดท้ายก็ไม่เอ่ยสิ่งใด เขาเดินไปนั่งอย่างเงียบเชียบ
ภายในศาลาคล้ายจะตกอยู่ในความเงียบงัน ทุกคนต่างสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอึดอัดที่แผ่คลุมบรรยากาศ แม้ทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างปกติ ดูสงบเรียบร้อย เป็นระเบียบตามธรรมเนียม แต่กลับมีความตึงเครียดจางๆ แฝงอยู่ในนั้น
แต่สายตาทุกคู่เหมือนจะคอยจับจ้องท่าทีของบุรุษผู้สูงศักดิ์ ว่าที่ชายา และสตรีผู้เคยมีสถานะเป็นว่าที่คู่หมั้น แต่ไม่มีคำพูดใดออกจากปากของพวกเขา
หลี่จื้อหยวนยังคงมองอวี้หลันไม่วางตา
จะจ้องอะไรนักหนา
อวี้หลันคิดอย่างรำคาญใจ ก่อนจะเบือนหน้ากลับไปมองถ้วยชาเบื้องหน้าแทน
อวี้เหมยที่สังเกตเห็นมาตลอดก็ยิ่งเจ็บลึกในใจ ดวงตาคู่งามฉายแววไม่พอใจอย่างชัดเจน
"องค์ชายห้าเพคะ นี่เป็นชาชั้นดีมีชื่อจากทางใต้ ท่านตาของหม่อมฉันเพิ่งส่งมาให้ พระองค์ลองชิมดูนะเพคะ"
เสียงหนึ่งดังขึ้นใกล้เขา เสียงหวานที่เปล่งออกมานั้นเต็มไปด้วยความนุ่มนวลและจริตแบบสตรีชั้นสูง
หลี่จื้อหยวนหันไปช้าๆ พบว่าเป็นอวี้เหมย คู่หมั้นของเขา หญิงสาวท่าทางอ่อนหวานนุ่มนวล มือเรียวขาวบรรจงรินน้ำชาลงจอกตรงหน้าอย่างแผ่วเบา น้ำชาสีอ่อนส่งกลิ่นหอมกรุ่นลอยอบอวลในอากาศ
"อืม"
เขารับคำเบาๆ ก่อนจะยกจอกชาขึ้นจิบ ไม่แม้แต่จะส่งยิ้มให้ด้วยซ้ำ สายตายังคงเผลอเหลือบไปทางร่างเล็กในมุมเดิมโดยไม่รู้ตัว
ที่ตรงนั้น อวี้หลันยังคงนิ่งสงบ ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึก นางไม่แม้แต่จะหลบสายตาเขา นางสบตาเขาตรงๆ แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนกำลังมอง คนแปลกหน้า คนหนึ่ง
ไม่มีความคุ้นเคย ไม่มีเยื่อใย มีเพียงสายตาเรียบนิ่งตามมารยาทเท่านั้น
หลี่จื้อหยวนกำมือที่ตอนนี้สั่นน้อยๆ ภายใต้แขนเสื้อแน่น ความห่างเหินระหว่างเขากับอวี้หลัน ช่างไกลเกินกว่าที่เคยคิดไว้มากนัก
หัวใจเขาแน่นหนึบ ราวกับถูกบีบด้วยมือที่มองไม่เห็น
ความรู้สึกที่เคยมี เคยผูกพัน ตอนนี้มันพังลงด้วยน้ำมือของเขาเอง
ในที่สุด หลี่จื้อหยวนก็ฝืนยกเท้าขึ้น ก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยใบหน้าสงบนิ่ง ทว่าภายในกลับเต็มไปด้วยคลื่นอารมณ์ที่โถมซัดไม่หยุด และเพียงก้าวเท้าเข้าไปเพียงไม่กี่ก้าว สายตาของเขาก็มองเห็นนางแต่ไกล โดยที่ไม่ต้องมองหาเลยด้วยซ้ำ หัวใจของเขากระตุกวูบ ความรู้สึกผิดปะปนกับความคิดถึงแล่นเข้ามาพร้อมกันอย่างโหดร้ายคนที่อยู่ภายในศาลาเมื่อรู้ว่าองค์ชายห้าหลี่จื้อหยวนเสด็จมาก็รีบออกมารอรับเสด็จ ยกโขยงกันออกไปรออย่างพร้อมเพรียง หนึ่งในนั้นย่อมมีอวี้หลัน ซึ่งเพิ่งจะทรุดกายนั่งลงได้ไม่นาน นางยังไม่ทันจะได้ยกชาขึ้นจิบดับกระหายเลยด้วยซ้ำ ก็ต้องฝืนลุกขึ้นอีกครั้งริมฝีปากภายใต้ผ้าคลุมหน้าจึงเม้มเข้าหากันแน่นด้วยความขัดเคืองใจปนหงุดหงิดคนโบราณนี่ช่างยุ่งยากจริงๆ ใครจะมาใครจะไป ก็ต้องยกโขยงออกไปต้อนรับกันให้วุ่นอวี้หลันสบถในใจอย่างเบื่อหน่ายแต่เหตุใด นามขององค์ชายผู้นี้จึงรู้สึกคุ้นหูนัก เหมือนจะเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนคิ้วเรียวขมวดเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองฉิงหว่านที่ติดตามอยู่เบื้องหลัง คิดจะถามอีกฝ่ายว่าคนผู้นั้นเป็นใคร แต่พอเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอึดอัดคับข้องใจราวกับจะร้องไห้ของสาวใช้คนสนิทก็พลันกระจ่
หลังจากขันทีจากวังหลวงกลับไปแล้ว เสียงกระซิบก็เริ่มดังขึ้นรอบบริเวณเรื่องขององค์ชายห้ากับตระกูลอวี้ นับเป็นสิ่งที่ผู้คนในเมืองหลวงต่างเคยกล่าวถึงกันอยู่ไม่น้อยหลายปีก่อน อวี้หลันบุตรีคนรองที่เกิดจากฮูหยินตระกูลไป๋เคยถูกวางตัวให้เป็นคู่หมั้นหมายขององค์ชายห้าหลี่จื้อหยวน บุตรชายลำดับที่ห้าแห่งฮ่องเต้ผู้ทรงอำนาจกับฮองเฮาองค์ปัจจุบันแม้สัญญาหมั้นนั้นจะยังไม่ถูกประกาศอย่างเป็นทางการจากราชสำนัก แต่ก็มีการตกลงกันระหว่างฮองเฮากับสกุลอวี้ เป็นคำมั่นที่กล่าวกันต่อหน้าผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ด้วยชื่อเสียงของท่านรองเสนาบดีฝ่ายพิธีการในขณะนั้น ทั้งยังเกี่ยวดองกับตระกูลไป๋ที่ทรงอำนาจในเมืองหลวง การหมั้นหมายระหว่างบุตรสาวกับองค์ชายราชวงศ์จึงไม่ใช่เรื่องเกินเอื้อมแต่แล้ว…ทุกอย่างกลับพังทลายลงในพริบตาตระกูลฝั่งมารดาของคุณหนูรองอวี้หลัน ซึ่งเป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่กลับต้องโทษ เครือญาติถูกกวาดล้าง สินทรัพย์ถูกยึด ส่วนผู้ที่เหลือรอดถูกถอดยศปลดตำแหน่งแม้ตัวอวี้หลันจะยังมีสถานะเป็นบุตรีของรองเสนาบดี แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับบ้านเดิมมารดาของนางกลับกลายเป็นมลทินในสายตาผู้อื่นในเวลาไม่นาน การหมั้นหมายที่เคย
