การเกี้ยวพาราสีของเหลียนอี้เฉินเริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจังในวันต่อๆ มา เขาไม่ใช่บุรุษประเภทที่จะใช้คำพูดหวานเลี่ยนหรือส่งของกำนัลฟุ่มเฟือยเพื่อเอาใจสตรี แต่ทุกการกระทำของเขานั้นเต็มไปด้วยความใส่ใจและความให้เกียรติอย่างแท้จริง มันคือการรุกคืบที่นุ่มนวลแต่ละมุนละไม ทว่ากลับรัดรึงหัวใจของอวี้ฮวาให้แน่นขึ้นทุกขณะ
เขาไม่ได้มามือเปล่าอีกต่อไป แต่ของที่เขานำมาฝากนั้นไม่ใช่เครื่องประดับหรือแพรพรรณราคาแพง แต่เป็นเทียบยาบำรุงเส้นเสียงชั้นเลิศที่สั่งตรงมาจากหมอหลวงในเมืองหลวง หรือไม่ก็เป็นซุปไก่ตุ๋นโสมที่เขาอ้างว่ามารดาเป็นผู้ปรุงด้วยตนเองเพื่อบำรุงร่างกายให้นักแสดงคนโปรดของนาง
ทุกครั้งที่เขายื่นของเหล่านี้ให้ อวี้ฮวาจะรู้สึกราวกับมีเหล็กร้อนๆ นาบลงกลางใจ นางทำได้เพียงกล่าวขอบคุณและรับมันไว้ด้วยรอยยิ้มที่ฝืดเฝื่อน ขณะที่ในใจนั้นกรีดร้องด้วยความรู้สึกผิด
อี้เฉินมาชมการแสดงทุกคืนไม่เคยขาด ที่นั่งแถวหน้าสุดตำแหน่งเดิมของเขาไม่เคยว่างเว้น สายตาของเขาจะจับจ้องอยู่ที่อวี้ฮวาเพียงผู้เดียวตั้งแต่ต้นจนจบ มันเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความลุ่มหลง ชื่นชม และความรักอันบริสุทธิ์ อวี้ฮวาพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่สบตากับเขาตรงๆ แต่บางครั้ง เมื่อท่วงท่าของการร่ายรำพาให้นางต้องหันไปในทิศทางนั้น ดวงตาทั้งสองคู่ก็ได้ประสานกันชั่ววูบหนึ่ง และทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น หัวใจของอวี้ฮวาก็จะเต้นผิดจังหวะไปชั่วขณะ ลืมเลือนไปชั่วครู่ว่าตนเองกำลังสวมบทบาทใดอยู่บนเวที
วันที่เลวร้ายที่สุดคือวันที่อี้เฉินมาหานางที่โรงละครในช่วงบ่ายที่ไม่มีการแสดง พร้อมกับพิณผีผาไม้เนื้อดีตัวหนึ่ง มันเป็นเครื่องดนตรีที่ดูงดงามและมีราคาสูงยิ่งนัก
“ข้าเห็นว่าท่านชอบเล่นดนตรี” อี้เฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้หรอก แต่เจ้าของร้านบอกว่านี่คือพิณที่ดีที่สุดที่เขามีอยู่ หวังว่าท่านจะชอบ”
อวี้ฮวายืนนิ่งตัวแข็งทื่อ นางมองพิณในมือของอี้เฉินสลับกับใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความหวังของเขา ความทรงจำในอดีตทะลักเข้ามาในหัวราวกับเขื่อนแตก... ภาพของขลุ่ยไม้ไผ่ที่มารดามอบให้... และภาพที่มันถูกบิดาหักเป็นสองท่อนอย่างไม่ไยดี
“ข้า... ข้ารับไว้ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ ของชิ้นนี้มีค่าเกินไป” นางปฏิเสธเสียงสั่น พยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมอารมณ์ของตนเอง
