หลังจากงานเลี้ยงที่จวนรองเสนาบดีอวี้ผ่านพ้นไป ภายในเมืองหลวงก็ไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของ คุณหนูรองสกุลอวี้ อวี้หลัน
หญิงสาวที่เคยเงียบงันและจืดจางในสายตาผู้คน ที่เดิมทีเป็นเพียงบุตรีของภรรยาเอกผู้ล่วงลับของท่านรองเสนาบดี และตระกูลเดิมของมารดาคือตระกูลขุนนางต้องโทษ ไม่มีผู้ใดใส่ใจว่านางหายหน้าหายตาไปตั้งแต่เมื่อใด หรือแม้แต่นึกถึงชื่อของนางด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้ ทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ชื่อของคุณหนูรองอวี้หลัน กลับกลายเป็นชื่อที่ถูกพูดถึงในทุกวงสนทนา ตั้งแต่โรงน้ำชา ร้านเครื่องหอม ร้านเครื่องประดับ ไปจนถึงหออาภรณ์ เรื่องราวของนางกลายเป็นหัวข้อโปรดในหมู่สตรีชนชั้นสูง และแม้แต่เหล่าขุนนางฝ่ายในก็ยังเอ่ยถึง
โดยเฉพาะเมื่อมีคนขุดคุ้ยเรื่องเก่าเกี่ยวกับการหมั้นหมายในอดีตขององค์ชายห้าขึ้นมา
กระทั่งกลายเป็นเรื่องเล่าในหมู่ชาวบ้านชาวเมือง ผู้คนเริ่มเล่าเรื่องด้วยความตื่นเต้นสนุกสนาน แรกเริ่มก็พูดกันเพียงเล่นๆ ทว่าพอเล่ากันปากต่อปาก เรื่องราวกลับยิ่งทวีความเข้มข้น แต่งเติมสีสันกันไปคนละทาง จนสุดท้ายมันกลายเป็นตำนานรักสามเส้าระหว่างองค์ชายห้ากับบุตรีตระกูลอวี้ทั้งสอง
ไปๆ มาๆ เรื่องราวเหล่านั้นก็กลายเป็นบทละครฉบับสมบูรณ์ที่ถูกเล่าต่อๆ กันในโรงน้ำชา
อวี้เหมยถูกตีความเป็นสตรีเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ ผู้แย่งชิงคู่หมั้นของน้องสาวต่างมารดาอย่างไม่ละอายใจ
ยิ่งไปกว่านั้น ข่าวลือยังลุกลามไปถึงเซิ่งซื่อ ฮูหยินเอกคนปัจจุบันของตระกูลอวี้ ผู้เพิ่งได้รับการแต่งตั้งเมื่อไม่นานมานี้ ทั้งที่อดีตฮูหยินเอกจากไปนานหลายปี แต่กลับเพิ่งได้รับการแต่งตั้งหลังจากที่บิดาได้เลื่อนตำแหน่ง
ฮูหยินเซิ่งจึงถูกพูดถึงว่าเป็นแม่เลี้ยงใจร้าย กลั่นแกล้งและกักขังบุตรสาวของภรรยาเอกผู้ล่วงลับ ไม่ยอมให้นางออกมาพบปะผู้คน หรือแม้แต่ปรากฏตัวในงานเลี้ยงใด
ในขณะที่อวี้หลัน คุณหนูรองผู้อ่อนแอและอ่อนหวาน กลับถูกยกย่องว่าเป็นหญิงงามผู้น่าสงสาร ถูกซ่อนเร้นไว้ในเงามืด นางกลายเป็นภาพของสตรีที่ถูกกดขี่ ถูกพรากจากความรักโดยไม่อาจเปล่งเสียงร้องขอความยุติธรรม
เรื่องเล่ากลายเป็นภาพฝังใจในหมู่สตรีชั้นสูง และเหล่าดรุณีน้อยทั้งหลาย ว่าอวี้หลันคือเหยื่อของความรักที่ถูกช่วงชิง และแม้จะเจ็บปวดเพียงใด นางก็ยังคงสงบนิ่ง ไม่โต้แย้ง ไม่ปริปากต่อว่าใครแม้แต่น้อย