งานเลี้ยงช่วงเย็นของจวนรองเสนาบดีจัดขึ้นในสวนด้านทิศตะวันออก งดงาม หรูหราตระการตาไปทุกมุม ไม่ว่าจะเป็นพุ่มดอกเหมยที่แต่งแต้มทั่วศาลา เสียงดนตรีบรรเลงแผ่วเบาจากมุมหนึ่งของเรือน กลิ่นหอมจากบุปผานานาพันธุ์คลุ้งในอากาศ และอาหารหรูหรารสเลิศหลายสิบชนิดถูกจัดเรียงไว้บนโต๊ะอย่างงดงาม ทุกอย่างล้วนแสดงถึงฐานะของเจ้าภาพได้อย่างชัดเจนบ่าวไพร่เดินกันขวักไขว่ บรรดาแขกสูงศักดิ์เริ่มทยอยเดินทางมาร่วมงานพร้อมรอยยิ้มแขกเหรื่อที่มาร่วมงานล้วนเป็นผู้มีฐานะสูงส่งในเมืองหลวง ทั้งตระกูลขุนนางและตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจและอิทธิพล แม้งานเลี้ยงจะถูกจัดขึ้นเพื่อร่วมแสดงความยินดีกับเซิ่งซื่อ แต่ความจริงแล้ว ทุกคนต่างก็ล้วนมีจุดประสงค์ของตนเอง บางคนหวังสร้างสายสัมพันธ์ บางคนหวังหาโอกาสผูกสัมพันธ์ หรือแม้แต่เล็งเห็นประโยชน์จากฝ่ายตรงข้าม ทุกอย่างล้วนเป็นเกม เป็นหมากทางการเมืองบรรดาบุรุษแยกตัวออกไปยังศาลาอีกด้านหนึ่ง พูดคุยกันเรื่องบ้านเมือง อำนาจ และถกเถียงกันเรื่องราชสำนัก แววตาแต่ละคนต่างสังเกตชั่งน้ำหนักว่าใครมีแนวโน้มจะก้าวหน้ากว่ากันในอนาคตทางฝั่งสตรีกลับมีบรรยากาศต่างออกไป เหล่าฮูหยินและคุณหนูจากตระกูลใหญ่
สายลมยามสายพัดผ่านสวนดอกเหมยภายในเรือนฮวาหงอย่างแผ่วเบา กลีบดอกสีแดงสดปลิวว่อนราวภาพวาดงดงามในความฝัน อวี้หลันนอนหลับตาพริ้มอยู่บนตั่งคนงามหน้าชานเรือน บนใบหน้าแต่งแต้มรอยยิ้มน้อยๆ ราวกับกำลังฝันดี ข้างกายมีฉิงหว่านกำลังบีบนวดให้อย่างเอาอกเอาใจทว่าภายในเรือนฮูหยินเอกของจวนรองเสนาบดีกลับร้อนระอุดั่งถูกโยนเข้ากองเพลิงเสียงถ้วยชาราคาแพงกระแทกพื้นแตกกระจายสะท้อนก้องไปทั่วเรือน ความเงียบงันหลังจากนั้นปรากฏเสียงลมหายใจหอบถี่ปนสะอื้นของหญิงผู้หนึ่งที่ยืนตัวสั่นเทาอยู่กลางห้องเซิ่งซื่อกัดฟันแน่น ดวงหน้าแปรเปลี่ยนจากความสง่างามอ่อนโยนเป็นบิดเบี้ยวด้วยเพลิงโทสะวันนี้ควรจะเป็นวันของนาง วันเฉลิมฉลองที่จัดขึ้นเพื่อยกย่องสถานะและเกียรติยศของนางในฐานะฮูหยินเอก นางสมควรที่จะโดดเด่นและเชิดหน้าขึ้นสูงได้อย่างเต็มภาคภูมิ แต่กลับกลายเป็นวันแห่งหายนะ ทุกอย่างพังลงอย่างไม่เป็นท่า ทั้งนางยังพ่ายแพ้อย่างยับเยิน ถูกเหยียบย่ำต่อหน้าบ่าวไพร่ทั้งจวน"อวี้หลัน นังเด็กสารเลว"เสียงของเซิ่งซื่อหลุดออกมาจากลำคอด้วยความเกลียดชังสุดขีด ตั้งแต่ที่แต่งเข้าจวนรองเสนาบดีมา นี่นับเป็นครั้งที่สองที่นางโกรธจนแทบคลั่งและเ
