นับว่าฉิงสือตัดสินใจได้ถูกต้องยิ่งนักที่ลงมืออย่างรวดเร็ว...
เพราะหากเขาช้าไปเพียงก้าวเดียว ข่าวสำคัญที่เพิ่งถูกค้นพบอาจหลุดลอยไปอย่างน่าเสียดาย
เพียงแค่เขาลอบเข้าไปในจวนสกุลเซิ่ง ก็พบกับความเคลื่อนไหวบางอย่างที่ไม่ธรรมดา
องครักษ์เซิ่งหม่าถง พี่ชายแท้ๆ ของเซิ่งซื่อ กำลังเร่งรีบออกจากจวนทันทีหลังจากได้รับสารลับฉบับหนึ่ง สีหน้าเคร่งเครียด ประหนึ่งว่ากำลังแบกภาระอันหนักอึ้ง
ฉิงสือไม่รอช้า รีบสะกดรอยตามไปอย่างเงียบเชียบ พบว่าอีกฝ่ายกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่วังหลวงอย่างร้อนรนผิดวิสัย แม้จะไม่สามารถล่วงล้ำเข้าไปถึงพระราชวังชั้นในได้ แต่ก็พอจะจับทิศทางของเซิ่งหม่าถงได้ชัดเจน
เซิ่งหม่าถงมุ่งหน้าเข้าสู่ตำหนักจิ้งเหอ ตำหนักที่ประทับของฮองเฮาไม่ผิดแน่
ฉิงสือเฝ้าสังเกตอยู่อย่างเงียบงัน รอจนกระทั่งเซิ่งหม่าถงกลับออกมา แล้วมุ่งหน้ากลับจวน เขาลอบตามไปอย่างเงียบๆ จนแน่ใจว่าอีกฝ่ายกลับเข้าจวนโดยไม่มีความเคลื่อนไหวหรือการส่งสารใดต่ออีก จึงรีบเร่งกลับไปรายงานนายของตน รายงานสำคัญในมือของเขา ต้องส่งถึงผู้เป็นนายโดยเร็วที่สุด
ยามเมื่อความมืดมาเยือน ความเงียบคลี่คลุมทั่วทั้งจวนรองเสนาบดี ราตรียังไม่ทันล่วงเลยไปมากนัก แต่ทุกเรือนกลับมืดมิดเงียบงัน ราวกับทุกชีวิตหลับใหลไปพร้อมกับแสงสุดท้ายของตะวัน
เว้นเสียแต่...เรือนฮวาหง
แสงตะเกียงริบหรี่ยังคงส่องสว่างอยู่ในห้องหนึ่ง เงาร่างเลือนลางของผู้ที่ยังไม่หลับใหลสะท้อนอยู่บนฉากกั้น ลู่ไหวตามแสงเพลิง
อวี้หลันนั่งอยู่เบื้องหน้าโต๊ะเขียนหนังสือ ขณะจ้องมองแผ่นกระดาษที่วางอยู่ตรงหน้า บนนั้นฝั่งหนึ่งเขียนชื่อของ เซิ่งซื่อ อวี้เหมย และเซิ่งหม่าถงเอาไว้ และอีกฝั่งเป็นชื่อของผู้เป็นบิดา ทว่านางกลับไม่ได้ลงมือเขียนอะไรเพิ่มเติม ปลายพู่กันนิ่งค้างในอากาศ ราวกับความคิดของนางถูกตรึงเอาไว้ตรงนั้น
สายตาของอวี้หลันทอดมองกระดาษแผ่นนั้นนิ่งงัน คล้ายจะมองทะลุผ่านเส้นหมึกไปยังเงาความคิดเบื้องลึกของตนเอง ความคิดที่วกวนไม่รู้จบ หยิบโยงความทรงจำ ความเคลื่อนไหว การกระทำ และคำพูดของแต่ละคนมาไตร่ตรองซ้ำแล้วซ้ำเล่า
นางพยายามหาจุดเชื่อมโยง สิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังภาพลวงตาเหล่านี้
แต่ยิ่งเพ่ง ยิ่งเหมือนเงาในหมอก คลุมเครือ ลวงตา
กระนั้นนางก็ยังต้องเดินหน้าต่อไป