ทุกคำพูด ทุกเรื่องเล่า ล้วนโหมไฟให้ภาพลักษณ์ของอวี้หลันยิ่งงดงาม ในขณะที่ชื่อของอวี้เหมยและเซิ่งซื่อกลับยิ่งถูกลากลงไปในน้ำโคลน
ไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร แต่ในยามนี้ ผู้คนในเมืองหลวงต่างก็เลือกข้างในใจของตนกันไปเรียบร้อยแล้ว
ในจวนรองเสนาบดีตอนนี้ บรรยากาศคล้ายถูกเงาความมืดปกคลุมไปทั่วทั้งเรือน โดยเฉพาะในเรือนของฮูหยินใหญ่และเรือนของคุณหนูใหญ่อวี้เหมย
ภายในเรือนเหมยเยี่ยของคุณหนูใหญ่ เกิดเสียงอาละวาดดังโครมคราม เสียงทำลายข้าวของแตกกระจาย ข้าวของในห้องถูกปาเกลื่อนกลาดราวกับมีพายุพัดกระหน่ำ บ่าวไพร่ต่างพากันหนีหัวซุกหัวซุน ไม่มีใครกล้าเฉียดเข้าไปใกล้แม้แต่ครึ่งก้าว
ในขณะเดียวกัน เรือนของฮูหยินใหญ่ก็วุ่นวายไม่แพ้กัน เมื่อเจ้าของเรือนเกิดล้มป่วยกะทันหันตั้งแต่เช้ามืด ทำให้บ่าวไพร่ต้องวิ่งวุ่นไปตามหมอ บรรยากาศทั้งเรือนเคร่งเครียดและสับสนวุ่นวาย
เซิ่งซื่อนอนนิ่งอยู่บนเตียง ข่าวลือพวกนั้นจะนับเป็นอะไรได้ แต่ภาพบ่าวไพร่ขนหีบข้าวของล้ำค่าที่นางพึ่งจะได้ครอบครองออกไปต่างหากที่ทำให้นางแทบกระอักเลือด มือทั้งสองกำแน่นจนสั่น ดวงตาที่เคยอ่อนหวานบัดนี้แดงก่ำแทบปะทุเพลิง
นางไม่คิดเลยว่าผู้เป็นสามีจะมอบทรัพย์สมบัติทุกอย่างของไป๋ซูเหยาให้อวี้หลันจริงๆ เขาถึงขนาดมอบทุกอย่างที่อยู่ในมือให้กับอีกฝ่าย
นางสู้ทุ่มเททุกอย่างมานานเพียงใด กว่าจะได้ครอบครองทรัพย์สมบัติเหล่านั้น กว่าจะยึดอำนาจในจวนนี้ไว้ได้ กลับต้องมาถูกเด็กบ้านั่นช่วงชิงคืนในพริบตา
เด็กคนนั้นพลิกหมากเพียงไม่กี่ตา ก็ทำลายทุกอย่างลงต่อหน้า
เซิ่งซื่อกัดริมฝีปากแน่น มือหนึ่งยกขึ้นกดหน้าอกที่บีบรัดแน่นราวมีหินก้อนใหญ่ทับไว้
ความอับอาย ความโกรธ และความขมขื่นตีกันยุ่งเหยิงอยู่ในอก เหมือนจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ
ไม่ใช่เพียงแค่เสียหน้า แต่นางรู้ดีว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นของการ ‘สูญเสียอำนาจ’
หากเรื่องนี้ล่วงรู้ถึงหูของคนผู้นั้น อีกฝ่ายคงไม่พอใจมากเป็นแน่
แม้ทั่วทั้งจวนรองเสนาบดีจะคล้ายถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอก แต่บรรยากาศภายในเรือนฮวาหงกลับแจ่มใสราวกับฤดูใบไม้ผลิ เต็มไปด้วยความครึกครื้นและมีชีวิตชีวา ช่างตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง
เจ้าของเรือน ไม่ได้ใส่ใจข่าวลือหรือความปั่นป่วนในเรือนอื่นเลยแม้แต่น้อย เพราะนางมัววุ่นอยู่กับการตรวจนับทรัพย์สินอย่างตั้งอกตั้งใจ
