สองแฝดพี่น้องสีหน้ามืดครึ้มลงพร้อมกันแทบจะทันที แววตาของทั้งคู่พลันเปลี่ยนเป็นดุดัน จ้องมองพี่สาวต่างมารดาอย่างไม่ปิดบังความไม่พอใจ บรรยากาศที่แต่เดิมเงียบอึมครึมกลับทวีความร้อนแรงคล้ายพายุที่พร้อมจะปะทุ แรงอารมณ์ของสองพี่น้องแทบจะผลักให้พวกเขาลุกขึ้นมาฉีกอก เลาะกรามคนที่บังอาจเอ่ยวาจาหมิ่นมารดาผู้ล่วงลับของตน
ส่วนรองเสนาบดีอวี้ก็จ้องมองบุตรสาวคนโตด้วยสายตาเย็นชา แววตาของเขาเต็มไปด้วยความผิดหวังและตำหนิ ทั้งสายตาดุดันนั้นยังเผื่อแผ่ไปยังมารดาของนาง ที่ไม่อบรมสั่งสอนบุตรสาวให้ดี
แต่ยังไม่ทันที่ใครจะได้เอ่ยอันใด เสียงทุ้มต่ำแฝงความเยียบเย็นของหลี่เหวินหลงก็ดังขึ้นท่ามกลางความตึงเครียด
"สนิทสนมหรือ จะเรียกเช่นนั้นก็ได้ เพราะนางคือผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตข้า"
ถ้อยคำเพียงไม่กี่คำกลับดังก้องในห้องโถง จนทั้งห้องคล้ายตกอยู่ในความเงียบฉับพลัน สายพระเนตรขององค์ชายใหญ่ที่ทอดผ่านมายังอวี้เหมยเยือกเย็นเฉียบขาด จนอีกฝ่ายไม่กล้าขยับ
ริมฝีปากที่เคยยิ้มแย้มของอวี้เหมยแปรเปลี่ยนเป็นแข็งตึง นางผู้ช่ำชองในการใช้ฝีปากพ่นวาจาสีหน้าซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด คล้ายจะสำลักคำพูดของตนเอง
เซิ่งซื่อที่นั่งนิ่งอยู่นานสีหน้าไม่ดีไปกว่าบุตรสาว นางเม้มปากแน่นเมื่อเห็นสายตาของสามีที่มองมาอย่างตำหนิ แม้ภายนอกจะยังประคองท่าทีสงบนุ่มนวล แต่ดวงตากลับฉายแววร้อนรนวูบหนึ่ง
นางรู้ดีว่า หากปล่อยให้บรรยากาศในห้องยังเป็นเช่นนี้ต่อไป บุตรสาวของนางอาจตกที่นั่งลำบาก และอาจลุกลามมาถึงตัวนางเองด้วย
เซิ่งซื่อหัวเราะเบาๆ ท่าทีแผ่วหวานอย่างจงใจให้บรรยากาศผ่อนคลายลง
"ดูเหมือนว่าเหมยเอ๋อร์จะเผลอพูดเล่นจนเกินไปหน่อยเพคะ"
"นางยังเป็นเพียงเด็กสาวผู้หนึ่ง จึงเผลอพูดหยอกไปโดยไม่ทันไตร่ตรอง"
เซิ่งซื่อเอ่ยเสียงเรียบ ท่าทางดูอ่อนโยนเหมือนผู้ใหญ่ใจดี พูดไปก็เอื้อมมือไปแตะแขนของอวี้เหมยเบาๆ พลางถลึงตามองอย่างแนบเนียน เตือนให้นางรู้ว่าควรจะทำเช่นไรต่อไป
จากนั้นนางจึงหันไปยิ้มให้องค์ชายใหญ่ สีหน้านอบน้อม ราวกับไม่ได้มีเจตนาใดแอบแฝง
"หม่อมฉันขออภัยเพคะ เป็นหม่อมฉันที่ไม่รู้ความ หากวาจาของหม่อมฉันล่วงเกินพระองค์ ขอจงอย่าทรงถือโทษเลยนะเพคะ"