“สำหรับข้าแล้ว ไม่มีสิ่งใดมีค่าไปกว่ารอยยิ้มของท่านอีกแล้ว” อี้เฉินตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา “ได้โปรดรับมันไว้เถิด ข้าเพียงแค่อยากเห็นท่านมีความสุข และอยากได้ยินเสียงดนตรีที่ท่านบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีชิ้นนี้สักครั้ง”
สุดท้าย อวี้ฮวาก็จำต้องรับพิณตัวนั้นมาไว้ในอ้อมแขนที่สั่นเทา นางรู้สึกราวกับกำลังโอบกอดถ่านไฟร้อนๆ ที่พร้อมจะแผดเผานางให้เป็นจุณได้ทุกเมื่อ
คืนนั้น นางแอบดีดพิณตัวนั้นเพียงลำพังในกระโจม ท่วงทำนองที่ออกมาเต็มไปด้วยความสับสนและความเจ็บปวด อาเจินที่เฝ้าอยู่ด้านนอกได้แต่ถอนหายใจด้วยความสงสารอาจารย์พี่ของนางจับใจ
สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนขึ้นเมื่อท่านหญิงเหลียนเดินทางมาเยี่ยมอวี้ฮวาถึงที่พักของคณะงิ้วด้วยตนเอง นางมาพร้อมกับผ้าไหมเนื้อดีหลายพับและเครื่องประดับหยกที่งดงามราวกับของสำหรับเชื้อพระวงศ์
“แม่นางไป๋... อย่าได้รังเกียจของเล็กๆ น้อยๆ จากใจข้าเลย” ท่านหญิงเหลียนจับมือของอวี้ฮวาไว้อย่างอ่อนโยน “นับตั้งแต่ได้พบเจ้า ข้าก็รู้สึกราวกับว่ามีวาสนาต่อกันมาแต่ชาติปางก่อน ข้าไม่มีบุตรสาว... หากไม่เป็นการรบกวนเกินไปนัก ให้ข้านึกเอ็นดูเจ้าเหมือนลูกสาวคนหนึ่งจะได้หรือไม่”
อวี้ฮวาแทบจะทรุดลงไปกับพื้น นางกำลังถูกมารดาผู้ให้กำเนิดจับมือและเรียกขานว่า "ลูกสาว" โดยที่นางไม่รู้เลยว่าเด็กหนุ่มที่นางเฝ้าคิดถึงและเสียใจที่ทำให้นางต้องหนีไปนั้น นั่งอยู่ตรงหน้านางในขณะนี้เอง นางก้มหน้าลงต่ำเพื่อซ่อนน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมา
“ท่านหญิง... ท่านเมตตาข้าน้อยเกินไปแล้วเจ้าค่ะ”
“เรียกข้าว่าท่านป้าเถิด” นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อี้เฉินน่ะ... นับตั้งแต่ได้พบเจ้า เขาก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากเด็กหนุ่มที่เอาสนใจแต่เรื่องฝึกยุทธ์ ตอนนี้เขากลับมานั่งอ่านบทกวี พยายามจะทำความเข้าใจโลกของเจ้า ข้าไม่เคยเห็นเขามีความสุขและมีชีวิตชีวาเท่านี้มาก่อนเลย... ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า แม่นางไป๋”
คำพูดของท่านหญิงเป็นดั่งคมมีดที่กรีดซ้ำลงบนบาดแผลที่มองไม่เห็น อวี้ฮวารู้สึกผิดบาปอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน นางกำลังสร้างความหวังลมๆ แล้งๆ ให้กับครอบครัวนี้ นางกำลังทำร้ายจิตใจของคนที่แสนดีอย่างอี้เฉิน และกำลังหลอกลวงมารดาของตนเอง