วันนี้ครบกำหนดที่เซิ่งซื่อต้องส่งมอบสินเดิมของมารดา แม้ตลอดทั้งวันจะเต็มไปด้วยความวุ่นวายจากการตรวจนับทรัพย์สินที่มากมายเกินคาด แต่ก็เป็นความวุ่นวายที่ทำให้สองนายบ่าวยิ้มไม่หุบ
ฉิงหว่านยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างอารมณ์ดี สีหน้าเปี่ยมสุขขณะจัดการสิ่งของที่ทยอยขนมาไม่ขาดสาย ทั้งทองคำแท่ง เครื่องหยก และกล่องอัญมณีที่วางเรียงรายอยู่เต็มห้อง
"คุณหนูเจ้าขา ตอนนี้หากใครบอกว่าคุณหนูของบ่าวเป็นเศรษฐี บ่าวก็จะไม่เถียงสักคำเลยเจ้าค่ะ"
ฉิงหว่านกระซิบกระซาบพลางกลั้นยิ้มอย่างมีความสุข นัยน์ตาเป็นประกายจนคล้ายจะส่องแสง
อวี้หลันนั่งดูความวุ่นวายตรงหน้าด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แม้ไม่เอ่ยคำใดออกมา แต่ในแววตาก็เต็มไปด้วยความรู้สึกพึงพอใจและยินดี
ไม่ใช่เพียงเพราะทรัพย์สินล้ำค่าที่ถูกส่งคืนกลับมา แต่เป็นเพราะนางได้ทวงคืนให้เจ้าของร่างเดิมได้สำเร็จ ไม่ต้องตกอยู่ในมือผู้ที่ไม่คู่ควร
"บ่าวได้ยินมาว่าวันนี้เซิ่งฮูหยินไม่ก้าวออกจากเรือนเลยเจ้าค่ะ"
ฉิงหว่านเอ่ยเสียงเบา ขณะหยิบผ้าพับล้ำค่าใส่หีบทีละชิ้นอย่างระมัดระวัง
"บ่าวยังเห็นท่านหมอถูกเชิญไปเรือนของนางตั้งแต่เช้า ดูท่าอาการจะไม่ค่อยดีเท่าไรนัก"
ข่าวคราวจากฝั่งของเซิ่งซื่อทำให้มุมปากของอวี้หลันยกขึ้นน้อยๆ
นางไม่แปลกใจเลย เพราะรู้ดีว่าเซิ่งซื่อสูญเสียผลประโยชน์ไปมากเพียงใด นับว่ายังโชคดีที่อีกฝ่ายแค่ล้มป่วย ไม่ถึงขั้นอกแตกตายไปเสียก่อน
เพราะสินเดิมของมารดามีมูลค่ามหาศาลเหลือเกิน แทบจะเป็นแปดในสิบส่วนของคลังสมบัติตระกูลอวี้ รายการสินเดิมของมารดาที่อยู่ในมือของนางเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่รายการสินเดิมที่บิดาให้ซูถัวนำมามอบให้ก่อนหน้านั้น นางเห็นครั้งแรกก็แทบจะไม่เชื่อสายตา
ภายในหีบไม้ประณีตหลายสิบหีบที่บ่าวไพร่ช่วยกันเปิดออก มีทั้งผ้าพับล้ำค่าจากต่างแดน เครื่องประดับทองคำงดงามที่ส่องประกายระยิบระยับจนแสบตา เครื่องหยกโบราณที่หายาก ถาดก้อนทองและทองแท่งหนักอึ้งหลายสิบหีบใหญ่
และสิ่งที่ทำให้อวี้หลันต้องกะพริบตาช้าๆ ด้วยความพึงใจมากที่สุด คือโฉนดที่ดินมากมายและโฉนดร้านค้าหลายสิบแห่งในย่านการค้ากลางเมือง ดูจากบัญชีแล้ว ร้านค้าเหล่านี้สร้างรายได้ให้มหาศาล ยังดีที่ทรัพย์สินเหล่านี้อยู่ในการดูแลของบิดา หากตกอยู่ในมือของเซิ่งซื่อนางไม่อยากจะคิดเลยจริงๆ