อวี้เหมยเงียบไปอึดใจ ก่อนจะค่อยๆ ก้มหน้าลง เอ่ยเสียงแผ่วเบา
"หม่อมฉัน...มิได้มีเจตนาไม่ดีจริง ๆ เพคะ"
น้ำเสียงของนางเบาราวสายลม แววตาคล้ายจะคลอหน่วยอย่างน่าสงสาร ใบหน้าแต้มรอยละอายเจืออ่อนหวาน ราวกับกำลังสวมหน้ากากของหญิงสาวผู้ไร้เดียงสา และหวังว่าท่าทีอ่อนน้อมนี้จะลบล้างร่องรอยแห่งความริษยาที่เพิ่งเผยออกไปก่อนหน้า
"หม่อมฉันในฐานะมารดาต้องขออภัยแทนนางด้วยเพคะ หากถ้อยคำล่วงเกินทำให้พระองค์ทรงขุ่นเคือง"
"น้ำพระทัยองค์ชายใหญ่ทรงกว้างขวางนัก คงไม่ถือโทษเด็กดื้อคนหนึ่งนะเพคะ"
แม้ถ้อยคำจะคล้ายขออภัยและแสดงความละมุนละม่อม แต่ทุกผู้คนในที่นั้นล้วนฟังออกว่า นางเพียงแค่ห่อหุ้มความโอหังของบุตรสาวไว้ด้วยคำพูดที่สละสลวย
พระเนตรคมลึกปรายมองสตรีที่ยังแสร้งยิ้มสงบอยู่เบื้องหน้า ฟังถ้อยคำขอโทษของสองแม่ลูกด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ดวงตามืดดำมองไม่เห็นก้นบึ้ง นิ่งราวทะเลสาบในคืนเหน็บหนาว ที่ใต้น้ำนั้นคือความลึกและเย็นเยียบ
"หืม..."
เสียงในลำคอคล้ายจะหัวเราะ แต่ไร้ซึ่งแววขบขันโดยสิ้นเชิง หากกลับแฝงความเย้ยหยันและดูแคลนอย่างไม่ปิดบัง
หลี่เหวินหลงเอนกายพิงพนักเบาๆ ยกมือขึ้นเคาะขอบถ้วยชาด้วยปลายนิ้ว ท่วงท่าสบายๆ ทว่าในความเรียบง่ายนั้น กลับทำให้อีกฝ่ายหายใจไม่ทั่วท้อง
ชายหนุ่มเหยียดยิ้มบาง มุมพระโอษฐ์ยกขึ้นเพียงนิด ดวงเนตรคมลึกทอดมองเซิ่งซื่อนิ่งงัน คล้ายกำลังชำแหละนางไปทีละชั้นด้วยสายตาคมกริบ
"ข้าเข้าใจดี"
หลี่เหวินหลงเอ่ยขึ้นในที่สุด เสียงเรียบแต่ทุ้มต่ำ ฟังแล้วคล้ายอบอุ่น แต่แฝงกระแสไร้อารมณ์อย่างน่าหวาดหวั่น ก่อนจะหยุดเล็กน้อย จิบชาเบาๆ แล้ววางถ้วยลงอย่างแช่มช้า ราวจะคล้อยตามคำขออภัยนั้น หากแต่ถ้อยคำต่อมากลับคล้ายดั่งปลายมีดแหลมคมสายพระเนตรยังคงตรึงอยู่ที่เซิ่งซื่อ
"บางคนไม่รู้ความเพราะยังเยาว์วัย ข้าย่อมไม่ถือโทษ บางคน...โตเพียงกาย แต่จิตใจและความคิดยังคงเป็นเด็กอยู่ จึงไม่คิดถือสา ถือว่าเป็นเรื่องของกาลเวลาและสติปัญญา"
เขาหันไปมองอวี้เหมยแวบหนึ่ง ราวกับจะสื่อว่าคำพูดนั้นหมายถึงนาง
จากนั้นจึงหันกลับมาหาสตรีผู้เป็นมารดา ใบหน้าไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย จากนั้น พระโอษฐ์ได้รูปที่หยัดยิ้มน้อยๆ ก็ค่อยๆ ขยับเอื้อนเอ่ย
