แสงอรุณอ่อนในฤดูใบไม้ผลิส่องพาดแนวหลังคาเรือน บรรยากาศทั่วทั้งจวนรองเสนาบดีเต็มไปด้วยความคึกคัก ภายในเรือนใหญ่ของตระกูลอวี้อบอวลด้วยกลิ่นหอมของไม้จันทน์
บ่าวไพร่ในจวนสีหน้าสดชื่นแจ่มใส ขะมักเขม้นจัดเตรียมพิธีมงคล ข้าวของเครื่องใช้ล้วนถูกจัดเรียงตามตำราโบราณ
เรือนหลักของจวนอวี้ในวันนี้ถูกประดับประดาด้วยผ้าแพรไหมสีมงคล ลวดลายดอกเหมยปักดิ้นทองสะท้อนแสงแดดระยิบระยับ กลิ่นหอมของชาดอกไม้ที่ลอยอบอวลในอากาศ สร้างบรรยากาศละมุนละไม
วันนี้คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณหนูรองอวี้
ในที่สุดวันปักปิ่นของอวี้หลันก็มาถึง พิธีในวันนี้ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติบุตรีขุนนางฝ่ายพิธีการ เรียกได้ว่าเป็นงานเลี้ยงที่หรูหราและงดงามที่สุดในรอบหลายปีของเมืองหลวง
อวี้หลันในชุดผ้าไหมเนื้อละเอียดสีชมพูอมทองปักลวดลายดอกโบตั๋นอย่างประณีต เนื้อผ้าไหมพลิ้วไหวรับแสงแดดอ่อนยามเช้า ปลายแขนเสื้อขลิบดิ้นทอง ชุดตัวยาวรัดช่วงเอวด้วยสายผ้าแพรสีแดงสด ด้านข้างห้อยพู่หยกล้ำค่า เงาผ้าพลิ้วไหวราวกลีบดอกไม้ต้องลมตามจังหวะก้าวเดิน ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังสตรีน้อยผู้เป็นบุตรีของรองเสนาบดี
หญิงสาวย่างก้าวด้วยท่วงท่าที่เปี่ยมไปด้วยความสง่างาม นางมิได้มีท่าทีขัดเขิน หัวอ่อนเช่นดั่งคุณหนูที่เก็บตัวอยู่เพียงในห้องหออย่างที่ใครคาดคิด หากกลับมีแววตานิ่งสงบ และมาดที่มั่นคง เปี่ยมราศีจนยากจะละสายตา ทุกการขยับเขยื้อน ทุกถ้อยคำที่เปล่งออกมา ทุกกิริยาและรอยยิ้ม ล้วนเผยให้เห็นถึงสติปัญญา และมารยาท
สำหรับผู้คนที่มาร่วมงานในวันนี้ โดยเฉพาะเหล่าฮูหยิน คุณหนูคุณชาย และบุรุษจากตระกูลใหญ่ที่ยังไร้คู่ ต่างพากันจับตามองอวี้หลันอย่างไม่อาจละสายตา เพราะทั้งรูปลักษณ์และฐานะชาติกำเนิด ก่อให้เกิดแรงดึงดูดที่พวกเขาไม่อาจละเลยนาง
วันนี้ไม่เพียงแต่จดจำนาม อวี้หลัน ไว้ในใจเท่านั้น สตรีบางคนเริ่มจับจ้องนางด้วยความระแวดระวัง ในฐานะคู่แข่งและศัตรูหัวใจในอนาคต
ฮูหยินบางคนเริ่มเอ่ยถามกับผู้เป็นสามีว่าหากจะหาคู่ให้บุตรชาย อวี้หลันก็เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม
ขณะที่บุรุษหนุ่มหลายคน ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือเผลอไผล ต่างก็เริ่มคิดในใจว่า
หากได้สตรีผู้นี้มาเคียงข้าง…จะเป็นวาสนาเพียงใด
หลังจากพิธีกราบไหว้บูชาฟ้าดินและบรรพชนเสร็จสิ้น ก็เข้าสู่ช่วงพิธีปักปิ่น
เมื่อเสียงฆ้องดังกังวานขึ้นหนึ่งครั้งเพื่อบอกเวลามงคล เหล่าแขกอาวุโสและแขกคนสำคัญก็เริ่มทยอยเข้ามานั่งตามลำดับ
