"ยินดีที่ได้พบกัน... คุณหนูรอง"
หลี่เหวินหลงเอ่ยขึ้น น้ำเสียงราบเรียบทุ้มต่ำ ขณะสายพระเนตรยังคงทอดมองอวี้หลันอย่างไม่ลดละ เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย พลางกระตุกยิ้มบางมุมปาก
"ไม่ทราบว่าเรา...เคยพบกันมาก่อนหรือไม่"
พระสุรเสียงนั้นไม่ได้ดังนัก ทว่าแฝงด้วยโทนเสียงเชื่องช้าและนุ่มลึกอย่างประหลาด แต่กลับชวนให้ใจคนฟังเต้นแรงกว่าเดิม
คำถามของเขาดูเหมือนจะธรรมดา แต่สายพระเนตรที่ทอดมองมามีบางอย่างเจืออยู่ คล้ายจับผิด คล้ายแกล้งหยอกเย้า และคล้ายว่ากำลังเพลิดเพลินกับการเห็นนางเก็บอาการไม่อยู่
อวี้หลันเม้มปากเล็กน้อย เริ่มไม่มั่นใจว่าเขาจดจำนางได้หรือไม่
หญิงสาวยังไม่ทันได้เอ่ยตอบ เสียงทุ้มหนักของรองเสนาบดีอวี้จิ้งก็ดังขึ้นเสียก่อน ตัดขาดการสนทนาระหว่างบุตรสาวกับบุรุษผู้สูงศักดิ์ตรงหน้า
"หลันเอ๋อร์ร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก จึงมักจะเก็บตัวอยู่เพียงในเรือน คงยากที่จะเคยพบเจอองค์ชายใหญ่พ่ะย่ะค่ะ"
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงความหมายชัดเจนอยู่ในทุกถ้อยคำ อวี้จิ้งหยุดชั่วครู่ ก่อนเสริมด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่ฟังดูหนักแน่นขึ้น
"อีกทั้งพระองค์เพิ่งจะกลับมา ยิ่งไม่มีโอกาสพบเจอกันพ่ะย่ะค่ะ"
ทุกถ้อยคำดูเหมือนเป็นคำชี้แจงธรรมดา แต่หากฟังให้ดี จะสัมผัสได้ถึงความแข็งกระด้างในน้ำเสียง
"เพคะ เป็นเช่นที่ท่านพ่อกล่าวเพคะ หม่อมฉันไม่เคยพบเจอพระองค์มาก่อน"
และไม่อยากพบอยากเจอด้วย
อวี้หลันหลุบตาต่ำลงอีกนิด ตอบกลับอย่างไม่เสียมารยาท คำตอบนั้นอ่อนหวานเรียบร้อย น้ำเสียงหวานใสกังวาน แม้แต่ใบหน้าก็ยังคงนุ่มนวลไม่ผิดเพี้ยน
หากแววตาของหลี่เหวินหลงกลับยิ่งเปล่งประกายวาววับขึ้น
"อ้อ เช่นนั้นหรือ"
ชายหนุ่มรับคำเรียบๆ ขณะยกถ้วยชาขึ้นจิบด้วยท่วงท่าสบายๆ ก่อนจะทอดสายตากลับมาที่นางอีกครั้ง มุมปากกระตุกยิ้มบาง ราวกับจะยอมรับในคำตอบ หรืออาจจะแค่เล่นตามเกม รอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้ายิ่งชัดขึ้นทุกขณะ
"ข้าคงจำผิดจริงๆ"
เขาเอ่ยเสียงเรียบ
"หรือบางที ข้าคงแค่...เห็นคุณหนูรองแล้วนึกถึงไป๋ฮูหยินขึ้นมา จึงรู้สึกคุ้นเคยมากกว่าที่ควรจะเป็นกระมัง"
ถ้อยคำที่ฟังผิวเผินเหมือนว่าเป็นเพียงการพูดคุยทั่วไป กลับทำให้อวี้หลันสะอึก
หญิงสาวฝืนยิ้มบาง แม้จะพยายามเก็บอาการไว้เต็มที่ แต่ก็อดที่จะชำเลืองมองอีกฝ่ายไม่ได้
นางเคยบอกหรือไม่ ว่านางเกลียดรอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้านั้นที่สุด รอยยิ้มที่ทำราวกับรู้ทัน แต่แสร้งโง่
"เช่นนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ"
