LOGINเช้าวันนี้ อวี้หลันตื่นขึ้นมาด้วยท่าทางอิดโรยดวงตาคล้ายอดนอน ใบหน้าแม้จะงดงามเฉกเช่นทุกวัน แต่กลับซีดเซียวเล็กน้อย จนฉิงหว่านต้องรีบสั่งให้ห้องครัวเคี่ยวน้ำแกงบำรุงร่างกายอย่างดีมาให้ผู้เป็นนาย
หลังจากกินมื้อเช้าและดื่มน้ำแกงของฉิงหว่านก็ทำให้พอจะรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาบ้าง อวี้หลันนั่งอยู่เงียบๆ ที่โต๊ะน้ำชา มือขาวเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบช้าๆ ดวงตาเหม่อลอยเล็กน้อย แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยความคิด
เรื่องเมื่อคืน... ยังคงวนเวียนไม่ห่างไปจากใจ
ชายผู้นั้น มีใบหน้าและดวงตาที่คุ้นเคยเกินไป หรือจะเป็นเพียงความบังเอิญ
แต่นางรู้ดี... ในโลกนี้ ไม่มีสิ่งใด บังเอิญ โดยไร้เหตุผล
ขณะนั้นเอง เสียงฝีเท้าก็ดังแว่วขึ้นนอกประตู คนของนางคงมากันแล้ว
"คุณหนูเจ้าคะ"
เสียงของฉิงหว่านดังขึ้น ทว่ามีบางอย่างในน้ำเสียงที่ฟังแล้วชวนให้รู้สึกถึงความไม่ปกติ
อวี้หลันวางถ้วยชาในมือลงอย่างเงียบงัน ก่อนจะยืดตัวขึ้นช้าๆ นั่งหลังตรง แววตาเรียบนิ่งเฉกเช่นทุกครั้ง
"เข้ามาเถอะ"
ฉิงหว่านก้าวเข้ามาในห้อง ด้านหลังยังตามมาด้วยฉิงทั้งสิบ พวกเขาต่างคำนับนางอย่างนอบน้อม
"นั่งลงเถอะ"
อวี้หลันเอ่ยเสียงเรียบ รอให้ฉิงจิ่วรินน้ำชาให้กับทุกคนแล้วนั่งลงเรียบร้อยจึงหันไปถามฉิงอู่
"มีอะไรคืบหน้าบ้าง"
"เรือนของเซิ่งฮูหยินมีความเคลื่อนไหวแล้วขอรับ"
ฉิงอู่เอ่ยรายงานเสียงเรียบ เสียงของเขาฟังดูนิ่ง แต่หากฟังดีๆ จะสัมผัสได้ถึงความเคร่งเครียดบางอย่างซ่อนอยู่
"ดูเหมือนนางจะให้คนส่งจดหมายลับไปยังจวนของพี่ชาย ซึ่งรับราชการสังกัดองครักษ์ประจำวังหลวงอยู่ตอนนี้ขอรับ"
สิ้นคำรายงาน ห้องทั้งห้องกลับเงียบลงอีกครั้ง
แม้จะไม่มีใครเปล่งเสียงออกมา แต่ความเย็นยะเยือกบางอย่างก็กระจายอยู่รอบตัวหญิงสาว
อวี้หลันนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดปากขึ้นเช็ดมุมปากเบาๆ นางคิดเอาไว้อยู่แล้ว ว่าเซิงซื่อไม่มีทางทำทุกอย่างคนเดียว
"ส่งจดหมายไปหาพี่ชายที่เป็นองครักษ์"
นางพูดเบาๆ ราวกับพูดกับตัวเองมากกว่าจะสื่อสารกับผู้อื่น
ริมฝีปากหยักขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับไปไม่ถึงดวงตา แววตานั้นเยือกเย็นจนทุกคนเผลอกลืนน้ำลาย
อวี้หลันรู้ว่านี่ไม่ใช่แค่การขยับตัวธรรมดาของเซิ่งซื่อ แต่คือการ เริ่มเดินหมาก