อวี้หลันในอาภรณ์งดงาม ก้าวช้าๆ เข้าสู่กลางห้องโถงอย่างสำรวม เบื้องหน้าคือโต๊ะพิธีที่ปูด้วยผ้าแดงสด ประดับอย่างเรียบหรูตามธรรมเนียม มีชุดน้ำชา ถาดใส่ดอกไม้สดหลากสี ปิ่นปักผมเลอค่า และกล่องเล็กบรรจุด้ายแดงวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ
และดูเหมือนว่าผู้ที่หวังหมายปอง คุณหนูรองแห่งตระกูลอวี้ จะถูกดับฝัน คงได้แต่เก็บใจกลับไปเสียแล้ว
เพราะผู้ที่ปักปิ่นให้อวี้หลันในวันนี้ คือ หยางฮูหยินผู้เฒ่า สตรีผู้สูงศักดิ์แห่งจวนหย่งหนิงโหว ตระกูลหยางเก่าแก่ผู้สืบเชื้อสายขุนนางบรรดาศักดิ์ ที่สืบต่อกันมาในราชวงศ์หลายชั่วคน นางคือ มารดาของอดีตฮองเฮา และเป็น ท่านยายขององค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง ตำแหน่งปัจจุบันคือโหวฟูเหริน ซึ่งแม้สามีจะล่วงลับไปนานแล้ว แต่อำนาจของจวนหย่งหนิงโหวกลับไม่เคยสั่นคลอน
ในวัยชรานางยังคงเปี่ยมไปด้วยบารมี ดำรงตนเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ทั้งจวนหย่งหนิงโหวแห่งสกุลหยาง และตำหนักขององค์ชายใหญ่
นางเคยผ่านสมรภูมิการเมืองมานับครั้งไม่ถ้วน และยังได้รับความไว้วางใจจากองค์จักรพรรดิ
ชื่อเสียงของหยางฮูหยินผู้เฒ่ากระจายไกลไปทั่วเมืองหลวง บรรดาสตรีสูงศักดิ์ล้วนยำเกรง ไม่เพียงเพราะสายสัมพันธ์กับองค์ชายใหญ่เท่านั้น หากยังรวมถึงคุณธรรมและไหวพริบอันล้ำลึก
หยางฮูหยินผู้เฒ่า นั่งอย่างสง่างามอยู่บนตั่งสูงด้านหน้าสุดของห้องโถง ท่ามกลางสายตานับสิบคู่ที่จับจ้องไปยังสตรีสูงวัยผู้เปี่ยมไปด้วยอำนาจและบารมี
นางแต่งกายด้วยอาภรณ์ผ้าไหมเนื้อดีสีม่วงเข้ม ลายปักกิเลนทองละเอียดอ่อนทั่วทั้งชุด เสริมให้ดูน่าเกรงขามแต่ไม่แข็งกระด้าง ท่วงท่าการนั่งหลังตรง มือนิ่งประสานบนตัก แสดงถึงความมั่นคงของผู้ที่ผ่านโลกมานาน ผมสีดอกเลาเกล้ามวยสูงเรียบตึง ประดับเพียงปิ่นทองด้ามหยกที่ดูสง่างามอย่างยิ่งพอเหมาะแก่ฐานะ
ในแววตาลึกซึ้งของนางมีทั้งความสุขุม เคร่งครัด และอ่อนโยนประดับอยู่พร้อมกัน ริมฝีปากคลี่ยิ้มจางๆ เมื่อเห็นร่างอวี้หลันก้าวเข้ามาอย่างสำรวม ทุกย่างก้าวของเด็กสาวคนนี้ช่างสงบงดงาม ยิ่งเห็นก็ยิ่งคล้ายภาพสะท้อนของนางเมื่อวัยสาว เปี่ยมไปด้วยความเฉลียวฉลาดและมั่นคง
และการที่ฮูหยินผู้เฒ่าแห่งตระกูลหยางยอมออกหน้าทำพิธีด้วยตัวเอง ไม่เพียงเป็นเกียรติยศสูงสุดของหญิงสาว แต่ยังเท่ากับเป็นการประกาศกลายๆ แก่ทั้งเมืองหลวงว่า
อวี้หลัน ไม่ใช่สตรีที่ผู้ใดจะหมายตาได้อีกต่อไปแล้ว