"แต่กับบางคน...แม้วันเวลาจะล่วงเลยไปเพียงใด ก็ยังไม่รู้ความอยู่ดี"
สุ้มเสียงนั้นเรียบนิ่ง แต่เยียบเย็นราวคมดาบที่ไร้ประกาย แต่เฉือนลึกถึงใจ
ห้องทั้งห้องเงียบกริบ แม้แต่เสียงหายใจก็เบาจนแทบไม่มี
พระเนตรของหลี่เหวินหลงสบกับเซิ่งซื่ออย่างตรงไปตรงมา
เพียงเสี้ยวอึดใจที่นางสบตากับองค์ชายใหญ่ ทุกเปลือกนอกที่แสร้งสวมไว้ก็คล้ายจะถูกฉีกกระชาก แทนที่ด้วยเงาวาบของความหวั่นไหวที่ไหลผ่านแววตาอย่างมิอาจควบคุม
สายตาคู่นั้นราวกับกำลังบอกนางว่า...เขารู้
รู้ถึงความลับที่นางกลบฝังไปแล้วนานปี รู้ถึงมือที่ผลักผู้มีพระคุณของเขาให้ตกลงสู่ห้วงเวหา รู้ถึงพิษที่เคลือบในรอยยิ้ม และเปลือกภายนอกที่อ่อนหวานแต่ชั่วร้าย
ราวกับเรื่องทุกเรื่องที่นางกระทำเขารู้หมดทุกอย่าง
เซิ่งซื่อเผลอกลืนน้ำลายลงคอ ฝืด เฝื่อน เหมือนกลืนหนามที่แทงลึกไปถึงกลางอก
หลี่เหวินหลงยังไม่ละสายพระเนตรจากเซิ่งซื่อ ริมพระโอษฐ์คลี่ยิ้มเพียงนิด แต่กลับไม่เหลือแววอ่อนโยนใดแม้แต่น้อย
"เรื่องบางเรื่อง..."
พระสุรเสียงนั้นเบาหวิว ทว่าแฝงแรงสะเทือนในอก
"...แม้จะผ่านมานานเพียงใด ก็ไม่ควรถูกปล่อยผ่านไป"
นัยน์ตาคมลึกกวาดมองรอบห้องแวบหนึ่ง ก่อนจะวกกลับมาที่ใบหน้าสงบนิ่งของนางอีกครั้ง
"ข้าคือคนจำบุญคุณไม่ลืม"
เสียงของเขาดังชัดทีละคำ
"บางหนี้...ไม่ชำระก็ไม่สงบ"
หลี่เหวินหลงกล่าวทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงที่เย็นกว่าคืนเหมันต์
ก่อนจะเบือนพระพักตร์ไปอีกทาง ดั่งไม่ต้องการมองคนอีกแม้เพียงชั่วลมหายใจ
ไม่มีใครเอื้อนเอ่ยสิ่งใด แม้แต่ลมหายใจก็คล้ายจะชะงักลงไปชั่วขณะ บรรยากาศในห้องคล้ายถูกแช่แข็ง เยียบเย็นราวม่านหมอกยามราตรี
ขุนนางผู้มากด้วยชั้นเชิงอย่างอวี้จิ้งขมวดคิ้วแน่น มือที่กำถ้วยชาแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ความเย็นของถ้วยหยกไม่อาจต้านทานไอร้อนที่พลุ่งพล่านอยู่ภายในอก เขาเองก็เริ่มสัมผัสได้ถึงความหมายนัยลึกในถ้อยคำขององค์ชายใหญ่
สายตาเหลือบไปมองเซิ่งซื่อ ภรรยาที่ร่วมเรียงเคียงหมอนมาเกือบยี่สิบปี แล้วเบือนกลับอย่างแนบเนียน
แต่เพียงชั่วแวบเดียว ก็เพียงพอจะทำให้เซิ่งซื่อรู้สึกได้ถึงกระแสเย็นวาบไล่ขึ้นตามแนวสันหลัง
