อวี้หลันกลับเข้ามาในเรือนด้วยหัวใจที่ยังสั่นระรัว ร่างของนางยังคล้ายล่องลอย หัวใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ ราวกับยังหลุดออกจากสนามต่อสู้เมื่อครู่ไม่พ้น
ความตั้งใจเดิมที่แค่จะออกไปสำรวจเมืองหลวง หาทางหนีทีไล่ กลับกลายเป็นเรื่องบ้าคลั่งที่เกือบทำให้นางเอาชีวิตไม่รอด
ไม่ใช่แค่เพราะการต่อสู้ที่อันตราย หรือฝีมือของชายชุดดำผู้นั้นที่รุนแรงจนแทบหยุดลมหายใจได้
แต่สิ่งที่ทำให้นางตั้งสติไม่อยู่คือ ใบหน้าของเขา
เมื่อผ้าคลุมหน้าหลุดออก...
แวบแรกที่สบตากัน ความรู้สึกบางอย่างก็พุ่งขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว
ใบหน้านั้น นางไม่มีวันลืมมันได้
คิ้วคม ดวงตาเฉียบลึก สีหน้าเยือกเย็นไร้อารมณ์ แม้ท่าทางจะต่างออกไป ชุดเสื้อผ้าก็คนละยุค แต่เงาในแววตานั้นยังเหมือนเดิมไม่มีผิด
ไอ้ผู้กำกับเฮงซวยนั่น... โผล่มาในโลกนี้ได้อย่างไร!
อวี้หลันกัดฟันกรอด มือกำแน่นโดยไม่รู้ตัว
หรือว่า... ชายผู้นั้นจะเป็นคนละคน แค่บังเอิญหน้าตาเหมือนกัน
แต่เป็นไปได้หรือ โลกนี้กว้างใหญ่ จะมีคนที่เหมือนกันราวกับถูกหล่อจากแม่พิมพ์เดียวกันได้อย่างไร
หัวใจของนางยังเต้นแรงไม่หยุด ไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เพราะความแค้นที่ฝังลึกต่างหาก
หากเขาเป็นคนคนเดียวกันจริง คนผู้นี้ก็คงเป็นหมาบ้าที่กัดไม่ปล่อย ถึงขนาดตามจองเวรข้ามภพข้ามชาติ
นี่มันเป็นเรื่องบ้าบอที่สุดเท่าที่เคยเจอมาในชีวิตสองชาติ!
ในขณะที่อวี้หลันยังคงนั่งกุมขมับ ใบหน้าเคร่งเครียด ความคิดสับสนวุ่นวายไม่จบไม่สิ้น ทั้งแววตาคู่นั้น ทั้งใบหน้าคุ้นเคยที่ติดตรึงอยู่ในหัวของนางไม่ยอมเลือนหาย
หัวใจยังเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ… จนมือที่จับถ้วยชาสั่นเล็กน้อย
แต่นางหารู้ไม่ว่า ขณะที่นางกำลังนั่งวิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างร้อนรน คนที่นางกำลังคิดถึง กลับกำลังนั่งเอนหลังอย่างสบายใจ
ในกระโจมเงียบสงบกลางป่าไผ่ ห่างจากเขตเมืองหลวงไม่ถึงหนึ่งร้อยลี้ แสงจันทร์สาดผ่านม่านไม้ไผ่บางเบา สะท้อนเป็นลายเงาไหวบนพื้นดิน ร่างสูงสง่านั่งพิงกับพนักเก้าอี้ไม้ท่ามกลางแสงสลัว เขายกจอกสุราขึ้นจิบช้าๆ ดวงตาคมทอดมองออกไปไกลเหมือนไม่ได้สนใจสิ่งใด แต่ในแววตากลับมีบางอย่างกำลังเคลื่อนไหว
กลิ่นสุราหอมกรุ่นลอยปะปนไปกับกลิ่นดินและไม้ไผ่ ทำให้บรรยากาศยิ่งเงียบสงัดจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจของตนเอง
บนโต๊ะมีกับแกล้มอย่างดีจัดวางเอาไว้ ข้างกายมีสุราชั้นดีอีกหลายไหเรียงราย
ชายหนุ่มไม่พูดไม่จา ตั้งแต่กลับมานั่งลงตรงนี้ เขาก็เอาแต่นั่งเงียบอยู่อย่างนั้น แต่ดวงตากลับมีประกายบางอย่างซ่อนอยู่ลึกๆ
เมื่อจอกสุราในมือถูกวางลง ชายหนุ่มก็ยกมือขึ้นแตะเบาๆ ที่แก้มข้างหนึ่ง ซึ่งตรงนั้นมีรอยฝ่ามือประทับอยู่อย่างชัดเจน คล้ายจะนึกถึงบางสิ่งบางอย่าง
ไม่ใช่รอยที่ทำให้โกรธ แต่กลับเรียกให้มุมปากกระตุกขึ้นเล็กน้อย
ชายหนุ่มหัวเราะออกมา ทั้งที่ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเพราะอะไร
ไม่ใช่เพราะตบเจ็บ ไม่ใช่เพราะเสียหน้า
แต่เพราะ...