ได้แต่หาทางรับมือทุกอย่างอย่างรอบคอบที่สุด ถึงแม้ว่าตอนนี้กำลังคนที่นางมีจะน้อยและยังไม่มีความพร้อมเท่าใดนัก อาจจะตึงมืออยู่บ้าง แต่ก็นับว่านางยังพอรับมือกับฝ่ายตรงข้ามได้ไหว
นางรู้ดีว่าศัตรูที่ต้องเผชิญไม่ธรรมดา และหมากที่ฝ่ายตรงข้ามเดินมาแต่ละก้าวก็ล้วนผ่านการวางแผนมาอย่างดี ไม่เช่นนั้นการที่นางถูกวางยาก็คงจะทิ้งหลักฐานหรือเบาะแสอะไรเอาไว้บ้าง แต่ทุกอย่างกลับไร้ร่องรอยให้สืบหา
เซิ่งซื่อกล้าลงมือถึงเพียงนี้ แสดงว่าย่อมมีผู้หนุนหลังที่มีอำนาจพอจะกลบเกลื่อนทุกอย่างได้
เรื่องวางยาเจ้าของร่างไม่ใช่ฝีมือของเซิ่งซื่อเพียงคนเดียวอย่างแน่นอน นางไม่มีความสามารถมากพอจะปิดบังเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ได้โดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้เลย
เรื่องที่เจ้าของร่างถูกวางยาจนตาย ใช่ว่านางจะนิ่งเฉย นางส่ง ฉิงลิ่ว เข้าไปหาหลักฐานในเรือนของเซิ่งซื่อและอวี้เหมย แต่กลับไม่พบสิ่งใดที่พอจะเชื่อมโยงถึงอีกฝ่ายได้เลย
ฉิงลิ่ว ของนางก็ใช่ว่าจะมีฝีมือธรรมดาสามัญ อีกฝ่ายเติบโตมาในสำนักเล็กๆ บนหุบเขาใกล้พรมแดน สำนักนั้นไม่ได้มีชื่อเสียงในเมืองหลวง แต่กลับเคร่งครัดในการฝึกฝนร่างกายและจิตใจ
ตั้งแต่เล็กฉิงลิ่วถูกฝึกให้ เคลื่อนไหวให้ไร้เสียง หายใจให้ไร้ร่องรอย เคลื่อนไหวไร้เสียงแม้บนพื้นไม้เก่า เดินฝ่าหลังคาโดยไม่มีฝุ่นปลิว
เมื่อโตขึ้น สำนักถูกเผาทำลายด้วยน้ำมือโจรภูเขา นางเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รอดออกมาได้ หลังจากนั้นก็หลบซ่อนเร้นอยู่ในเมืองหลวง ทำงานรับจ้างเล็กๆ ในนามหญิงรับใช้หรือพาหนะเดินข่าวลับ
ฉิงลิ่วยังมีวรยุทธ์ติดตัว มิใช่วิชาต่อสู้แบบหนักหน่วง แต่เน้นความรวดเร็ว เฉียบคม และปลิดชีพในทีเดียว ทั้งนางยังสามารถแฝงตัวได้แม้ในที่แคบหรือในสายตาคนหมู่มาก รู้จักอำพรางเงาในแสงไฟ รู้ว่าเสาใดกลวง พื้นตรงไหนเปราะ ตรงไหนเป็นช่องลับ ทางไหนเป็นทางหนี
แต่กลับไม่เจอสิ่งใดในเรือนของเซิ่งซื่อเลย
ถึงอย่างนั้น อวี้หลันก็จะสู้ไม่ถอย ต่อให้เส้นทางเบื้องหน้าจะมืดมนเพียงใดก็ตาม ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ นางก็จะไม่ปล่อยให้ใครเดินหมากอยู่เพียงฝ่ายเดียว
นางรู้ดี สถานะของตนในตอนนี้ช่างเสียเปรียบ นางอยู่ในที่แจ้ง ขณะที่ศัตรู ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด และที่เลวร้ายไปกว่านั้น นางไม่อาจไว้ใจใครได้เลย ใครบ้างที่ต้องการให้นางตาย