แม้จะยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดจะลงมือเช่นไร แต่ในเกมนี้...นางจะไม่มีทางยอมให้ใครชิงหมากแรกไปโดยที่นางไม่ตอบโต้
นี่ไม่ใช่เกมที่นางจะยืนดูอยู่เฉยๆ เพราะถ้าคิดจะอยู่รอดในจวนนี้ จะรอเพียงให้โชคเข้าข้างไม่ได้
หญิงสาวหลุบตาลงเล็กน้อยก่อนเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง แต่แฝงไว้ด้วยความเด็ดขาด
"ฉิงสือ ไปสืบเรื่องพี่ชายของเซิ่งซื่อก็แล้วกัน"
"ขอรับคุณหนู"
ฉิงสือตอบรับในทันที สีหน้าแน่วแน่
อวี้หลันเงียบไปครู่หนึ่ง ราวกับกำลังคิดให้ลึกยิ่งขึ้น ก่อนจะกล่าวเสริม
"ดูว่าเขาติดต่อกับใครบ้าง และมีอำนาจแค่ไหน ข้าต้องการรู้ทุกอย่างอย่างละเอียด"
ฉิงสือรับคำสั่งและออกไปปฏิบัติหน้าที่ของตนทันที เพราะหากชักช้าแค่เพียงก้าวก็อาจจะพลาดสิ่งสำคัญไป
อวี้หลันหันไปทางฉิงอู่
"ฉิงอู่ เจ้าจับตาเรือนของเซิ่งซื่อต่อไป อย่าให้คลาดสายตา"
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับเงียบๆ ดวงตาวาววับ แฝงความกระตือรือร้นไว้เต็มเปี่ยม
จากนั้นอวี้หลันก็หันไปมองทุกคนที่รอรับคำสั่งอยู่
"ส่วนพวกเจ้าที่เหลือ แยกย้ายกันไปหาซื้อทาส คัดเลือกคนที่พอใช้งานได้ ไปยังที่ดินที่ข้าเตรียมเอาไว้ แล้วฝึกฝนพวกเขา ขาดเหลือสิ่งใดก็แจ้งกับฉิงหว่านโดยตรง นางจะจัดการให้ทันที"
เสียงตอบรับดังขึ้นพร้อมกัน
"ขอรับ/เจ้าค่ะ"
ขณะที่บรรยากาศภายในเรือนฮวาหงยังคงเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด อีกฟากหนึ่งของวังหลวงก็เต็มไปด้วยความอึมครึมไม่แพ้กัน
ภายในตำหนักจิ้งเหอ ตำหนักของฮองเฮาบรรยากาศรอบด้านเงียบสงัดเคร่งขรึมจนหายใจไม่ทั่วท้อง กลิ่นกำยานหอมจางๆ ลอยเคล้ากับกลิ่นชาชั้นเลิศที่วางอยู่บนโต๊ะ ดึงสติทุกคนให้ตื่นตัวอยู่เสมอ
เบื้องหน้าคือสตรีสูงศักดิ์ในฉลองพระองค์งดงาม แม้ดวงพักตร์จะยังเปี่ยมด้วยความงามสง่า ทว่าแววตากลับเต็มไปด้วยความตึงเครียดและเย็นเยียบ
เช้าวันนี้ ราชสำนักได้ประกาศชัยชนะขององค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงในศึกทางเหนืออย่างเป็นทางการ เสียงชื่นชมและคำสรรเสริญดังกระหึ่มไปทั่วเมืองหลวง
ในขณะที่ผู้คนมากมายยินดีกับชัยชนะขององค์ชายใหญ่ และรอคอยการกลับมาของพระองค์ แต่เสิ่นฮองเฮาผู้เป็นพระมารดาเลี้ยง กลับไม่ได้รู้สึกยินดีแม้แต่น้อยที่บุตรเลี้ยงผู้นั้นหวนกลับมาเหยียบเมืองหลวงอีกครั้ง
ไม่ใช่ว่านางไม่รู้ถึงความสำคัญของชัยชนะครั้งนี้ แต่เพราะผู้ที่ได้รับชัยชนะนั้นไม่ใช่โอรสของนาง