อวี้เหมยซึ่งนั่งอยู่ใกล้มารดา หน้าเผือดลงชัดเจน นางอาจไม่เข้าใจทั้งหมด แต่แรงกดดันที่ถาโถมอยู่เหนือศีรษะก็มากพอจะทำให้ริมฝีปากที่เคยหยิ่งผยองเม้มแน่นอย่างลนลาน
บรรยากาศภายในห้องโถงยังคงเงียบงันหลังคำกล่าวขององค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงจบลง
ความกดดันที่กระจายอยู่ในอากาศนั้นหนาหนักจนแทบจับต้องได้ ราวกับลมหายใจของทุกคนถูกรีดรั้งไม่ให้เต็มปอด แต่ละคนต่างจมอยู่ในความคิดและความหวาดระแวงของตน ไม่มีผู้ใดกล้าขยับแม้เพียงปลายนิ้ว
อวี้หลันเหลือบมองไปยังเซิ่งซื่อ ผู้ซึ่งยังคงแสร้งยิ้มบางคงไว้บนใบหน้า แต่ไร้ซึ่งเลือดฝาดโดยสิ้นเชิง นางเฝ้าสังเกตอากัปกิริยาของแต่ละคนอย่างเงียบงัน
ท่ามกลางความอึดอัดที่ปะทุ เสียงฝีเท้าเร่งร้อนก็ดังขึ้นใกล้เข้ามา จากนั้นประตูห้องโถงก็ค่อยๆ เปิดออก
องครักษ์ในชุดเครื่องแบบเต็มยศของราชสำนักก้าวเข้ามาอย่างสง่างาม เขาคุกเข่าคำนับเบื้องหน้าองค์ชายใหญ่ ก่อนเอ่ยเสียงหนักแน่นแต่เคารพ
"องค์ชายใหญ่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้รับคำสั่งจากวังหลวงให้มาเรียนว่าถึงเวลาเสด็จกลับแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
"ฮ่องเต้ทรงรอพระองค์อยู่ที่ตำหนักเฉียนชิง"
คำประกาศสั้นๆ นั้น เหมือนเสียงระฆังที่ปลดปล่อยผู้คนจากพันธนาการเงียบงันในห้อง หลายคนแอบถอนหายใจอย่างเงียบงัน คล้ายจะโล่งอกที่บรรยากาศตึงเครียดได้คลี่คลายลงบ้าง
แต่หลี่เหวินหลงยังคงนั่งสงบนิ่ง พระเนตรคมลึกปรายมององครักษ์เพียงครู่ ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นจิบ จากนั้นจึงวางช้าๆ ราวกับไม่เร่งรีบแต่อย่างใด
"เข้าใจแล้ว"
สุรเสียงเรียบเย็น เขาเว้นช่วงไปจังหวะหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"เช่นนั้นข้าไม่รบกวนใต้เท้าอวี้แล้ว"
หลี่เหวินหลงค่อยๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยท่วงท่าเรียบสงบ แต่เปี่ยมไปด้วยอำนาจอันเย็นเยียบ เพียงการเคลื่อนไหวเล็กน้อยนั้นก็ทำให้บรรยากาศภายในห้องเหมือนจะตึงขึ้นอีกครั้ง
พระเนตรทอดมองผู้คนในห้อง ก่อนจะหยุดนิ่งอยู่ที่อวี้จิ้งครู่หนึ่ง