สำหรับเซิ่งซื่อและบุตรสาว แน่นอนว่าทั้งสองย่อมอยากกำจัดนางให้พ้นทาง เพราะสิ่งที่พวกนางต้องการนั้น นางเป็นผู้ครอบครองอยู่ และนางคือหนามยอกอก
ส่วนผู้เป็นบิดา แม้เขาจะดูรักและเมตตานาง ทว่าการกระทำกลับเต็มไปด้วยความย้อนแย้ง อย่างการที่เขายกสินเดิมของมารดาให้นางดูแลอย่างง่ายดาย อาจดูเหมือนไว้ใจและหวังดี
แต่ในความเป็นจริง การที่นางครอบครองทรัพย์สมบัติมากมายเช่นนั้น ทำให้นางกลายเป็นเป้าโจมตีที่เด่นชัดยิ่งกว่าเดิม
และลึกลงไปกว่านั้น
สัญชาตญาณของนางกำลังกระซิบเตือน ว่าเรื่องทั้งหมดนี้ ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่นางมองไม่เห็น ยังมีใครบางคน ที่หวังให้นางตาย และกำลังชักใยอยู่เบื้องหลังอย่างแนบเนียน
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นนอกเรือน ทำให้อวี้หลันละสายตาจากกระดาษตรงหน้า แม้ไม่ได้เงยหน้าขึ้น นางก็รู้ดีว่าเป็นใคร
ประตูไม้ถูกเคาะเบาๆ ก่อนจะเปิดออกอย่างช้าๆ เงาร่างหนึ่งก้าวเข้ามาเงียบงัน
"คุณหนู"
เสียงทุ้มนุ่มที่คุ้นหูเอ่ยขึ้นในความเงียบ
อวี้หลันวางพู่กันลงบนแท่นหยก ก่อนจะเงยหน้าขึ้น สบตากับผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้า
ฉิงสือคำนับผู้เป็นนาย สีหน้าสงบนิ่ง ทว่าดวงตากลับเต็มไปด้วยความจริงจัง เขาเอ่ยรายงานตรงไปตรงมาโดยไม่อ้อมค้อม
"เซิ่งหม่าถงออกจากจวนอย่างเร่งรีบหลังจากได้รับสารลับฉบับหนึ่งขอรับ บ่าวได้ติดตามไป จนเห็นว่าเขามุ่งหน้าไปยังวังหลวง"
อวี้หลันชะงักเล็กน้อย คิ้วขมวดเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว
เซิ่งหม่าถงเป็นองครักษ์หลวง การเข้าออกวังหลวงย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก
นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดฉิงสือจึงถือว่านี่เป็นเรื่องสำคัญถึงเพียงนี้
ฉิงสือเงียบไปเพียงอึดใจ ก่อนเงยหน้าสบตานางอย่างแน่วแน่ แล้วเอ่ยเสียงชัดถ้อยชัดคำ
"คนผู้นั้น มุ่งหน้าไปตำหนักจิ้งเหอขอรับ"
คำรายงานของฉิงสือทำให้อวี้หลันหรี่ตาลงช้าๆ สีหน้าของนางเคร่งเครียดขึ้นทีละน้อย
พระตำหนักจิ้งเหอ
สถานที่นั้นคือศูนย์กลางของวังหลัง เป็นเขตหวงห้ามที่ผู้ใดจะเข้าออกตามอำเภอใจไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น เซิ่งหม่าถงมิใช่ขันทีหรือนางกำนัล แต่เป็น องครักษ์ราชสำนัก
ตำแหน่งนั้น ควรห่างไกลจากวังหลังมากที่สุด
หากเขาสามารถเข้าไปในพระตำหนักจิ้งเหอได้อย่างเปิดเผย นั่นหมายความว่า...