การคุกคามไม่ได้มาจากความเกลียดชัง แต่มาจากความรักและความเมตตา ซึ่งมันเป็นสิ่งที่รับมือได้ยากกว่ากันหลายเท่านัก
ณ คฤหาสน์ตระกูลเหลียนที่สงบสุข...จดหมายจากเหมยหลินถูกส่งมาถึงมือของไป๋อวี้ฮวา อี้เฉินที่นั่งอยู่ข้างๆ มองด้วยความไม่ไว้วางใจ แต่เมื่ออวี้ฮวาคลี่จดหมายออกอ่าน สีหน้าของนางก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากความประหลาดใจเป็นความรู้สึกทึ่งและตื้นตันใจเล็กๆนางยื่นจดหมายให้อี้เฉินอ่าน เนื้อความในนั้นเขียนไว้ว่า:“ถึง ไป๋อวี้ฮวา สหายและอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ของข้าชัยชนะของท่านเมื่อห้าปีก่อน ได้ทำลายความหยิ่งทนงของข้าจนหมดสิ้น แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ได้ปลุกจิตวิญญาณศิลปินที่หลับใหลของข้าให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ท่านได้แสดงให้ข้าเห็นถึงเส้นทางที่ข้าได้หลงลืมไปบัดนี้ ข้าได้ผ่านการเดินทางและขัดเกลาปีกของตนเองแล้ว ข้าจึงอยากจะขอส่งสารนี้มาเพื่อท้าทายท่านอีกครั้งหนึ่ง แต่มันไม่ใช่การประชันเพื่อชิงความเป็นหนึ่งอีกต่อไป แต่คือการท้าทายเพื่อให้พวกเราทั้งสองได้ร่วมกันสร้างสรรค์การแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่แผ่นดินนี้เคยมีมาข้าขอเชิญท่านและคณะงิ้วของท่าน เดินทางมายังเมืองหลวง เพื่อเปิดการแสดงเคียงข้างกันบนเวทีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเรา ให้ชาวโลกได้ประจักษ์ว่าศิลปะที่แท้จริงนั้นงดงามเพียงใดด้วยความเคารพอย่างสูงสุดเหมย
สองปีหลังจากการประชันงิ้ว...กาลเวลาได้พัดพาเรื่องราวการประชันอันเลื่องชื่อระหว่างหงส์ฟ้าแห่งเมืองหลวงและนางสวรรค์แห่งแดนใต้ให้กลายเป็นตำนานบทหนึ่งที่ถูกเล่าขานในโรงน้ำชาและคณะละครทั่วหล้า สำหรับชาวเมืองทางใต้ มันคือเรื่องราวแห่งความภาคภูมิใจ แต่สำหรับเมืองหลวงแล้ว มันคือรอยด่างพร้อยในประวัติศาสตร์ที่สมบูรณ์แบบของคณะงิ้วหลวง และคือความอัปยศที่นางพญาหงส์อย่างเหมยหลินต้องแบกรับไว้แต่เพียงผู้เดียวการเดินทางกลับสู่เมืองหลวงของเหมยหลินในครั้งนั้น ช่างแตกต่างจากการเดินทางมาเยือนแดนใต้อย่างสิ้นเชิง ขบวนรถม้าที่เคยยิ่งใหญ่บัดนี้กลับดูหม่นหมองไร้สง่าราศี บรรยากาศในคณะเต็มไปด้วยความเงียบงันที่น่าอึดอัด ข่าวความพ่ายแพ้ ได้เดินทางล่วงหน้ามาถึงก่อนตัวนางเสียอีก สายตาของชาวเมืองหลวงที่เคยเปี่ยมด้วยความชื่นชมบูชา บัดนี้กลับเจือปนด้วยความผิดหวังและคำถามเหมยหลินเก็บตัวเงียบอยู่ในเรือนพักของนาง ปฏิเสธการเข้าพบจากทุกคน นางพยายามจะกลับไปใช้ชีวิตเช่นเดิม พยายามจะกลับขึ้นไปบนเวทีที่เคยเป็นดั่งบัลลังก์ของนาง แต่ทุกอย่างกลับไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปนางยังคงร่ายรำได้อย่างสมบูรณ์แบบ... แต่นางกลับรู้สึกถึงความว