"วันนี้ได้มาเยือนจวนอวี้ ข้าย่อมยินดีนัก"
สุรเสียงราบเรียบ แต่ฟังแล้วไม่อาจผ่อนคลายได้แม้แต่น้อย
"วันหน้าย่อมมีโอกาสได้พบกันอีก"
พระโอษฐ์คลี่เป็นรอยยิ้มบาง รอยยิ้มที่ไม่มีใครสามารถอ่านได้ว่าทรงคิดสิ่งใดอยู่
"โดยเฉพาะกับบางคน ที่ข้าคง ต้องกลับมาเยี่ยมอีกครั้ง"
พระองค์หันไปพยักหน้าเล็กน้อยให้อวี้จิ้งเป็นเชิงลา ก่อนจะปรายตามองอวี้เฉินเพียงครู่ พร้อมคำพูดสั้นๆ แต่เปี่ยมความหมาย
"กลับมาเมืองหลวงแล้วอย่าอู้งาน เจ้าโตพอจะเรียนรู้วิธี ‘จัดการคน’ แล้วกระมัง"
อวี้เฉินก้มศีรษะรับคำ คล้ายเข้าใจความหมายบางอย่างที่แฝงอยู่
สุดท้าย พระองค์หันกลับมาที่อวี้หลัน
แววตาที่ทอดมองนางนั้นต่างออกไปจากทุกคน อ่อนโยน แต่ก็ลึกล้ำและซับซ้อนอย่างน่าประหลาด
"คุณหนูรอง…ข้าคงต้องขอยืมตัวน้องชายเจ้าต่ออีกสักระยะ"
"และบางที..."
รอยยิ้มผุดขึ้นอีกครั้ง
"ข้าอาจต้องขอยืม ตัวเจ้า ด้วยในสักวัน"
ถ้อยคำที่ปะปนระหว่างหยอกเย้า และจริงจัง ถูกทิ้งไว้กลางห้อง พร้อมกับร่างสูงที่หมุนตัวออกไปอย่างสง่างาม ทิ้งความเงียบงันตึงเครียดและหัวใจของบางคนที่สั่นไหว...ไว้เบื้องหลัง
อวี้หลันขึงตามองแผ่นหลังกว้างของคนที่เดินจากไป ก่อนนางกับน้องชายจะขอตัวพากันเดินออกไปบ้าง
แน่นอนว่าหลังจากนั้นสองแม่ลูกนั่นย่อมถูกบิดาตำหนิ จนเสียงดังเล็ดลอดออกมาด้านนอกห้องโถง แต่สองพี่น้องหาได้สนใจไม่
เส้นทางจากเมืองหลวงสู่วัดประจำเมืองทอดยาวคดเคี้ยวผ่านไหล่เขาและแนวป่าร่มครึ้ม ต้นไม้สูงเรียงรายบดบังแสงแดดบางส่วน จนพื้นดินใต้ล้อรถม้าเย็นชื้นแม้ยามสาย รถม้าคันหรูของอวี้หลันเคลื่อนตัวไปอย่างมั่นคงภายใต้การควบคุมของฉิงเอ้อ เสียงล้อบดหินดังกึกกักแผ่วเบา ท่ามกลางเสียงลมโชยและเสียงจิ้งหรีดในพงหญ้าแต่เมื่อเวลาล่วงเลยไปเพียงครู่... ความสงบที่เคยโอบล้อมพลันเริ่มแปรเปลี่ยนเสียงนกร้องที่เคยคึกคักกลับเงียบหายไป ราวกับธรรมชาติร่วมกันกลั้นหายใจ สายลมที่เคยพัดเบาบาง กลับนิ่งงันจนน่าประหลาด ท้องฟ้ายังแลดูปลอดโปร่ง แสงแดดอ่อนยังส่องลอดใบไม้ แต่ในความสว่างนั้นกลับเจือเงาหม่นบางเบา กลิ่นดินชื้นลอยแตะปลายจมูกเจือกลิ่นสาบคาวบางอย่างเบื้องหลังม่านใบไม้ ลึกเข้าไปในแนวป่า เงาร่างหลายสายกำลังขยับคืบคลานอย่างเงียบเชียบ ฉิงเอ้อที่นั่งควบคุมรถม้าอยู่เบื้องหน้า ชะงักนิ้วมือเพียงเล็กน้อย สายตาคมประหนึ่งเหยี่ยวกวาดมองไปยังแนวป่าด้านข้าง ความเงียบที่ผิดธรรมชาติทำให้เขาแน่ใจว่า มีคนซุ่มดูอยู่อาการเกร็งตัวและท่าทางระแวดระวังของสหายด้านข้าง ไม่อาจรอดพ้นสายตาของฉิงซาน เขาหันไปสบตากับอีกฝ่ายเล็กน้อย บ่าทั้งสองแข