เบื้องหลังของเขา คือผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในวังหลัง
เสิ่นฮองเฮา
อวี้หลันนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยถามเสียงเรียบ
"เจ้าคิดว่า...เซิ่งหม่าถงเป็นคนของฮองเฮาอย่างนั้นหรือ"
ฉิงสือพยักหน้ารับอย่างมั่นใจ ดวงตาฉายแววแน่วแน่
"ขอรับ ตอนที่เขาไปถึงพระตำหนักจิ้งเหอ ท่าทางดูระแวดระวังเป็นพิเศษ เหมือนพยายามปกปิดอะไรบางอย่าง นางกำนัลที่ออกมารอรับ ก็ดูเหมือนจะคุ้นเคยสนิทสนมกันเป็นอย่างดี"
อวี้หลันนิ่งงันไปครู่หนึ่ง แววตาที่ทอดมองเบื้องหน้ามืดมนลงราวหมอกหนา
"ดูเหมือนว่า เบื้องหลังของเซิ่งซื่อ จะไม่ธรรมดาเสียแล้ว"
นางพึมพำกับตนเอง เบาเสียจนแทบเป็นเสียงกระซิบ แววตาเต็มไปด้วยความครุ่นคิด
เรื่องนี้... ใหญ่เกินกว่าที่นางคาดคิดไว้แต่แรก
"ความสัมพันธ์ระหว่างเซิ่งซื่อกับฮองเฮา ไม่ธรรมดาแน่"
ครู่หนึ่งนางจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
"เจ้าทำได้ดีมาก ฉิงสือ"
เด็กหนุ่มค้อมศีรษะรับคำชมโดยไม่ปริปาก
"จากนี้จับตาดูเซิ่งหม่าถงให้ดี ข้าคิดว่าเขาคงลงมือทำบางอย่างเร็วๆ นี้แน่"
"ขอรับ"
"ระวังตัวด้วย หากเรื่องนี้เกี่ยวพันกับคนในวังจริง ย่อมไม่ใช่เรื่องเล็ก หากเห็นท่าไม่ดี อย่าฝืน อย่าลังเลที่จะถอย ความปลอดภัยของเจ้า สำคัญที่สุด เข้าใจหรือไม่"
ดวงตาของนางจ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้า
ฉิงสือสบตาผู้เป็นนาย ก่อนพยักหน้าหนักแน่น
"ขอรับ ข้าจะไม่ประมาท"
"ดี"
อวี้หลันเอ่ยเสียงเบา ดวงตาเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น
หลังจากฉิงสือผละออกไป อวี้หลันก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ร่างระหงหันไปยังหน้าต่างที่เปิดอ้า สายลมกลางคืนพัดผ่านอย่างแผ่วเบา เปลวตะเกียงโยกไหวในความมืด ราวกำลังสั่นคลอนด้วยความลับที่คืบคลานเข้ามาทีละน้อย เงาสะท้อนในดวงตาของนางนั้นลึกล้ำยิ่งกว่ารัตติกาล
สมองเริ่มปะติดปะต่อเส้นสายที่กระจัดกระจายก่อนหน้า ก่อนหน้านี้นางยังมองไม่เห็นเส้นสายของเซิ่งซื่อ ใครกันแน่ที่อยู่เบื้องหลัง เหตุใดจึงต้องมุ่งเป้ามาที่ตน
อวี้หลันหลุบตาลงเล็กน้อย ปลายนิ้วเรียวแตะที่ริมฝีปากราวกับกำลังครุ่นคิด
"หมากบางตัวเริ่มเผยตัวออกมาแล้ว"
อวี้หลันพึมพำเบาๆ
เสิ่นฮองเฮา เซิ่งหม่าถง เซิ่งซื่อ องค์ชายห้า อวี้เหมย และบิดาอย่างรองเสนาบดีอวี้จิ้ง
โฉมหน้าที่แท้จริงของคนเหล่านี้ เริ่มเผยออกมาทีละน้อย คล้ายหมอกหนาที่ค่อยๆ จางหายไป
แม้นางยังไม่อาจแน่ใจได้ว่า บิดามีส่วนเกี่ยวข้องในเงามืดนี้มากน้อยเพียงใด นั่นเป็นอีกเรื่องที่ต้องหาคำตอบ
ทว่าเมื่อรู้เช่นนี้ เงื่อนไขหลายอย่างที่เคยดูไม่สัมพันธ์กัน กลับเริ่มสอดประสานกันอย่างน่าประหลาดใจ ภาพบางอย่างเริ่มชัดเจนขึ้นในห้วงความคิดของนาง