เสียงกระซิบจากเหล่าแขกในงานเริ่มดังขึ้นแผ่วเบา หลายคนอดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองไปยังมุมหนึ่งของห้อง ซึ่งชายหนุ่มรูปงามในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มนั่งอย่างนิ่งสงบร่วมกับเจ้าของจวน หากแต่แววตากลับจับจ้องไปยังหญิงสาวกลางห้องไม่ละสายตา
อวี้หลันคุกเข่าลงเบื้องหน้าของหญิงชราผู้สูงศักดิ์ด้วยท่าทางสงบนิ่งและเคารพ แววตาของหยางฮูหยินผู้เฒ่าอ่อนโยน นุ่มนวล ราวมองดูหลานสาวในไส้ มุมปากของนางคลี่ยิ้มบางเบาอย่างเอ็นดู พลางยื่นมือออกมาเกลี่ยปอยผมที่เคลื่อนไหวตามแรงลมให้กลับเข้าที่อย่างแผ่วเบา
ความอ่อนโยนจากมือคู่นั้นทำให้อวี้หลันรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาด คล้ายกับได้รับการยอมรับโดยไม่ต้องเอ่ยคำใดให้มากความ แม้นางจะพยายามสงบใจเพียงใด แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบสายตาไปยังบุรุษหน้ามึนที่อยู่ไม่ไกล
องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง ผู้ที่เป็นต้นเหตุของการมอบเกียรติอันใหญ่หลวงเช่นนี้ให้แก่นางอย่างไม่เกรงใจผู้ใด
สายตาของเขายังคงจ้องมองแค่เพียงนาง ไม่แม้แต่จะหันไปมองสิ่งอื่น แม้ว่าเขาจะมิได้เอ่ยคำใดออกมา แต่สายตาของเขากลับส่งผ่านบางอย่างที่ทั้งหนักแน่น อ่อนโยน และรุกล้ำ ราวกับจะบอกให้โลกรู้ว่าสตรีตรงหน้าคือผู้ที่เขาเฝ้ามอง และจะไม่ยอมให้ใครแย่งชิงไปง่ายๆ
แววตาคมปลาบที่ทั้งนิ่งลึก มั่นคง และแน่วแน่คู่นั้น ราวกับมีแรงดึงดูดบางอย่าง ที่พานางให้หลงเข้าไปติดอยู่ในความนิ่งงันนั้นโดยไม่รู้ตัว ไม่อาจที่จะสลัดสายตาคู่นั้นออกจากใจได้เลย
อวี้หลันเม้มริมฝีปากแน่นเล็กน้อย ภายในใจจะสั่นสะท้าน แก้มนวลร้อนผ่าวอย่างไร้เหตุผล ราวกับต้องแสงแดดแรงกล้า แม้ภายในห้องจะเย็นสบายด้วยลมฤดูใบไม้ผลิ
หยางฮูหยินผู้เฒ่าคลี่ยิ้มบางอย่างอ่อนโยน ขณะยื่นมือมาประคองเส้นผมของเด็กสาวแล้วหวีเบาๆ ปลายนิ้วที่ผ่านกาลเวลายังคงมั่นคงและเปี่ยมเมตตา ราวกับส่งต่อความรักของผู้ใหญ่ไปยังเด็กสาวผู้เปรียบได้ดั่งหลานสะใภ้ในอนาคต
นางเอ่ยเบาๆ ข้างหูบ่าวคนสนิทที่ยืนอยู่ข้างกาย บ่าวผู้นั้นจึงยื่นกล่องเล็กสีทองให้ หยางฮูหยินผู้เฒ่ารับมาด้วยสองมือ ขยับกายเล็กน้อยอย่างช้าๆ ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยเสียงเรียบแต่ทรงพลัง
"วันนี้เป็นวันมงคล คุณหนูรองอวี้ จากวันนี้ไป เจ้าได้ย่างเข้าสู่วัยผู้ใหญ่แล้ว เป็นสตรีที่เติบโตเต็มวัย จงดำรงเกียรติของสกุลอวี้ ขอให้จิตใจเข้มแข็ง มั่นคงไม่แพ้เส้นด้ายแดงที่เกี่ยวดวงชะตาเอาไว้"