พระนางไม่เคยต้องการให้องค์ชายใหญ่หวนคืนสู่เมืองหลวง นางหวังให้อีกฝ่ายตกตายในสนามรบเสียด้วยซ้ำ ไม่ใช่เพียงเพราะเขาเป็นบุตรของสตรีอื่น หากแต่เป็นเพราะอีกฝ่ายเป็นภัยที่คุกคามบัลลังก์ที่พระนางพยายามเกื้อหนุนให้เป็นของโอรสผู้เป็นสายโลหิตของตน
การกลับมาขององค์ชายใหญ่ จะทำให้ความมั่นคงที่นางวางรากฐานมาทั้งหมดสั่นคลอน
เสิ่นฮองเฮาประทับนิ่งอยู่บนตั่งหยก มือเรียววางจอกน้ำชาในมือลงอย่างแผ่วเบา แต่แววตากลับเยียบเย็นดั่งน้ำแข็ง
"กลับมาจนได้สินะ"
สุ้มเสียงเรียบนิ่งเยียบเย็นเอ่ยขึ้นเบาๆ ราวกับกล่าวกับตัวเอง
ขันทีคนสนิทรีบก้าวเข้ามาเงียบๆ ก่อนกระซิบรายงานเบาๆ
"ตอนนี้ใกล้จะเสด็จเข้าเขตเมืองหลวงแล้วพ่ะย่ะค่ะ คาดว่าอีกไม่เกินสองวันขบวนทัพก็จะผ่านประตูเมือง"
"แจ้งคนของเรา ให้จับตาดูเขาทุกฝีก้าว"
เสิ่นฮองเฮาตอบกลับโดยไม่หันมามอง สีพระพักตร์ไม่เปลี่ยน แต่อารมณ์ในแววตากลับหนักหน่วง
"ทางด้านอวี้ฮูหยินเป็นเช่นไรบ้าง"
ขันทีผู้นั้นนิ่งไปเล็กน้อย สีหน้าแฝงความลังเล ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงเบา
"คนของเรารายงานมาว่า... เอ่อ... อวี้ฮูหยินยังไม่ได้ครอบครองสินเดิมของไป๋ซูเหยาพ่ะย่ะค่ะ"
"ว่าอย่างไรนะ!"
แววตาของเสิ่นฮองเฮาเย็นเยียบลงทันควัน หางตากระตุกวาบราวกับเก็บความขุ่นเคืองไว้ไม่มิด
ขันทีรีบก้มหน้าต่ำ เสียงสั่นเล็กน้อยเมื่อกล่าวต่อ
"คะ คือ สินเดิมทั้งหมดถูกคุณหนูรองอวี้หลันรับไปดูแลแล้วพ่ะย่ะค่ะ กล่าวว่านางเอ่ยขอกับใต้เท้าอวี้โดยตรง"
ทันใดนั้น สีพระพักตร์ของฮองเฮาเปลี่ยนไป แววตาเต็มไปด้วยความเยียบเย็นแฝงความครุ่นคิด ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ
"ไม่ได้เรื่อง ไร้ประโยชน์จริงๆ"
นางหรี่พระเนตรลงช้าๆ วางจอกชาลงกับโต๊ะอย่างแรงโดยไม่แยแสเสียงกระทบหนักๆ นั้น แล้วหันไปสั่งโดยไม่ลังเล
"เรียกตัวองครักษ์เซิ่ง มาพบข้าเดี๋ยวนี้"
เสิ่นฮองเฮาหลับตาลงช้าๆ พยายามระงับโทสะที่พลุ่งพล่านอยู่ภายใน แม้สีพระพักตร์จะยังเรียบเฉยดังเช่นทุกครั้ง ทว่าในอกกลับร้อนระอุดั่งเปลวเพลิงที่กำลังกรุ่นอยู่ใต้ธารน้ำแข็ง
ดูเหมือนแผนการทั้งหมดที่วางเอาไว้อย่างดีมาหลายปีจะไม่ง่ายอย่างที่คิด นางพยายามใคร่ครวญว่าตนเองก้าวพลาดที่ตรงไหน ทุกอย่างถึงได้ดูติดขัดไปเสียทุกอย่างเช่นนี้
นางสู้อุตส่าห์วางแผนมาตลอดหลายปี ทุ่มเทกำลังทรัพย์ไปมากมาย ทุกอย่างจะมาพังลงเช่นนี้น่ะหรือ
นางจะยอมได้อย่างไรกัน
สิ่งที่นางลงทุนลงแรงไปในอดีตอย่างยากลำบาก ค่อยๆ ไหลผ่านเข้ามาในห้วงความคิดอีกครั้ง...