ทุกอย่างคงจะเริ่มตั้งแต่ตระกูลไป๋ล่มสลาย
มารดาตายด้วยโรคประหลาด
น้องชายถูกส่งออกนอกจวน
เซิ่งซื่อพยายามรวบอำนาจภายในจวน
เรื่องที่นางถูกวางยา แต่แม้แต่หมอหลวงยังรักษาไม่ได้
เรื่องทรัพย์สมบัติของมารดา
การหมั้นหมายที่มีการเปลี่ยนแปลง
และความเคลื่อนไหวของเซิ่งซื่อก่อนหน้า
ปริศนาทั้งหมดเริ่มเชื่อมโยงกัน
ตระกูลเสิ่นของฮองเฮา มิใช่ครอบคลุมอำนาจในสำนักหมอหลวงหรอกหรือ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เงาที่เคยพร่ามัวก็ดูเหมือนจะเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเค้าลางชัดเจน
หมากลับ เริ่มเผยตัว
เดินเข้าสู่กระดานอย่างเงียบงัน
"ยินดีที่ได้พบกัน... คุณหนูรอง" หลี่เหวินหลงเอ่ยขึ้น น้ำเสียงราบเรียบทุ้มต่ำ ขณะสายพระเนตรยังคงทอดมองอวี้หลันอย่างไม่ลดละ เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย พลางกระตุกยิ้มบางมุมปาก"ไม่ทราบว่าเรา...เคยพบกันมาก่อนหรือไม่"พระสุรเสียงนั้นไม่ได้ดังนัก ทว่าแฝงด้วยโทนเสียงเชื่องช้าและนุ่มลึกอย่างประหลาด แต่กลับชวนให้ใจคนฟังเต้นแรงกว่าเดิมคำถามของเขาดูเหมือนจะธรรมดา แต่สายพระเนตรที่ทอดมองมามีบางอย่างเจืออยู่ คล้ายจับผิด คล้ายแกล้งหยอกเย้า และคล้ายว่ากำลังเพลิดเพลินกับการเห็นนางเก็บอาการไม่อยู่อวี้หลันเม้มปากเล็กน้อย เริ่มไม่มั่นใจว่าเขาจดจำนางได้หรือไม่ หญิงสาวยังไม่ทันได้เอ่ยตอบ เสียงทุ้มหนักของรองเสนาบดีอวี้จิ้งก็ดังขึ้นเสียก่อน ตัดขาดการสนทนาระหว่างบุตรสาวกับบุรุษผู้สูงศักดิ์ตรงหน้า"หลันเอ๋อร์ร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก จึงมักจะเก็บตัวอยู่เพียงในเรือน คงยากที่จะเคยพบเจอองค์ชายใหญ่พ่ะย่ะค่ะ"เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงความหมายชัดเจนอยู่ในทุกถ้อยคำ อวี้จิ้งหยุดชั่วครู่ ก่อนเสริมด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่ฟังดูหนักแน่นขึ้น"อีกทั้งพระองค์เพิ่งจะกลับมา ยิ่งไม่มีโอกาสพบเจอกันพ่ะย่ะค่ะ"ทุกถ้อยค
หลี่เหวินหลงหยัดยิ้มมุมปาก รอยยิ้มบางเฉียบที่ไม่อาจอ่านได้ว่ากำลังดูแคลน หรือเพียงเพลิดเพลินไปกับการจับตามองผู้อื่นดิ้นพล่านในสายตาของเขา เซิ่งซื่อก็ไม่ต่างจากแมลงตัวหนึ่งที่กำลังพยายามปีนป่ายหลีกหนีเปลวเพลิงที่ลุกลามใกล้ตัว ยิ่งดิ้นรน...ยิ่งเผยจุดอ่อนดวงเนตรคมกริบใต้คิ้วคมเข้ม ทอดมองสตรีที่พยายามคลี่ยิ้มอ่อนโยนกลบเกลื่อนความหวาดหวั่น ท่าทางเสแสร้งนั้นไม่ต่างจากฉากละครตื้นเขินที่เขาเคยเห็นมานับครั้งไม่ถ้วนจากมารดาเลี้ยงของตนเขาถึงว่ากันว่าคนประเภทเดียวกันจึงมักจะอยู่ร่วมกันได้สายตาของเขาจึงมองเซิ่งซื่อไม่ต่างจากมองซากเนื้อชิ้นหนึ่งที่ยังมีลมหายใจ เขาไม่เร่งเวลาชำระแค้น เพราะรู้ดีว่า… การให้อีกฝ่ายได้ยินเสียงฝีเท้าแห่งหายนะคืบคลานทีละก้าวนั้นทรมานยิ่งกว่าความตาย