เส้นผมของอวี้หลันถูกรวบอย่างประณีตไว้กลางศีรษะ ปิ่นงดงามถูกหยิบออกมาจากกล่องไม้หอมลายเถาอย่างระมัดระวัง สตรีที่นั่งอยู่โดยรอบพลันตกอยู่ในความตื่นตะลึง ก่อนที่เสียงฮือฮาเบาๆ จะดังขึ้น
"นั่นคือ...ปิ่นปักผมของอดีตฮองเฮามิใช่หรือ"
พวกนางล้วนเป็นสตรีจากตระกูลสูงศักดิ์ ล้วนต้องเคยเห็นปิ่นที่อดีตฮองเฮาทรงหวงแหน
ปิ่นทองคำขาวที่ประดับพลอยแดงสีเลือดนกไว้ตรงกลาง หัวปิ่นงดงามอ่อนช้อยด้วยลวดลายดอกเหมยกำลังเบ่งบาน ช่างหลอมทองชั้นสูงเคยกล่าวไว้ว่า ลวดลายนี้หล่อขึ้นมาจากแบบที่อดีตฮองเฮาเขียนขึ้นด้วยพระองค์เอง แฝงไว้ทั้งความเยือกเย็น อ่อนหวาน และเด็ดเดี่ยวในคราเดียวกัน แม้กาลเวลาจะผ่านไปเนิ่นนาน แต่ปิ่นนี้ยังคงสะอาดใสไร้ตำหนิ แวววาวราวเพิ่งถูกหลอมขึ้นมา
หยางฮูหยินมองอวี้หลันด้วยสายตานุ่มนวล ปักปิ่นลงอย่างมั่นคง เมื่อปลายปิ่นแตะลงบนเส้นผมนุ่มสลวยของอวี้หลัน หยางฮูหยินก็กล่าวคำมงคลช้าๆ น้ำเสียงที่เปล่งวาจาอวยพรชัดเจนและเปี่ยมไปด้วยความเมตตา
"ข้าขอมอบปิ่นนี้แก่เจ้า ขอให้เจ้ามีชีวิตที่มั่นคงดุจหยก ปราศจากเคราะห์ภัย และห้อมล้อมด้วยคุณธรรม ความเข้มแข็ง และเมตตา จงเติบโตอย่างสง่างาม เฉกเช่นดอกเหมยในฤดูหนาว"
สายตาของนางยังคงทอดมองสลับระหว่างหลานชายผู้เงียบขรึม กับเด็กสาวผู้สงบนิ่งตรงหน้า ยิ่งมอง...หัวใจของหญิงชราก็ยิ่งอบอุ่นอิ่มเอม คล้ายมองเห็นภาพอนาคตที่กำลังเริ่มต้นเบื้องหน้า
นางเห็นความหวั่นไหวในแววตาของเด็กสาว และความแน่วแน่ลึกซึ้งในดวงตาของหลานชาย นั่นไม่ใช่เพียงความพึงใจธรรมดา
แต่เป็นสายสัมพันธ์ที่เริ่มหยั่งรากจากใจจริงของทั้งสอง
เด็กสองคนนี้...มิใช่เพียงเหมาะสมกัน แต่ยังเติมเต็มกันและกันได้อย่างน่าอัศจรรย์
เสียงฆ้องดังขึ้นอีกหนึ่งครั้ง
อวี้หลันลุกขึ้นคารวะอย่างนุ่มนวล ก่อนจะยื่นถ้วยชาให้หยางฮูหยินผู้เฒ่า ผู้เป็นบิดาและมารดาเลี้ยงตามธรรมเนียม แม้ในใจมีหลากอารมณ์ แต่นางก็ปฏิบัติครบถ้วนทุกขั้นตอนอย่างสง่างามไร้ที่ติ
เมื่อพิธีหลักสิ้นสุด แขกที่ได้รับเชิญจึงทยอยมอบของขวัญมงคล ทั้งเครื่องประดับ ผ้าไหม หยก เครื่องหอม ไปจนถึงคำอวยพรอันเป็นสิริมงคล
"หลันเอ๋อร์ ขอเวลาข้าสักครู่ได้หรือไม่"เสียงทุ้มต่ำขององค์ชายห้าหลี่จื้อหยวนเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน ทว่าแฝงแววเว้าวอนลึกซึ้ง เขาก้าวขวางเบื้องหน้าในจังหวะที่อวี้หลันหมุนกายจะจากไป หยุดยั้งฝีเท้าเรียวอย่างไม่เปิดโอกาสให้นางหลบเลี่ยงสายตาคมกริบทอดมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่อาจละไปได้ ความคาดหวัง ความลังเล และความเจ็บปวดสลักทับซ้อนในแววตาคู่นั้นราวกับเพียงคำตอบหนึ่งคำจากนาง จะสามารถปลดปล่อยหรือขังเขาไว้ตลอดกาลอวี้หลัน..