เสียงของอวี้จิ้งดังแทรกขึ้น พลางพยักหน้าน้อยๆ
"หลันเอ๋อร์ นางงดงามเหมือนมารดา"
คำกล่าวนั้นฟังดูเรียบง่าย แต่แววตาของคนพูดดูนุ่มละมุนลงหลายส่วน
หลี่เหวินหลงกลับยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะวางถ้วยชาลงเบาๆ
"ใต้เท้าอวี้กล่าวผิดแล้ว"
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หากแต่นุ่มลึกชวนให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ
"ข้ากลับคิดว่า คุณหนูรอง…นางงดงามยิ่งกว่ามารดาเสียอีก"
ถ้อยคำของหลี่เหวินหลงเปล่งออกมาอย่างราบเรียบ แต่กลับคล้ายโยนหินก้อนใหญ่ลงกลางผืนน้ำที่เงียบสงัด ทำให้ทุกคนในที่นั้นถึงกับชะงักหันมามองเขาเป็นตาเดียว
แต่เจ้าตัวกลับไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
หลี่เหวินหลงยังคงนั่งนิ่งด้วยท่วงท่าผ่อนคลาย ปลายนิ้วลูบไล้ขอบถ้วยชาอย่างละเมียดละไม ราวกับทุกสายตาที่จ้องมองเขา ไม่มีค่าให้ต้องใส่ใจ
ทว่า…สายตาคมลึก กลับทอดมองอวี้หลันตรงๆ
แม้รอยยิ้มที่มุมปากจะดูสุภาพ เรียบง่ายราวกับไม่มีพิษภัย แต่เมื่อรวมกับแววตาร้ายๆ เจ้าเล่ห์นิดๆ อัดแน่นด้วยเสน่ห์ดึงดูดนั้น กลับกลายเป็นสิ่งที่ยากจะหลีกหนี คล้ายกำลังเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายก้าวเข้าไปสู่กับดัก…ด้วยความยินดี
หากไม่เคยถูกฝึกฝนจิตใจให้แข็งแกร่งพอ ท่าทางเจนจัดนั้นคงเกินกว่าใครจะรับมือได้ง่ายๆ
อวี้หลันชะงักงัน เมื่อถูกเอ่ยชมซึ่งหน้า ดวงหน้าที่แต่งแต้มรอยยิ้มสุภาพนิ่งค้างไปชั่วขณะ นางพยายามตั้งสติและควบคุมสีหน้า แต่เลือดก็ไหลเวียนขึ้นมาบนใบหน้าอย่างไม่อาจห้าม ใบหน้าของนางร้อนผ่าว ปลายหูขึ้นสีแดงเรื่ออย่างเห็นได้ชัด
นางพยายามหลบตาของเขา แต่กลับรู้สึกราวกับถูกพันธนาการด้วยสายตานั้นอย่างไร้ทางหนี ถ้าหากนางก้าวพลาดเพียงครึ่งก้าว คงต้องตกลงไปในเงามืดที่เขาเป็นคนขุดไว้ตั้งแต่ต้น
เจ้าคนบ้านี่...ดูเหมือนจะร้ายกาจ รับมือยากเสียยิ่งกว่าผู้กำกับคนนั้นเสียอีก
ทางด้านอวี้จิ้งและอวี้เฉินก็หันมาสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย ดวงตาของทั้งคู่สะท้อนความเข้าใจตรงกันอย่างเงียบงัน
ใบหน้าของรองเสนาบดีอวี้คล้ายจะมืดครึ้มดำคล้ำลงในทันที หนวดเคราที่เริ่มมีสีขาวแซมตามวัยกระตุกถี่ๆ สีหน้าสงบนิ่งที่รักษาไว้พลันแต้มแววเย็นชา เขายกถ้วยชาขึ้นจิบเพื่อระงับความร้อนรุ่มที่พลุ่งพล่านขึ้นกลางอก หางตาเหลือบมองผู้สูงศักดิ์ที่คล้ายจะไม่สนใจสิ่งใด นอกเสียจาก บุตรสาวของเขา คนผู้นี้...
ช่างไร้ยางอายนัก
แปดปีก่อน เขาบุกเข้ามาพาตัวบุตรชายของเขาไปอย่างอุกอาจ
มาคราวนี้ ยังคิดจะมาวุ่นวายกับบุตรสาวของเขาอีกหรือ...