จากนั้นเขาจะโยนพวกมันลงหลุมในคราวเดียวหลี่เหวินหลงกระตุกยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะเบือนหน้าจากภาพเหล่านั้นอย่างไม่ไยดี เขาไม่ได้ให้ความสนใจสตรีตรงหน้าอีกว่านางจะเสแสร้งต่อไปอย่างไรเพราะทันทีที่สัมผัสได้ถึงเสียงฝีเท้าเร่งร้อนที่กำลังมุ่งตรงมาทางนี้ สายพระเนตรคมกริบก็เบนจากทุกคนในห้อง ไปยังบานประตูห้องโถงโดยฉับพลันแผ่นหลังกว้างขอ
แสงแดดอ่อนยามสายสาดส่องลอดผ่านม่านโปร่งบางลงมาแตะต้องพื้นหินเย็นเฉียบ เสียงนกร้องไกลๆ คล้ายขับกล่อมให้บรรยากาศยิ่งแจ่มใสยิ่งขึ้น แต่ภายในใจของอวี้หลันกลับคล้ายมีบางสิ่งกำลังคุกรุ่นอยู่เงียบๆ นางนั่งอยู่ยังโต๊ะเตี้ยในศาลากลางน้ำ มือเรียวบางค่อยๆ พลิกหน้าตำราเล่มหนึ่งอย่างช้าๆ แม้แววตาดูสงบนิ่ง ทว่าในห้วงลึกของจิตใจกลับเต็มไปด้วยความคิดมากมาย เสียงฝีเท้าเร่งร้อนดังใกล้เข้ามา ก่อนที่ฉิงหว่านจะโผล่พ้นแนวพุ่มดอกเหมยแล้วรีบพุ่งตรงมาหาผู้เป็นนาย ใบหน้าของนางเปื้อนเหงื่อ สองแก้มแดงระเรื่อจากการวิ่งสุดฝีเท้า น้ำเสียงตื่นเต้นจนแทบจะกลั้นไม่อยู่"คุณหนู! คุณหนูเจ้าคะ!"อวี้หลันละสายตาจากตำรา เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เอ่ยถามน้ำเสียงราบเรียบเกียจคร้าน"หวานหว่าน มีอะไรหรือ"ฉิงหว่านหอบหายใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบเอ่ยออกมาเสียงสั่นอย่างไม่อาจระงับความตื่นเต้นไว้ได้"คุณชายกลับมาแล้วเจ้าค่ะ! คุณชายใหญ่อวี้เฉิน... กลับมาที่จวนแล้ว!"คำพูดนั้นเหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางใจของอวี้หลัน นางนิ่งงันไปชั่วอึดใจราวกับตั้งตัวไม่ทัน นิ้วมือที่กำลังจะเปิดหน้าตำราชะงัก ความเงียบคล้ายจะปกคลุมไปทั่วศาลา ดวงตาสะท้อนแววตื่นตะ
อวี้จิ้งยืนอยู่หน้าประตูจวน เงยหน้าขึ้นมองขบวนผู้มาเยือน สายตาทอดมองร่างสูงสง่าบนหลังม้าศึกสีดำทะมึน ก่อนสายตาจะเลื่อนมาหยุดอยู่ที่เด็กหนุ่มอีกผู้หนึ่ง ผู้ที่เขาไม่ได้พบหน้ามานานถึงแปดปี แต่กลับจำอีกฝ่ายได้อย่างแม่นยำเด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงเขาอยู่หลายส่วน ส่วนดวงตาคู่นั้นช่างเหมือนกับดวงตาของมารดาไม่มีผิดเพี้ยน อวี้เฉินของเขา เติบโตขึ้นแล้วไม่ใช่เด็กน้อยที่เคยวิ่งตามเขาไปทั่วจวนอีกต่อไป แต่กำลังเติบโตเป็นชายหนุ่มผู้เปี่ยมไปด้วยความสง่างามและความมั่นใจ แววตามั่นคง ท่วงท่าดูสุขุมเหมาะสมกับวัยและสถานะรองเสนาบดีอวี้จิ้งมองบุตรชายของตนเนิ่นนาน แววตาที่เคยสงบนิ่งกลับคล้ายแดงเรื่อขึ้นวูบหนึ่ง ก่อนจะกลบซ่อนไว้อย่างแนบเนียนด้วยท่าทีสุขุมตามเคยเมื่ออวี้เฉินกระโดดลงจากหลังม้า เขาก็ก้าวเข้ามาตรงหน้า แล้วคุกเข่าคำนับบิดาอย่างนอบน้อม"ท่านพ่อ"เสียงเรียกนั้นนุ่มลึก ไม่ดังนัก แต่กลับชัดเจนในความรู้สึก คำเรียกเพียงสั้นๆ กลับแทนความรู้สึกมากมายที่เก็บไว้ตลอดหลายปีความคิดถึง ความเคารพ และความเข้าใจที่ไม่ต้องอธิบายด้วยคำพูดเมื่อมองใบหน้าของบุตรชาย ใจของอวี้จิ้งคล้ายจะอบอุ่นขึ้นมาอย่าง