เช้าวันนี้ ท้องฟ้าโปร่งใส อากาศเย็นสบาย สายลมอ่อนพัดโชยมาเป็นระยะ พาให้บรรยากาศในเมืองหลวงชุ่มชื่นสดใส และภายในจวนรองเสนาบดีอวี้ ก็คล้ายจะอบอวลด้วยกลิ่นอายของความยินดีไม่แพ้กันช่วงนี้ภายในจวนมีแต่เรื่องมงคลถาโถมเข้ามาราวพรมแดนแห่งโชคชะตาเปิดทางเรียกได้ว่าในรอบหลายปีไม่เคยมีช่วงเวลาใดที่จวนรองเสนาบดีจะครึกครื้นและมีแต่ข่าวดีเช่นนี้บ่าวไพร่ต่างเร่งจัดเตรียมสิ่งของกันขวักไขว่ ขณะที่ขุนนางผู้เป็นเจ้าของจวนก็ยืดอกได้เต็มที่ ราวกับว่าแม้แต่สวรรค์ยังโปรดปรานตระกูลอวี้ในช่วงเวลานี้โดยแท้เริ่มตั้งแต่บุตรสาวคนโตของจวน หมั้นหมายกับองค์ชายห้า ข่าวนี้เพียงอย่างเดียวก็ทำให้ผู้คนทั้งในและนอกจวนฮือฮา บรรดาขุนนางใหญ่เล็กต่างก็พากันส่งของขวัญมาแสดงความยินดี บางส่วนถึงกับแวะเวียนมาเยือนด้วยตนเองเพื่อสานไมตรีแต่นั่นยังไม่พอ ข่าวถัดมาก็เรียกความตื่นเต้นไม่แพ้กัน เพราะไม่นานหลังจากนั้น บุตรชายคนโตของตระกูล คุณชายใหญ่อวี้เฉิน ผู้ที่หายหน้าจากเมืองหลวงไปนานหลายปีเนื่องจากไปศึกษาต่างเมืองได้เดินทางกลับมา และสิ่งที่น่าสนใจก็คือ เขากลับมาพร้อมกับขบวนทัพบุรุษที่เป็นผู้สนับสนุนเขาไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็น อง
เมื่อครั้งที่องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงทรงมีพระชนมายุได้เพียงเก้าชันษา ขณะทรงศึกษาอยู่ในสถานศึกษาหลวง พระองค์ก็ได้พบกับเหตุการณ์ที่ไม่มีวันลืมในวันนั้น ที่ดูเหมือนจะเป็นเพียงวันธรรมดาอีกวันหนึ่ง พระองค์มักจะแอบมานั่งอ่านตำราพิชัยสงครามเล่มโปรดเงียบๆ บริเวณศาลาริมสระบัวกลางสวนหลังตำหนักเรียนสถานที่สงบเงียบไร้ผู้คน เป็นที่ที่พระองค์มักจะมาใช้เวลาคิดและฝึกสมาธิในยามว่างเสมอ หากแต่ในขณะกำลังจดจ่ออยู่กับตัวอักษรในตำรา กลับมีมือปริศนาคู่หนึ่งผลักพระองค์จากทางด้านหลังอย่างไม่ทันตั้งตัว