นาง กล้า ตบเขา และท่าทางดุร้ายราวแมวป่าของอีกฝ่าย
แววตางามคู่นั้น เฉียบลึกคมกริบ การเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว เต็มไปด้วยสัญชาตญาณนักฆ่า และความดื้อดึงที่ไม่ยอมสยบให้ใคร
นั่นมันแววตาของนักล่า ไม่ใช่เหยื่อ
คมมีดเฉียดลำคอ เสียงกรีดผ่านอากาศดุดัน และท่าทางหาญกล้าในระยะประชิด ทุกภาพยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเขาไม่ยอมจางหาย
นานแค่ไหนแล้ว... ที่ไม่มีใครทำให้เขารู้สึก ไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้
ท่าทางของเขาในตอนนี้ ราวกับคนที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ ลืมเลือนแม้กระทั่งโลกภายนอก
และทั้งหมดนั้น ไม่ได้รอดพ้นสายตาของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ กันเลยสักนิด
"เจ้าของฝ่ามือนี้คือผู้ใดกัน ถึงได้ทำให้องค์ชายใหญ่ของกระหม่อมเสียอาการถึงเพียงนี้"
เสียงกลั้วหัวเราะอย่างขบขันของ อวี้เฉิน ดังขึ้น พร้อมทั้งยกไหสุรารินให้อีกฝ่ายอย่างไม่เร่งร้อน
คำพูดนั้นแม้จะฟังดูสัพยอก แต่ก็แฝงความสนใจชัดเจน
องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง ชำเลืองตามองเด็กหนุ่มข้างกายที่เขาอุ้มชูมาหลายปี สายตาคมกริบกวาดผ่านใบหน้าอีกฝ่ายอย่างเรียบนิ่ง
แต่แล้ว... สายตาของอวี้เฉินที่จ้องตอบกลับมาอย่างจริงจังกลับทำให้เขาชะงัก
เพียงเสี้ยววินาที ลมหายใจของหลี่เหวินหลงก็คล้ายจะสะดุด
เขาค่อยๆ ยืดแผ่นหลังขึ้นเต็มความสูง นั่งหลังตรงอย่างสง่างาม ดวงตาคมยังคงจับจ้องใบหน้าของอีกฝ่ายไม่กะพริบ ราวกับกำลังใช้สายตาอ่านอะไรบางอย่าง
อวี้เฉินรู้สึกถึงแรงกดดันแปลกๆ ที่กำลังถาโถมเข้ามาเงียบๆ เขาขยับตัวเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
"อะ องค์ชาย เหตุใดจึงมองกระหม่อมเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ"
อวี้เฉินเอ่ยถามเสียงเบา รู้สึกเก้อเขินขึ้นมาเล็กน้อยจนทำตัวไม่ถูก
"กระหม่อมรู้ว่าพระองค์เมตตาเอ็นดูกระหม่อม แต่...มองกันด้วยสายตาเช่นนี้ ไม่ดีกระมังพ่ะย่ะค่ะ"
เด็กหนุ่มกล่าวกลั้วขำแก้เก้อ ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเป็นอะไรไป วันนี้ถึงได้ทำตัวแปลกพิลึก แต่คำพูดนั้นกลับไม่ได้ทำให้ผู้สูงศักดิ์ตรงหน้าเปลี่ยนสีหน้า
"อยู่นิ่งๆ ห้ามขยับ"
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นอย่างหนักแน่น หลี่เหวินหลงเอ่ยเสียงดุจริงจัง