แม้จะดำรงตำแหน่งสูงส่งเป็นถึงมารดาของแผ่นดิน แต่เสิ่นฮองเฮากลับรู้ดีว่า อำนาจที่แท้จริง หาใช่สิ่งที่มากับตำแหน่งเพียงอย่างเดียวไม่
ในวังหลวงแห่งนี้ ตำแหน่งคือเปลือก แต่การสนับสนุนจากขุนนางทั้งหลายในราชสำนักต่างหาก คือหัวใจสำคัญ
และหากนางต้องการผลักดันโอรสของตนขึ้นสู่ตำแหน่งรัชทายาท ก็ย่อมต้องมีเสียงสนับสนุนที่หนักแน่นมากพอจะกลบเสียงคัดค้านจากอีกฝ่าย
นางรู้ดีว่า ใจของขุนนาง ไม่ได้ซื้อได้ด้วยเพียงคำหวานหรือความชอบธรรม แต่ต้องแลกมาด้วย เงินทองและผลประโยชน์มหาศาล
ทว่าที่น่าเจ็บใจคือ ตระกูลเสิ่นของนางนั้นแม้มีเกียรติ แต่กลับขาดทรัพย์สิน แม้กระทั่งสมบัติส่วนพระองค์ที่ติดมาพร้อมตำแหน่งฮองเฮา ก็ใช่ว่าจะมีมากมายพอจะแจกจ่ายให้ทั่วถึง
นางจึงต้องมองหา กำลังเสริม จากภายนอก ในช่วงเวลานั้น มีเพียงไม่กี่คนที่กำลังเรืองอำนาจ
อวี้จิ้ง รองเสนาบดีหนุ่มผู้มีมันสมองและเบื้องหลังมั่นคงจากตระกูลภรรยา กลายเป็นเป้าหมายสำคัญของนาง
หากสามารถดึงเขามาเป็นพวกได้ นางก็จะได้ทั้งแรงสนับสนุนจากขุนนางและทรัพย์จากตระกูลเดิมของภรรยาเขา
ดังนั้นจึงได้เกิดการพูดคุยหมั้นหมายระหว่างโอรสของนางกับบุตรสาวคนรองของอวี้จิ้ง ทุกอย่างดูเหมือนจะดำเนินไปได้ด้วยดี หากไม่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นก่อน
ตระกูลไป๋ล่มสลายในชั่วข้ามคืน ฐานอำนาจของอวี้จิ้งสั่นคลอน และหญิงสาวที่เคยเป็นว่าที่สะใภ้ในสายตานางก็กลายเป็นคนไร้ที่ยืน
เสิ่นฮองเฮาไม่อาจยอมให้อดีตอันหม่นหมองของฝ่ายหญิง มาเป็นรอยด่างพร้อยในอนาคตของโอรสได้ นางจึงคิดที่จะทอดทิ้งการหมั้นหมายนี้
และในขณะที่นางกำลังมองหาทางเดินใหม่ เซิ่งหม่าถง บุตรชายของรองแม่ทัพตระกูลเซิ่งที่ประจำอยู่ชายแดนใต้ คนผู้นี้เป็นคนที่พระนางทรงอุ้มชูอย่างลับๆ มาตั้งแต่ยังเป็นขุนนางทหารชั้นผู้น้อย ด้วยฝีมือ ความภักดี และการวางตัวอย่างเฉลียวฉลาด เขาจึงได้กลายมาเป็นหนึ่งในทหารราชองครักษ์หลวงที่เบื้องหลังมีฮองเฮาเช่นนางเป็นนายเหนือหัว
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เซิ่งหม่าถงรับใช้นางอย่างซื่อสัตย์ ไม่เคยทำให้ผิดหวัง และในยามที่แผนการของนางติดขัด เขาก็ไม่ลังเลที่จะยื่นข้อเสนอหนึ่งให้แก่นาง