เมื่อนำทั้งหมดมารวมกัน หากจะกล่าวว่าอวี้หลันในตอนนี้กลายเป็นเศรษฐีอันดับต้นๆ ผู้หนึ่ง ก็คงไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยแม้แต่น้อย
ความจริงอีกเรื่องที่อวี้หลันเพิ่งได้รับรู้ คือทรัพย์สมบัติเกือบทั้งหมดของตระกูลไป๋ล้วนอยู่ในครอบครองของมารดา ที่ทางการยึดไปนั้นเป็นแค่ส่วนน้อยเท่านั้น
แต่สิ่งที่อวี้หลันไม่เข้าใจเลยก็คือ ทรัพย์สินเหล่านี้มากมายมหาศาล สามารถนำไปใช้ขับเคลื่อนอำนาจได้อย่างแท้จริง หากบิดาต้องการขยับขยายอำนาจของตนเองให้มั่นคงยิ่งขึ้น หากอยากชิงตำแหน่งอัครเสนาบดีมาตั้งแต่ต้น ทรัพย์สินที่อยู่ในมือนั้นก็เพียงพอแล้วที่จะใช้ "ซื้อใจ" ฝ่ายสนับสนุนได้ไม่น้อย
แต่เหตุใด…บิดาจึงเลือกใช้ "การแต่งงาน" เชื่อมสัมพันธ์ทางอำนาจ แทนที่จะใช้ทรัพย์สมบัติที่มีอยู่
นั่นคือสิ่งที่อวี้หลันคิดเท่าไรก็คิดไม่ตก
หรือนี่จะไม่ใช่เพียงเรื่องอำนาจเพียงอย่างเดียว แต่มันอาจมีบางอย่างที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้นซ่อนอยู่เบื้องหลัง
"คุณหนูเจ้าคะ องค์ชายห้าส่งจดหมายมาอีกแล้วเจ้าค่ะ"
เสียงฉิงหว่านดังขึ้นเบาๆ ขณะยื่นจดหมายผนึกแน่นให้เจ้านาย นั่นทำให้อวี้หลันหยุดความคิดทั้งหมดไว้
"เผาทิ้งซะ"
อวี้หลันตอบโดยไม่แม้แต่จะเหลือบตามอง ไม่มีแม้แต่แววลังเลในน้ำเสียงของนาง
ฉิงหว่านลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรับคำเบาๆ แล้วเดินไปยังเตาไฟ เปลวไฟค่อยๆ ลามเลียจดหมายนั้นทีละน้อย จนกระทั่งแผ่นกระดาษสีงาช้างแปรเปลี่ยนเป็นขี้เถ้า
ตั้งแต่วันงานเลี้ยงวันนั้น หลี่จื้อหยวนก็จิตใจว้าวุ่น ตกอยู่ในห้วงความรู้สึกสับสนไม่จางหาย แม้ใบหน้าจะยังสงบนิ่งดังเช่นทุกครั้ง แต่ในอกกลับร้อนรนราวกับมีเปลวไฟสุมอยู่ รู้สึกคล้ายกำลังจะสูญเสียบางสิ่งที่ไม่อาจเรียกคืนได้
หลังจากนั้น เขาก็พยายามส่งจดหมายไปถึงนางไม่หยุด ทั้งเพื่อขอโทษ ทั้งเพื่ออธิบาย และอยากจะขอโอกาส แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือความเงียบ
หลี่จื้อหยวนรู้ดีไม่ใช่เพียงแค่นางไม่อยากพบ แต่นาง...ไม่ต้องการแม้แต่จะให้โอกาส
และนั่น...คือสิ่งที่หลี่จื้อหยวนไม่อาจยอมรับได้