หญิงสาวที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคู่หมั้นในวัยเยาว์ของเขา หญิงสาวที่เขาเคยคิดว่าจะได้ครอบครองและปกป้องแต่ตอนนี้นางกลับไกลจากเขาออกไปทุกทีข่าวลือที่โด่งดังไปทั่วเมืองหลวงอยู่ในตอนนี้ ทำให้เขาไม่อาจทนนิ่งเฉย จนต้องมาปรากฏตัวที่นี่ ยิ่งเมื่อได้เห็น ปิ่นปักผม ที่ปรากฏอยู่บนมวยผมของนาง ดวงตาของเขายิ่งแข็งกร้าวปิ่นนั่นหลี่เหวินหลงผู้เป็นพี่ชายหวงแหนยิ่งกว่าสิ่งใด เป็นสิ่งที่ไม่ควรมอบให้ใครง่ายๆ นอกจากผู้ที่เขา "หมายปอง" อย่างแท้จริงหลี่จื้อหยวนกำมือแน่น ความรู้สึกในใจร้อนรนแทบระเบิดออกมา แต่กลับไม่เอ่ยอันใด นอกจากสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วเปิดกล่องเครื่องประดับในมือออก ยื่นไปตรงหน้าอีก
มาอีกแล้ว คนผู้นี้ว่างงานนักหรืออย่างไรอวี้จิ้งทอดถอนใจยาวตั้งแต่ยังไม่ทันได้จิบชาเช้า ใบหน้านิ่งขรึมเต็มไปด้วยริ้วรอยของความอดกลั้น และกลิ่นอายของความหงุดหงิดปนเวทนาในชะตากรรมของตนรุ่งเช้า ฟ้ายังไม่ทันสว่างดีนัก คนก็มาเยือนถึงหน้าจวนเสียแล้ว"หากไม่มีงานการทำ เหตุใดถึงไม่กลับแดนเหนือไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด"อวี้จิ้งได้เพียงบ่นอยู่ในใจ ฟันกรามกัดแน่นจนขมับเต้นตุบๆ ขณะลุกจากที่นั่ง เดินออกไปต้อนรับแขกผู้สูงศักดิ์ แขกที่เหมือนจะกลายเป็นสมาชิกประจำบ้านเข้าไปทุกทีองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง ยืนตระหง่านราวขุนเขาเช่นเคย ท่าทีสงบนิ่ง เยือกเย็นประหนึ่งนักปราชญ์ผู้สูงส่ง ทั้งที่ความจริงแล้วก็แค่คนไร้ยางอาย หน้าด้านหน้าทนผู้หนึ่ง ที่ทำเอาเจ้าบ้านอย่างเขาแทบกระอักเลือดตาย เมื่อวานกว่าจะต้อนคนส่งกลับได้ก็เล่นเอาเขาแทบจะหัวหลุดจากบ่าอยู่หลายครั้ง"องค์ชายใหญ่มาตั้งแต่เช้าเลยนะพ่ะย่ะค่ะ"อวี้จิ้งเอ่ย พลางฉีกยิ้มบางๆ ที่คล้ายรอยยิ้มของเสือเฒ่ากำลังข่มอารมณ์ แฝงไว้ด้วยคำว่า ‘เจ้าว่างนักหรือ’ ขณะทำความเคารพอีกฝ่ายอย่างมีมารยาท"ใต้เท้าอวี้ พบหน้าข้าแล้วยินดีถึงเพียงนี้เชียว"หลี่เหวินหลงยิ้มรับสีหน้าระร