ในที่สุด...ขบวนทัพจากแดนเหนือก็เดินทางมาถึงเมืองหลวงบรรยากาศภายในเมืองคึกคักราวกับวันมหามงคล เสียงฆ้องแห่งความยินดีดังก้องสะท้อนไปทั่วทุกตรอกซอกซอย เพื่อประกาศการกลับมาขององค์ชายใหญ่ หลี่เหวินหลง และเหล่าทหารกล้าขุนนางฝ่ายที่ภักดีต่อพระองค์ต่างพากันออกมาต้อนรับอย่างพร้อมเพรียง หลายคนถึงกับน้ำตาคลอ ด้วยความโล่งใจปนปลื้มปิติบนถนนสายหลัก ประชาชนต่างแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสดใส พากันโปรยกลีบดอกไม้ตลอดสองข้างทาง ราวกับหลอมรวมกันเป็นพรมดอกไม้เพื่อต้อนรับวีรบุรุษของแผ่นดินเสียงหัวเราะของเด็กเล็กดังกังวาน แม่ค้าพากันเปิดแผง แจกจ่ายขนมแก่ผู้คนโดยไม่เรียกร้องสิ่งใดตอบแทนผู้คนทั้งเมืองต่างพากันเอ่ยถึงเพียงชื่อเดียว องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง ขุนพลผู้เกรียงไกร ที่นำทัพกลับมาพร้อมชัยชนะ บุรุษผู้เป็นที่รักของประชาชน และเป็นความภาคภูมิใจของแผ่นดินแม้พระองค์จะห่างหายจากเมืองหลวงไปนานหลายปี ทว่า...พระองค์กลับไม่เคยหายไปจากหัวใจของผู้คนเลยแม้แต่น้อยทุกสายตาล้วนจับจ้องไปยังปลายถนน รอคอยแค่เพียงเงาร่างของผู้ที่เปรียบดั่งตะวันยามรุ่งอรุณของชาติบ้านเมืองเสียงฆ้องกลองยังคงดังกระหึ่มเป็นจังหวะต่อเนื่อง ก้อ
นับว่าฉิงสือตัดสินใจได้ถูกต้องยิ่งนักที่ลงมืออย่างรวดเร็ว...เพราะหากเขาช้าไปเพียงก้าวเดียว ข่าวสำคัญที่เพิ่งถูกค้นพบอาจหลุดลอยไปอย่างน่าเสียดายเพียงแค่เขาลอบเข้าไปในจวนสกุลเซิ่ง ก็พบกับความเคลื่อนไหวบางอย่างที่ไม่ธรรมดาองครักษ์เซิ่งหม่าถง พี่ชายแท้ๆ ของเซิ่งซื่อ กำลังเร่งรีบออกจากจวนทันทีหลังจากได้รับสารลับฉบับหนึ่ง สีหน้าเคร่งเครียด ประหนึ่งว่ากำลังแบกภาระอันหนักอึ้งฉิงสือไม่รอช้า รีบสะกดรอยตามไปอย่างเงียบเชียบ พบว่าอีกฝ่ายกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่วังหลวงอย่างร้อนรนผิดวิสัย แม้จะไม่สามารถล่วงล้ำเข้าไปถึงพระราชวังชั้นในได้ แต่ก็พอจะจับทิศทางของเซิ่งหม่าถงได้ชัดเจนเซิ่งหม่าถงมุ่งหน้าเข้าสู่ตำหนักจิ้งเหอ ตำหนักที่ประทับของฮองเฮาไม่ผิดแน่ฉิงสือเฝ้าสังเกตอยู่อย่างเงียบงัน รอจนกระทั่งเซิ่งหม่าถงกลับออกมา แล้วมุ่งหน้ากลับจวน เขาลอบตามไปอย่างเงียบๆ จนแน่ใจว่าอีกฝ่ายกลับเข้าจวนโดยไม่มีความเคลื่อนไหวหรือการส่งสารใดต่ออีก จึงรีบเร่งกลับไปรายงานนายของตน รายงานสำคัญในมือของเขา ต้องส่งถึงผู้เป็นนายโดยเร็วที่สุดยามเมื่อความมืดมาเยือน ความเงียบคลี่คลุมทั่วทั้งจวนรองเสนาบดี ราตรียังไม่ทันล่วงเลยไปม