ค่ำคืนนี้ แสงจันทร์ซ่อนอยู่หลังม่านเมฆ บรรยากาศทั่วจวนตระกูลอวี้เงียบงัน ทุกคนต่างหลับสนิท ราตรีช่างสงบเงียบเสียจนได้ยินเสียงลมพัดไหวปลายไม้ได้อย่างชัดเจนแต่ภายในห้องนอนใหญ่ของเรือนฮวาหง กลับยังมีความเคลื่อนไหว แสงตะเกียงริบหรี่เพียงพอให้เห็นเงาร่างบางที่กำลังยืนหน้ากระจกอวี้หลันอยู่ในชุดผ้าฝ้ายสีดำสนิท แขนยาวคลุมข้อมือ ชายเสื้อแนบลำตัว ปกปิดรูปร่างโดยสมบูรณ์ ปิดหน้าครึ่งล่างด้วยผ้าคลุมสีดำมิดชิด เส้นผมถูกรวบสูงอย่างคล่องตัว ดวงตาคมเรียบนิ่งกวาดมองตนเองจากศีรษะจรดปลายเท้าอย่างพอใจ มือหนึ่งเหน็บกริชสั้นไว้แนบเอว อีกมือถือแผนที่เล็กๆ ของจวนอวี้และแผนที่เมืองหลวงที่ฉิงอีวาดขึ้นมา อย่างที่บอกว่าคนของนางแต่ละคนล้วนมีฝีมือไม่ธรรมดา แม้กระทั่งสตรีฉิงอี บุตรสาวของบัณฑิตที่ถูกปล้นฆ่ายกตระกูลจนเหลือเพียงนางผู้เดียว หญิงสาวผู้รู้หนังสือ วาดแผนที่ได้ดุจช่างหลวง รูปลักษณ์ของนางดูเรียบง่าย ผิวขาวจัด มือเรียวยาวนั้นเต็มไปด้วยรอยหมึกเก่าใหม่ปะปนกัน แม้จะมิใช่ผู้ฝึกวรยุทธ์ แต่ความสามารถของนางกลับทำให้ทุกคนต้องเหลียวมองฉิงอีอ่านออกเขียนได้คล่องแคล่ว ใช้พู่กันอย่างคนที่เคยผ่านตำราไม่ต่ำกว่าร้อยเล่ม
ศึกภายนอกก็เข้มข้น ศึกภายในก็ดุเดือด อวี้หลันได้แต่นั่งกุมขมับ ถอนหายใจเงียบๆ อย่างคิดไม่ตก เพราะไม่รู้ว่าปัญหาจะหล่นใส่หัวของนางวันไหน รู้ดีว่าตนไม่อาจอยู่เฉยได้อีกต่อไป ต่อให้ไม่อยากเล่นเกมนี้ ต่อให้ไม่อยากเกี่ยวข้องกับอำนาจ แต่โลกใบนี้ก็ไม่มีที่ให้สตรีอย่างนางได้ยืนอย่างปลอดภัย โดยไม่ถือดาบอยู่ในมือ อวี้หลันยกถ้วยชาแนบปลายริมฝีปาก รสขมของมันทำให้นางตื่นเต็มตาหากต้องอยู่ในกระดาน ก็จงเป็นผู้ที่ เดินหมาก ไม่ใช่ หมากที่ถูกเดินช่วงนี้แม้ภายในจวนจะดูสงบ เซิ่งซื่อกับอวี้เหมยต่างก็เก็บเนื้อเก็บตัว เก็บหัวเก็บหางเงียบสงบอยู่แต่ในเรือนไม่ออกมาเพ่นพ่าน แต่นั่นแหละที่ทำให้นางยิ่งไม่ไว้ใจยิ่งเงียบ... ยิ่งน่ากลัวเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังวางแผนใดกันอยู่หรือไม่ นางรู้ดีว่าเซิ่งซื่อไม่มีทางยอมวางมือง่ายๆ แน่ ดังนั้นตอนนี้นางจึงส่ง ฉิงอู่ เด็กหนุ่มที่ช่างสังเกต ปราดเปรียว มีสายตาเฉียบไวและไหวพริบยอดเยี่ยม คอยจับตาความเคลื่อนไหวของฝั่งนั้นอย่างใกล้ชิด หลังจากรับบ่าวทั้งสิบเข้ามา อวี้หลันก็ได้รู้จักตัวตนของพวกเขาแต่ละคน ยิ่งได้ฟังเรื่องราวในอดีต ยิ่งทำให้นางประหลาดใจไม่หยุด ใครจะไปคิดว่าแต่ละค