เซิ่งซื่อใช่ว่าจะไม่รู้สึกถึงบรรยากาศอึดอัดกดดันที่แผ่คลุมอยู่ภายในห้อง หากแต่นางยังฝืนรักษารอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าเอาไว้ ไม่ว่าสายตาใครจะจับจ้องมายังนางอย่างไร นางก็ยังสงบนิ่งไม่แสดงพิรุธหลายวันมานี้ นางสัมผัสได้ถึงบรรยากาศภายในจวนที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน นางรับรู้ได้ว่าสามีเริ่มมีท่าทีที่ผิดแผกไป ไม่เหมือนเดิมอย่างที่เคย นับตั้งแต่เกิดเรื่องกับอวี้หลัน ทว่าเขากลับยังคงนิ่งเฉยไม่เอ่ยสิ่งใด นั่นยิ่งทำให้นางทั้งหวาดระแวงและไม่อาจวางใจได้ ความเงียบของเขากลับทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่งนางรู้ดีว่าคนอย่างอวี้จิ้งไม่ใช่ผู้ที่จะปล่อยผ่านเรื่องใดไปโดยไม่คิดสืบหาความจริง ไม่ใช่คนที่จะถูกหลอกล่อได้ง่ายนัก และยิ่งเงียบก็ยิ่งน่าหวาดกลัวแต่ถึงอย่างนั้น นางก็ยังพอจะเบาใจอยู่บ้าง อย่างน้อยที่สุดหลานชายของนางก็กลับมาอย่างปลอดภัย และที่สำคัญ เขาไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดไว้ให้ถูกสาวมาถึงตัวทุกอย่างยังอยู่ในการควบคุม นางเพียงต้องระวังตัวให้มากพอ และฉลาดพอที่จะไม่ถามถึงรายละเอียดให้มากความ สิ่งที่ไม่รู้ ก็ไม่จำเป็นต้องรู้ สิ่งที่รู้ นางก็เลือกจะซ่อนไว้ลึกสุดใจ ไม่ให้แม้แต่น้ำเสียงหรือแววตาเผลอเผยพิรุธออ
หลังจากพิธีปักปิ่นอย่างเป็นทางการในช่วงเช้าผ่านพ้นไป ตกเย็นก็ควรจะเป็นเวลาของคนในครอบครัว แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้นเสียแล้วอวี้จิ้งเพิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงคำกล่าวที่ว่าเชิญเทพมาง่าย แต่ส่งกลับไปแสนยาก ก็ในวันนี้เองรองเสนาบดีผู้มากบารมี ปลายสายตาเหลือบมองบุรุษหนุ่มผู้สูงศักดิ์ที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะด้วยสีหน้าอึมครึม เขาไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำใดออกมา เพราะแม้จะเงียบ แต่หนวดที่กระตุกอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า ดวงตาวาววับที่ราวกับจะพ่นลูกไฟออกมาได้ทุกเมื่อ ก็ฟ้องหมดทุกอย่างและถึงจะเป็นเช่นนั้นอีกฝ่ายกลับยังนั่งจิบชาอย่างสบายอารมณ์ หาได้รู้ถึงความผิดของตัวเอง ประหนึ่งว่าเขาคือเจ้าของเรือน มิหนำซ้ำยังทำตัวกลมกลืนอย่างยิ่งราวกับคนในครอบครัวไม่ขัดเขิน ไม่เกรงใจ ไม่ถ่อมตนกระทำตัวเหมือนเขยของบ้านข้าเข้าไปทุกทีหึ…กล้าดียังไงแน่นอนว่าอวี้จิ้งได้แต่คิดในใจเท่านั้น ไม่มีวันกล้าเอ่ยออกมาเพราะบุรุษตรงหน้านั้น หาใช่ใครอื่นไกล แต่คือ องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงการกระทำของอีกฝ่ายในวันนี้สร้างความขุ่นเคืองใจให้เขาอย่างยิ่ง แต่แม้จะรู้สึกไม่พอใจเพียงใด ทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหยางฮูหยินผู้เฒ่า ซึ