อวี้เฉินนิ่งค้างไปทันที ไม่กล้าแม้แต่จะขยับปลายนิ้ว แววตาเต็มไปด้วยความงุนงง ได้แต่มองฝ่ามือของอีกฝ่ายที่ค่อยๆ ยกขึ้นมาอย่างเชื่องช้า แล้วเคลื่อนเข้าหาใบหน้าของเขาทีละน้อย
นิ้วเรียวยาวของพระองค์วางแนบลงตรงช่วงล่างของใบหน้า คล้ายจะปิดครึ่งหน้าไว้
มือที่มั่นคง กับสายตาที่มุ่งมั่น
อวี้เฉินใจเต้นแรงขึ้นอย่างไม่เข้าใจ ว่าเขาทำสิ่งใดผิดไป ร่างกายตึงเครียดจนแทบไม่กล้าหายใจ
เขาไม่รู้เลยว่า องค์ชายใหญ่กำลังคิดอะไรอยู่
หรือว่า พระองค์เห็นอะไรบนใบหน้าของเขากันแน่
แต่แล้ว หลังจากมองใบหน้าของเขานิ่งงันไปครู่หนึ่ง องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงก็พลันหัวเราะขึ้นมาเสียงดังอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
อวี้เฉินสะดุ้งน้อยๆ ก่อนจะยกมือขึ้นเกาท้ายทอยอย่างไม่เข้าใจอีกฝ่าย สีหน้าสับสนจนเห็นได้ชัด
เสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ทว่าเต็มไปด้วยความขบขันปนบางสิ่งบางอย่างที่เขาเองก็อธิบายไม่ถูก
"พระองค์หัวเราะอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ"
อวี้เฉินถามเสียงเบา แต่ก็แอบเหลือบมองด้วยความอยากรู้
หลี่เหวินหลงไม่ได้ตอบคำถามนั้น เขาเพียงยกจอกสุราขึ้นจิบอีกรอบ แววตาแฝงรอยยิ้มจางๆ พลางทอดมองเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
รอยยิ้มยังคงอยู่บนใบหน้า ทว่าแววตากลับลุ่มลึกกว่าก่อนหน้านั้น
หลี่เหวินหลงวางจอกสุราลงช้าๆ มุมปากยังมีรอยยิ้มบาง
ไม่รู้ว่าเพราะสุราเริ่มแทรกซึมหรือเพราะบางอย่างกำลังเริ่มคลี่คลายในใจ คำตอบบางอย่างชัดเจนขึ้นมาโดยไม่ต้องมีใครบอก
เขารู้แล้ว ว่าเคยเห็นดวงตาคู่นั้นที่ไหนมาก่อน ดวงตาของสตรีชุดดำผู้นั้น ทำไมเขาถึงรู้สึกคุ้นเคยนัก
ก็เพราะดวงตาคู่นั้น... เหมือนกับของอวี้เฉินไม่มีผิด
แม้แววตาจะต่างกันโดยสิ้นเชิง แววตาคู่นั้นของนางดุดัน เย็นชา ราวกับมีคมมีดซ่อนอยู่ข้างใน ส่วนของอวี้เฉินกลับอ่อนโยน เจือความเจ้าเล่ห์ขี้เล่นอยู่บ้าง แต่กลับดูอบอุ่นจริงใจ
รูปร่างของดวงตา เปลือกตา เส้นสายที่หางตา และการเคลื่อนไหวเวลาเหลือบตามอง ราวกับพิมพ์เดียวกัน มันใช่ มันเหมือนกันอย่างน่าประหลาด
หลี่เหวินหลงหัวเราะออกมา ไม่ได้หัวเราะเพราะขบขัน...
แต่เพราะความจริงข้อนี้มันเกินกว่าจะบังเอิญ
ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นแนบปลายคาง ท่าทางกลับเข้าสู่ความสงบอีกครั้ง
ถ้าเขาคิดไม่ผิด...