ซึ่งเกี่ยวข้องกับน้องสาวของเขาหรือก็คือ เซิ่งซื่อ ฮูหยินรองของรองเสนาบดีอวี้จิ้ง
"หากไป๋ซูเหยาไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป น้องสาวของกระหม่อมก็จะขึ้นแทนที่ในตำแหน่งของนาง"
เสียงของเซิ่งหม่าถงนั้นหนักแน่น เยือกเย็น และไม่ทิ้งช่องให้ลังเล
เสิ่นฮองเฮานิ่งไปชั่วครู่ ก่อนพระเนตรคู่งามจะฉายแววประเมิน ข้อเสนอนี้ไม่เพียงช่วยเซิ่งซื่อและดึงอีกฝ่ายมาเป็นคนของนาง แต่ยังเป็นประตูสู่สิ่งที่พระนางต้องการ
หากเซิ่งซื่อได้ขึ้นเป็นฮูหยินเอก นั่นหมายความว่า พระนางจะสามารถครอบครองอำนาจในจวนรองเสนาบดีได้โดยไม่ต้องผูกพันกับตระกูลไป๋ที่ล่มสลายอีกต่อไป
ทางเลือกนี้ แม้จะมืดมิดและสกปรก แต่นั่นก็เป็นราคาที่นางพร้อมจะจ่ายเพื่อผลลัพธ์ที่ใหญ่กว่า
ในขณะที่เบื้องหลังของไป๋ซูเหยาพังทลาย จิตใจของนางกำลังอ่อนแออย่างหนัก จะมีช่วงเวลาใดเหมาะสมไปกว่านี้อีก
วันถัดมา ยาพิษในขวดหยกเล็กๆ จึงถูกส่งถึงมือของเซิ่งหม่าถงอย่างลับๆ
หลังจากนั้นนางก็ประวิงเวลาเรื่องการหมั้นหมายเอาไว้ เพราะไม่อาจปล่อยให้เรื่องนั้นกระทบต่อความสัมพันธ์ของนางกับอวี้จิ้ง เลือกที่จะไม่ปฏิเสธ ไม่รับรอง แต่ปล่อยให้มันเลือนหายไปกับกาลเวลา รอเพียงให้เซิ่งซื่อยืนอยู่ในตะกูลอวี้ได้อย่างมั่นคง
"ยินดีที่ได้พบกัน... คุณหนูรอง" หลี่เหวินหลงเอ่ยขึ้น น้ำเสียงราบเรียบทุ้มต่ำ ขณะสายพระเนตรยังคงทอดมองอวี้หลันอย่างไม่ลดละ เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย พลางกระตุกยิ้มบางมุมปาก"ไม่ทราบว่าเรา...เคยพบกันมาก่อนหรือไม่"พระสุรเสียงนั้นไม่ได้ดังนัก ทว่าแฝงด้วยโทนเสียงเชื่องช้าและนุ่มลึกอย่างประหลาด แต่กลับชวนให้ใจคนฟังเต้นแรงกว่าเดิมคำถามของเขาดูเหมือนจะธรรมดา แต่สายพระเนตรที่ทอดมองมามีบางอย่างเจืออยู่ คล้ายจับผิด คล้ายแกล้งหยอกเย้า และคล้ายว่ากำลังเพลิดเพลินกับการเห็นนางเก็บอาการไม่อยู่อวี้หลันเม้มปากเล็กน้อย เริ่มไม่มั่นใจว่าเขาจดจำนางได้หรือไม่ หญิงสาวยังไม่ทันได้เอ่ยตอบ เสียงทุ้มหนักของรองเสนาบดีอวี้จิ้งก็ดังขึ้นเสียก่อน ตัดขาดการสนทนาระหว่างบุตรสาวกับบุรุษผู้สูงศักดิ์ตรงหน้า"หลันเอ๋อร์ร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก จึงมักจะเก็บตัวอยู่เพียงในเรือน