ในใจของอวี้จิ้งเต็มไปด้วยแรงปะทะที่ยังไม่ได้ปะทุ แววตาที่ทอดมองไปยังบุรุษตรงหน้า กลับไม่อาจซ่อนร่องรอยของความกรุ่นโกรธ ความระแวดระวัง และความเคลือบแคลงที่เริ่มก่อตัวเป็นก้อนแข็งในอก
ส่วนอวี้เฉินนั้นก็ไม่ต่างจากคนเป็นพ่อ ใบหน้าของเด็กหนุ่มอึมครึม หน้านิ่วคิ้วขมวด ขณะที่ดวงตาคมจับจ้องไปยังร่างสูงของผู้เป็นนาย อย่างยากจะอ่านความคิดได้
คิดไม่ตกว่าผู้เป็นนายของตนกับพี่สาว สองคนนี้ไปเกี่ยวข้องกันตั้งแต่เมื่อใด แล้วเหตุใดเขาถึงไม่รู้ ไม่เคยเอะใจเลยแม้แต่น้อย
ความหงุดหงิดแล่นวูบขึ้นกลางอก เจือปนกับความไม่ไว้ใจอย่างบอกไม่ถูก
อวี้เฉินไม่ชอบความรู้สึกนี้เอาเสียเลย ความรู้สึกที่เหมือนตนจะถูกฉกชิงของรักของหวงไปต่อหน้าโดยที่ทำอะไรไม่ได้
เซิ่งซื่อที่สงบปากสงบคำอยู่นาน สายตาพลันเย็นเยียบลงในพริบตา นางมองสายตาขององค์ชายใหญ่ที่มองลูกเลี้ยงราวกับกลืนยาขม ริมฝีปากที่เคยแต่งแต้มรอยยิ้มอ่อนหวานบิดเบี้ยวเพียงน้อย ก่อนจะคลี่กลับราวไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
นางไม่เคยพอใจลูกเลี้ยงผู้นี้อยู่แล้ว ยิ่งเมื่อเห็นนางตกเป็นเป้าสนใจของบุรุษสูงศักดิ์เช่นองค์ชายใหญ่ ก็ยิ่งร้อนรุ่มในใจ
ต่างจากอวี้คุนผู้เป็นบุตรชาย เด็กหนุ่มนั่งนิ่งเฉยเหมือนไม่รับรู้ถึงกระแสความตึงเครียดภายในห้อง มือเรียวที่วางอยู่บนหน้าตักขยับเบาๆ พลิกพัดในมือขึ้นลงช้าๆ อย่างไร้จุดหมาย ราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าไม่มีค่าพอให้เขาเสียความรู้สึกแม้แต่น้อย
ส่วนอวี้เหมยจิกเล็บลงบนฝ่ามือจนช้ำเลือด ริมฝีปากเม้มแน่นเข้าหากัน ประกายความไม่พอใจวูบไหวอยู่ในดวงตา
เมื่อครู่ ทั้งองค์ชายใหญ่และอวี้เฉิน พวกเขาไม่แม้แต่จะปรายตามองนาง ไม่มีคำทักทายแม้แต่ครึ่งคำ ไม่มีแม้แต่แววรับรู้ว่าตนอยู่ตรงนี้ พวกเขาทำราวกับนางไม่มีตัวตน ทั้งที่นางคือบุตรสาวคนโตของตระกูลอวี้
หากจะเอ่ยตามลำดับชั้นในจวนอวี้แห่งนี้ ตอนนี้นางย่อมอยู่เหนือกว่าบุตรทุกคน
แต่สายตาและท่าทีของพวกเขา กลับทอดมองเพียงนังอวี้หลัน ราวกับคนอื่นในห้องนี้ล้วนไร้ความหมาย
อวี้เหมยสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามข่มอารมณ์ที่กำลังลุกไหม้ในอกให้สงบลง แต่ดวงตานั้นกลับยิ่งสั่นไหว ไม่ใช่เพียงเพราะความไม่พอใจ แต่เพราะความรู้สึก…ถูกมองข้าม
"ดูท่า...องค์ชายใหญ่จะสนิทสนมกับไป๋ฮูหยิน มารดาของน้องๆ ข้าไม่น้อยเลยนะเพคะ"
อวี้เหมยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน รอยยิ้มบนใบหน้าของนางยังคงงดงามไร้ที่ติ แต่ดวงตากลับเยียบเย็นและหยิ่งผยอง
อวี้หลันขมวดคิ้วมุ่น สายตาเย็นเยียนจ้องมองไปยังพี่สาวต่างมารดา