สตรีลึกลับคนนั้นคือ อวี้หลัน พี่สาวฝาแฝดของอวี้เฉิน ผู้ที่เขาได้ยินเรื่องราวของนางตั้งแต่ก้าวเข้ามาในเขตเมืองหลวง และนึกห่วงใยจนต้องแอบลักลอบไปยังจวนอวี้เพื่อจะสืบข่าวคราวของนาง
ไม่คิดว่าข่าวที่ได้ยินมากับสตรีที่ได้พบจะต่างกันโดยสิ้นเชิง
สตรีผู้นี้ น่าสนใจ
เห็นทีว่าเมื่อกลับถึงเมืองหลวง เขาคงต้องไปส่งอวี้เฉินให้ถึงจวนด้วยตัวเองเสียแล้ว
หลี่เหวินหลงคิดในใจอย่างเงียบงัน
"ยินดีที่ได้พบกัน... คุณหนูรอง" หลี่เหวินหลงเอ่ยขึ้น น้ำเสียงราบเรียบทุ้มต่ำ ขณะสายพระเนตรยังคงทอดมองอวี้หลันอย่างไม่ลดละ เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย พลางกระตุกยิ้มบางมุมปาก"ไม่ทราบว่าเรา...เคยพบกันมาก่อนหรือไม่"พระสุรเสียงนั้นไม่ได้ดังนัก ทว่าแฝงด้วยโทนเสียงเชื่องช้าและนุ่มลึกอย่างประหลาด แต่กลับชวนให้ใจคนฟังเต้นแรงกว่าเดิมคำถามของเขาดูเหมือนจะธรรมดา แต่สายพระเนตรที่ทอดมองมามีบางอย่างเจืออยู่ คล้ายจับผิด คล้ายแกล้งหยอกเย้า และคล้ายว่ากำลังเพลิดเพลินกับการเห็นนางเก็บอาการไม่อยู่อวี้หลันเม้มปากเล็กน้อย เริ่มไม่มั่นใจว่าเขาจดจำนางได้หรือไม่ หญิงสาวยังไม่ทันได้เอ่ยตอบ เสียงทุ้มหนักของรองเสนาบดีอวี้จิ้งก็ดังขึ้นเสียก่อน ตัดขาดการสนทนาระหว่างบุตรสาวกับบุรุษผู้สูงศักดิ์ตรงหน้า"หลันเอ๋อร์ร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก จึงมักจะเก็บตัวอยู่เพียงในเรือน คงยากที่จะเคยพบเจอองค์ชายใหญ่พ่ะย่ะค่ะ"เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงความหมายชัดเจนอยู่ในทุกถ้อยคำ อวี้จิ้งหยุดชั่วครู่ ก่อนเสริมด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่ฟังดูหนักแน่นขึ้น"อีกทั้งพระองค์เพิ่งจะกลับมา ยิ่งไม่มีโอกาสพบเจอกันพ่ะย่ะค่ะ"ทุกถ้อยค
หลี่เหวินหลงหยัดยิ้มมุมปาก รอยยิ้มบางเฉียบที่ไม่อาจอ่านได้ว่ากำลังดูแคลน หรือเพียงเพลิดเพลินไปกับการจับตามองผู้อื่นดิ้นพล่านในสายตาของเขา เซิ่งซื่อก็ไม่ต่างจากแมลงตัวหนึ่งที่กำลังพยายามปีนป่ายหลีกหนีเปลวเพลิงที่ลุกลามใกล้ตัว ยิ่งดิ้นรน...ยิ่งเผยจุดอ่อนดวงเนตรคมกริบใต้คิ้วคมเข้ม ทอดมองสตรีที่พยายามคลี่ยิ้มอ่อนโยนกลบเกลื่อนความหวาดหวั่น ท่าทางเสแสร้งนั้นไม่ต่างจากฉากละครตื้นเขินที่เขาเคยเห็นมานับครั้งไม่ถ้วนจากมารดาเลี้ยงของตนเขาถึงว่ากันว่าคนประเภทเดียวกันจึงมักจะอยู่ร่วมกันได้สายตาของเขาจึงมองเซิ่งซื่อไม่ต่างจากมองซากเนื้อชิ้นหนึ่งที่ยังมีลมหายใจ เขาไม่เร่งเวลาชำระแค้น เพราะรู้ดีว่า… การให้อีกฝ่ายได้ยินเสียงฝีเท้าแห่งหายนะคืบคลานทีละก้าวนั้นทรมานยิ่งกว่าความตาย จากนั้นเขาจะโยนพวกมันลงหลุมในคราวเดียวหลี่เหวินหลงกระตุกยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะเบือนหน้าจากภาพเหล่านั้นอย่างไม่ไยดี เขาไม่ได้ให้ความสนใจสตรีตรงหน้าอีกว่านางจะเสแสร้งต่อไปอย่างไรเพราะทันทีที่สัมผัสได้ถึงเสียงฝีเท้าเร่งร้อนที่กำลังมุ่งตรงมาทางนี้ สายพระเนตรคมกริบก็เบนจากทุกคนในห้อง ไปยังบานประตูห้องโถงโดยฉับพลันแผ่นหลังกว้างขอ