คงยากที่จะเคยพบเจอองค์ชายใหญ่พ่ะย่ะค่ะ"เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงความหมายชัดเจนอยู่ในทุกถ้อยคำ อวี้จิ้งหยุดชั่วครู่ ก่อนเสริมด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่ฟังดูหนักแน่นขึ้น"อีกทั้งพระองค์เพิ่งจะกลับมา ยิ่งไม่มีโอกาสพบเจอกันพ่ะย่ะค่ะ"ทุกถ้อยค
หลี่เหวินหลงหยัดยิ้มมุมปาก รอยยิ้มบางเฉียบที่ไม่อาจอ่านได้ว่ากำลังดูแคลน หรือเพียงเพลิดเพลินไปกับการจับตามองผู้อื่นดิ้นพล่านในสายตาของเขา เซิ่งซื่อก็ไม่ต่างจากแมลงตัวหนึ่งที่กำลังพยายามปีนป่ายหลีกหนีเปลวเพลิงที่ลุกลามใกล้ตัว ยิ่งดิ้นรน...ยิ่งเผยจุดอ่อนดวงเนตรคมกริบใต้คิ้วคมเข้ม ทอดมองสตรีที่พยายามคลี่ยิ้มอ่อนโยนกลบเกลื่อนความหวาดหวั่น ท่าทางเสแสร้งนั้นไม่ต่างจากฉากละครตื้นเขินที่เขาเคยเห็นมานับครั้งไม่ถ้วนจากมารดาเลี้ยงของตนเขาถึงว่ากันว่าคนประเภทเดียวกันจึงมักจะอยู่ร่วมกันได้สายตาของเขาจึงมองเซิ่งซื่อไม่ต่างจากมองซากเนื้อชิ้นหนึ่งที่ยังมีลมหายใจ เขาไม่เร่งเวลาชำระแค้น เพราะรู้ดีว่า… การให้อีกฝ่ายได้ยินเสียงฝีเท้าแห่งหายนะคืบคลานทีละก้าวนั้นทรมานยิ่งกว่าความตาย จากนั้นเขาจะโยนพวกมันลงหลุมในคราวเดียวหลี่เหวินหลงกระตุกยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะเบือนหน้าจากภาพเหล่านั้นอย่างไม่ไยดี เขาไม่ได้ให้ความสนใจสตรีตรงหน้าอีกว่านางจะเสแสร้งต่อไปอย่างไรเพราะทันทีที่สัมผัสได้ถึงเสียงฝีเท้าเร่งร้อนที่กำลังมุ่งตรงมาทางนี้ สายพระเนตรคมกริบก็เบนจากทุกคนในห้อง ไปยังบานประตูห้องโถงโดยฉับพลันแผ่นหลังกว้างขอ
แสงแดดอ่อนยามสายสาดส่องลอดผ่านม่านโปร่งบางลงมาแตะต้องพื้นหินเย็นเฉียบ เสียงนกร้องไกลๆ คล้ายขับกล่อมให้บรรยากาศยิ่งแจ่มใสยิ่งขึ้น แต่ภายในใจของอวี้หลันกลับคล้ายมีบางสิ่งกำลังคุกรุ่นอยู่เงียบๆ นางนั่งอยู่ยังโต๊ะเตี้ยในศาลากลางน้ำ มือเรียวบางค่อยๆ พลิกหน้าตำราเล่มหนึ่งอย่างช้าๆ แม้แววตาดูสงบนิ่ง ทว่าในห้วงลึกของจิตใจกลับเต็มไปด้วยความคิดมากมาย เสียงฝีเท้าเร่งร้อนดังใกล้เข้ามา ก่อนที่ฉิงหว่านจะโผล่พ้นแนวพุ่มดอกเหมยแล้วรีบพุ่งตรงมาหาผู้เป็นนาย ใบหน้าของนางเปื้อนเหงื่อ สองแก้มแดงระเรื่อจากการวิ่งสุดฝีเท้า น้ำเสียงตื่นเต้นจนแทบจะกลั้นไม่อยู่"คุณหนู! คุณหนูเจ้าคะ!"