คำพูดดูผิวเผินคล้ายเพียงหยอกเย้าในความคุ้นเคยระหว่างองค์ชายใหญ่กับมารดาผู้ล่วงลับ
แต่หากฟังให้ลึกลงไป จะพบความหมายแหลมคมที่แฝงอยู่
คำว่า สนิทสนม นั้นจงใจลากพาดไปยังขอบเขตของความคลุมเครือ
ช่างเป็นวาจาแฝงพิษที่คนเช่นอวี้เหมยเท่านั้นถึงจะพ่นออกมาได้
"ยินดีที่ได้พบกัน... คุณหนูรอง" หลี่เหวินหลงเอ่ยขึ้น น้ำเสียงราบเรียบทุ้มต่ำ ขณะสายพระเนตรยังคงทอดมองอวี้หลันอย่างไม่ลดละ เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย พลางกระตุกยิ้มบางมุมปาก"ไม่ทราบว่าเรา...เคยพบกันมาก่อนหรือไม่"พระสุรเสียงนั้นไม่ได้ดังนัก ทว่าแฝงด้วยโทนเสียงเชื่องช้าและนุ่มลึกอย่างประหลาด แต่กลับชวนให้ใจคนฟังเต้นแรงกว่าเดิมคำถามของเขาดูเหมือนจะธรรมดา แต่สายพระเนตรที่ทอดมองมามีบางอย่างเจืออยู่ คล้ายจับผิด คล้ายแกล้งหยอกเย้า และคล้ายว่ากำลังเพลิดเพลินกับการเห็นนางเก็บอาการไม่อยู่อวี้หลันเม้มปากเล็กน้อย เริ่มไม่มั่นใจว่าเขาจดจำนางได้หรือไม่ หญิงสาวยังไม่ทันได้เอ่ยตอบ เสียงทุ้มหนักของรองเสนาบดีอวี้จิ้งก็ดังขึ้นเสียก่อน ตัดขาดการสนทนาระหว่างบุตรสาวกับบุรุษผู้สูงศักดิ์ตรงหน้า"หลันเอ๋อร์ร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก จึงมักจะเก็บตัวอยู่เพียงในเรือน คงยากที่จะเคยพบเจอองค์ชายใหญ่พ่ะย่ะค่ะ"เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงความหมายชัดเจนอยู่ในทุกถ้อยคำ อวี้จิ้งหยุดชั่วครู่ ก่อนเสริมด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่ฟังดูหนักแน่นขึ้น"อีกทั้งพระองค์เพิ่งจะกลับมา ยิ่งไม่มีโอกาสพบเจอกันพ่ะย่ะค่ะ"ทุกถ้อยค
หลี่เหวินหลงหยัดยิ้มมุมปาก รอยยิ้มบางเฉียบที่ไม่อาจอ่านได้ว่ากำลังดูแคลน หรือเพียงเพลิดเพลินไปกับการจับตามองผู้อื่นดิ้นพล่านในสายตาของเขา เซิ่งซื่อก็ไม่ต่างจากแมลงตัวหนึ่งที่กำลังพยายามปีนป่ายหลีกหนีเปลวเพลิงที่ลุกลามใกล้ตัว ยิ่งดิ้นรน...ยิ่งเผยจุดอ่อนดวงเนตรคมกริบใต้คิ้วคมเข้ม ทอดมองสตรีที่พยายามคลี่ยิ้มอ่อนโยนกลบเกลื่อนความหวาดหวั่น ท่าทางเสแสร้งนั้นไม่ต่างจากฉากละครตื้นเขินที่เขาเคยเห็นมานับครั้งไม่ถ้วนจากมารดาเลี้ยงของตนเขาถึงว่ากันว่าคนประเภทเดียวกันจึงมักจะอยู่ร่วมกันได้สายตาของเขาจึงมองเซิ่งซื่อไม่ต่างจากมองซากเนื้อชิ้นหนึ่งที่ยังมีลมหายใจ เขาไม่เร่งเวลาชำระแค้น เพราะรู้ดีว่า… การให้อีกฝ่ายได้ยินเสียงฝีเท้าแห่งหายนะคืบคลานทีละก้าวนั้นทรมานยิ่งกว่าความตาย จากนั้นเขาจะโยนพวกมันลงหลุมในคราวเดียวหลี่เหวินหลงกระตุกยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะเบือนหน้าจากภาพเหล่านั้นอย่างไม่ไยดี เขาไม่ได้ให้ความสนใจสตรีตรงหน้าอีกว่านางจะเสแสร้งต่อไปอย่างไรเพราะทันทีที่สัมผัสได้ถึงเสียงฝีเท้าเร่งร้อนที่กำลังมุ่งตรงมาทางนี้ สายพระเนตรคมกริบก็เบนจากทุกคนในห้อง ไปยังบานประตูห้องโถงโดยฉับพลันแผ่นหลังกว้างขอ