คำประกาศิตที่เกรี้ยวกราดของเหลียนจื้อเซินดังก้องสะท้อนอยู่ในห้องที่เงียบงัน มันคือคำตัดสินที่เฉียบขาดและเย็นชาที่สุด คือการผลักไสสายเลือดของตนเองให้กลายเป็นคนอื่นอีกครั้ง ไป๋อวี้ฮวายังคงคุกเข่านิ่งอยู่บนพื้น ร่างกายชาวาบไปทั้งร่างราวกับถูกแช่แข็ง น้ำตาทุกหยดเหือดแห้งไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงความว่างเปล่าที่เจ็บปวดอย่างแสนสาหัสทว่าในครั้งนี้ นางไม่ได้อยู่เพียงลำพัง“หากท่านจะไล่เขาไป... ก็โปรดไล่ข้าไปด้วย”เสียงของเหลียนอี้เฉินดังขึ้นอย่างหนักแน่นและไม่เกรงกลัว เขาก้าวมายืนเคียงข้างร่างของอวี้ฮวา เผชิญหน้ากับบิดาบุญธรรมของตนเองอย่างไม่ยอมหลบสายตา“หากเขาไม่ใช่บุตรชาย หรือสะใภ้ของท่าน ข้าก็ไม่ใช่บุตรชายของท่านอีกต่อไป หากที่นี่ไม่มีที่ให้เขายืน... ก็ย่อมไม่มีที่สำหรับข้าเช่นกัน พวกเราจะจากไปพร้อมกันเดี๋ยวนี้”คำพูดนั้นราวกับค้อนหนักๆ ที่ทุบลงมากลางใจของเหลียนจื้อเซิน การสูญเสียลูกชายคนเดียวไปเมื่อแปดปีก่อนคือความเจ็บปวดที่เขาซ่อนไว้ใต้หน้ากากแห่งความแข็งกร้าวมาโดยตลอด การต้องมาสูญเสียลูกชายบุญธรรมที่เปรียบเสมือนแขน
พวกเขาเลือกรุ่งเช้าของวันต่อมา... ด้วยมันเป็นวันที่เหลียนจื้อเซินดูสดใสและมีกำลังวังชามากที่สุดนับตั้งแต่ฟื้นไข้อี้เฉินและอวี้ฮวาขอเข้าพบเป็นการส่วนตัวในห้องนอนของบิดา โดยมีท่านหญิงเหลียนนั่งอยู่ข้างเตียงด้วยเช่นกัน บรรยากาศในห้องดูผ่อนคลายและเปี่ยมด้วยความสุขจากการฟื้นตัวของประมุขแห่งบ้านอี้เฉินเป็นผู้เริ่มต้น เขารู้ดีว่าในฐานะบุตรชายและสามี เขาคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อเรื่องราวทั้งหมดเขาคุกเข่าลงกับพื้นข้างเตียงของบิดา ทำให้ทุกคนในห้องตกใจไปตามๆ กัน“อี้เฉิน! เจ้าทำอะไรของเจ้า!”“ท่านพ่อ ท่านแม่... ก่อนที่ข้าจะพูดอะไรต่อไป ข้าขอให้ท่านทั้งสองโปรดจงรู้ไว้ว่า... ข้ารักอวี้ฮวา... รักอย่างสุดหัวใจ และไม่ว่าความจริงที่ข้าจะพูดต่อไปนี้จะเป็นเช่นไร ความรักของข้าที่มีต่อนางจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”เขาเริ่มต้นเล่าเรื่องราว... ตั้งแต่คืนส่งตัวที่เขาได้ล่วงรู้ความจริง... ความโกรธเกรี้ยว ความสับสน และการตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตที่จะยอมรับและปกป้องคนที่เขารักต่อไป เขาสารภาพว่าเขาร่วมมือกับนางในการหลอกลวงเรื่องการตั้งครรภ