ภายในห้องโถง บรรยากาศยังคงอึมครึมมืดครึ้ม ไม่มีใครกล้าเอ่ยวาจา อวี้จิ้งปลายสายตาเย็นชามองภรรยาที่นั่งหน้าซีดอยู่ข้างกาย"เจ้า! ช่างดีนัก หึ"เซิ่งซื่อที่เห็นสามีมองนางด้วยสายตาเย็นชาและดุดันก็พลันหน้าถอดสี ร่างบางสั่นสะท้านเล็กน้อย รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจจนน้ำตาคลอ นางเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง มองอีกฝ่ายอย่างตัดพ้อ ก่อนจะเบือนสายตาหันมาทางอวี้หลันด้วยสีหน้าราวกับรู้สึกผิดอย่างถึงที่สุด"เป็นแม่ที่เลอะเลือน มองคนไม่ออก ปล่อยให้บ่าวชั่วพวกนั้นล่วงเกินหลันเอ๋อร์ถึงเพียงนี้"เซิ่งซื่อเอ่ยเสียงสั่นเครือเจือสะอื้นแผ่วเบา ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นเช็ดหางตาที่มีน้ำตาเอ่อคลอ ราวกับคนที่สะเทือนใจอย่างสุดซึ้ง"แม่ผิดต่อหลันเอ๋อร์แล้ว"สีหน้าของเซิ่งซื่อเต็มไปด้วยความเศร้าสลด หากใครมองเพียงผิวเผินก็คงหลงนึกว่านางเสียใจจริงๆเหอะ เลอะเลือน มองคนไม่ออก หญิงนางนี้ช่างกล้าพูดได้อย่างไม่อายปากเป็นนาง ที่จงใจส่งคนพวกนั้นมาจับตามองเรือนฮวาหงตั้งแต่แรกไม่ใช่หรอกหรือ แล้วอีกอย่าง ใครเป็นลูกของนางกัน ลูกของนางนั่งโง่งมอยู่ตรงนั้นต่างหากอวี้หลันปรายตามองอวี้เหมยและอวี้คุนที่นั่งหน้าซีดตัวส
หลังจากทุกคนนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดูเหมือนจะสงบลงชั่วครู่ แต่ความสงบนั้นกลับอยู่ได้ไม่นานอวี้เหมยที่ถูกบังคับให้กลืนเลือดไหนเลยจะอดใจไม่ให้เอ่ยสิ่งใดออกมาได้ สายตาของนางเหลือบมองการแต่งกายอันแสนเรียบง่ายของน้องสาวต่างมารดา สายตากวาดมองตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยแววตาไม่ปิดบังความดูแคลน ก่อนจะยกยิ้มบาง เอ่ยถ้อยคำเชือดเฉือนออกมาทันที"น้องรองช่างสมถะเสียเหลือเกิน วันงานเลี้ยงของท่านแม่ทั้งที กลับแต่งกายเรียบง่ายเสียจนนึกว่าเป็นสาวใช้จากเรือนใดหลงเข้ามา"คำพูดนั้นทำเอาทุกคนบนโต๊ะถึงกับชะงัก แม้รอยยิ้มของอวี้เหมยจะดูละมุน แต่แววตากลับฉายชัดว่าไม่คิดจะไว้ไมตรีอวี้หลันเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาหวานลึกล้ำดั่งสายน้ำ มองสบอีกฝ่ายอย่างสงบ ไม่มีความหวั่นไหวแม้แต่น้อย ก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนโยนประหนึ่งไม่ได้ถือสาหาความในขณะที่อวี้จิ้งนั่งเงียบ สีหน้าของเขาเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันทีที่ได้ยินคำพูดของบุตรสาวคนโต สายตาเหลือบมองอวี้หลัน ก่อนจะกวาดตามองการแต่งกายของนางอย่างพิจารณาหัวคิ้วของรองเสนาบดีขมวดแน่นอย่างไม่อาจปกปิดในทุกปี ทุกๆ เทศกาล เสื้อผ้าและเครื่องประดับล้วนถูกส่งไปย