แสงแดดอ่อนยามสายสาดส่องลอดผ่านม่านโปร่งบางลงมาแตะต้องพื้นหินเย็นเฉียบ เสียงนกร้องไกลๆ คล้ายขับกล่อมให้บรรยากาศยิ่งแจ่มใสยิ่งขึ้น แต่ภายในใจของอวี้หลันกลับคล้ายมีบางสิ่งกำลังคุกรุ่นอยู่เงียบๆ นางนั่งอยู่ยังโต๊ะเตี้ยในศาลากลางน้ำ มือเรียวบางค่อยๆ พลิกหน้าตำราเล่มหนึ่งอย่างช้าๆ แม้แววตาดูสงบนิ่ง ทว่าในห้วงลึกของจิตใจกลับเต็มไปด้วยความคิดมากมาย เสียงฝีเท้าเร่งร้อนดังใกล้เข้ามา ก่อนที่ฉิงหว่านจะโผล่พ้นแนวพุ่มดอกเหมยแล้วรีบพุ่งตรงมาหาผู้เป็นนาย ใบหน้าของนางเปื้อนเหงื่อ สองแก้มแดงระเรื่อจากการวิ่งสุดฝีเท้า น้ำเสียงตื่นเต้นจนแทบจะกลั้นไม่อยู่"คุณหนู! คุณหนูเจ้าคะ!"อวี้หลันละสายตาจากตำรา เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เอ่ยถามน้ำเสียงราบเรียบเกียจคร้าน"หวานหว่าน มีอะไรหรือ"ฉิงหว่านหอบหายใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบเอ่ยออกมาเสียงสั่นอย่างไม่อาจระงับความตื่นเต้นไว้ได้"คุณชายกลับมาแล้วเจ้าค่ะ! คุณชายใหญ่อวี้เฉิน... กลับมาที่จวนแล้ว!"คำพูดนั้นเหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางใจของอวี้หลัน นางนิ่งงันไปชั่วอึดใจราวกับตั้งตัวไม่ทัน นิ้วมือที่กำลังจะเปิดหน้าตำราชะงัก ความเงียบคล้ายจะปกคลุมไปทั่วศาลา ดวงตาสะท้อนแววตื่นตะ
อวี้จิ้งยืนอยู่หน้าประตูจวน เงยหน้าขึ้นมองขบวนผู้มาเยือน สายตาทอดมองร่างสูงสง่าบนหลังม้าศึกสีดำทะมึน ก่อนสายตาจะเลื่อนมาหยุดอยู่ที่เด็กหนุ่มอีกผู้หนึ่ง ผู้ที่เขาไม่ได้พบหน้ามานานถึงแปดปี แต่กลับจำอีกฝ่ายได้อย่างแม่นยำเด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงเขาอยู่หลายส่วน ส่วนดวงตาคู่นั้นช่างเหมือนกับดวงตาของมารดาไม่มีผิดเพี้ยน อวี้เฉินของเขา เติบโตขึ้นแล้วไม่ใช่เด็กน้อยที่เคยวิ่งตามเขาไปทั่วจวนอีกต่อไป แต่กำลังเติบโตเป็นชายหนุ่มผู้เปี่ยมไปด้วยความสง่างามและความมั่นใจ แววตามั่นคง ท่วงท่าดูสุขุมเหมาะสมกับวัยและสถานะรองเสนาบดีอวี้จิ้งมองบุตรชายของตนเนิ่นนาน แววตาที่เคยสงบนิ่งกลับคล้ายแดงเรื่อขึ้นวูบหนึ่ง ก่อนจะกลบซ่อนไว้อย่างแนบเนียนด้วยท่าทีสุขุมตามเคยเมื่ออวี้เฉินกระโดดลงจากหลังม้า เขาก็ก้าวเข้ามาตรงหน้า แล้วคุกเข่าคำนับบิดาอย่างนอบน้อม"ท่านพ่อ"เสียงเรียกนั้นนุ่มลึก ไม่ดังนัก แต่กลับชัดเจนในความรู้สึก คำเรียกเพียงสั้นๆ กลับแทนความรู้สึกมากมายที่เก็บไว้ตลอดหลายปีความคิดถึง ความเคารพ และความเข้าใจที่ไม่ต้องอธิบายด้วยคำพูดเมื่อมองใบหน้าของบุตรชาย ใจของอวี้จิ้งคล้ายจะอบอุ่นขึ้นมาอย่าง