ร่างเล็กในวัยเยาว์พลันพลัดตกลงไปในสระบัวที่ลึกและเย็นจัดสายน้ำเย็นเฉียบตวัดรัดทั่วพระวรกายในทันที ความตกใจแล่นวูบไปทั้งจิตใจ กลีบบัวที่เคยงดงามกลับกลายเป็นม่านบังสายตา ความตื่นตระหนกก่อให้เกิดแรงตะเกียกตะกาย แต่มือเล็กกลับไม่อาจไขว่คว้าแม้เพียงความหวังพระองค์คิดว่าคงสิ้นใจอยู่ใต้น้ำนั้นแน่แล้ว หากแต่ว่า...ก่อนทุกอย่างจะดับวูบไป ก็มีหญิงสาวผู้หนึ่งโผล่เข้ามาในห้วงเวลานั้นพระองค์จำได้เพียงเงาร่างนั้นแหวกผืนน้ำเข้ามาอย่างไม่ลังเล แขนเรียวเล็กของนางพุ่งเข้ามาแล้วคว้าพระหัตถ์ที่ไร้เรี่ยวแรงของพระองค์เอาไว้แน่น ก่
สองแฝดพี่น้องสีหน้ามืดครึ้มลงพร้อมกันแทบจะทันที แววตาของทั้งคู่พลันเปลี่ยนเป็นดุดัน จ้องมองพี่สาวต่างมารดาอย่างไม่ปิดบังความไม่พอใจ บรรยากาศที่แต่เดิมเงียบอึมครึมกลับทวีความร้อนแรงคล้ายพายุที่พร้อมจะปะทุ แรงอารมณ์ของสองพี่น้องแทบจะผลักให้พวกเขาลุกขึ้นมาฉีกอก เลาะกรามคนที่บังอาจเอ่ยวาจาหมิ่นมารดาผู้ล่วงลับของตนส่วนรองเสนาบดีอวี้ก็จ้องมองบุตรสาวคนโตด้วยสายตาเย็นชา แววตาของเขาเต็มไปด้วยความผิดหวังและตำหนิ ทั้งสายตาดุดันนั้นยังเผื่อแผ่ไปยังมารดาของนาง ที่ไม่อบรมสั่งสอนบุตรสาวให้ดีแต่ยังไม่ทันที่ใครจะได้เอ่ยอันใด เสียงทุ้มต่ำแฝงความเยียบเย็นของหลี่เหวินหลงก็ดังขึ้นท่ามกลางความตึงเครียด"สนิทสนมหรือ จะเรียกเช่นนั้นก็ได้ เพราะนางคือผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตข้า"ถ้อยคำเพียงไม่กี่คำกลับดังก้องในห้องโถง จนทั้งห้องคล้ายตกอยู่ในความเงียบฉับพลัน สายพระเนตรขององค์ชายใหญ่ที่ทอดผ่านมายังอวี้เหมยเยือกเย็นเฉียบขาด จนอีกฝ่ายไม่กล้าขยับ ริมฝีปากที่เคยยิ้มแย้มของอวี้เหมยแปรเปลี่ยนเป็นแข็งตึง นางผู้ช่ำชองในการใช้ฝีปากพ่นวาจาสีหน้าซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด คล้ายจะสำลักคำพูดของตนเองเซิ่งซื่อที่นั่งนิ่งอยู่นาน
"ยินดีที่ได้พบกัน... คุณหนูรอง" หลี่เหวินหลงเอ่ยขึ้น น้ำเสียงราบเรียบทุ้มต่ำ ขณะสายพระเนตรยังคงทอดมองอวี้หลันอย่างไม่ลดละ เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย พลางกระตุกยิ้มบางมุมปาก"ไม่ทราบว่าเรา...