ในห้องหนังสือที่เงียบสงบ มีเพียงอี้เฉินและอวี้ฮวาที่นั่งเผชิญหน้ากับหมอเทวดากู้ บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียดที่มองไม่เห็นท่านหมอกู้ไม่ได้เริ่มต้นด้วยการกล่าวหา แต่กลับเริ่มต้นด้วยการชื่นชม“ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ข้าได้เห็นความทุ่มเทของฮูหยินน้อยแล้ว นับเป็นลูกสะใภ้ที่กตัญญูและมีจิตใจเข้มแข็งอย่างหาได้ยากยิ่ง”“ท่านหมอชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” อวี้ฮวาตอบเสียงเบา ส่วนท่านหมอกู้ก็จิบชา ก่อนจะวางถ้วยลงและมองตรงมาที่นาง“แต่สิ่งที่ข้าชื่นชมนั้น...กลับยิ่งสร้างความสับสนให้แก่ข้ามากขึ้นไปอีก”เขาประสานมือไว้บนตัก จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของอวี้ฮวา ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้นางและอี้เฉินรู้สึกราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน“ชีพจรของฮูหยินน้อย... มีบางอย่างที่ข้าไม่เข้าใจ... มันไม่เหมือนชีพจรสตรีเลย”ความเงียบที่โรยตัวลงในห้องหนังสือนั้นหนักอึ้งเสียยิ่งกว่าหินผาพันชั่ง ไป๋อวี้ฮวาและเหลียนอี้เฉินนั่งนิ่งตัวแข็งทื่อราวกับรูปสลัก คำพูดของท่านหมอกู้ยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาทของพวกเขาราวกับเสียงระฆังที่ตีซ้ำแล้วซ้ำ
ในที่สุด เช้าวันที่สาม ความหวังก็มาถึงชายชราร่างเล็กในชุดผ้าฝ้ายสีเทาธรรมดาๆ พร้อมกับกล่องยาไม้เก่าๆ ใบหนึ่ง ถูกนำทางเข้ามาในคฤหาสน์ เขาไม่มีท่าทีโอ่อ่าเหมือนหมอหลวง ไม่มีรัศมีน่าเกรงขามเหมือนจอมยุทธ์ แต่ดวงตาของเขานั้นกลับสุขุมและเปี่ยมด้วยปัญญาจนทำให้ทุกคนที่อยู่รายล้อมต้องรู้สึกสงบลงอย่างน่าประหลาด“คารวะท่านหมอกู้” อี้เฉินรีบเข้ามาประสานมือคารวะหมอเทวดากู้เพียงพยักหน้ารับเบาๆ“อย่าได้มากพิธีเลย นำข้าไปดูคนไข้เถิด”เมื่อเข้ามาในห้องนอนที่อบอวลไปด้วยกลิ่นยา ท่านหมอกู้ก็ไม่ได้สนใจผู้ใดอีก เขาวางกล่องยาลงและเดินตรงไปที่เตียงของผู้ป่วยทันที เขามองดูสีหน้า ตรวจดูเปลือกตาและลิ้นของเหลียนจื้อเซิน ก่อนจะทำในสิ่งที่สำคัญที่สุด... การตรวจจับชีพจรนิ้วมือที่เหี่ยวย่นแต่กลับมั่นคงของเขาวางลงบนข้อมือของเหลียนจื้อเซินอย่างแผ่วเบา เขาหลับตาลง ใช้สมาธิทั้งหมดเพื่อรับฟัง "เสียง" ของชีวิตที่กำลังจะดับสูญ เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนทุกคนแทบจะหยุดหายใจ“ชีพจรแผ่วเบาและแตกซ่านราวกับเส้นด้ายที่กำลังจะขาด” ท่านหมอเอ่ย