อวี้หลันละสายตาจากตำรา เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เอ่ยถามน้ำเสียงราบเรียบเกียจคร้าน"หวานหว่าน มีอะไรหรือ"ฉิงหว่านหอบหายใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบเอ่ยออกมาเสียงสั่นอย่างไม่อาจระงับความตื่นเต้นไว้ได้"คุณชายกลับมาแล้วเจ้าค่ะ! คุณชายใหญ่อวี้เฉิน... กลับมาที่จวนแล้ว!"คำพูดนั้นเหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางใจของอวี้หลัน นางนิ่งงันไปชั่วอึดใจราวกับตั้งตัวไม่ทัน นิ้วมือที่กำลังจะเปิดหน้าตำราชะงัก ความเงียบคล้ายจะปกคลุมไปทั่วศาลา ดวงตาสะท้อนแววตื่นตะ
อวี้จิ้งยืนอยู่หน้าประตูจวน เงยหน้าขึ้นมองขบวนผู้มาเยือน สายตาทอดมองร่างสูงสง่าบนหลังม้าศึกสีดำทะมึน ก่อนสายตาจะเลื่อนมาหยุดอยู่ที่เด็กหนุ่มอีกผู้หนึ่ง ผู้ที่เขาไม่ได้พบหน้ามานานถึงแปดปี แต่กลับจำอีกฝ่ายได้อย่างแม่นยำเด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงเขาอยู่หลายส่วน ส่วนดวงตาคู่นั้นช่างเหมือนกับดวงตาของมารดาไม่มีผิดเพี้ยน อวี้เฉินของเขา เติบโตขึ้นแล้วไม่ใช่เด็กน้อยที่เคยวิ่งตามเขาไปทั่วจวนอีกต่อไป แต่กำลังเติบโตเป็นชายหนุ่มผู้เปี่ยมไปด้วยความสง่างามและความมั่นใจ แววตามั่นคง ท่วงท่าดูสุขุมเหมาะสมกับวัยและสถานะรองเสนาบดีอวี้จิ้งมองบุตรชายของตนเนิ่นนาน แววตาที่เคยสงบนิ่งกลับคล้ายแดงเรื่อขึ้นวูบหนึ่ง ก่อนจะกลบซ่อนไว้อย่างแนบเนียนด้วยท่าทีสุขุมตามเคยเมื่ออวี้เฉินกระโดดลงจากหลังม้า เขาก็ก้าวเข้ามาตรงหน้า แล้วคุกเข่าคำนับบิดาอย่างนอบน้อม"ท่านพ่อ"เสียงเรียกนั้นนุ่มลึก ไม่ดังนัก แต่กลับชัดเจนในความรู้สึก คำเรียกเพียงสั้นๆ กลับแทนความรู้สึกมากมายที่เก็บไว้ตลอดหลายปีความคิดถึง ความเคารพ และความเข้าใจที่ไม่ต้องอธิบายด้วยคำพูดเมื่อมองใบหน้าของบุตรชาย ใจของอวี้จิ้งคล้ายจะอบอุ่นขึ้นมาอย่าง