แสงอรุณอ่อนในฤดูใบไม้ผลิส่องพาดแนวหลังคาเรือน บรรยากาศทั่วทั้งจวนรองเสนาบดีเต็มไปด้วยความคึกคัก ภายในเรือนใหญ่ของตระกูลอวี้อบอวลด้วยกลิ่นหอมของไม้จันทน์บ่าวไพร่ในจวนสีหน้าสดชื่นแจ่มใส ขะมักเขม้นจัดเตรียมพิธีมงคล ข้าวของเครื่องใช้ล้วนถูกจัดเรียงตามตำราโบราณเรือนหลักของจวนอวี้ในวันนี้ถูกประดับประดาด้วยผ้าแพรไหมสีมงคล ลวดลายดอกเหมยปักดิ้นทองสะท้อนแสงแดดระยิบระยับ กลิ่นหอมของชาดอกไม้ที่ลอยอบอวลในอากาศ สร้างบรรยากาศละมุนละไมวันนี้คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณหนูรองอวี้ในที่สุดวันปักปิ่นของอวี้หลันก็มาถึง พิธีในวันนี้ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติบุตรีขุนนางฝ่ายพิธีการ เรียกได้ว่าเป็นงานเลี้ยงที่หรูหราและงดงามที่สุดในรอบหลายปีของเมืองหลวง อวี้หลันในชุดผ้าไหมเนื้อละเอียดสีชมพูอมทองปักลวดลายดอกโบตั๋นอย่างประณีต เนื้อผ้าไหมพลิ้วไหวรับแสงแดดอ่อนยามเช้า ปลายแขนเสื้อขลิบดิ้นทอง ชุดตัวยาวรัดช่วงเอวด้วยสายผ้าแพรสีแดงสด ด้านข้างห้อยพู่หยกล้ำค่า เงาผ้าพลิ้วไหวราวกลีบดอกไม้ต้องลมตามจังหวะก้าวเดิน ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังสตรีน้อยผู้เป็นบุตรีของรองเสนาบดีหญิงสาวย่างก้าวด้วยท่วงท่าที่เปี่ยมไ
เซิ่งซื่อนั่งนิ่งอยู่ในเรือนใหญ่ของตนเอง บรรยากาศภายในเรือนที่เคยสงบร่มรื่น บัดนี้กลับอึดอัดและหนักแน่นประหนึ่งมีเงาทึบปกคลุม มือที่ถือพัดเริ่มกำแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว แววตาเคร่งเครียดขณะฟังรายงานจากบ่าวคนสนิท เสียงนั้นเบาราวกระซิบ แต่ทุกคำกลับฟังชัดเจนยิ่งในหูของนาง"คุณหนูรองกลับมาถึงจวนเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ มิได้รับบาดเจ็บใดๆ ทั้งสิ้น"คำบอกเล่านั้น ดังก้องในใจจนมือที่กำพัดเริ่มสั่นอวี้หลันกลับมาแล้ว อีกทั้งยังไม่เป็นอะไรเลย"ข่าวว่า...องค์ชายใหญ่เป็นผู้ช่วยชีวิตคุณหนูรองเอาไว้ด้วยพระองค์เองเจ้าค่ะ"เสียงในห้องเงียบงันชั่วอึดใจ"องค์ชายใหญ่"เซิ่งซื่อทวนคำเบาๆ อย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง ความหวาดหวั่นคละคลุ้งในอกองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง คนผู้นี้อีกแล้วหรือพัดในมือของนางถูกบีบจนแทบจะแหลกคามือ แววตาที่เคยสั่นไหวเปลี่ยนเป็นขุ่นมัวในฉับพลัน ริมฝีปากที่เคลือบชาดเอาไว้บางๆ เม้มแน่นจนแทบเป็นเส้นตรงทั้งที่แผนการถูกวางไว้อย่างดี หลานชายที่เก่งกาจของนางไม่เคยที่จะทำงานผิดพลาด ทุกอย่างที่ควรจะจบลงอย่างเงียบงัน กลับพังครืนเพราะการปรากฏตัวของบุรุษเพียงผู้เดียวและยิ่งแย่กว่านั้น…ข่าวนี้กำลังจะถูก