"พับสีฟ้ากับสีชมพู ใช้ตัดเป็นชุดสตรี ส่วนพับสีน้ำเงินกับสีเขียวนั่น ใช้ตัดเป็นชุดบุรุษก็แล้วกัน"อวี้หลันเอ่ยเสียงเรียบ ขณะใช้สายตากวาดมองผ้าพับที่กางเรียงอยู่ตรงหน้านางกำลังสั่งให้ ฉิงอี ฉิงซื่อ และฉิงลิ่ว ซึ่งเป็นบ่าวที่พึ่งรับเข้ามา ช่วยกันคัดเลือกผ้าเพื่อส่งให้ร้านอาภรณ์ประจำจวน ตัดเย็บให้กับบ่าวทุกคนในเรือนฮวาหงคนละห้าชุดคนที่นางเลือกเข้ามา เป็นบุรุษหกคนและสตรีสี่คน พวกเขาต่างเป็นคนหนุ่มสาวที่ดูปราดเปรียว กระฉับกระเฉง ทั้งหมดล้วนมีสายตาซื่อตรง ไหวพริบดี และมีวินัยในการวางตัว และเพื่อให้เรียกขานได้สะดวก สามารถจดจำได้ง่าย นางจึงมอบชื่อใหม่ให้แก่ทุกคน โดยขึ้นต้นด้วยคำว่า “ฉิง” ซึ่งหมายถึงความบริสุทธิ์ผ่องใส เช่นเดียวกับฉิงหว่าน ฉิงอี ฉิงเอ้อ ฉิงซาน ฉิงซื่อ ฉิงอู่ ฉิงลิ่ว ฉิงชี ฉิงปา ฉิงจิ่ว และฉิงสือ ชื่อเรียกตามลำดับจากหนึ่งถึงสิบ เป็นชื่อที่ฟังง่าย จดจำง่ายอย่างยิ่ง"คุณหนูน้ำชากับของว่างเจ้าค่ะ"ฉิงจิ่ว เด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา น้องน้อยที่สุดในบรรดาบ่าวทั้งหมด ยกถาดน้ำชาและของว่างเข้ามาให้ผู้เป็นนายด้วยรอยยิ้มน่ารักมองๆ ไปเด็กคนนี้ก็ละม้ายคล้ายคลึงกับฉิงหว่านของนางอยู่
หลังจากเรื่องสินเดิมของมารดาถูกสะสางเป็นที่เรียบร้อย เช้าวันรุ่งขึ้นอวี้หลันก็มาถึงเรือนหลักตั้งแต่เช้าตรู่ ก่อนที่บิดาของนางจะออกจากจวน ภายในห้องหนังสือกลิ่นชาหอมกรุ่นลอยคลุ้ง รองเสนาบดีอวี้จิ้งเพิ่งนั่งลงจิบชาร้อน ยังไม่ทันจะวางจอกชา บ่าวคนสนิทก็เดินเข้ามารายงาน"คุณหนูรองมาขอพบขอรับ"ซูถัวเอ่ยบอกผู้เป็นนายเสียงเรียบอวี้จิ้งเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ แต่ในแววตาก็เจือไปด้วยความรู้สึกยินดี ก่อนจะเอ่ยอนุญาตเสียงนุ่ม "ให้นางเข้ามาเถอะ"เมื่อเห็นบุตรีคนรองก้าวเข้ามาพร้อมท่าทีสงบ สุภาพเรียบร้อย ดวงตาของอวี้จิ้งก็เต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู"หลันเอ๋อร์ มีเรื่องอะไรหรือ ถึงได้มาหาพ่อแต่เช้า"น้ำเสียงของเขาอ่อนโยน ใบหน้าแฝงรอยยิ้มบาง เอ่ยถามอย่างกระตือรือร้นอวี้หลันย่อกายลงทำความเคารพ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน แต่แฝงไว้ด้วยความหนักแน่น"ลูกอยากขออนุญาตท่านพ่อ ออกไปหาซื้อทาสเข้าเรือนเจ้าค่ะ"อวี้จิ้งวางจอกชาลง มองบุตรีด้วยแววตาครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเมตตา"เจ้าไม่จำเป็นต้องออกไปด้วยตัวเองหรอก ประเดี๋ยวพ่อจะให้ซูถัวติดต่อพ่อค้าทาส แล้วให้พวกเขาพาทาสมาให้เจ้า