ในที่สุด...ขบวนทัพจากแดนเหนือก็เดินทางมาถึงเมืองหลวงบรรยากาศภายในเมืองคึกคักราวกับวันมหามงคล เสียงฆ้องแห่งความยินดีดังก้องสะท้อนไปทั่วทุกตรอกซอกซอย เพื่อประกาศการกลับมาขององค์ชายใหญ่ หลี่เหวินหลง และเหล่าทหารกล้าขุนนางฝ่ายที่ภักดีต่อพระองค์ต่างพากันออกมาต้อนรับอย่างพร้อมเพรียง หลายคนถึงกับน้ำตาคลอ ด้วยความโล่งใจปนปลื้มปิติบนถนนสายหลัก ประชาชนต่างแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสดใส พากันโปรยกลีบดอกไม้ตลอดสองข้างทาง ราวกับหลอมรวมกันเป็นพรมดอกไม้เพื่อต้อนรับวีรบุรุษของแผ่นดินเสียงหัวเราะของเด็กเล็กดังกังวาน แม่ค้าพากันเปิดแผง แจกจ่ายขนมแก่ผู้คนโดยไม่เรียกร้องสิ่งใดตอบแทนผู้คนทั้งเมืองต่างพากันเอ่ยถึงเพียงชื่อเดียว องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง ขุนพลผู้เกรียงไกร ที่นำทัพกลับมาพร้อมชัยชนะ บุรุษผู้เป็นที่รักของประชาชน และเป็นความภาคภูมิใจของแผ่นดินแม้พระองค์จะห่างหายจากเมืองหลวงไปนานหลายปี ทว่า...พระองค์กลับไม่เคยหายไปจากหัวใจของผู้คนเลยแม้แต่น้อยทุกสายตาล้วนจับจ้องไปยังปลายถนน รอคอยแค่เพียงเงาร่างของผู้ที่เปรียบดั่งตะวันยามรุ่งอรุณของชาติบ้านเมืองเสียงฆ้องกลองยังคงดังกระหึ่มเป็นจังหวะต่อเนื่อง ก้อ
นับว่าฉิงสือตัดสินใจได้ถูกต้องยิ่งนักที่ลงมืออย่างรวดเร็ว...เพราะหากเขาช้าไปเพียงก้าวเดียว ข่าวสำคัญที่เพิ่งถูกค้นพบอาจหลุดลอยไปอย่างน่าเสียดายเพียงแค่เขาลอบเข้าไปในจวนสกุลเซิ่ง ก็พบกับความเคลื่อนไหวบางอย่างที่ไม่ธรรมดาองครักษ์เซิ่งหม่าถง พี่ชายแท้ๆ ของเซิ่งซื่อ กำลังเร่งรีบออกจากจวนทันทีหลังจากได้รับสารลับฉบับหนึ่ง สีหน้าเคร่งเครียด ประหนึ่งว่ากำลังแบกภาระอันหนักอึ้งฉิงสือไม่รอช้า รีบสะกดรอยตามไปอย่างเงียบเชียบ พบว่าอีกฝ่ายกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่วังหลวงอย่างร้อนรนผิดวิสัย แม้จะไม่สามารถล่วงล้ำเข้าไปถึงพระราชวังชั้นในได้ แต่ก็พอจะจับทิศทางของเซิ่งหม่าถงได้ชัดเจนเซิ่งหม่าถงมุ่งหน้าเข้าสู่ตำหนักจิ้งเหอ ตำหนักที่ประทับของฮองเฮาไม่ผิดแน่ฉิงสือเฝ้าสังเกตอยู่อย่างเงียบงัน รอจนกระทั่งเซิ่งหม่าถงกลับออกมา แล้วมุ่งหน้ากลับจวน เขาลอบตามไปอย่างเงียบๆ จนแน่ใจว่าอีกฝ่ายกลับเข้าจวนโดยไม่มีความเคลื่อนไหวหรือการส่งสารใดต่ออีก จึงรีบเร่งกลับไปรายงานนายของตน รายงานสำคัญในมือของเขา ต้องส่งถึงผู้เป็นนายโดยเร็วที่สุดยามเมื่อความมืดมาเยือน ความเงียบคลี่คลุมทั่วทั้งจวนรองเสนาบดี ราตรียังไม่ทันล่วงเลยไปม