เคยพบกันมาก่อนหรือไม่"พระสุรเสียงนั้นไม่ได้ดังนัก ทว่าแฝงด้วยโทนเสียงเชื่องช้าและนุ่มลึกอย่างประหลาด แต่กลับชวนให้ใจคนฟังเต้นแรงกว่าเดิมคำถามของเขาดูเหมือนจะธรรมดา แต่สายพระเนตรที่ทอดมองมามีบางอย่างเจืออยู่ คล้ายจับผิด คล้ายแกล้งหยอกเย้า และคล้ายว่ากำลังเพลิดเพลินกับการเห็นนางเก็บอาการไม่อยู่อวี้หลันเม้มปากเล็กน้อย เริ่มไม่มั่นใจว่าเขาจดจำนางได้หรือไม่ หญิงสาวยังไม่ทันได้เอ่ยตอบ เสียงทุ้มหนักของรองเสนาบดีอวี้จิ้งก็ดังขึ้นเสียก่อน ตัดขาดการสนทนาระหว่างบุตรสาวกับบุรุษผู้สูงศักดิ์ตรงหน้า"หลันเอ๋อร์ร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก จึงมักจะเก็บตัวอยู่เพียงในเรือน คงยากที่จะเคยพบเจอองค์ชายใหญ่พ่ะย่ะค่ะ"เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงความหมายชัดเจนอยู่ในทุกถ้อยคำ อวี้จิ้งหยุดชั่วครู่ ก่อนเสริมด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่ฟังดูหนักแน่นขึ้น"อีกทั้งพระองค์เพิ่งจะกลับมา ยิ่งไม่มีโอกาสพบเจอกันพ่ะย่ะค่ะ"ทุกถ้อยค
หลี่เหวินหลงหยัดยิ้มมุมปาก รอยยิ้มบางเฉียบที่ไม่อาจอ่านได้ว่ากำลังดูแคลน หรือเพียงเพลิดเพลินไปกับการจับตามองผู้อื่นดิ้นพล่านในสายตาของเขา เซิ่งซื่อก็ไม่ต่างจากแมลงตัวหนึ่งที่กำลังพยายามปีนป่ายหลีกหนีเปลวเพลิงที่ลุกลามใกล้ตัว ยิ่งดิ้นรน...ยิ่งเผยจุดอ่อนดวงเนตรคมกริบใต้คิ้วคมเข้ม ทอดมองสตรีที่พยายามคลี่ยิ้มอ่อนโยนกลบเกลื่อนความหวาดหวั่น ท่าทางเสแสร้งนั้นไม่ต่างจากฉากละครตื้นเขินที่เขาเคยเห็นมานับครั้งไม่ถ้วนจากมารดาเลี้ยงของตนเขาถึงว่ากันว่าคนประเภทเดียวกันจึงมักจะอยู่ร่วมกันได้สายตาของเขาจึงมองเซิ่งซื่อไม่ต่างจากมองซากเนื้อชิ้นหนึ่งที่ยังมีลมหายใจ เขาไม่เร่งเวลาชำระแค้น เพราะรู้ดีว่า… การให้อีกฝ่ายได้ยินเสียงฝีเท้าแห่งหายนะคืบคลานทีละก้าวนั้นทรมานยิ่งกว่าความตาย จากนั้นเขาจะโยนพวกมันลงหลุมในคราวเดียวหลี่เหวินหลงกระตุกยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะเบือนหน้าจากภาพเหล่านั้นอย่างไม่ไยดี เขาไม่ได้ให้ความสนใจสตรีตรงหน้าอีกว่านางจะเสแสร้งต่อไปอย่างไรเพราะทันทีที่สัมผัสได้ถึงเสียงฝีเท้าเร่งร้อนที่กำลังมุ่งตรงมาทางนี้ สายพระเนตรคมกริบก็เบนจากทุกคนในห้อง ไปยังบานประตูห้องโถงโดยฉับพลันแผ่นหลังกว้างขอ