หลังจากงานเลี้ยงที่จวนรองเสนาบดีอวี้ผ่านพ้นไป ภายในเมืองหลวงก็ไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของ คุณหนูรองสกุลอวี้ อวี้หลันหญิงสาวที่เคยเงียบงันและจืดจางในสายตาผู้คน ที่เดิมทีเป็นเพียงบุตรีของภรรยาเอกผู้ล่วงลับของท่านรองเสนาบดี และตระกูลเดิมของมารดาคือตระกูลขุนนางต้องโทษ ไม่มีผู้ใดใส่ใจว่านางหายหน้าหายตาไปตั้งแต่เมื่อใด หรือแม้แต่นึกถึงชื่อของนางด้วยซ้ำแต่ตอนนี้ ทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงชื่อของคุณหนูรองอวี้หลัน กลับกลายเป็นชื่อที่ถูกพูดถึงในทุกวงสนทนา ตั้งแต่โรงน้ำชา ร้านเครื่องหอม ร้านเครื่องประดับ ไปจนถึงหออาภรณ์ เรื่องราวของนางกลายเป็นหัวข้อโปรดในหมู่สตรีชนชั้นสูง และแม้แต่เหล่าขุนนางฝ่ายในก็ยังเอ่ยถึงโดยเฉพาะเมื่อมีคนขุดคุ้ยเรื่องเก่าเกี่ยวกับการหมั้นหมายในอดีตขององค์ชายห้าขึ้นมากระทั่งกลายเป็นเรื่องเล่าในหมู่ชาวบ้านชาวเมือง ผู้คนเริ่มเล่าเรื่องด้วยความตื่นเต้นสนุกสนาน แรกเริ่มก็พูดกันเพียงเล่นๆ ทว่าพอเล่ากันปากต่อปาก เรื่องราวกลับยิ่งทวีความเข้มข้น แต่งเติมสีสันกันไปคนละทาง จนสุดท้ายมันกลายเป็นตำนานรักสามเส้าระหว่างองค์ชายห้ากับบุตรีตระกูลอวี้ทั้งสองไปๆ มาๆ เรื่องราวเหล่านั้นก็ก
ในที่สุด หลี่จื้อหยวนก็ฝืนยกเท้าขึ้น ก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยใบหน้าสงบนิ่ง ทว่าภายในกลับเต็มไปด้วยคลื่นอารมณ์ที่โถมซัดไม่หยุด และเพียงก้าวเท้าเข้าไปเพียงไม่กี่ก้าว สายตาของเขาก็มองเห็นนางแต่ไกล โดยที่ไม่ต้องมองหาเลยด้วยซ้ำ หัวใจของเขากระตุกวูบ ความรู้สึกผิดปะปนกับความคิดถึงแล่นเข้ามาพร้อมกันอย่างโหดร้ายคนที่อยู่ภายในศาลาเมื่อรู้ว่าองค์ชายห้าหลี่จื้อหยวนเสด็จมาก็รีบออกมารอรับเสด็จ ยกโขยงกันออกไปรออย่างพร้อมเพรียง หนึ่งในนั้นย่อมมีอวี้หลัน ซึ่งเพิ่งจะทรุดกายนั่งลงได้ไม่นาน นางยังไม่ทันจะได้ยกชาขึ้นจิบดับกระหายเลยด้วยซ้ำ ก็ต้องฝืนลุกขึ้นอีกครั้งริมฝีปากภายใต้ผ้าคลุมหน้าจึงเม้มเข้าหากันแน่นด้วยความขัดเคืองใจปนหงุดหงิดคนโบราณนี่ช่างยุ่งยากจริงๆ ใครจะมาใครจะไป ก็ต้องยกโขยงออกไปต้อนรับกันให้วุ่นอวี้หลันสบถในใจอย่างเบื่อหน่ายแต่เหตุใด นามขององค์ชายผู้นี้จึงรู้สึกคุ้นหูนัก เหมือนจะเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนคิ้วเรียวขมวดเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองฉิงหว่านที่ติดตามอยู่เบื้องหลัง คิดจะถามอีกฝ่ายว่าคนผู้นั้นเป็นใคร แต่พอเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอึดอัดคับข้องใจราวกับจะร้องไห้ของสาวใช้คนสนิทก็พลันกระจ่