แสงแดดอ่อนยามสายสาดส่องลอดผ่านม่านโปร่งบางลงมาแตะต้องพื้นหินเย็นเฉียบ เสียงนกร้องไกลๆ คล้ายขับกล่อมให้บรรยากาศยิ่งแจ่มใสยิ่งขึ้น แต่ภายในใจของอวี้หลันกลับคล้ายมีบางสิ่งกำลังคุกรุ่นอยู่เงียบๆ นางนั่งอยู่ยังโต๊ะเตี้ยในศาลากลางน้ำ มือเรียวบางค่อยๆ พลิกหน้าตำราเล่มหนึ่งอย่างช้าๆ แม้แววตาดูสงบนิ่ง ทว่าในห้วงลึกของจิตใจกลับเต็มไปด้วยความคิดมากมาย เสียงฝีเท้าเร่งร้อนดังใกล้เข้ามา ก่อนที่ฉิงหว่านจะโผล่พ้นแนวพุ่มดอกเหมยแล้วรีบพุ่งตรงมาหาผู้เป็นนาย ใบหน้าของนางเปื้อนเหงื่อ สองแก้มแดงระเรื่อจากการวิ่งสุดฝีเท้า น้ำเสียงตื่นเต้นจนแทบจะกลั้นไม่อยู่"คุณหนู! คุณหนูเจ้าคะ!"อวี้หลันละสายตาจากตำรา เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เอ่ยถามน้ำเสียงราบเรียบเกียจคร้าน"หวานหว่าน มีอะไรหรือ"ฉิงหว่านหอบหายใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบเอ่ยออกมาเสียงสั่นอย่างไม่อาจระงับความตื่นเต้นไว้ได้"คุณชายกลับมาแล้วเจ้าค่ะ! คุณชายใหญ่อวี้เฉิน... กลับมาที่จวนแล้ว!"คำพูดนั้นเหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางใจของอวี้หลัน นางนิ่งงันไปชั่วอึดใจราวกับตั้งตัวไม่ทัน นิ้วมือที่กำลังจะเปิดหน้าตำราชะงัก ความเงียบคล้ายจะปกคลุมไปทั่วศาลา ดวงตาสะท้อนแววตื่นตะ
อวี้จิ้งยืนอยู่หน้าประตูจวน เงยหน้าขึ้นมองขบวนผู้มาเยือน สายตาทอดมองร่างสูงสง่าบนหลังม้าศึกสีดำทะมึน ก่อนสายตาจะเลื่อนมาหยุดอยู่ที่เด็กหนุ่มอีกผู้หนึ่ง ผู้ที่เขาไม่ได้พบหน้ามานานถึงแปดปี แต่กลับจำอีกฝ่ายได้อย่างแม่นยำเด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงเขาอยู่หลายส่วน ส่วนดวงตาคู่นั้นช่างเหมือนกับดวงตาของมารดาไม่มีผิดเพี้ยน อวี้เฉินของเขา เติบโตขึ้นแล้วไม่ใช่เด็กน้อยที่เคยวิ่งตามเขาไปทั่วจวนอีกต่อไป แต่กำลังเติบโตเป็นชายหนุ่มผู้เปี่ยมไปด้วยความสง่างามและความมั่นใจ แววตามั่นคง ท่วงท่าดูสุขุมเหมาะสมกับวัยและสถานะรองเสนาบดีอวี้จิ้งมองบุตรชายของตนเนิ่นนาน แววตาที่เคยสงบนิ่งกลับคล้ายแดงเรื่อขึ้นวูบหนึ่ง ก่อนจะกลบซ่อนไว้อย่างแนบเนียนด้วยท่าทีสุขุมตามเคยเมื่ออวี้เฉินกระโดดลงจากหลังม้า เขาก็ก้าวเข้ามาตรงหน้า แล้วคุกเข่าคำนับบิดาอย่างนอบน้อม"ท่านพ่อ"เสียงเรียกนั้นนุ่มลึก ไม่ดังนัก แต่กลับชัดเจนในความรู้สึก คำเรียกเพียงสั้นๆ กลับแทนความรู้สึกมากมายที่เก็บไว้ตลอดหลายปีความคิดถึง ความเคารพ และความเข้าใจที่ไม่ต้องอธิบายด้วยคำพูดเมื่อมองใบหน้าของบุตรชาย ใจของอวี้จิ้งคล้ายจะอบอุ่นขึ้นมาอย่าง