ในที่สุด...ขบวนทัพจากแดนเหนือก็เดินทางมาถึงเมืองหลวงบรรยากาศภายในเมืองคึกคักราวกับวันมหามงคล เสียงฆ้องแห่งความยินดีดังก้องสะท้อนไปทั่วทุกตรอกซอกซอย เพื่อประกาศการกลับมาขององค์ชายใหญ่ หลี่เหวินหลง และเหล่าทหารกล้าขุนนางฝ่ายที่ภักดีต่อพระองค์ต่างพากันออกมาต้อนรับอย่างพร้อมเพรียง หลายคนถึงกับน้ำตาคลอ ด้วยความโล่งใจปนปลื้มปิติบนถนนสายหลัก ประชาชนต่างแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสดใส พากันโปรยกลีบดอกไม้ตลอดสองข้างทาง ราวกับหลอมรวมกันเป็นพรมดอกไม้เพื่อต้อนรับวีรบุรุษของแผ่นดินเสียงหัวเราะของเด็กเล็กดังกังวาน แม่ค้าพากันเปิดแผง แจกจ่ายขนมแก่ผู้คนโดยไม่เรียกร้องสิ่งใดตอบแทนผู้คนทั้งเมืองต่างพากันเอ่ยถึงเพียงชื่อเดียว องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง ขุนพลผู้เกรียงไกร ที่นำทัพกลับมาพร้อมชัยชนะ บุรุษผู้เป็นที่รักของประชาชน และเป็นความภาคภูมิใจของแผ่นดินแม้พระองค์จะห่างหายจากเมืองหลวงไปนานหลายปี ทว่า...พระองค์กลับไม่เคยหายไปจากหัวใจของผู้คนเลยแม้แต่น้อยทุกสายตาล้วนจับจ้องไปยังปลายถนน รอคอยแค่เพียงเงาร่างของผู้ที่เปรียบดั่งตะวันยามรุ่งอรุณของชาติบ้านเมืองเสียงฆ้องกลองยังคงดังกระหึ่มเป็นจังหวะต่อเนื่อง ก้อ
นับว่าฉิงสือตัดสินใจได้ถูกต้องยิ่งนักที่ลงมืออย่างรวดเร็ว...เพราะหากเขาช้าไปเพียงก้าวเดียว ข่าวสำคัญที่เพิ่งถูกค้นพบอาจหลุดลอยไปอย่างน่าเสียดายเพียงแค่เขาลอบเข้าไปในจวนสกุลเซิ่ง ก็พบกับความเคลื่อนไหวบางอย่างที่ไม่ธรรมดาองครักษ์เซิ่งหม่าถง พี่ชายแท้ๆ ของเซิ่งซื่อ กำลังเร่งรีบออกจากจวนทันทีหลังจากได้รับสารลับฉบับหนึ่ง สีหน้าเคร่งเครียด ประหนึ่งว่ากำลังแบกภาระอันหนักอึ้งฉิงสือไม่รอช้า รีบสะกดรอยตามไปอย่างเงียบเชียบ พบว่าอีกฝ่ายกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่วังหลวงอย่างร้อนรนผิดวิสัย แม้จะไม่สามารถล่วงล้ำเข้าไปถึงพระราชวังชั้นในได้ แต่ก็พอจะจับทิศทางของเซิ่งหม่าถงได้ชัดเจนเซิ่งหม่าถงมุ่งหน้าเข้าสู่ตำหนักจิ้งเหอ ตำหนักที่ประทับของฮองเฮาไม่ผิดแน่ฉิงสือเฝ้าสังเกตอยู่อย่างเงียบงัน รอจนกระทั่งเซิ่งหม่าถงกลับออกมา แล้วมุ่งหน้ากลับจวน เขาลอบตามไปอย่างเงียบๆ จนแน่ใจว่าอีกฝ่ายกลับเข้าจวนโดยไม่มีความเคลื่อนไหวหรือการส่งสารใดต่ออีก จึงรีบเร่งกลับไปรายงานนายของตน รายงานสำคัญในมือของเขา ต้องส่งถึงผู้เป็นนายโดยเร็วที่สุดยามเมื่อความมืดมาเยือน ความเงียบคลี่คลุมทั่วทั้งจวนรองเสนาบดี ราตรียังไม่ทันล่วงเลยไปม