ในที่สุด...ขบวนทัพจากแดนเหนือก็เดินทางมาถึงเมืองหลวงบรรยากาศภายในเมืองคึกคักราวกับวันมหามงคล เสียงฆ้องแห่งความยินดีดังก้องสะท้อนไปทั่วทุกตรอกซอกซอย เพื่อประกาศการกลับมาขององค์ชายใหญ่ หลี่เหวินหลง และเหล่าทหารกล้าขุนนางฝ่ายที่ภักดีต่อพระองค์ต่างพากันออกมาต้อนรับอย่างพร้อมเพรียง หลายคนถึงกับน้ำตาคลอ ด้วยความโล่งใจปนปลื้มปิติบนถนนสายหลัก ประชาชนต่างแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสดใส พากันโปรยกลีบดอกไม้ตลอดสองข้างทาง ราวกับหลอมรวมกันเป็นพรมดอกไม้เพื่อต้อนรับวีรบุรุษของแผ่นดินเสียงหัวเราะของเด็กเล็กดังกังวาน แม่ค้าพากันเปิดแผง แจกจ่ายขนมแก่ผู้คนโดยไม่เรียกร้องสิ่งใดตอบแทนผู้คนทั้งเมืองต่างพากันเอ่ยถึงเพียงชื่อเดียว องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง ขุนพลผู้เกรียงไกร ที่นำทัพกลับมาพร้อมชัยชนะ บุรุษผู้เป็นที่รักของประชาชน และเป็นความภาคภูมิใจของแผ่นดินแม้พระองค์จะห่างหายจากเมืองหลวงไปนานหลายปี ทว่า...พระองค์กลับไม่เคยหายไปจากหัวใจของผู้คนเลยแม้แต่น้อยทุกสายตาล้วนจับจ้องไปยังปลายถนน รอคอยแค่เพียงเงาร่างของผู้ที่เปรียบดั่งตะวันยามรุ่งอรุณของชาติบ้านเมืองเสียงฆ้องกลองยังคงดังกระหึ่มเป็นจังหวะต่อเนื่อง ก้อ
นับว่าฉิงสือตัดสินใจได้ถูกต้องยิ่งนักที่ลงมืออย่างรวดเร็ว...เพราะหากเขาช้าไปเพียงก้าวเดียว ข่าวสำคัญที่เพิ่งถูกค้นพบอาจหลุดลอยไปอย่างน่าเสียดายเพียงแค่เขาลอบเข้าไปในจวนสกุลเซิ่ง ก็พบกับความเคลื่อนไหวบางอย่างที่ไม่ธรรมดาองครักษ์เซิ่งหม่าถง พี่ชายแท้ๆ ของเซิ่งซื่อ กำลังเร่งรีบออกจากจวนทันทีหลังจากได้รับสารลับฉบับหนึ่ง สีหน้าเคร่งเครียด ประหนึ่งว่ากำลังแบกภาระอันหนักอึ้งฉิงสือไม่รอช้า รีบสะกดรอยตามไปอย่างเงียบเชียบ พบว่าอีกฝ่ายกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่วังหลวงอย่างร้อนรนผิดวิสัย แม้จะไม่สามารถล่วงล้ำเข้าไปถึงพระราชวังชั้นในได้ แต่ก็พอจะจับทิศทางของเซิ่งหม่าถงได้ชัดเจนเซิ่งหม่าถงมุ่งหน้าเข้าสู่ตำหนักจิ้งเหอ ตำหนักที่ประทับของฮองเฮาไม่ผิดแน่ฉิงสือเฝ้าสังเกตอยู่อย่างเงียบงัน รอจนกระทั่งเซิ่งหม่าถงกลับออกมา แล้วมุ่งหน้ากลับจวน เขาลอบตามไปอย่างเงียบๆ จนแน่ใจว่าอีกฝ่ายกลับเข้าจวนโดยไม่มีความเคลื่อนไหวหรือการส่งสารใดต่ออีก จึงรีบเร่งกลับไปรายงานนายของตน รายงานสำคัญในมือของเขา ต้องส่งถึงผู้เป็นนายโดยเร็วที่สุดยามเมื่อความมืดมาเยือน ความเงียบคลี่คลุมทั่วทั้งจวนรองเสนาบดี ราตรียังไม่ทันล่วงเลยไปม